ความคิดเห็นที่ 1   อิอิ งง กับการยกตัวอย่างมาเปรียบเปรยค่ะ ... จขกท คงอยากให้ง่ายขึ้น แต่กลับทำให้เรามึนตึ๊บเลย   จากคุณ : moonwatch เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 22:34:02

ความคิดเห็นที่ 2   มาขอทำความเข้าใจด้วยคน ยังไม่หายงง  ตอนนี้ เผลอไป SHORT PUT ไว้ ที่ 14.6 อยากจะขาย ยังขายไม่ได้เลย ขายแค่ 10 บาทเอง ขายถูกกว่าตอนที่ซื้ออีก ทำไมมีแต่คนอยากซื้อที่ 18.9 ก็ไม่รู้ ไม่เอา 10 บาทของเรา  แล้วก็แปลกใจ ที่ต้องขายให้ต่ำกว่า 14.6 เราถึงจะได้กำไร งง มากๆ จากคุณ : r231 เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 22:55:37

ความคิดเห็นที่ 3   ผมมีหลักครับ ได้รับการบอกเล่ามาจากผู้เชี่ยวชาญ ให้เราคิดในแง่ของ ลอง คอลก่อน แล้วมาคิดในทางตรงข้าม กับลองคอล คือชอตคอล เสร็จแล้วค่อยมาคิดในแง่ชอตพุท แล้วกลับไปตรงข้ามกันคือลองพุท โดยพิจารณาแต่ละเรื่องเริ่มจากลองคอลเป็นอันดับแรกครับ เพราะลองคอลนั้นเข้าใจได้ง่ายที่สุด ผมเองก็รู้แค่งูๆปลาๆ ดีใจที่มีคนสนใจเรื่องเดียวกัน CAP_M_พยากรณ์ จากคุณ : CAP_M_พยากรณ์ (PYK-S) เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 22:59:47

ความคิดเห็นที่ 4   ตอบคุณ r231 ลองคิดแบบนี้นะครับ คุณ short put การ "short" ก็คือการขายนั่นเอง ตอนนี้คุณตกลงกับนาย ก. ว่าจะหาสินค้าA มาส่งมอบให้ โดยคิดที่ราคา 14.6 บาท เพราะฉะนั้น คุณก้ต้องไปซื้อหาสินค้านั้น ในราคาที่ต่ำกว่า 14.6บาทมาให้ได้ คุณถึงจะมีกำไร แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 52 23:50:28 จากคุณ : T-Fake เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 23:48:55

ความคิดเห็นที่ 5   ถ้าคิดว่าตลาดจะขึ้น ก็จะมี 2ทางให้คุณเลือก คือ long call หรือ short put ข้อแตกต่างกันก็คือ ถ้าคุณเลือก long call  คุณจะเริ่มต้น ณ จุดที่คุณขาดทุนมากที่สุด( และจะขาดทุนน้อยลงจนเริ่มได้กำไร ในกรณีที่คุณมองตลาดถูกทาง) ถ้าคุณเลือก short put คุณจะเริ่มต้น ณ จุดที่คุณกำไรมากที่สุด(และจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนถึงจุดขาดทุน ในกรณีที่คุณมองตลาดผิดทาง) ถ้าคิดว่าตลาดจะลง ก็จะมี 2ทางให้คุณเลือก คือ long put หรือ short call จากคุณ : T-Fake เขียนเมื่อ : 16 ก.ค. 52 23:58:23

ความคิดเห็นที่ 6   คุณ CuSO45H2O... ผมว่ายิ่งไปเปรียบเทียบแบบนั้นจะยิ่ง งง กว่าเดิมอีกนะครับ... มองตรงๆ เลย น่าจะเข้าใจง่ายกว่า แบบ #5 นะครับ... #2 คุณ r231... ที่คุณบอกว่า open short put ที่ premium 14.6 จุด แล้วอยากขายที่ราคา 10 บาท ทำไม่ไม่มีคนอยากซื้อ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจเรื่อง options (long/short call/put) ดีพอนะครับ นับว่าอันตรายมาก เหมือนเอามือไปจับไฟ โดยไม่รู้ว่าไฟมันร้อน... สำหรับมือใหม่ ควรจะเริ่มจากการ long ก่อน ถ้าเข้าใจเรื่อง options ดีพอแล้ว ค่อยมา open short นะครับ... คำอธิบายว่า ทำไม่มีคนซื้อ ก็เพราะ คุณต่างหากที่ไปขอซื้อที่ราคา 10 จุด ดังนั้นคนที่อยากขาย เขาก็ย่อมอยากขายที่ราคาแพงๆ ซึ่ง 18.9 จุดก็แพงกว่า 10 จุด open short put เป็นการเปิดสัญญาขาย put (คาดว่าหุ้นจะขึ้น) ดังนั้นการปิดสัญญา ต้อง close long put ซึ่งเป็นการซื้อคืน คุณยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ คำว่า ซื้อ/ขาย กับ open/close long/short อยู่นะครับ... แนะนำให้อ่าน และศึกษา options ให้เข้าใจมากขึ้นก่อนลงมือซื้อขาย options จริงๆ จะดีกว่านะครับ... แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 00:31:15 จากคุณ : มงคล/ป๋อง (Mongkon/Pong) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 00:29:53

ความคิดเห็นที่ 7   ค่าพรีเมี่ยมก็คือ ค่าที่คนซื้อสิทธิเอาไปซื้อสิทธิค่ะ   ค่ามาร์จิน คือ  คนขายสิทธิ ต้องจ่ายเหมือนค่าประกัน ไว้ที่คนกลาง อย่างเช่น กันดัมอยากจะขาย "คูปองข้าวมันไก่ 50 บาท" กันดัมก็วางค่ามาร์จิน(ค่าประกัน)ไว้กับโรงอาหารสินธร  แล้วก็ประกาศขาย Call option ข้าวมันไก่ 50 บาท..................กันดัมกำลังทำ short call อยู่คะ คุณCuSO45H2O  เดินเข้าในโรงอาหาร เห็นกันดัมขายคูปองอยู่  ก็ตัดสินใจ ซื้อคูปอง  โดยจ่ายเงินค่าคูปองให้กันดัม(นั่นคือ ค่าพรีเมี่ยม)..............คุณCuSO45H2O กำลัง long call คะ ในคูปองจะมี "กำหนดอายุ" ด้วยค่ะ เช่นใช้ได้ถึงวันไหน   ในระหว่างนั้นคุณCuSO45H2O ก็รอจังหวะใช้สิทธิ ถ้าราคาข้าวมันไก่ ขึ้น 65 บาท........ คุณCuSO45H2Oประกาศใช้สิทธิล่ะนะกันดัม  ป๋มจะซื้อข้าวมันไก่ราคา 65 บาท ด้วยคูปอง 50 บาท จงเอาข้าวมันไก่มาซะดีๆ  คุณCuSO45H2Oก็จะซื้อของราคาถูกลง 15 บาท ถ้าราคาข้าวมันไก่ ลง 40 บาท ...........คุณCuSO45H2O ก็ไม่ใช้สิทธิ เพราะใช้คูปองมันแพง ซื้อเอาตรงๆถูกกว่า ในช่วงกำหนดอายุคูปองถ้าราคาข้าวมันไก่ลงไปเรื่อยๆ จนวันสุดท้ายก็ยังไม่เกิน 50 บาท  คุณCuSO45H2O ก็เสียค่าซื้อไปฟรีๆ (ค่าพรีเมี่ยม) ส่วนกันดัม ถ้าคุณCuSO45H2Oไม่มาใช้สิทธิ กันดัมก็จะได้กำไรคือค่าพรีเมี่ยมที่คุณCuSO45H2O จ่ายมาคะ แต่ถ้าในตลาด Option จริงๆ เราไม่รู้หรอกว่า ใครซื้อ ใครขาย ทุกอย่างจะผ่านคนกลาง  ดังนั้นค่าพรีเมี่ยม หรือ ผลต่างการใช้คูปอง ทางคนกลางจะบวกลบเงิน แล้วเอาเงินมาให้คะ ดังนั้น long call จึงขาดทุนสูงสุด คือค่าพรีเมี่ยมที่จ่าย ส่วนกำไรไม่จำกัด ส่วน short call จะได้กำไรสูงสุดคือ ค่าพรีเมี่ยม(คนไม่ใช้สิทธิ จนหมดสัญญา) ขาดทุนไม่จำกัด ถ้าขาดตกบกพร่องประการใด  วอนผู้รู้มาช่วยเพิ่ม เสริม ให้ด้วยนะคะ   จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 00:32:13

ความคิดเห็นที่ 8   แวปเข้ามาดูพี่กัน... สอนผมบ้างนะ... แฮ่ๆๆ จากคุณ : SameOne เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 01:57:58

ความคิดเห็นที่ 9   หุ้น ซื้อถูก ขายแพง   (ซื้อคือLONG  ตอนเริ่มต้น คือ เปิด สถานะ ) (ขายคือ SHORT ตอนปิดสถานะตรงข้าม กับตอนเปิด ) เปลี่ยนจากคำว่าหุ้น เป็น ออพชั่น      1 เมื่อสินค้าสมมุต เสท 50ไม่มีตัวตน เรามาเดากันว่า เซท 50จะขึ้น เราซื้อคอล    คนมาขาย คือคนคิด ตรงข้าม คือเซท 50จะลง เขามาขาย คอลให้   จบกันไปเมื่อ ตกลงราคาเดิมพันกันได้ ว่า เอาสัก 10จุด(เรียกพรีเมี่ยมตามฝรั่ง) (แต่คนรอซื้อมาตั้งราคารับไว้ที่ 14.6 มากกว่าคนอื่นที่ตั้ง13/12/10 การแมท แบบหุ้น ก็เกิดขึ้น ข้อนี้ไม่น่า งง  ยกเว้นไม่เคยเล่นหุ้น )      2  เมื่อเราคิดว่าเซท50จะลง    เราก็มาตั้งราคา ซื้อพุท (จากป๋าออพ ?หรือใครก็ไม่รู้ )  ที่เขาคิดไม่เหมือนเรา ว่าเสท 50จะขึ้น เขาก็มาตั้งราคาขายพุท ให้ (จะขายแค่ 10จุดเอง แต่เราดันตั้งไว้ 14.6  แหมไม่น่าเลย ตั้งแพงไป ไม่งั้นเราตั้งน้อยกว่านี้ก้ไม่ถึงคิวเราอีก เพื่อนเราคงได้ของถูกไป )  พอตกลงเดิมพันกันได้ ก็จบไปอีก     จบคำอธิบายสี่ แบบการเล่นออพชั่น แบบเปิดสถานะ (แบบปิดสถานะก็อีก สี่แบบนี้แหละ เพียง แต่ ต้องมีหุ้นก่อน  หรือสัญญาออพชั่นก่อน จึงจะมาปิด ได้  เวลาสั่ง Close ถ้าไม่มีรายการในพอร์ต  มันตีกลับ สั่งไม่ได้นั่นไง)     รวมเป็นแปด แบบ พื้นที่ หรือ เขตที่จะเล่น อีก 3เขต       1 ATM  At The Money  ตรงที่สไตร์ไพร์ ตรงกับ ตัวเลขเซท 50 เช่นเซท 50อยู่ที่422 ATM ก็จะตรงกับสไตร์ไพร์ ที่ 420(ห่างกัน 10)       2 ITM  in the money  แปลไทยว่า ว่าเขตที่สัญญามีค่าเป็นเงิน ด้านซีกซ้าย ฝ่ายคอล  ก็เป็นสไตร์ไพร์ ที่น้อยกว่า ATM ลงไป ด้านขวาซีกพุท ก็จะเป็นสไตร์ไพร์ ที่สูงกว่า ATM ขึ้นไป       3 OTM Out of The Money  แปลไทยว่า หมดเงิน หรือไม่มีเงิน หรือสัญญาไม่มีค่า (มีแต่ค่า เวลาที่ยังเหลือในอายุสัญญาอยู่ ว่ายังมีโอกาส ที่เซท จะเคลื่อนไหว ขึ้นมาตรงนี้ ในพวกคอล หรือเซทจะลงไปถึงตรงนี้ ในพวก พุท  ยิ่งไกลจาก ATM โอกาสก็ยิ่งน้อยลง ไปมากขึ้น ตรงนี้แหละ ถ้าจะเล่นเขตนี้  ต้องทำความเข้าใจให้ดี ก่อนว่าคุณเข้าใจมันดีแล้ว (คนซื้อจะต้องซื้อสัญญาไม่มีค่าเงิน มีแต่ค่าเวลา แต่คนขายจะได้ขายของไม่มีค่าในสัญญามีแต่ค่าเงิน  ก็ลองพิจารณาดู )       เอารูปกระดานออพชั่นมาฝากสำหรับคนที่ไม่เคยเห็น เพราะยังไม่ได้เปิดพอร์ต ฟิวเจอร์ หรือออพชั่น      กระดานของเซทเทรด ทุกชนิดโปรแกรม พยายามบอกใบ้ไว้ด้วยสี จากพื้นดำสนิท คือ OTM แล้วมาใส่สีฟิลม์ เคลือบบน เป็น ATM และ ITM ไว้ จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 06:39:31

ความคิดเห็นที่ 10   อธิบายด้วยกราฟ คนซื้อพุท 400ราคา14.6  จาก 385.4ที่เซท 50 ต่ำกว่าลงไปเรื่อยจะกำไรเพิ่มไปเรื่อย ไม่ลิมิต และขาดทุนเท่าที่เซท50เพิ่มจาก385.4 จนถึง400ก็ขาดทุนหมด100เปอร์เซนต์ถ้าเซท50ยังขึ้นไปอีก ก็ไม่ขาดทุนเพิ่มแล้ว ลิมิตไว้แค่ที่จ่ายแล้ว     อยากได้โปรแกรมมาลองเล่นไปที่บล๊อค สมาชิก คุณสุกฤษ ทำมาแจกฟรี จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 08:34:41

ความคิดเห็นที่ 11   และสำหรับคนขาย คุณ r231 จะได้กราฟนี้ไปอ่านเล่น        ถ้าเซท50ขึ้นไปจาก385.4  มากขึ้นเท่าไร คุณก็ได้เงินกำไรแค่ที่ได้ไปแล้วนั่นแหละ 14.6จุด         แต่ถ้าเซท50เกิดลงละก็ จาก385.4 เท่าไรคุณก็จะขาดทุนมากขึ้นเท่านั้นไม่มีลิมิต          คุณต้องทนไปอีก 70กว่าวันจึงจะได้เงิน 14.6จุดนี้ไปใช้จริงๆๆ จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 08:37:42

ความคิดเห็นที่ 12   แถมตอนนี้คุณถูกหัก เงินในบัญชีไปค้ำประกันสัญญานี้ไว้อีก ตามตารางนี้ จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 08:40:19

ความคิดเห็นที่ 13   แผ่น2 จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 08:46:10

ความคิดเห็นที่ 14   เงินในบัญชีที่ถูกหัก ค้ำประกันสัญญา ของ r231 คือ S50U09P400  = 7052บาท จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 08:47:47

ความคิดเห็นที่ 16   ขอบคุณพี่หมอสัจจะ กับ ทุกๆคน ด้วยค่ะ กำลังทำความเข้าใจอยู่ค่ะ ยากจัง สงสัยจังว่า ยิ่งเซ็ทขึ้น ราคาพุท จะยิ่งลดลงเหรอคะ วันนี้เห็นพอร์ตได้กำไร ตั้ง 31 เปอร์เซ็น แต่ยังไม่ได้ขายเลย ทดลองวันจันทร์ว่าเซ็ทขึ้น พุทจะราคาลงจริงรึเปล่า **************************** ถ้า short put ที่ 400-14.6 แปลว่า ถ้าเซท50ขึ้นไปจาก385.4  มากขึ้นเท่าไร คุณก็ได้เงินกำไรแค่ที่ได้ไปแล้วนั่นแหละ 14.6จุด มี limit กำไร        แต่ถ้าเซท50เกิดลงละก็ จาก385.4 เท่าไรคุณก็จะขาดทุนมากขึ้นเท่านั้นไม่มีลิมิต         คุณต้องทนไปอีก 70กว่าวันจึงจะได้เงิน 14.6จุดนี้ไปใช้จริงๆๆ   *********************** สงสัยว่า ถ้าเราทนถือไปจนหมดสัญญา โดยไม่ขาย ยังไง เราก็ได้เงิน 14.6*200 ตืน โดยเสียแค่ค่านายหน้ารึเปล่า  ไม่เข้าใจตรงขาดทุนไม่จำกัดค่ะ แต่กำไรจำกัด แล้วถ้าเซ็ท ขึ้นไปเยอะๆ ยังไงเราก็ได้กำไรแค่ 14.6*200 เหรอคะ ถ้าเซ็ทขค่นไปเรื่อย ราคาพุทที่ซื้อกันก็จะยิ่งต่ำลงถ้าเหลือ0 บาท เราจะปิดสัญญาที่ 0 บาท ได้เปล่า อีกข้อนึง คำนวณไม่ถูกค่ะ เงินประกันที่พี่หมอคิดได้ 7052 คิดจากอะไร แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 17:58:10 จากคุณ : r231 เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 16:55:51

ความคิดเห็นที่ 17   เฮ่อ ภาษาไทยผมแย่ขนาดคนอ่านไม่รู้เรื่องเชียวเหรอ            คุณเปิดสถานะขาย คุณได้รับเงินเขาไปแล้ว  และเงินในบัญชีคุณก็โดนหักไม่ให้ใช้เรียบร้อยแล้ว  ตามตารางการคิดมาร์จิ้น S50U09 P400  ค่ามารืจิ้น 7052บาท หักเอาEquity ลดลงไป เหลือเป็นExcess Equity เงินที่ยังเหลือในบัญชีใช้ได้       ไม่ปิดสถานะไปซื้อ(จ่ายตัง ยิ่งน้ิอย เงินที่ได้มาแล้วก็เหลือเป็นกำไรเยอะ )ถือไปจนหมดอายุ  เซทขึ้นไปอีกเท่าไรก็ไม่ได้กำไรเพิ่มแล้วละ  หมดอายุเสียค่าคิดบัญชี 20บาทแวทต่างหาก แล้วเอาเงิน2920ไปใช้ได้ และได้ยอดเงินค้ำกลับมา  Equity จะเท่ากับ Excess Equity อีกครั้ง      แต่ถ้าเซทลงละคุณได้เห็นว่าขาดทุนไม่จำกัดเป็นอย่างไร จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:22:59

ความคิดเห็นที่ 18   เห็นแล้วค่ะ ค่าค้ำประกันสัญญา 7052 ตรงช่อง im แล้วเวลาเลือกซื้อเขามีวิธีคำนวณราคายังไงว่าราคานี้ ถูกแพงยังไง ไปตามคำตอบมาได้แล้ว การขายพุท  short putคือ การมองว่าหุ้นจะขึ้น เมื่อขายได้14.6 ก็จะได้เงินเข้าพอร์ททันที 14.6*200 แต่ยังใช้ไม่ได้ จนกว่าจะปิดสัญญา คือขายให้ได้ต่ำกว่า 14.6 และถูกหักประกันทันที 7052 จะได้คืนมาเมื่อปิดสัญญาและไม่ผิดทาง ส่วนราคา จะได้ขายที่ต่ำกว่าหรือไม่ ก็ต้องตั้งราคาซื้อพุท สมมุติตั้ง 8 จุด ถ้าคนขาย ขาย 10 จุดก็ไม่แมท ก็ต้องเพิ่มเป็น 10จุดถึงจะแมท และจะได้กำไรเป็นของเราจริงๆ 4.6 และคืนส่วนต่างให้คนขายไป 10 จุด  กรณีเซ็ทขึ้นไปเรื่อย ๆ คน ที่ถือพุทอยู่คือคนที่เราขายของให้ไป ก็จะผิดทาง เพราะlong put เป็นการมองหุ้นลง เขาต้องขายในราคาถูก และเราก็จะต้องรอเวลาที่จะได้ราคาถูกสุด จึงค่อยปิดสัญญา แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 13:40:16 จากคุณ : r231 เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 17:34:34

ความคิดเห็นที่ 19   ขอกลับมาเป็นคูปองซื้อข้าวมันไก่อีกรอบ ... คูปองที่ว่า ตอนซื้อมา ต้องจ่ายค่าพรีเมี่ยม สมมติว่า 5 บาท โดยคูปองนี้ให้สิทธิคนที่ซื้อ (นาย ก. = Long call) ให้สามารถซื้อข้าวมันไก่ จากคนที่ขายคูปอง (นาย ข. = short call) ในราคา 50 บาท กรณีที่ 1 ร้านข้าวมันไก่ ขายข้าวมันไก่ราคา 65 บาท : นาย ก. เลือกใช้สิทะ เอาคูปอง พร้อมกับเงิน 50 บาท ไปให้นาย ข. แล้วบอกว่า เอาข้าวมันไก่มา นาย ข. ในฐานะคนขายสิทธิ มีหน้าที่ (obligation) ที่จะไปหาข้าวมันไก่มาให้นาย ก. กิน โดยส่วนต่าง 15 บาท นาย ข.ต้องเป็นคนออก เมื่อหักกับค่าพรีเมี่ยมที่นาย ข. ได้มาจากการขายคูปองทีแรก นาย ข. ขาดทุน 10 บาท กรณีที่ 2 ร้านข้าวมันไก่จัดโปรโมชั่น ขายในราคา 50 บาท : นาย ก. จะซื้อที่ร้าน หรือใช้สิทธิซื้อจาก นาย ข. ก็ไม่ต่างกัน ต้องจ่ายตังอีก 50 บาท (At the Money) เท่ากับเสียค่าพรีเมี่ยมฟรีๆ ไป 5 บาท นาย ข. ก็สบายได้พรีเมี่ยมฟรี กรณีที่ 3 ร้านข้าวมันไก่จะปิดร้าน ขายในราคา 40 บาท : นาย ก. ย่อมไปซื้อข้าวมันไก่ ราคา 40 บาท แทนที่จะไป ใช้คูปองซื้อจาก นาย ข. แล้วต้องจ่ายตัง 50 บาท จึงเลือกไม่ใช้สิทธิ แล้วทิ้งคูปองนั้นไปเฉยๆ  นาย ข. ก็สบายได้พรีเมี่ยมฟรี คูปองให้สิทธิซื้อข้าวมันไก่ตามราคาที่ระบุ = Call Option ราคาที่คูปองระบุไว้ (50บาท) = ราคาใช้สิทธิ exercise นาย ก. คนซื้อคูปอง = Long Call position นาย ข. คนขายคูปอง = Short Call Postion ราคาที่ นาย ก. กะ ข. ตกลงซื้อขายคูปองนี้ตอนแรก (5 บาท) = Premium ข้าวมันไก่ = สินค้าอ้างอิง underlying asset ร้านขายข้าวมันไก่ = ตลาด ราคาขายข้าวมันไก่ = ราคาตลาด จากคุณ : Keris เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 52 01:23:47