ความคิดเห็นที่ 1 วิธีลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging – DCA) วิธีลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน เป็นการนำเงินทุนไปลงทุนเป็นงวด ๆ (เช่นทุกเดือน) ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในกองทุนหนึ่ง หรือในหลักทรัพย์หนึ่งๆ โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้นในตลาด วิธีนี้จะสามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้นเมื่อราคาหุ้นตก และซื้อหุ้นได้น้อยลงเมื่อราคาขึ้น       โดยจำนวนเงินที่เท่ากันในแต่ละงวดสามารถเพิ่มขึ้นได้ทุกปีตามการเพิ่มขึ้นของเงินเดือน หรือตามรายได้ที่ใช้จ่ายได้หลังหักภาษีแล้วซึ่งจากการสำรวจ พบว่าวิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุนจะให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนทั่วๆไปของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมักจะตามกระแสตลาด คือซื้อหุ้นเมื่อราคาขึ้น และขายหุ้นเมื่อราคาตกขณะเดียวกัน วิธีการลงทุนแบบเป็นระบบ เช่น วิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือแบบสุ่มเลือกจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าวิธีการลงทุนแบบไม่มีระบบ ซึ่งนักลงทุนจะใช้ความรู้สึกและอคติที่มีตามธรรมชาติเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจ        โดยการลงทุนแบบเป็นระบบให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนทั่วๆไปของนักลงทุนรายย่อย ดังรูปด้านล่าง ซึ่งแสดงให้ห็นว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2531 – 2550 การลงทุนอย่างเป็นระบบในตลาดหุ้นทำกำไรได้มากกว่านักลงทุนทั่วไปในตลาดหุ้น 50% ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้พบว่า นักลงทุนทั่วๆ ไปถูกแรงดึงดูดให้เข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ในขณะที่ราคาขึ้นไปสูง แต่ต้องขายหุ้นทิ้งในอีกไม่กี่ปีต่อมาในราคาที่ใกล้ถึงจุดต่ำสุดขณะเดียวกันในช่วงที่ตลาดแกว่งตัวสูงที่สุด มักเกิดความผิดพลาดในการลงทุนที่มากที่สุด         Monthly Investment Plan        แผนการลงทุนรายเดือน  (Monthly Investment Plan : MIP) เป็นรูปแบบการลงทุนที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บลจ. อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด ได้แนะนำให้แก่นักลงทุน ซึ่งเป็นแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยยอดเงินลงทุนที่เท่ากันทุกๆเดือน ช่วยทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น       ทั้งนี้ประโยชน์ของแผนการลงทุนรายเดือน คือ วิธีการลงทุนที่คุณควบคุมได้ ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการลงทุนได้หลายประการซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน        หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน บริษัทหลักทนัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) จำกัด  ชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์ บอกว่า การลงทุนที่มีข้อผิดพลาดต่างๆนั้น ทำให้นักลงทุนไม่เป็นนักลงทุน แต่กลับเป็นนักเก็งกำไร ที่แย่กว่านั้นกลายเป็นนักเก็งตัวเลข ซึ่งอันตรายมาก เพราะดูแต่ตัวเลขไม่ดูปัจจัยในด้านอื่นเลย  ดังนั้น นักลงทุนควรมีการลงทุนอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนในกองทุนหรือหลักทรัพย์สินหนึ่งๆในจำนวนที่เท่ากันในแต่ละงวด โดยไม่ต้องคำนึงราคาหุ้นในตลาด วิธีนี้ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้นเมื่อราคาหุ้นตก และซื้อหุ้นได้น้อยลงเมื่อราคาขึ้นโดยการลงทุนด้วยวิธีนี้จะให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนทั่วๆไปของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมักจะตามกระแสตลาด คือซื้อหุ้นเมื่อราคาขึ้น และขายหุ้นเมื่อราคาตก        "เนื่องจากทิศทางของตลาดหุ้นนั้น แม้จะมีความผันผวนแต่ราคาของหุ้นนั้นยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งการลงทุนในหุ้นโดยการเฉลี่ยลงทุนจะทำให้ซื้อหุ้นได้ทุกราคา และทำให้ในระยะยาวนักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า"  หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายกองทุน ระบุ        สำหรับข้อดีของแผนการลงทุนรายเดือนนั้น ได่แก่       - เหมาะกับการลงทุนในกองทุนรวม เพราะสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ด้วยจำนวนเงินลงทุนรายเดือนคงที่ตามจำนวนงวดที่ท่านกำหนดไว้ในแผน       - ท่านสามารถเลือกที่จะเริ่มหรือหยุดการลงทุนตามแผนได้โดยไม่มีค่าปรับ       - การกำหนดจำนวนเงินลงทุนรายเดือนสามารถปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลโดยพิจารณาจากฐานะการเงินและเป้าหมายของแต่ละบุคคล       - ช่วยสร้างวินัยให้การลงทุนของท่าน               โดยสรุปแล้ว การลงทุนนั้น นักลงทุนควรเข้าใจในอคติที่คุณมี และอคตินี้จะทำให้เกิดการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสมในการลงทุนอย่างไร ขณะเดียวกันควรเข้าใจว่าในช่วงที่ตลาดแกว่งตัวอย่างรุนแรง มักจะเกิดการตัดสินใจในการลงทุนที่สำคัญและควรใช้วิธีการลงทุนอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนแบบประจำทุกเดือน หรือวิธีการอื่นๆ รวมถึงนักลงทุนเอง ควรมีวินัยและเข้มแข็ง  เพราะตลาดหุ้นอาจปรับลดลงไปได้ อีกซึ่งหวังว่าเนื้อหาในวันนี้ คงเป็นประโยชน์กับบรรดานักลงทุนทั้งหลายในยามที่ตลาดหุ้นมีปัจจัยหลากหลายเข้ามากระทบตลาด จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ วันอาสาฬหบูชา 14:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 2 กระทู้สาระมาอีกแล้ว แต่ว่ายังปั่นงานไม่เสร็จเลย... ขอ save ไว้อ่านนะครับ ... จากคุณ : หมึกสด - [ วันอาสาฬหบูชา 14:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 วิธีลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Averaging – DCA) วิธีลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน เป็นการนำเงินทุนไปลงทุนเป็นงวด ๆ (เช่นทุกเดือน) ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในกองทุนหนึ่ง หรือในหลักทรัพย์หนึ่งๆ โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้นในตลาด วิธีนี้จะสามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้นเมื่อราคาหุ้นตก และซื้อหุ้นได้น้อยลงเมื่อราคาขึ้น ใครกินเงินเดือน  แนะนำครับ TDEX ใครเงินเยอะ  แนะนำครับ TFEX แต่ควรศึกษาเพิ่มเติ่มสัก 2-3 เดือนก่อน เพราะมันสลับซับซ้อนกว่า TDEX ครับ จากคุณ : Big Jump - [ วันอาสาฬหบูชา 14:49:00 ]

ความคิดเห็นที่ 4 TDEXผมว่าเป็นตัวที่ดีถ้าเราสะสมในระยะยาวครับ แต่สำหรับTFEXนี่ผมยังไม่แน่ใจ เพราะว่ามันมีอายุเข้ามากำหนดนี่แหละครับ ถ้าเกิดสะสมแล้วมันหมดอายุขึ้นมาตอนเราขาดทุนคงแย่พิลึก แล้วถ้ามันตกลงไปมากๆ การเข้าไปถัวเฉลี่ยก็จะทำให้ขาดทุนมากขึ้นหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะTFEXนั้นต้อง mark to marketด้วย ถ้าเอาเงินมาโปะไม่ได้ก็น่าจะจบโดยสิ้นเชิง จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ วันอาสาฬหบูชา 15:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 DCA คำนี้ผมได้ยินครั้งแรกจากคุณ "หมีพูหมูพี" ครับพี่ขอบฟ้า ^^ แต่ไม่เคยได้ลองใช้เลย จากคุณ : คนจนที่อยากรวย - [ วันอาสาฬหบูชา 16:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องอายุ  ต่อกันได้ครับ  ไม่อยากต่อบ่อยๆ  เอาตัวยาว 1 ปีไปเก็บได้ครับ แต่การต่ออายุ  มันมีเทคนิค  ได้ส่วนต่างเพิ่มครับ ยังยืนยันครับ  ศึกษาเพิ่มเติม  จะเห็นอะไรดีๆ  ซ่อนอยู่ครับ ถ้ามั่นใจในทฤษฎีนี้นะครับ   DCA  ใช้ได้ดีที่ TFEX และ TDEX เงินน้อยนะครับเงินเดือนไม่เกิน 2 หมื่น  เอาไปลงทุนได้เดือนละ 10000 ใช้ TDEX เดือนที่ 1 SET50 อยู่  500 จุด  ซื้อ TDEX ได้ 2000 หุ้น (TDEX=5.00) เดือนที่ 2 SET50 อยู่  450 จุด  ซื้อ  TDEX ได้ 2222 หุ้น (TDEX=4.50)  อันนี้ไม่ได้ปัดเศษ เดือนที่ 3 SET50 อยู่  400 จุด  ซื้อ TDEX ได้ 2500 หุ้น (TDEX=4.00) เดือนที่ 4 SET50 อยู่  300 จุด  ซื้อ TDEX ได้ 3300 หุ้น (TDEX=3.00) เดือนที่ 5 SET50 อยู่  400 จุด  ซื้อ TDEX ได้ 2500 หุ้น (TDEX=4.00) เดือนที่ 6 SET50 อยู่  500 จุด  ซื้อ TDEX ได้ 2000 หุ้น (TDEX=5.00) เห็นสั้นๆอย่างนี้แล้ว  ตอนเดือนที่ 4 ยังอยากให้มันลงต่อ ไปอีกสัก 2 ปี แล้วค่อยขึ้น เงินเยอะนะครับ  รายรับเดือนละ 1 ล้าน  เอาไปลงทุนได้เดือนละ  ไม่เกิน  700000 บาท  (เป็นเจ้าของกิจการ โรงงาน อะไรทำนองนี้นะ) เดือนที่ 1 SET50 อยู่  500 จุด  ซื้อ TFEX ได้   1 สัญญา มูลค่า 1 สัญญาเต็ม = 500000 บาท แบ่งเป็น   50000 ที่โบรก 450000 ที่ธนาคาร  200000 สำรองรวมเดือนหน้า เดือนที่ 2 SET50 อยู่  450 จุด  ซื้อ TFEX ได้   2 สัญญา มูลค่า 2 สัญญาเต็ม = 900000 บาท แบ่งเป็น 100000 ที่โบรก 800000 ที่ธนาคาร               0 สำรองรวมเดือนหน้า เดือนที่ 3 SET50 อยู่  400 จุด  ซื้อ TFEX ได้   1 สัญญา มูลค่า 1 สัญญาเต็ม = 400000 บาท แบ่งเป็น   50000 ที่โบรก  350000 ที่ธนาคาร  300000 สำรองรวมเดือนหน้า เดือนที่ 4 SET50 อยู่  300 จุด  ซื้อ  TFEX ได้   3 สัญญา มูลค่า 3 สัญญาเต็ม = 900000 บาท แบ่งเป็น  150000 ที่โบรก   750000 ที่ธนาคาร  100000 สำรองรวมเดือนหน้า เดือนที่ 5 SET50 อยู่  400 จุด  ซื้อ TFEX ได้   2 สัญญา มูลค่า  2 สัญญาเต็ม = 800000 บาท แบ่งเป็น   100000 ที่โบรก  700000 ที่ธนาคาร         0 สำรองรวมเดือนหน้า เดือนที่ 6 SET50 อยู่  500 จุด  ซื้อ TFEX ได้   1 สัญญา มูลค่า 1 สัญญาเต็ม = 500000 บาท แบ่งเป็น   50000 ที่โบรก 450000 ที่ธนาคาร  200000 สำรองรวมเดือนหน้า อันนี้หลักการเดียวกัน  แต่ขนาดมันใหญ่มาก  และต้องรู้จักคำว่า  มูลค่าเต็มของ 1 สัญญา  ไม่ได้หมายถึงเงิน 50000 แต่หมายถึง  1000*ดัชนี SET50 ครับ เงิน 50000/1 สัญญาเขาเรียกว่าเงินค้ำ  คือไม่ต้องจ่ายเต็ม  แค่จ่ายบางส่วน  แต่ได้สิทธิ์เหมือนกัน  ส่วนที่ยังไม่ได้จ่าย  ก็รอไว้ที่ธนาคารกินดอกเบี้ยไป   ส่วนเกินหรือเศษที่ไม่เต็มก็สำรองไว้กับรายได้ในเดือนหน้า แล้วรวมกันไปซื้ออีกที่ครับในเดือนถัดไปครับ แล้วก็ มีการโยกเงินระหว่างโบรกกับธนาคาร  ตามดัชนี  เป็นการโยกอย่างอัตโนมัติ เห็นอย่างนี้  ก็เหมือนกัน  อยากให้มันลงไปเรื่อยๆ  อีก สัก 5 ปีไปเลย  แล้วค่อยขึ้น  เพราะจะได้สัญญาเยอะกว่า   ใครมองเห็นภาพใหญ่ถึงจะเข้าใจครับ อันนี้  ก็เป็นจุดที่เพื่อนในสินธร  โต้แย้งว่า  TFEX ไม่สามารถลงทุนถือยาวได้  งั้นช่วยตอบคำถามเรื่อง DCA  ด้วยครับ *** ศึกษา TFEX ให้ลึกซึ้ง ก่อนลงทุน  หรือ  ก่อนเก็งกำไร  ให้รอบคอบ  ก่อนนะครับ  สัก 2-3 เดือนก็ได้ *** แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 52 17:03:05 แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 52 16:59:53 จากคุณ : Big Jump - [ วันอาสาฬหบูชา 16:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าจะซื้อTFEX แล้วสำรองเต็มแบบนี้ทำไมไม่ใช้TDEXไปเลยล่ะครับ??? เพราะว่าTDEXนั้นได้เงินปันผลด้วยในขณะที่TFEXราคาจะลดลงจากการจ่ายเงินปันผล รวมถึงการนำเงินส่วนเหลือไปฝากธนาคารดอกเบี้ยก็ยังไม่เท่ากับเงินปันผลอยู่ดี เรื่องส่วนต่างระหว่างการเปลี่ยนเดือน มีความเป็นไปได้ครับ ห่างกันอยู่พอสมควร (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา - [ วันอาสาฬหบูชา 18:10:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบ พี่ขอบฟ้าบูรพา จริงๆ ถ้าไม่จริง จัง มาก ก็ใช้  TDEX ก็ได้ครับ ต่อไปนี้เป็นข้อแตกต่างนะครับ 1.) 10 สัญญา ของ TFEX ในปัจจุปัน  มูลค่าคือ  4.1 ล้านบาท  แต่ใน TDEX เห็นน้อยมาก กองละ 1 ล้านหุ้น  สรุปตลาดของ TFEX ใหญ่กว่า TDEX มากๆ  วันหนึ่งซื้อขาย 10000 สัญญาขึ้น เทียบได้ก็ประมาณ 4000 ล้านต่อวันครับ พี่ขอบฟ้าบูรพา 2.) เงินฝากธนาคาร ได้น้อยกว่าปันผล ครับ  แต่ถ้าบริหารเป็น สามารถกระจายบางส่วน สู่ พันธบัตรได้  ประจำได้กับธนาคารเล็กๆ  แต่ยอมรับก็ยังน้อยกว่าปันผล TDEX 3.) มุมมองการเงิน  เวลาธนาคารมองมาที่เรา  บางส่วนมีเงินฝากประจำ เครดิตดีกว่ากันเยอะครับ  *** ถ้าใครไม่ต้องการเครดิตก็แล้วไปครับ 4.)  TDEX ไม่เคยให้ส่วนลด  หมายถึง ราคาต่ำกว่า SET50 แต่ TFEX ให้ส่วนลด เป็นถดูกาล มาเรื่อยๆ  จากความโกลาหลของตลาด  อาจให้ส่วนลดถึง 20 จุดในบางจังหวัง  แต่เมื่อสิ้นไตรมาส ก็ต้องส่งตรงราคา SET50 ไม่ขาดไม่เกิน  เราสามารถใช้ความชำนาญและความเข้าใจ  ก้าวข้ามส่วนลด  ทุกๆ  ไตรมาสได้ครับ  เพราะ  S50U09 = SET50 = S50Z09 =S50H10 ครับ   *** ส่วนลดนี้ผมว่ารวมๆ กันได้มากกว่าปันผลของ TDEX และค่าคอมที่ต้องใช้ในการเปลี่ยนสัญญาครับ เอาเป็นว่า  ไม่ชำนาญ  เงินน้อย ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องศึกษาอะไรมาก ใช้ TDEX ก็ได้ผลครับ จากคุณ : Big Jump - [ วันอาสาฬหบูชา 18:50:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไม่เชื่อว่าลงทุนแบบถัวเฉลี่ย หนีความเสี่ยง ลดความผิดพลาด ได้ คุณต้องมีระบบเทรดอะไรก็ได้ ที่พิสูจน์ได้ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8055585/I8055585.html จากคุณ : -=สาวลาวบ่าวไทย=- - [ วันเข้าพรรษา 03:34:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าคิดว่าเป็นการลงทุนระยะยาว   เงินเย็น(ดอกเบี้ยต่ำ) กรณีหุ้นขาขึ้น.......เชื่อและทำอยู่ครับ ถ้าเข้าๆออกๆ  ไม่รอดซักราย จากคุณ : pungee1 - [ วันเข้าพรรษา 09:32:27 ]