ลองย้อนมาดูพฤติกรรมในรอบ 3 ปีของต่างชาติประกอบการเดาทางครับ
รอบที่ 1 กลาง ส.ค.47 ถึง 8 มี.ค.48 กินเวลา 6 เดือนครึ่ง ต่างชาติซื้อสุทธิรวมประมาณ 150,000 ล้านบาท หิ้วดัชนีหุ้นจากแถว 590 จุด ขึ้นไปประมาณ 159 จุด หลังจากนั้นขายออกมา 2 เดือนครึ่ง รวมขายสุทธิประมาณ 26,000 ล้านบาท หุ้นตกไปทั้งสิ้นเกือบ 100 จุด
รอบที่ 2 เข้าซื้อสะสมใหม่ตั้งแต่ 26 พ.ค.48 จนถึง 30 ก.ย.48 (4 เดือน) ซื้อสะสม 6 หมื่นกว่าล้านบาท หิ้วดัชนีขึ้นประมาณ 70 กว่าจุด หลังจากนั้นขายสุทธิออกประมาณ 26,000 ล้านบาท กินเวลาขายนาน 1 เดือน แล้วก็ซื้อสลับขายอยู่อีกเกือบเดือน หุ้นตกประมาณ 60 จุด
รอบที่ 3 เริ่มซื้อเมื่อ 25 พ.ย.48ไปจนถึง 10 พ.ค.49 (5 เดือนครึ่ง) ซื้อสะสมเกือบ 140,000 ล้านบาท หุ้นขึ้นประมาณ 120 จุด หลังจากนั้นขายออกมาประมาณ 1 เดือนครึ่ง รวมขายสะสมประมาณ 55,000 ล้านบาท ทำให้หุ้นตกประมาณ 140 จุด
รอบที่ 4 เริ่มซื้อเมื่อ 22 มิ.ย.49 ถึง 6 ธ.ค 49 รวม 5 เดือนครึ่ง ซื้อสะสมเกือบ 6 หมื่นล้านบาท หุ้นขึ้นประมาณ 100 จุด หลังจากนั้นขายออกมา 1 เดือนเศษ รวมยอดขายสุทธิเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ช่วงนั้นหุ้นตกประมาณ 130 จุด
ขอบอกเพิ่มเติมว่า ทุกๆ รอบที่หุ้นขึ้นและลงนั้น จะมีข่าวสารเหตุการณ์ด้านปัจจัยพื้นฐานเป็นส่วนประกอบอยู่ทุกเหตุการณ์นะครับ
สำหรับรอบที่ 5 ที่เพิ่งจบไป ซื้อมาตั้งแต่ 11 ม.ค.50 กินเวลานาน 6 เดือนครึ่ง เมื่อนับถึง 26 ก.ค. วันที่ซื้อหุ้นสูงสุดรวมแล้วประมาณ 136,000 ล้านบาท ดัชนีหุ้นขึ้นมาทั้งสิ้นประมาณ 270 จุด สูงสุดระหว่างวันที่ 895 จุด ขณะนี้ไหลลงมาแล้ว 2 สัปดาห์ รวมขายสุทธิแล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
ถ้าเชื่อว่ารอบนี้จะเหมือนในอดีต คงต้องเดาว่า ยังเหลือเวลาอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ราคาหุ้นที่ 810 จุด ที่จริงค่อนข้างถูก แต่คงต้องยอมให้ต่างชาติขายเพราะ คดีซับไพรม์อีกสักพักครับ
ข้อมูลจาก http://api.settrade.com/blog/sombat/2007/08/10/130
จากคุณ |
:
sandee.kung
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ค. 52 21:25:17
|
|
|
|