ความคิดเห็นที่ 1   คำตอบที่ได้รับจากพนักงานคอลเซนเตอร์ตั้งแต่ระดับพนักงาน Supervisor ถึงผู้จัดการทีม และหนักที่สุดคือ หัวหน้าแผนกตรวจสอบการทุจริตการใช้บัตรเครดิต นี่คือคำตอบจากหัวหน้าแผนกคำต่อคำไม่ได้แต่งเติมใดๆ เจ้าหน้าทีแจ้งว่า เมื่อมีการใช้บัตรเกิดขึ้นไม่ว่าจะได้รับแจ้งว่าไม่ได้เป็นการใช้บัตรจากเจ้าขอบัตรหรือไม่ก็ตาม จะทำการยกเลิกไม่ได้ ต้องดำเนินรอเรียกเก็บ จ่ายเงินให้ร้านค้า แจ้งหนี้ลูกค้า ตรวจสอบแจ้งร้านค้าว่าลูกค้าปฏิเสธการจ่ายเงิน และให้ร้านค้าคืนเงินกลับมา ในระหว่างนี้ธนาคารจะตั้งพักการชำระยอดหนี้เอาไว้ จนกว่าการตรวจสอบจะแล้วเสร็จ มันเป็นระบบที่แบงค์ต้องทำตามขั้นตอน ต่อไปนี้คือคำถามที่ดิฉันถามพนักงานของSCB แต่ไม่รับคำตอบนอกจากคำตอบข้างบน จึงต้องมาขอคำตอบจากธนาคารไทยพาณิชย์ผ่านสื่อสาธาณะตรงนี้ว่า ตกลงว่ากรณีถูกขโมยข้อมูลบัตรไปใช้นี่ เมื่อเกิดขึ้นแล้วผู้ถือบัตรไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้นอกจากยอมรับสภาพการดำเนินตามที่ธนาคารต้องการทุกกรณีแม้ว่าจะแจ้งธนาคารทราบตั้งแต่ ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น ใช่ไหม ระบบ SMS Alert ที่ธนาคารตั้งขึ้นมาที่มีค่าบริการเดือนละ 15บาทต่อบัตรหรือบัญชีที่แม้ว่าจะยังยกเว้นอยู่ตอนนี้มีไว้เพื่ออะไรหรือมีประโยชน์อย่างไรนอกจากเป็นการหารายได้ของธนาคารบ้าง เพราะแม้จะทำให้ทราบและแจ้งธนาคารได้ทันทีหลังการใช้ไม่เกินสองนาทีโดยที่ ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น สิ่งที่ลูกค้าได้รับก็ไม่ต่างจากไปเจอเมื่อได้รับใบแจ้งหนี้ที่ ความเสียหายเกิดขึ้นไปแล้ว เจ้าหน้าทีตอบแต่คำว่า เราได้ทำการพักการชำระหนี้ใว้แล้ว  พักการชำระหนิ้ ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้เป็นหนี้ ถ้าธนาคารต้องทำตามระบบใดๆที่อ้างมาและให้เหตุผลว่าแก้ระบบไม่ได้แม้ว่าระบบนั้นมันต้องกำกับดูแลโดยคน ก็ตาม การกระทำทุกอย่างของธนาคารไม่ว่าจะทำด้วยสมองหรือกระดูกสันหลังก็ตาม ผู้ถือบัตรต้องรับสภาพการบังคับให้เป็น ลูกหนี้ ของธนาคารแม้ว่าจะได้แจ้งปฏิเสธการใช้ก่อนที่ ความเสียหาย จะเกิดขึ้นใช่ไหม ดิฉันไม่ได้กังวลว่าจะต้องรับผิดชอบยอดหนี้ครั้งนี้ และไม่ได้สนใจว่าผลการตรวจสอบจะเป็นอย่างไรเพราะอย่างไรก็ไม่จ่ายไม่ว่าจะกี่ศาลหรือทุกศาล และจะทำทุกวิถีทางเพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ความรับผิดชอบของดิฉัน ไม่ได้จากสาเหตุที่ว่าถูกขโมยข้อมูลบัตรแต่เป็นเพราะ ได้แจ้งธนาคารทราบตั้งแต่ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น และจะพิสูจน์ให้เป็นบรรทัดฐานด้วยว่ากรณีแบบนี้ การถูกธนาคารแจ้งเป็นเจ้าหนี้แม้ว่าจะอ้างว่าได้ตั้งพักการชำระหนี้ไว้เพื่อรอการตรวจสอบนั้นมัน  ไม่ชอบด้วยกฏหมาย กรณีสิ่งที่ต้องตรวจสอบมีกรณีเดียวคือ เป็นการใช้จากเจ้าของบัตรหรือผู้เกี่ยวข้องกับเจ้าของบัตรจริงแต่ปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วมีการเรียกเก็บและจ่ายเงินเข้ามาแล้ว ธนาคารจะตั้งพักหนี้และตรวจสอบมันสมเหตุสมผล แต่ในขณะที่ได้รับแจ้งตั้งแต่ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น ทำไมยังต้องทำให้เกิดความเสียหายแล้วรอการตรวจสอบ แทนที่จะผลักภาระหนื้มาให้ลูกค้าในกรณีนี้ทำไมไม่ตั้งพักการจ่ายหนี้แล้วตรวจสอบกับร้านค้าจนได้รับหลักฐานว่าไม่ได้เป็นการขโมยข้อมูลบัตรแล้วถึงมาเรียกเก็บกับผู้ถือบัตร เมื่อใช้บัตรในประเทศ ธนาคารสามารถติดต่อผุ้ถือบัตรได้ทุกทีในโลกเพื่อยืนยันการใช้บัตร ทำไมธนาคารดำเนินการในลักษณะเดียวกันไม่ได้ถึงต้องใช้วิธี แม้ว่ารู้ก่อนก็ยังต้องให้เกิดความเสียหาย และผลักภาระความเสียหายนั้นมาเป็นความรับผิดชอบของผู้ถือบัตร ทำไมเมื่อผู้ถือบัตรได้ทำหน้าทีของตัวเองและแจ้งธนาคารตั้งแต่ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น ถึงยังต้องมาถูกยัดเยียดให้รับสภาพการเป็นลูกหนึ้ที่แม้ว่าจะอ้างว่าพักการชำระหนี้แล้วก็ตามจากธนาคารที่เกิดจากตัวธนาคารยังปล่อยให้ความเสียหายมันเกิดขึ้น และทำไมยังต้องทำการ ปฏิเสธการจ่ายเงินตามรายการจะระบุในใบแจ้งหนี้ ในเมื่อได้แจ้งไปแล้วตั้งแต่ หนี้ยังไม่เกิดขึ้น ดิฉันแจ้งเจ้าหน้าทีไปแล้วว่าขอคำชี้แจงที่ธนาคารที่แจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อดำเนินการแจ้งความและดำเนินการทางกฏหมายเพื่อปกป้องสิทธิและการถูกละเมิดของผู้บริโภค จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับใดๆจากธนาคาร ดิฉันใช้เวลาติดตามเรื่องนี้มากพอสมควรแล้ว ต่อไปนีจะขอใช้วิธีการติดต่อธนาคารผ่านสือสาธารณะและดำเนินการในทุกวิถีทางจนกว่าจะได้รับคำตอบจากธนาคาร จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 14:41:11

ความคิดเห็นที่ 2   ผมขออนุญาตประสานงานให้แทนนะครับ ...... จากข้อมูล คุณพนิดา เจ้าหน้าทีระดับ Supervisor ของ SCB call center รหัสพนักงาน 28242 น่าจะทำให้ตามเรื่องให้ได้ครับ ..... แต่ถ้าจะกรุณา อย่าจะรบกวนขอทราบ ชื่อ-นามสกุล และข้อมูลที่พอจะให้เพิ่มเติม ของ จขกท ทางหลังบ้านได้ ไหมครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 14:45:37

ความคิดเห็นที่ 3   น่ากลัวมากค่ะ ถ้าเป็นอย่าง จขกท บอกมา เพราะเป็นแฟนคลับ SCB CARD มีอยู่ในมือ  3  ใบ  แทบอยากจะยกเลิกให้หมดเลย จากคุณ : Jintawanee เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 14:53:44

ความคิดเห็นที่ 4   คุณpjuk คะ ไม่ต้องข้อมูลจากดิฉันหรอกค่ะคุณสอบถามคุณปรวีร์ ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นหัวหน้าแผนกตรวจสอบการทุจริตการใช้บัตรเครดิตได้เลย เขาเป็นคนแจ้งดิฉันว่าจะดำเนินออกจดหมายชี้แจงตามรายละเอียดที่โพสไว้ข้างบนให้ดิฉัน ดิฉันรออยู่ค่ะ จะได้ดำเนินการให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที SCB ไม่ชอบคุยกับระบบค้าตามช่องทางปกติค่ะ แต่ชอบโดนกดดันให้ต้องคุยหรือให้มันเกิดความเสียหายต่อองค์กรไปแล้วนั่นแหละ ดิฉันไม่กลัวคำว่าเป็นลูกหนี้ และไม่ได้กลัวว่าจะต้องรับผิดชอบหนี้อันนี้ แต่ดิฉันคิดว่าในกรณีนี้ ธนาคารไม่มีสิทธิ์มาตั้งดิฉันเป็นลูกหนี้ ไม่ว่าธนาคารจะทำตามระบบอย่างไรหรือจะตรวจสอบอย่างไร เพราะหนี้ตัวนี้เกิดจากธนาคารและระบบของธนาคารที่ทำให้มันเกิดมาหลังจากได้รับแจ้งแล้ว แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 14:58:45 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 14:55:36

ความคิดเห็นที่ 5   ขอบคุณมากครับ ..... จะรีบดำเนินการจัดการให้ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:05:13

ความคิดเห็นที่ 6   เคยโดนขโมยบัตรในไชน่าทาวน์  พอรู้ตัวก็รีบโทรแจ้งธนาคารทันที ปรากฏว่าขโมยไวกว่าเรา เอาไปรูดแล้ว เป็นเงินแปดหมื่นกว่า ธนาคารก็พูดดีนะคะ  ว่าให้ยืนยันว่าเราไม่ได้รูดยอดนั้น และทางแบงค์ก็จะโฮลยอดนั้นไว้ก่อน และขอตรวจสอบ ก็ใช้เวลา  สรุปคือไม่ต้องจ่ายค่ะ  เรามีใบแจ้งความ แจ้งหายในต่างประเทศ เพื่อมายืนยันกับแบงค์  แต่ทางแบงค์ไม่ได้ขอดูเลยค่ะ  ก็ทำการตรวจสอบ 1 รอบบิล ก็ไม่ต้องจ่ายนะคะ  รู้สึกประทับใจในการบริการเหมือนกันค่ะ จขกท  ใจเย็น ๆ นะคะ  รอทางแบงค์ดำเนินการก่อนค่ะ  เอาใจช่วยค่ะ ^__^ เอ่อ   เราใช้   SCB Platinum   ค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 15:11:55 จากคุณ : L e e L i n ~* (LeeLin Actually~*) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:10:03

ความคิดเห็นที่ 7   เป็นเหตุผลนึงที่ครอบครัวของผมไม่เคยสมัครบัตรเครดิตเลย .. ใช้เงินสดสบายใจกว่าเยอะเรยย จากคุณ : Duckcovery เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:13:56

ความคิดเห็นที่ 8   อ่านดูแล้วน่ากลัวแหะ - - จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:32:31

ความคิดเห็นที่ 9   เหนือกว่าคำบรรยายคือ มี pjuk อยู่ที่นี่แหละ คอยดูแลช่วยเหลือสมาชิกตลอด   ผมก็เคยมีปัญหาเรื่องระบบตัวบัตรเครดิตของไทยพาณิชย์ แต่ผมใช้ uob  แต่เครื่องรูดเป็นของไทยพาณิชย์ปรากฏว่า พนักงานแห่งนึง รูดบัตรไปไม่ผ่าน ก็รูดอีกครั้งนึงจึงผ่าน ซักพักนึงผมต้องการรู้ว่ายอดคงเหลือมีอยู่เท่าไหร่ ก็เลยเช็คกับศูนย์บัตรยูโอบี ปรากฏว่า มีการตัดยอดไป 2 ครั้ง ครั้งล่ะ 20000 บาท ผมเลยงงเพราะมะกี้รูดไปครั้งเดียว ก็มันไม่ผ่านเจ้าหน้าที่เลยรูดอีกครั้ง ก็แจ้งทางร้านค้านะ เค้าบอกว่า ต้องแจ้งไปที่ศูนย์ของไทยพาณิชย์ ผมก็แจ้งไป เจ้าหน้าที่เค้าก้อเช็คให้นะ แล้วบอกว่า มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ที่สำคัญคือจะคืนยอดเงินมาให้ภายใน 15 วัน ผมเลยโวยทั้งร้านค้า ทั้งธนาคารว่า ความผิดพลาดอยู่ที่ธนาคารแล้วทำไม มาคืนเงินให้ 15 วันทำการ ผมเสียเงินค่าโทรหาศูนย์ของไทยพาณิชย์เกือบ 1 ชั่วโมง โทรหาระดับหัวหน้า จนสุดท้ายเค้าบอกว่าจะคืนให้ในวันรุ่งขึ้น  ปรากฏว่า รุ่งขึ้นทางร้านค้าถามผมว่าได้ยอดเงินคืนรึยัง ผมก็เลยโทรเช็คกะ ยูโอบี ปรากฏว่า ยอดยังไม่เข้ามา ผมก็โทรหาไทยพาณิชย์อีกเค้าก็บอกว่า เค้าทำเรื่องส่งเงินคืนไปแล้ว อยู่ที่ ยูโอบี ว่ารับเรื่องแล้วคืนยอดให้บัตรลูกค้ารึยัง  ผมก็โทรหายูโอบีอีก เค้าก็บอกว่า ไทยพาณิชย์ยังไม่ได้ส่งมาให้ ผมงี้เครียดมาก วันที่สาม ผมเช็คไปอีกปรากฏว่าเงินเข้ามาช่วงเย็น  หลาบเลยกับระบบไทยพาณิชย์ จากคุณ : จอมโจร (โรงแรม) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:33:51

ความคิดเห็นที่ 10   ....อ่ะ เค้าโหวตให้นะ จากคุณ : น้องฝน เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:43:30

ความคิดเห็นที่ 11   ในความโชคร้ายครั้งนี้ ผมกลับเห็นข้อดีของ SMS หากไม่มีแจ้งกลับมา เราก็จะไม่รู้ และอาจจะเสียหายมากกว่านี้หลายเท่า เป็นกำลังใจให้ จขกท ครับ เคยใช้บัตร Citibank จองตั๋ว airasia มีความจำเป็นต้องจองแยกหลาย  booking มีทั้งเป็นเงินไทยและเงินต่างประเทศ ขณะที่กำลังจอง booking ที่ 3 ปรากฏว่าบัตรไม่อนุมัติ ขณะที่กำลังด่า Citibank ในใจ ก็มีเบอร์ของ Citi โทรมา สอบถามเรื่องการจองตั๋ว เพราะ จนท กำลัง monitor อยู่ เลยระงับบัตรไว้ จากคุณ : first_psy เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 15:56:33

ความคิดเห็นที่ 12   ทางสื่อสารองค์กร เข้าไปเป็นเจ้าภาพ ดำเนินการสะสางให้อยู่นะครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 16:05:03

ความคิดเห็นที่ 13   เห็นบางที่ บ.เจ้าของบัตรจะยกเลิกบัตรนั้นทันที และออกบัตรให้ใหม่ ทำให้บัตรเก่าไม่สามารถรูดได้เป็นการระงับปัญหาครั้งต่อๆไปด้วย เครียดแทนเจ้าของบัตรครับ เหตุการณ์อย่างนี้ไม่เกิดกับใครไม่รู้สึกจริงๆ จากคุณ : ป.กองปราบ เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 16:17:04

ความคิดเห็นที่ 14   รอติดตามเรื่องค่ะ มีพี่จุกอย่างน้อยก็อุ่นใจ จากคุณ : คุณน้องหนู เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 16:31:26

ความคิดเห็นที่ 15   ผมก้อเคยเจอเหตุการณ์เหมือนเจ้าของกระทู้ทุกประการเลย ผมเซ็งตรงที่ว่าเจ้าหน้าที่ถามว่าได้ใช้บัตรหรือเปล่า ทั้งที่จิงๆแล้วอยู่บ้านไม่ได้ไปไหนเลย แต่ยังอนุมัติวงเงินนั้นไปอีก (ค่าเสียหายประมาณเกือบ 3 หมื่นบาท) เห้อ! แล้วจะโทรมาถามทำไมเนี่ย โทรมาแล้วก้อยังอนุมัติผ่านให้อีก เซ็ง ! ขออนุญาตแนะนำจขกท. เพราะเจอเหตุการณ์มาเหมือนกันเลย ใจเย็นๆไม่ต้องทำอารายมากแค่ทำเรื่องปฎิเสธการใช้ยอดหนี้นั้นเข้าไป แล้วก้อออกไปโรงพักใกล้บ้านเพื่อลงบันทึกประจำวัน หลังจากนั้นรอประมาณ 1 เดือน ธนาคารจะยกเลิกยอดหนี้ที่ที่คุณจขกท.ไม่ได้ใช้ จากคุณ : nunniti เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 16:39:43

ความคิดเห็นที่ 16   มาติดตามด้วยคนครับ ส่วนตัวยังไม่เคยเจอกับตัวเอง   ...ถ้าเจอคงเซ็งเหมือนกัน จากคุณ : KOKISME เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 17:02:58

ความคิดเห็นที่ 17   แจ๋วไปเลย จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด (C.BUN) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 17:14:37

ความคิดเห็นที่ 18   เราเองก็ใช้บัตรเดียวกับ จขกท เหมือนกัน และญาติพี่น้องก็ใช้เช่นกัน คงต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น หวาดเสียวเหมือนกันถ้าเจอแบบนี้ค่ะ ขอให้ จขกท คลายปมปัญหานี้ได้โดยเร็ววันนะคะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 17:22:53 จากคุณ : Trip Tracking เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 17:22:24

ความคิดเห็นที่ 19   บัตรแบบไหน ช่วยบอกด้วย ผมใช้แต่ของ SCB เหมือนกัน ใช่ แพลตินัม ไหม บัตร แบบที่มี ชิป ใช่ไหม หรือว่า แบบไม่มี กลัวโดนเหมือนกัน จากคุณ : phon77 เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 17:37:11

ความคิดเห็นที่ 20   โดยเบื้องต้น สำหรับวิธีการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งอาจไม่ตรงกับความรู้สึกครับ รายการที่เกิดจากการทำรายการบัตรเครดิตนั้น หากพบว่าเข้าระบบมาแล้ว ไม่สามารถยกเลิกได้ในทันที  เพราะต้องรอการเรียกเก็บของธนาคารเจ้า ของร้านค้าก่อน  เนื่องจากบางครั้งมีการทำรายการแต่ไม่มีการเรียกเก็บก็มี และเมื่อเรียกเก็บมาแล้วหากตรวจสอบพบว่าลูกค้าไม่ได้ทำรายการจริงทั้ง จากการที่ธนาคารพบเองหรือลูกค้าแจ้งปฏิเสธรายการ  ธนาคารจะมีการยก เลิกรายการเรียกเก็บดังกล่าวไว้เพื่อตรวจสอบซึ่งจะมีการแจ้งให้ลูกค้าทราบ ใน STATEMEN อาจจะเป็นรอบบัญชีนั้นหรือรอบบัญชีถัดไป หากพิสูจน์ได้ ว่าลูกค้าไม่ได้ใช้จริงก็จะยกเลิกการเรียกเก็บดังกล่าวต่อไป วิธีการปฏิบัติดังกล่าวเป็นวิธีการที่ธนาคารดำเนินการกับลูกค้าทุกรายของ ธนาคารและเป็นไปตามเงื่อนไขของ Visa และ Master Card ซึ่งถ้าลูกค้าเข้าใจคงไม่มีปัญหา แต่ถ้ารับไม่ได้คงต้องแก้ไขกันต่อไปครับ ขอเพียงมั่นใจว่า เป็นแค่ตัวเลขที่แสดงไว้ให้ทราบว่ามียอดเงินใดที่มีสถานะ เช่นใด ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อการแสดงยอดหนี้ในส่วนของเครดิตบูโรแต่อย่างไรครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 17:42:31

ความคิดเห็นที่ 21   ต่อให้เป็นวัน  ทางธนาคารก็ยังไม่ได้จ่ายเงินให้ร้านค้าอยู่ดี  แล้วไหงมาเรียกเก็บ ได้  ควรจะตัดยอดไปตั้งแต่แจ้งแล้ว  เราเองก็ใช้ของธนาคารนี้ กลัวเหมือนกัน จากคุณ : ลูกนกหลงทาง เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 17:54:32

ความคิดเห็นที่ 22   คุณLeeLin Actually คหที่ 6 คะ ขอบคุณสำหรับการแชร์ประสบการณ์นะคะ และขออนุญาตนำกรณีที่คุณประสบมาเป็นตัวอย่างหน่อยนะคะ จากคหที่ 20 โดยเบื้องต้น สำหรับวิธีการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งอาจไม่ตรงกับความรู้สึกครับ ดิฉันขอแย้งความคิดเห็นข้างบนนี้นะ ข้อโต้แย้งทั้งหมดเป็นเหตุเป็นผลไม่ได้โต้แย้งจากความรู้สึก ถ้าวิธีการปฏิบัติงานมันตอบคำถามหรือให้เหตุผลโต้แย้งไม่ได้มันไม่ควรเรียกว่า เป็นมาตรฐาน ค่ะ ขอเพียงมั่นใจว่า เป็นแค่ตัวเลขที่แสดงไว้ให้ทราบว่ามียอดเงินใดที่มีสถานะเช่นใด ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อการแสดงยอดหนี้ในส่วนของเครดิตบูโรแต่อย่างไรครับ เป็นข้อเท็จจริงที่แบงค์ยอมรับไหมคะ ว่าที่คุณแจ้งว่าคุณยกเลิกบัตรเครดิตไปแล้วนั้น ข้อเท็จจริงก้คือ บัตรเครดิตจะยกเลิกได้ก็ต่อเมือไม่มียอดค้างชำระ เพราะฉะนั้นบัตรที่ยังมียอดค้างชำระที่คุณบอกลูกค้าว่ายกเลิกนั้น จริงๆสถานะก็คือบัตรถูกระงับไม่ได้ยกเลิก เมื่อไม่ได้ยกเลิกสัญญาระหว่างผู้ถือบัตรกับแบงค์ก็ยังไม่ยุติ เพราะฉะนั้นไม่ว่าแบงค์จะบอกว่าตัวเลขนั้นเป็นแค่การบอกสถานะหรืออะไรก็ตาม บุคคลผู้ถือบัตรใบนั้นมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชดใช้หนี้ที่ระบุตามกฏหมาย หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ถือบัตรเครดิตคือต้องระวังรักษาบัตรให้อยู่ในที่ปลอดภัยไม่ทำให้เกิดการสูญหาย เมื่อบัตรสูญหายผู้ถือไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายจากการใช้บัตรหลังจากได้แจ้งบัตรหายต่อธนาคารแต่ค่าใช้จ่ายที่เกิดตั้งแต่บัตรหายจนถึงแจ้งธนาคารเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของบัตรแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ใช้ก็ตาม กรณีบัตรหายในคหที่ 6 ที่ไม่ต้องรับผิดชอบคิดว่าเกิดจากแจ้งหายหลังจากมีการใช้บัตรแต่ก่อนที่จะมีการเรียกเก็บ การแจ้งหนี้กรณีนี้ถือเป็นความชอบธรรมของแบงค์เพราะจากกฏข้างบานถ้ามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมาผู้ถือบัตรต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแบงค์ช่วยเหลือได้คือทำการตรวจสอบให้และยกเลิกถ้าพบว่ามันเป็นการทุจริตบัตรจริง ผู้ถือบัตรพบรายการผิดปกติจากใบแจ้งหนี้ เมื่อแจ้งปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว แบงค์ก้ต้องมีการตรวจสอบแต่ตั้งหนี้ไว้ก่อนเพราะการใช้จ่ายและการเรียกเก็บเกิดขึ้นก่อนได้รับการแจ้งจากผู้ถือบัตร การกระทำทั้งสองอย่างข้างบนเป็น ความชอบธรรมที่แบงค์จะตั้งหนี้ไว้ก่อนแล้วถึงทำการตรวจสอบ แต่กรณีของดิฉันนั้นธนาคารได้รับแจ้งก่อนที่จะเกิดความเสียหายคือมีการเรียกเก็บเข้ามา ดังนั้นถ้าจะมียอดหนี้จากรายการนี้ก็เป็นสิ่งที่ธนาคารตัดสินใจให้เกิดหนี้ขึ้นมาคือจ่ายเมื่อถูกเรียกเก็บแม้จะได้รับการปฏิเสธการใช้จากผู้ถือบัตรก่อนการเรียกเก้บแล้วจึงไม่ใช่ความชอบธรรมที่ธนาคารจะมาตั้งหนี้ตรงหนี้กับผู้ถือบัตร กรณีนี้ธนาคารมีความชอบธรรมที่จะตั้งหนี้กรณีเดียวคือ ตรวจสอบแล้วมีหลักฐานว่าการใช้บัตรครั้งนี้เป็นการใช้โดยผู้ถือบัตรเองหรือจากผู้ใกล้ชิดขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ถือบัตรจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องก็ตาม กรณีนี้แบงค์ต้อง ตรวจสอบ ก่อน ตั้งหนี้ค่ะ ไม่ตั้งไว้ก่อนแล้วค่อยตรวจสอบเหมือนสองกรณีข้างบน การจะบอกว่าขั้นตอนการปฏิบัติใดเป็นขั้นตอน มาตรฐาน นั้นมันต้องมีความชอบธรรม เป็นเหตุเป็นผล และมีเหตุผลรายละเอียดที่เป็นตรรกยอมรับได้ ไม่ใช่ตั้งไว้ก่อน  ต้องรอตรวจสอบ แค่แสดงสถานะ ไม่มีผลอะไร เดี๋ยวแบงค์ก็ยกเลิกให้ภายหลัง เพราะจากคำตอบข้างบนที่ออกจากปากพนักงาน SCB ทุกคนรวมทั้งในกระทู้นี้ เมื่อแจ้งว่าถ้าอย่างนั้นให้ช่วยทำจดหมายยืนยันว่าผู้ถือบัตรจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อยอดหนี้ที่SCB บอกว่าตั้งไว้ก่อน  ต้องรอตรวจสอบ แค่แสดงสถานะ ไม่มีผลอะไร เดี๋ยวแบงค์ก็ยกเลิกให้ภายหลัง ก็ได้รับคำตอบว่า ธนาคารไม่สามารถให้การยืนยันได้ว่าแม้ว่าการใช้บัตรนั้นจะเป็นการกระทำที่เกิดจากการถูกขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแล้วเจ้าของบัตรจะไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 18:38:32

ความคิดเห็นที่ 24   ปัญหาของการขโมยข้อมูลบัตรเครดิตไปใช้ก็คือ ความเสียหายที่เกิดจากการใช้จ่าย ความเสียหายที่เมื่อเกิดแล้วต้องมีคนรับผิดชอบ วิธีลดปัญหานี้ที่ดีที่สุดที่ทำกันกันอยู่นี้ก็คือ การพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากขโมยข้อมูล ไม่ใช่หรือคะ ที่ต้องตั้งหน่วยงานเอาคนมานั่ง monitor ดูความผิดปกติในการใช้บัตร คิดระบบ  SMS alert ก็เพื่อเหตุผลข้างบนไม่ใช่หรือคะ ผู้ถือบัตรไม่ได้มีหน้าทีต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการขโมยข้อมูลบัตรเพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรีบแจ้งแบงค์ให้เร็วที่สุดเพราะสิ่งที่ทำนั้นมันเป็นการ ช่วยเหลือในการปกป้องความเสียหายของแบงค์ ไม่ใช่ป้องกันความความรับผิดและชดใช้ของตัวผู้ถือบัตรเอง ผู้ถึอบัตรมีหน้าทีตรวจสอบรายการกับใบแจ้งหนี้และติดต่อธนาคารถ้าพบว่ามีรายการที่ไม่เกิดจากการใช้บัตรจริงเพราะฉะนั้นก็รอใบแจ้งหนี้มาแล้วค่อยปฏิเสธจะดีกว่าไหม เพราะแจ้งไม่แจ้งอย่างไร แบงค์ก็บอกว่าต้องรอเรียกเก็บและทำตามขั้นตอน ก็รอให้เรียกเก็บแล้วแบงค์จ่ายเงินไปก่อน เพราะไม่ว่าจะแจ้งช้าเร็วผู้ถือบัตรก็โดนขั้นตอนเหมือนกัน การได้รับ SMS หรือเข้าไปเชคใน cyber banking แล้วไม่แจ้งต่อแบงค์ไม่ได้ถือว่าเป็นการยอมรับการใช้จ่ายจากบัตรเพราะไม่ได้มีกฏว่าผู้ถือบัตรต้องเชค SMS หรือ cyber banking ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ขอความกรุณาให้ทางSCBทำจดหมายยืนยันทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งทางโทรศัพท์และความเห็นในกระทู้ให้ดิฉันโดยเร็วที่สุดค่ะ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ร้องขอจากทางSCB ในขณะที่รอจดหมายขอบันทึกข้อมูลในกระทู้นี้ไว้เป็นหลักฐานในการดำเนินการด้วยค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 18:59:01

ความคิดเห็นที่ 25   จดหมาย น่าจะได้รับการส่งให้ได้ในวันจันทร์ครับ วงเงินคงเหลือในบัตร ได้มีการคืนให้ โดยหักยอดหนี้จำนวนดังกล่าว ออกไปให้ก่อนแล้ว การตรวจสอบ เพื่อรอการยืนยันจากธนาคารที่ส่งเรียกเก็บยังจำเป็นต้องมีอยู่ต่อไป แม้บัตรใบเก่าจะถูกระงับไปและมีการออกบัตรใบใหม่ให้แทนโดยไม่มียอดค้างมาให้กวนใจ ส่วนที่เหลือขอเป็นรอจดหมายที่จะได้รับในวันจันทร์นะครับ ....... สถานะทางการเงินทุกอย่างต้องมีการตรวจสอบเสมอครับ คงใช้เพียงความ ต้องการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นที่ตั้งทั้งหมดเลยคงไม่ได้ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:14:00

ความคิดเห็นที่ 26   ดิฉันไม่ได้ตระหนกหรือกังวลใดๆว่าจะต้องมารับผิดชอบและชดใช้ยอดหนี้ส่วนนี้ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็แน่ใจว่าแบงค์ไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกเก็บหนี้ส่วนนี้จากดิฉันแน่นอน แต่ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะค้นหาความจริงว่า การที่แบงค์มาตั้งหนี้แจ้งหนี้กับผู้ถือบัตรในกรณีนี้เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคหรือเปล่า เหตุผลที่อ้างระบบเป็นเหตุที่ผู้บริโภคต้องยอมรับหรือเปล่า ระบบ ที่ว่ามันคือการใช้เทคโนโลยี่เข้ามาช่วยการทำงานของคนและควบคุมโดยคนที่มีสมอง หรือมันคือเทคโนโลยี่ที่ใช้เข้ามาควบคุมการทำงานของคน มันถึงมีแต่คำว่าต้องทำตามระบบ แม้ว่ามันจะไม่มีความชอบธรรม ไร้ตรรกะเหตุผล ถ้าธนาคารไม่สามารถออกจดหมายให้ได้ภายในวันจันทร์นี้ ดิฉันจะให้กระทู้นี้เป็นหลักฐานในการแจ้งความและดำเนินการร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:16:05

ความคิดเห็นที่ 27   ขอบคุณคหที่ 25 ค่ะ ดิฉันไม่ได้ใช้ความต้องการ กับกรณีนี้ค่ะ ดิฉันใช้ความถูกต้องเป็นบรรทัดฐานค่ะ จากข้อความนี้ แม้บัตรใบเก่าจะถูกระงับไปและมีการออกบัตรใบใหม่ให้แทนโดยไม่มียอดค้างมาให้กวนใจ เป็นการยืนยันจากแบงค์ใช่ไหมคะ ว่าบัตรมันแค่ถูกระงับไม่ใช่ยกเลิก เพราะฉะนั้นความรับผิดต่อมูลหนี้ในบัตรยังเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของบัตรใช่ไหมคะ และถ้าได้รับความเมตตาปราณีจากแบงค์ทำการยกเลิกยอดหนี้ออกไปก็ไม่ต้องรับผิด แต่ถ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามแล้วสุดท้าย แบงค์บอกว่าไม่สามารถยกเลิกยอดหนี้ตรงนี้ได้ แปลว่าผู้ถือบัตรต้องรับสภาพใช่ไหมค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 19:21:50 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:18:07

ความคิดเห็นที่ 28   การประสานงานน่าจะสมบูรณ์ เหลือเพียงรอจดหมายตามที่ต้องการนะครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:30:39

ความคิดเห็นที่ 29   ตามมาดูตอนจบ จากคุณ : toeitak เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:38:09

ความคิดเห็นที่ 30   ยังไม่จบง่ายหรอกค่ะ ยังอีกยาว ดิฉันทราบว่าอย่างช้าไม่เกินสิ้นเดือนนี้ยอดหนี้มันจะถูกลบออกไปค่ะ แต่ดิฉันไม่ได้มาเรียกร้องให้เอายอดหนี้ออกไป แต่มาเรียกร้องหาความชอบธรรมว่า กรณีนี้แบงค์มีความชอบธรรมที่จะตั้งหนี้กับผู้ถือบัตรหรือเปล่า แม้ว่ายอดหนี้มันจะลบไป แต่ใบแจ้งหนี้มันยังปรากฏว่ามีการกระทำนี้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย สคบ และองค์อิสระที่กำลังทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องดำเนินการและมีคำตอบให้ว่าการกระทำที่เกิดขึ้นนี้มันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่า ดิฉันไม่ได้ติดใจเรื่องการตรวจสอบและไม่ได้คัดค้านการตรวจสอบเพราะเป็นสิทธิ์ของแบงค์ที่จะดำเนินการแต่ประเด็นมันอยู่ที่ แบงค์มีสิทธ์ตั้งหนี้และแจ้งหนี้ต่อผู้ถือบัตรเครดิตหรือเปล่า ถ้ามีการแจ้งบัตรถูกขโมยข้อมูลแล้วเมื่อรายการถูกเรียกเก็บแบงค์จ่ายเงินไปตามรายการเรียกเก็บจริงหรือเปล่า ถ้าจ่ายทั้งที่ได้รับแจ้ง ความเสียหายตรงนี้ต้องเป็นความรับผิดชอบของแบงค์ และแม้ว่าจะมีการแจ้งการถูกขโมยข้อมูลบัตรไปแล้วก่อนการเรียกเก็บที่เสมือนความเสียหายยังไม่เกิดขึ้นนั้น ผู้ถือบัตรยังต้องรับผิดชอบในการถูกกำหนดให้รับสภาพในระหว่างการตรวจสอบมันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่า ถ้าไม่มีการจ่ายเมื่อเรียกเก็บแต่เป็นการ Hold เพื่อรอการตรวจสอบ แบงค์มีความชอบธรรมที่จะตั้งยอดที่ hold ไว้นั้นเป็นยอดหนี้กับผู้ถือบัตรได้หรือไม่ แบงค์จะตรวจสอบอย่างไรก็ตาม ระบบมันจะตั้งยอดนี้ค้างไว้อย่างไรก็ตามมันถูกต้องไหมที่แบงค์เอายอดนี้มาตั้งเป็นยอดหนี้และแจ้งหนี้เรียกเก็บกับเรา เมื่อแบงค์ยืนยันเรื่องออกเอกสารแล้ว ดิฉันก้คงไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องประสานงานกับแบงค์อีกค่ะ ต่อไปคงเป็นหน้าที่ขององค์กรที่เกี่ยวข้องค่ะ ของคุณสำหรับการประสานงานให้ค่ะ อาจมีคำถามว่า ถ้ายอดหนี้มันถูกลบออกไปก็น่าจะจบปัญหาทำไมยังต้องดำเนินการต่อไปอีก ดิฉันต้องการเห็นบรรทัดฐานว่า ในกรณีการใช้บัตรเครดิดนั้น เราต้องยอมรับ ทุกอย่างไม่ว่าคู่สัญญาจะทำกับเราอย่างไรหรือ เราต้อง เชื่อ ทุกอย่างที่เขาบอกมาหรือ และสุดท้ายเราต้องรับผิดชอบ เมื่อเขายืนยันหรือ จริงๆแล้วดิฉันเข้าใจดีกว่าปัญหานี้มันเป็นปัญหาทางเทคนิค แต่รับไม่ได้ที่แบงค์เลือกที่จะละเมิดสิทธิลูกค้าแทนการเข้าไปแก้ระบบทางเทคนิคของตัวเอง แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 20:00:54 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 19:52:58 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:50:33

ความคิดเห็นที่ 31   พยากรณ์ไว้เลยครับ... อีก 1 เดือนธนาคารจะสรุปว่าไม่ได้มีการใช้จ่ายจริง ยอดหนี้ก็จะหายไป .. ระบบนี้ Visa กับ Master น่าจะวางให้ธนาคารคล้าย ๆ กัน เพียงแต่การปฏิบัติอาจแตกต่างกันไป แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 20:26:09 จากคุณ : kitipan เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 19:58:09

ความคิดเห็นที่ 32   เป็นระบบ Visa กับ  Master รึปล่าวคะ เพราะเคยเจอกรณีแบบนี้ในบัตรเครดิตของแบ๊งค์อื่น(กรุงศรี)  ทาง CC ก็ทำเหมือน SCB คะ คือเคลียร์เรื่องให้เรารอบบิลถัดไป ดิฉันเข้าใจความรู้สึกว่า เราไม่ได้กระทำ ทำไมมาตั้งชื่อเราว่า ลูกหนี้   ดิฉันเคยพักคอนโด และเวลาเรียกเก็บเงินรายเดือนก็จั่วหัวว่า "ใบแจ้งหนี้" ทั้งๆที่เป็นการจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อพักในเดือนถัดไป ตอนนั้นก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกัน ส่วนเรื่องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จขกท ยังติดใจอยู่ก็ลองติดต่อสอบถามที่ สคบ ดูก็ได้ค่ะ เพราะถ้าสมมติว่า เป็นระบบที่ Visa Master วางไว้จริง  ทางแบงค์ไม่ว่าแบงค์ไหนคงจะเปลี่ยนให้ไม่ได้ เพราะเป็นมาตราฐานที่ Visa Master กำหนดไว้  ทางแบงค์คงได้แต่เพียงหาระบบเติมเต็ม เพื่ออำนวยความสะดวกและป้องกันด้านอื่นๆมาเสริม เป็น Option ของแต่ละแบงค์ค่ะ อย่างในกรณีนี้  SCB ก็มีระบบ SMS Alert มาแจ้งเตือน ทำให้รู้ตัวได้ทัน ไม่เกิดความเสียหายเป็นตัวเงิน  ซึ่งก็ไวกว่าให้ระบบแบงค์โทรมาถามนะคะ เพราะเมื่อมีความผิดปกติ เจ้าของบัตรก็รู้ได้ทันที จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 20:34:51

ความคิดเห็นที่ 33   มายกนิ้วให้คุณผู้หญิงครับ เราต้องยอมรับ ทุกอย่างไม่ว่าคู่สัญญาจะทำกับเราอย่างไรหรือ เราต้อง เชื่อ ทุกอย่างที่เขาบอกมาหรือ และสุดท้ายเราต้องรับผิดชอบ เมื่อเขายืนยันหรือ จากคุณ : ไทไท เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 20:35:00

ความคิดเห็นที่ 34   ขอบคุณคหที่ 33 ที่เข้าใจประเด็นที่ดิฉันข้องใจ ดิฉันทราบระบบ Visa Master card และยอมรับระบบการตรวจสอบค่ะ เข้าใจดีทุกอย่างไม่ได้ติดใจและไม่เคยติดใจการตั้งยอดหนี้ในกรณีอื่นๆด้วยค่ะ มีนสมเหตุสมผลค่ะ ดิฉันไม่ได้งี่เง่าเอาแต่ใจอย่างเดียวค่ะ ปัญหาที่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบเคยเจอมาตลอดค่ะ เคยเอาบัตรไปใช้ที่อเมริกากลับมาได้สองเดือนอยู่ก็มียอดเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจาก AOL เข้ามาสองเดือนเดือนละเก้าร้อยกว่าบาท เดือนแรกไม่เห็นจ่ายไปแล้วด้วย มาเจอเดือนที่สองก็แจ้งแบงค์เจ้าของบัตรไป เขาก็บอกว่าต้องตรวจสอบ ขั้นตอนเหมือนกับที่ SCB ทำทุกอย่างค่ะ ให้เลือกด้วยว่าตั้งพักหรือจ่ายไปก่อน ถ้าตั้งพักแล้วตรวจสอบมาว่าใช้จริงต้องจ่ายพร้อมดอกเบี้ย ถ้าจ่ายก่อนแล้วสุดท้ายไม่ได้ใช้จริงจะโอนเงินกลับเข้าบัญชีให้ ดิฉันไม่ติดใจเลยค่ะ จ่ายไปก่อนด้วยซ้ำไป สี่สิบห้าวันก็มีเงินโอนทั้งสองยอดเข้าบัญชีมา สดเมื่อไม่นานนี้เอง ตอนกระแส Hotel club ในห้องบลู จองกันมันส์ไปเลยอยู่ก็มียอดเข้ามาที่ไม่ได้จอง ก็แจ้งแบงค์บอกว่ายอดอื่นๆน่ะใช้แต่ยอดนี้ไม่ได้ใช้ ไม่จ่าย ระบบก็เหมือนเดิมตรวจสอบตั้งหนี้ไว้ แล้วก็แจ้งเวปไปด้วย ยอดนี้แค่ไม่ถึงอาทิตย์ก็มีเกินเข้ามาเพราะเวปคืนยอดกลับมาให้ กรณีที่มันมีความเสียหายเกิดขึ้นมาก่อนดิฉันยอมรับที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกับแบงค์ คำว่ารับผิดชอบคือยินดีให้ตั้งหนี้ไว้แล้วตรวจสอบ แตกรณีที่แจ้งก่อนความเสียหายเกิดนี่ ยอมรับที่จะมีการตรวจสอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะโยนหนี้ให้ไว้ก่อนแบบนี้ค่ะ ไม่ใช่ว่าไม่แจ้งหนี้ไว้แล้วแบงค์มาเรียกเก็บหลังตรวจสอบแล้วไม่ได้นี่คะ เคยใช้บัตรจ่ายค่าอาหารแบบ delivery ครั้งหนึ่งโดยเป็นการตัดบัตรทางโทรศัพท์แล้วให้ลูกค้าเซนต์เอกสารตอนมาส่ง ปรากฏว่ามันไม่มีเรียกเก็บเข้ามาจนเกินสิบห้าวัน วงเงินถูกโอนกลับเข้าบัญชีมาเราก็หาว่ายอดอะไรจนเจอแล้วก้รู้ว่าสาเหตุที่ไม่มีเรียกเก้บเพราะพนักงานลืมให้เราเซนต์เอกสารค่ะ ก็รอดูว่ามันจะเป็นอย่างไร เกือบสองเดือนค่ะ มียอดเรียกเก็บยอดนี้แจ้งหนี้เข้ามา ถ้าจะหน้าด้านปฏิเสธไปทั้งแบงค์และร้านค้าคงทำอะไรไม่ได้ แต่มีสามัญสำนึกพอค่ะ จ่ายไป เงินไม่ถึงพัน โกงเขาทำไมไม่รวยขึ้นมาหรอก จะชี้ให้เห็นว่าแบงค์สามารถจะแจ้งหนี้เราเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่ว่าเลยรอบบิลแล้วแจ้งไม่ได้ค่ะ เพราะฉะนั้นเมื่อแจ้งก่อนความเสียหายจะเกิด จะตรวจสอบก็ไม่ว่าค่ะ แต่ทำไมต้องโยนหนี้มาให้เรา ไม่ได้ติดใจคำว่าลูกหนี้หรือใบแจ้งหนี้ค่ะ แต่ตระหนักถึงความรับผิดชอบในฐานะผู้ถือบัตรกับยอดหนี้บนบัตร ถ้าทำแบบนี้เราเสียเปรียบชัด จะบอกว่าแบงค์ทำธุรกิจไม่ตุกติกหรอกตั้งแล้วเดี๋ยวก็คืน แล้วถ้าไม่ต้้งแล้วตรวจสอบก่อนในกรณีที่ยังไม่เกิดความเสียหายนี้ ถ้าไม่ใช่แล้วก็กลับมาแจ้งหนี้ได้ ทำไมต้องเอาเปรียบคู่สัญญาค่ะ ตั้งก่อนกับตั้งหลังตรวจสอบกรณีนี้แบงค์เสียเปรียบตรงไหนคะ แต่คู่สัญญาเสียเปรียบแน่ๆเพราะต้องมานั่งคอยเชคว่ายอดมันหายไปไหม จะต้องไปถามอะไรอีกที่วันดีคืนดี จะไม่มีหนังสือทวงหนี้พร้อมดอกเบี้ยมาถึงบ้าน แบงค์แสนจะใจดีอุตสาห์กันยอดออกจากวงเงินให้ ออกบัตรใหม่ให้โดยไม่มียอดค้างมาให้กวนใจ แล้วใอ้ยอดหนี้ที่อยู่ในบัตรที่ไม่ได้ยกเลิกแค่ระงับในชื่อเรานี่ล่ะ มันมัดมือให้เราต้องรับผิดชอบตามกฏหมายเลยนะ ทำได้อย่างเดียวคือรอความปราณีจากเขานะ อย่างนี้ไม่ต้องกันออกจากวงเงินก็ได้ เพราะไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถึงได้บอกว่ามันเป็น Technical problem ที่แบงค์เลือกจะใช้มาปกป้องตัวเองแม้จะต้องละเมิดสิทธิผู้บริโภค ทั้งที่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้หมายความว่าแบงค์จะเสียประโยชน์ ต่อไปนี้ดิฉันจะดูแลปกป้องแต่ผลประโยชน์ของตัวเองในฐานะผู้ถือบัตรกรณีบัตรหาย หรือโดนคนไกล้ตัวแอบเอาไปใช้เท่านั้น ในเมื่อกรณีโดยขโมยข้อมูลบัตรมันอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบเราก็ไม่ต้องไปช่วยเขา จะแจ้งปฏิเสธตอนที่มีการเรียกเก็บไปแล้วหรือรีบแจ้งให้เขารู้ตัวก่อนเรียกเก็บไม่ได้เสียประโยชน์เราค่ะ ความเสียหายของใครก็รับกันไปเอง โดนตั้งหนี้ตอนที่ความเสียหายมันเกิดไปแล้วไม่ต้องเสียความรู้สึกแบบนี้ มันก็ใช้ระบบเดียวกันตรวจสอบเหมือนกัน ไม่ต้องรับผิดเหมือนกันไม่ใช่หรือคะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 21:24:32 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 21:16:57

ความคิดเห็นที่ 36   หยั่งนี้หล่ะ ครับ ลูกจ้างคนไทย ทำงานยังงัยก็ได้ให้ใช้สมองน้อยที่สุด คนที่ชอบใช้สมองเยอะๆ  บินไปหมดแล้ว จากคุณ : ไม้กล้า เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 22:20:27

ความคิดเห็นที่ 37   ขอบคุณ คุณ จขกท นะคะ ที่กรุณามาโพสเป็นกรณีศึกษา นี่ถือว่าเป็น การบ้านอีกข้อของ SCB เลยคะ ในสมัยก่อนการที่เราใช้จ่ายบัตรเครดิต บัตรเราจะถูกขโมยข้อมูล หรือโดนแอบเอาไปใช้ เราไม่มีวันจะรู้ได้เลย จนกว่าบิลแจกแจงรายละเอียดของทางแบงค์จะสรุปประจำเดือนมาให้  ดังนั้น เราจึงรับการตรวจสอบและเคลียร์ปัญหาในยอดบิลถัดไปได้ แต่ในปัจจุบัน SCB ได้พัฒนาระบบอื่นๆเพื่ออำนวยความสะดวกขึ้นเยอะ โดยเฉพาะการที่จะทำให้เรารู้ความเคลื่อนไหวบัญชีฉับพลันอย่างกรณี SMS Alert   เราก็สามารถเคลื่อนไหว โทรไปยกเลิก หรือทำอะไรได้รวดเร็ว ในขณะที่ระบบของแบงค์ยังคง ไม่ได้ปรับไปตามสภาพความเร็วของเทคโนโลยีที่เข้ามาอำนวยความสะดวก แล้ว SCB จะแก้ไขอย่างไร ถ้าระบบยังต้องใช้ตามมาตราฐาน VISA MASTER อยู่เหมือนเดิม  ............จะเปลี่ยนคงไม่ได้   ยากนะคะเนี่ย  จูนระบบใหม่และระบบที่มีอยู่เดิมให้เข้ากัน ดิฉันยังไม่มีบัตรเครดิตของ SCB อย่าง จขกท เลยคะ.........อาศัยใบบุญของ จขกท ที่ชี้ถึงความไม่สะดวกให้ได้รับรู้  และหวังว่าพอตัวเองได้ทำบัตรเครดิตแล้ว ระบบจะสมบูรณ์   ถ้าพี่ pjuk มาอ่าน ฝากผ่านไปให้พี่ๆที่พัฒนาระบบเป็นการบ้านอีกข้อด้วยนะคะ   จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 22:21:00

ความคิดเห็นที่ 38   ผมกล่าวแบบนี้อาจจะเหมือนขัดใจ ........ ถ้ามีการรูดบัตรซื้อสินค้า เสร็จแล้วเดินออกจากร้าน โทรหา Call Center ว่ายอดนี้ไม่ได้รูดใช้ ให้ทำเรื่องยกเลิกให้ทันที........ ถ้ามีการซื้อด้านบริการแบบ Online ที่ไม่ต้องมีการส่งตัวสินค้า อย่างเช่น Software ที่ได้เพียงตัวเลขมาเปิดใช้ระบบ เสร็จแล้วโทรหา Call Center ว่ายอดนี้ไม่ได้ใช้เอง ให้ทำยกเลิกรายการให้ด้วยทันที ถ้าสมมติมีลูกค้าแบบนี้ทำกันได้เป็นปกติ เพื่อให้ธนาคารเจ้าของบัตรปฏิเสท การจ่ายเงินให้กับธนาคารที่ดูแลร้านค้า ได้ง่ายๆ โดยไม่มีการตรวจสอบเลย ความน่าเชื่อถือของการใช้บัตรก็จะสูญสิ้นไปในที่สุด อีกกรณี บางทีร้านค้าที่รู้ตัวว่าส่งยอดใช้จ่ายมาผิด หรือทราบว่าเป็นบัตรที่ถูก ขโมยมาภายหลัง ก็อาจจะไม่ส่งมาเรียกเก็บกับธนาคารเจ้าของบัตรก็ได้ครับ โดยเมื่อไม่มีการเรียกเก็บเงินมาจริง ภายในระยะเวลาที่กำหนด (15 วัน) ระบบก็จะดำเนินการล้างวงเงินที่ถูกกันเอาไว้ให้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นการที่ทางธนาคารแจ้งว่ายังไม่สามารถคืนวงเงินให้ได้ เพราะยังไม่มี การเรียกเก็บมาจริงจึงเกิดขึ้นครับ ซึ่งถ้าธนาคารไปดำเนินการยกเลิกวงเงิน ที่ถูกกันเอาไว้เอง แล้วถ้าต้องมีการเรียกเก็บจริงเกิดขึ้นภายหลัง ก็จะหมาย ถึงว่าร้านค้าจะไม่ได้รับเงินเพราะรายการที่เกิดขึ้นไม่สมบูรณ์จากการที่มีการ ล้างวงเงินที่กันไว้ออกไปครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 22:26:01

ความคิดเห็นที่ 39   ฮ่า วนเข้ามาอ่าน คห. 34 เพิ่ม ดูเหมือน จขกท. โดนเอาับัตรไปใช้บ่อยและจากที่อ่านมา จขกท. ใช้ cyber banking ไม่น้อยเหมือนกัน แนะนำ Format หรือ scan เครื่องซะหน่อยก็ดีน่ะครับ อาจมี "สิ่งแปลกปลอม" อยู่ในเครื่องท่าน จากคุณ : kitipan เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 22:29:55

ความคิดเห็นที่ 40   #38  ก็จริงเนอะ งั้นขอแบบเดิมอย่างนี้ดีกว่าคะ   ลืมนึกถึงกรณี ซื้อขายทาง Internet ที่ต้อง ใช้ key เลย  เพราะเคยซื้อ softwere ที่ต้องใช้ ID เปิดระบบ คะ แฮ่ๆ เปลี่ยนใจละ ขอแบบเดิมคะ จากคุณ : เปลี่ยนใจๆ (กันดัมจัง) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 22:34:00

ความคิดเห็นที่ 41   คุณpjuk คะ ดิฉันไม่ได้ขัดใจสิ่งที่คุณตอบมาค่ะ บอกแล้วว่ากำลังพูดถึงระบบ ความเห็นข้างบนที่บอกว่าพนักงานต้องพูดแบบนี้น่ะเข้าใจเลย แล้วเรื่องที่คุณยกตัวอย่างใช้เองแล้วคิดเบี้ยวก็รู้ว่ามีจริงๆค่ะ และยกตัวอย่างไว้ข้างบนแล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การต้องตรวจสอบค่ะ และดิฉันก็พอทราบว่ามันมีประกันตรงนี้อยู่เพราะเคยรู้จากร้านค้าว่า เขาโดนบัตรที่ขโมยมาแต่สุดท้ายเขาก็ได้เงินจากแบงค์ ข้อความในคหที่ 38 ดิฉันเข้าใจหมดเลยและยอมรับด้วยว่ามันมีจริง ดิฉันไม่ได้คัดค้านการตรวจสอบ และกรณีดิฉันแบงค์ก็ไม่ได้กันวงเงินเอาไว้ประเด็นชัดๆนะคะ การที่แบงค์ไม่ตั้งหนี้ก่อนตรวจสอบแล้วไปเจอลักษณะแบบความเห็นที่ 38 ก็ไม่ทำให้แบงค์หมดสิทธิ์จะเรียกเก็บหรือมาตั้งหนี้กับลูกค้าพร้อมหลักฐาน และประเด้นที่ติดใจว่าทำไมต้องตั้งหนี้กรณีนี้ก็เพราะแบงค์รับทราบข้อมูลก่อนเกิดความเสียหาย แม้ว่าแบงค์จะไม่สนใจความเสียหายเพราะถ้าเป็นแฮค ประกันก็รับไป ถ้าลูกค้าใช้แล้วจะเบี้ยวลูกค้าก็รับไป อย่างไรแบงค์ก็ไม่เดือดร้อน ถ้าแบงค์จะให้ความเสียหายมันเกิดขึ้นด้วยเหตุผลข้างบนทำไมลูกค้าที่พยายามจะปกป้องความเสียหายตรงนี้ต้องถูกโยนความรับผิดชอบมาไว้่ก่อน ดิฉันจะบอกนะว่าไม่เชื่อหรอกว่าธุรกิจใดมันจะไร้สมองเหมือนที่ได้รับข้อมูลมาคือยังไงก็จ่ายแล้วค่อยแจ้งขอคืนเมือลูกค้าปฏิเสธ กรณีนี้สิ่งที่จะทำก็คือ Hold แล้วตรวจสอบ ความเสียหายยังไม่เกิด หนี้จริงๆยังไม่เกิด ทำไมแบงค์ตั้งหนี้ให้ลูกค้าก่อนทั้งๆที่ตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าจะพูดเรื่องวงเงินแม้ว่ายอดนี้มันจะกันออกไปแล้ว ไม่ว่าลูกค้าจะเหลือหรือไม่เหลือวงเงิน ก็ไม่มีผลกับการได้เงินจากลูกค้าเลยมันขึ้นกับว่าลูกค้าจ่ายหรือเปล่า กรณีนี้ถ้าแบงค์จะกันวงเงินจนตรวจสอบเสร็จนะ ดิฉันไม่โวยเลยค่ะ ตามสบายแต่ไม่ใช่ใบแจ้งหนี้ ถ้ามันเกิดเจอเมื่อเรียกเก็บมาแล้วมีการบันทึกรายการแล้ว จะมีใบแจ้งหนี้ออกมา ดิฉันไม่ติดใจ เหมือนที่บอก ความเสียหายมันเกิดขึ้นแล้ว ต้องร่วมกันรับผิดชอบ แต่มันต่างกับกรณีนี้มากค่ะ สรุปสั้นๆ การตั้งหนี้ครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้แบงค์ได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้ตัดสิทธิ์แบงค์ในการเรียกเก็บยอดนี้ ต่อให้เรียกเก็บแล้วลูกค้าไม่จ่ายแบงค์ก็ต้องไปฟ้องเอาอยู่ดี แบงค่ไม่มีความเสี่ยงใดๆจากการไม่ตั้งหนี้ล่วงหน้า แต่การตั้งหนี้ครั้งนี้แบงค์ละเมิดสิทธิผู้บริโภค ด้วยเหตุผลระบบ หวังว่าคงจะชัดเจนนะคะเรื่องตั้งหนี้ เรื่องตรวจสอบ ดิฉันว่าดิฉัยอธิบายชัดเจนหลายรอบแล้วค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:10:56

ความคิดเห็นที่ 42   เรื่องโดนแฮคแบบไม่รู้ที่มาครั้งนี้เป็นครั้งแรกค่ะ กรณี AOL เท่าที่ตามเรื่องและทบทวนตัวเอง มันเหมือนว่าเราได้ไปลงทะเบียนอะไรซักอย่างแล้วทางโน้นเอาข้อมูลไปใช้ประมาณว่าแจ้งเก็บไว้ก่อนเหมือนกับยอมรับการเป็นสมาชิกโดยปริยายค่ะและเกิดตั้งแต่ปี 2004 กรณี UOB ไม่ได้เป็นการแฮคแต่ระบบของร้านค้ามีปัญหาแล้วก็ไปทำให้การจองมันซ้ำกัน สุดท้ายร้านค้าแก้ปัญหาให้ไม่ใช่การตรวจสอบของแบงค์ค่ะ ดิฉันใช้บัตรต่างประเทศบ่อยและวงเงินบางบัตรมันค่อนข้างสูง บัตรของ SCB นี่น้อยทีสุดแล้ว ดิฉันพยายามระวังตัวในเรื่องการถูกขโมยบัตรอยู่เสมอและคอยตรวจสอบทั้งบัญชีบัตรและบัญชีเงินฝาก ดิฉันทำงานกับคอม เครื่องดิฉันมีการติดตั้งระบบป้องกันตรงนี้อย่างดีค่ะ แล้วกรณีนี้ก็เป็นการใช้บัตรแบบทางโทรศัพท์ไม่ใช่อินเตอร์เนทค่ะ ดิฉันใช้บัตรในญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนเมษา แล้วก็ไม่ได้ใช้เลยจนมาใช้เติมน้ำมันกับซื้อของในห้างซึ่งทิ้งช่วงจากเมษามาพอสมควร และไม่ได้ใช้อีกเลยจนกระทั่งมาเกิดเรือ่งกลางเดือนมิถุนายน จากข้อมูลที่ทบทวนสัณนิฐานว่าจะโดนที่ปั้มน้ำมันที่ไปเติมเป็นครั้งแรก จากปกติจะเติมปั้มประจำและพยายามจ้องพนักงานในระหว่างการรูดบัตรทุกครั้ง ลงไปยืนดูเลยก็เคยค่ะ ดิฉันพยายามทุกวิถีทางแล้วในการป้องกัน ทั้งๆที่รู้ว่าถึงมันจะเกิดก็ไม่ต้องรับผิดชอบค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:20:20

ความคิดเห็นที่ 43   ได้รับข้อมูลมาว่า จดหมายได้มีการส่ง FAX ไปให้ตามความประสงค์แล้วนะครับ.... เหลือเพียงขั้นตอนการส่งฉบับจริงตามไปให้อีกทีครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:22:51

ความคิดเห็นที่ 44   สองทุ่มที่ผ่านมายังไม่ได้รับแฟกซ์ เดี๋ยวจะลงไปดูอีกทีไม่ทราบว่าแฟกซ์เมื่อไร่คะ แล้วข้อมูลข้างล่างนี้นะคะ ดังนั้นการที่ทางธนาคารแจ้งว่ายังไม่สามารถคืนวงเงินให้ได้ เพราะยังไม่มี การเรียกเก็บมาจริงจึงเกิดขึ้นครับ ซึ่งถ้าธนาคารไปดำเนินการยกเลิกวงเงิน ที่ถูกกันเอาไว้เอง แล้วถ้าต้องมีการเรียกเก็บจริงเกิดขึ้นภายหลัง ก็จะหมาย ถึงว่าร้านค้าจะไม่ได้รับเงินเพราะรายการที่เกิดขึ้นไม่สมบูรณ์จากการที่มีการ ล้างวงเงินที่กันไว้ออกไปครับ เป็นไปไม่ได้ค่ะ จะเห็นได้จากตัวอย่างการเรียกเก็บจากร้านอาหารสองเดือนหลังจากใช้บัตร และวงเงินที่กันก็ถูกยกเลิกไปนานแล้วค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 23:29:09 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:27:17

ความคิดเห็นที่ 45   แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 23:46:34 จากคุณ : Go2Better เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:42:35

ความคิดเห็นที่ 46   มาแล้วค่ะจดหมายจากธนาคารดูตรงนี้ขีดเส้นใต้นะคะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:43:10

ความคิดเห็นที่ 47   อันนี้จาก SCB net เวลาตามในรูปค่ะ บัตรในรูปถูกระงับแต่ไม่ได้ยกเลิก ชื่อดิฉันยังเป็นเจ้าของบัตร ตามกฏหมายแล้วดิฉันเป็นหนี้แบงค์ตามที่ปรกฏใช่ใหมคะ ตรงไหนที่มันเป็นตามที่ขีดเส้นใต้ในจดหมายค่ะ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 23:46:02 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:44:36

ความคิดเห็นที่ 48   ใบแจ้งหนี้ เวลาที่เกิดข้อมูลนี้ตามในรูปค่ะ เพิ่มเติมในคหนี้แหละไม่ต้องเปลืองคห ดิฉันไม่ได้ตามเรื่องแค่ครั้งเดียวนะคะ แล้วก็แย้งตามเหตุผลกับ SCB มาทุกครั้ง ดิฉันคิดว่าความผิดพลาด คลาดเคลื่อนของข้อมูลมาเกิดกันได้ แต่ SCB ไม่ฟัง ไม่พิจารณาและไม่มีเหตุผลตอบข้อแย้งนั้นค่ะ SCB ช่วยตอบไหนซิคะว่า เสตทเมนท์กับข้อมูลจากเวปไซด์ที่โพส อยู่นี้ตรงไหนที่มันตรงกับคำว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแก้ไขรายการออกจากบัตรเครดิตของท่านและตั้งพักการเรียกเก็บไว้ก่อนแล้ว แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 23:56:56 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 52 23:53:42 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 52 23:51:01

ความคิดเห็นที่ 49   ณ. เวลาปัจจุบันนี้สถานะทางกฏหมายของดิฉันคือ ดิฉันมียอดค้างชำระและผิดนัดชำระหนี้เนื่องจากไม่ชำระเงินตามกำหนด ถูกไหมคะ ถ้าแบงค์จะเอาเรื่องก็ได้ใช่ไหม ถ้าแบงค์ไม่เอาเรื่องมีการแก้ไขยกเลิกยอดที่ค้าง ก็เป็นบุญของดิฉันที่ไม่ต้องรับผิดใช่ไม่คะ แล้วกรณีที่แจ้งตั้งแต่ความเสียหายมันยังไม่เกิดนี่ และการตรวจสอบยังไม่เสร็จเสร็จ แบงค์มีสิทธิ์ทำแบบนี้หรือคะ ยอดหนี้มันเกิดจริงๆหรือยัง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตลูกหนี้รับสภาพหนี้และต้องไปดำเนินการทางกฏหมายเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่หนี้ตัวเองไช่ไหม ใช้เชื่อใจแบงค์ ให้ไว้ใจแบงค์ได้อย่างไรคะ แม้แต่แค่คำยืนยันว่า ถ้ายอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากการขโมยข้อมูลจริง ลูกค้าไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายตรงนี้ แบงค์ยังออกให้ไม่ได้เลย ถ้าแบงค์กลัวว่าตรวจสอบแล้วเป็นกรณีอย่างคหที่38 หรือ แล้วถ้าต้องมีการเรียกเก็บจริงเกิดขึ้นภายหลัง ก็จะหมายถึงว่าร้านค้าจะไม่ได้รับเงินเพราะรายการที่เกิดขึ้นไม่สมบูรณ์จากการที่มีการล้างวงเงินที่กันไว้ออกไปครับ จะกันวงเงินลูกค้าไว้เพื่อในระหว่างการตรวจสอบลูกค้าไม่มียอดหนี้มากเกินไปหรืออาจเกินกำลังต่อการชำระได้ ดิฉันไม่ติดใจเลยค่ะ แต่ไม่ใช่การตั้งยอดหนี้ เพราะได้แจ้งก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อแบงค์แล้ว ตอนนี้แบงค์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าลูกค้ามีหนี้ จังไม่มีสิทธิ์ ตั้งหนี้กับลูกค้า ถ้ามีเงินเรียกเก็บเข้ามาก่อนลูกค้าแจ้ง หนี้มันเกิดขึ้นแล้ว แม้ว่าลูกค้าจะปฏิเสธหนี้ แบงค์มีสิทธิ์จะคงหนี้ตรงนั้นไว้จนกว่าการตรวจสอบมันจะยืนยันว่าลูกค้าไม่ได้ก่อหนี้จริง จึงจะปรับปรุงหนี้ให้ค่ะ ยอดค่าใช้จ่ายนี้แบงค์จะตั้งเป็นหนี้และแจ้งหนี้ลูกค้าได้ก็ต่อเมื่อแบงค์มีหลักฐานว่าเป็นการใช้จ่ายของลูกค้าหรือผู้ใกล้ชิดไม่ใช่การถูกขโมยข้อมูลค่ะ แต่ถ้าหลังจากลูกค้าปฏิเสธการใช้ไปแล้ว ระหว่างแบงค์ตรวจสอบ ถ้าหนี้มันจะเกิดก้เกิดจากการตัดสินใจให้เกิดหนี้จากแบงค์ แบงค์ต้องรับผิดชอบยอดตรงนี้เองจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการแจ้งปฏิเสธการใช้ของลูกค้าเป็นการแจ้งเท็จ ไม่ใข่เอามาโป๊ะเป็นหนี้เรียกเก็บลูกค้า แบงค์มีสิทธิ์จะกันวงเงินลูกค้าเท่าจำนวนยอดค่าใช้จ่ายจนกว่าจะตรวจสอบเสร็จสิ้นแต่ไม่มีสิทธิ์ ตั้งเป็นหนี้ของลูกค้าค่ะ ถึงได้บอกว่ากำลังพูดถึงระบบ ไม่ว่าจะอ้างกฏระเบียบวีซ่าอย่างไร รับประกันเลยว่ามันจะเป็นกฏในเรื่องการตรวจสอบก่อนปฏิเสธการชำระหนี้ แต่ไม่ได้ให้ตั้งหนี้กับลูกค้า ในกรณีของดิฉัน เพราะมันขัดกับกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค ชัดเจนนะคะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 00:34:34 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 00:13:10 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 00:12:45 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 00:06:02

ความคิดเห็นที่ 50   เรื่องเล็กนิดเดียวเองนะครับ ใจเย็นๆ  ........... อย่างน้อย ง่ายๆขอให้เขาออกบัตรใบใหม่ และ พักใบนี้ไว้ตรงนี้ น่าจะจบครับ คือเราไม่ได้ใช้จริงๆ ก็ไม่ต้องตกใจ ยอดเงินก็ไม่ได้เป็นหมื่นๆ .. อย่ากังวลเลยครับ ลองคุยกับแบ็งค์ดู ผมเคยเกิดกับ KTC แบบเดียวกันนี้เลย เค้าก็ให้ผมเขียนจดหมายยืนยันว่าผมไม่ได้ใช้ แล้วปิดบัตรนั้นไป ออกใบใหม่เบอร์ใหม่มาแทน การตั้งกระทู็้้ บอกว่าอุทาหรณ์เกี่ยวกับผู้ถือบัตรไทยพาณิชย์ อาจทำให้มองว่าธนาคารมีระบบที่ไม่ดี ซึ่งผมเชื่อว่า เรื่องพวกนี้ มันมี protocol ชัดเจนครับ ใจเย็นๆ เพราะบางทีเอกสาร อะไรต่างๆ มันอาจตั้งโปรแกรมมาจากคนละส่วนกัน ซึ่งในคอมมัน auto generate อยู่แล้ว .. แถมคุณก็ไม่ได้ถูกใครบังคับให้จ่ายเงิน และก็ยังไม่ได้ไปชำระหนี้เลย มิใช่หรือ คุณอยากให้มันถูกต้อง แต่ผมอยากให้คุณให้ความเป็นธรรมกับธนาคาร นิดนึง เพราะเค้าก็ไม่ใช่คนผิดโดยตรง ขนาดผมเปลี่ยนโปรโมชั่นมือถือเป็นเดือน ยังมีจดหมายมายืนยันว่า ท่านได้ต่อโปรเก่านั้นไปอีก 1 ปี เลย จากคุณ : :::GANTZ::: เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 00:46:39

ความคิดเห็นที่ 51   อ่าน ๆ แล้วทำให้ผมรู้สึกว่า บริการไหน ๆ อยากให้มันเป็นอย่างที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น มันไม่มีหรอก เพราะบางที เราเองนั่นแหละที่ไม่รู้ซึ้งถึงเหตุผลที่ผู้ให้บริการไม่ทำให้บริการนั้นเป็นอย่างที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น ซึ่งจุดนี้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ ของผู้ให้บริการทั้งหลายนั่นเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีอะไรที่จะดี จะถูกไปหมดทุกอย่าง ... มันอยู่ที่เราพอใจที่ตรงไหนเท่านั้นเอง จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 02:26:51

ความคิดเห็นที่ 52   ความเห็นที่ 50 ครับ "การตั้งกระทู็้้ บอกว่าอุทาหรณ์เกี่ยวกับผู้ถือบัตรไทยพาณิชย์ อาจทำให้มองว่าธนาคารมีระบบที่ไม่ดี ซึ่งผมเชื่อว่า เรื่องพวกนี้ มันมี protocol ชัดเจนครับ ใจเย็นๆ เพราะบางทีเอกสาร อะไรต่างๆ มันอาจตั้งโปรแกรมมาจากคนละส่วนกัน ซึ่งในคอมมัน auto generate อยู่แล้ว .. แถมคุณก็ไม่ได้ถูกใครบังคับให้จ่ายเงิน"       การที่คุณเข้าใจว่าการตั้งกระทู้แบบนี้จะเป็นการทำให้ผู้อื่นมองว่าระบบของธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ดี อันนี้ผมว่ามันก็ชัดเจนน่ะครับว่าเจ้าของกระทู้ก็ต้องการชี้ตรงนี้ล่ะครับ ว่าระบบธนาคารไม่ดี ไม่เป็นธรรมเค้าเป็นผู้บริโภค กระทำการโดยสุจริต ก็ทักท้วงร้องเรียนมา การที่ธนาคารอ้างว่ามีระบบของตัวเองต้องปฎิบัติตามขั้นตอนอะไรต่างๆเจ้าของกระทู้ก็ชี้แจงแล้วว่าระบบของธนาคารไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และเท่าที่ผมตามอ่านทั้งหมดนั้นผมเข้าใจเจ้าของกระทู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เธอได้แจ้งแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นผู้ใช้จ่าย โดยอ้างอิงว่ารายการนั้นเป็นการเรียกเก็บจากต่างประเทศ(ซึ่งตอนที่โทรแจ้งใช้หมายเลข02เพื่อยืนยันสถานะ)และเธอยังพำนักอยู่ที่ประเทศไทย ธนาคารไม่สมควรบันทึกรายการอันไม่สุจริตนั้นลงในบัญชีเครดิตของเธอ ซึ่งก็ถูกต้อง(เมื่อเจ้าของบัญชีเค้าไม่ได้ใช้จะลงรายการทำไม) ส่วนธนาคารอ้างว่าต้องตรวจสอบนั้นเจ้าของกระทู้ก็ชี้แจงแล้วว่าเค้าไม่ได้ติดขัดประเด็นนี้ เค้าบอกว่าเมื่อตรวจสอบแล้ว รู้แล้ว ทราบแล้วว่าเค้าไม่ได้เป็นผู้สร้างหนี้ ธนาคารมายัดเยียดสถานะความเป้นลูกหนี้ให้เธอทำไม??? ชัดเจนไหมครับ และธนาคารไม่เคยที่จะชี้ จะตอบประเด็นนี้โดยชัดเจน ตอบแต่เพียงว่านี่เป็นระบบการตรวจสอบของธนาคาร(ระบบข้าใครอย่าแตะ) เจ้าของกระทู้เค้าก็คงติดใจสงสัยสิครับ ก็เป็นธรรมดาที่เค้าต้องออกมาพิมพ์ให้สังคมพันทิพได้รับรู้ ความเห็นที่ 51 ครับ "อ่าน ๆ แล้วทำให้ผมรู้สึกว่า บริการไหน ๆ อยากให้มันเป็นอย่างที่เราคิดว่ามันควรจะเป็น มันไม่มีหรอก" อ่านความเห็นคุณดูผมก็รู้สึกว่าบริการที่อยากให้เป็นมันไม่เกิดขึ้นได้เพราะเรานี่แหละที่ไม่รู้จัก ทักท้วง ทวงถวม ติติง โต้แย้ง คัดค้าน การบริการที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค สิ่งที่เจ้าของกระทู้เค้ากำลังทำก็คือตั้งข้อสงสัยต่อกระบวนการทำงานที่ไม่ยุติธรรมต่อเธอ ไม่ใช่ว่าผู้ให้บริการจะทำอย่างไรเราก็บอกว่าเออ รับๆมันไป ได้แค่นี้ก็ดีถมไป แล้วเมื่อไหร่จะพัฒนาได้ล่ะครับ และอีกอย่างการบริการจนได้จนทำให้ลูกค้าเกิดความพอใจ(ที่ได้รับความยุติธรรม)มันก็เป็นหัวใจของการบริการไม่ใช่หรือครับ จากคุณ : econdpu เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 05:53:04

ความคิดเห็นที่ 53   กว่าจะอ่านจบ ตาลายเลย... แต่จากที่อ่านมา เราเข้าใจว่า  จขกท. เค้าไม่ได้ติดใจการตรวจสอบ  ขั้นตอนไรต่อมิอะไรในการพิสูจน์หาความจริงว่าได้ใช้บัตรไปจริงรึเปล่า เพียงแต่ติดใจว่า  เมื่อมันยังไม่รู้ว่าใช้หรือไม่ใช้ ทำไมต้องเป็นหนี้ไปก่อนแล้วถ้าพิสูจน์ออกมาว่าไม่ได้ใช้ค่อยไปลบหนี้ของเขาอย่างงั้นเหรอ  แล้วเกิดผลพิสูจน์ออกมาว่า จขกท ใช้จริงขึ้นมา (ทั้งๆที่ไม่ได้ใช้) เขาก้อต้องยอมรับภาระหนี้นั้นใช่ป่าว  เพราะมันระบุในใบแจ้งหนี้ เราว่า จขกท ถามแค่นี้เองอะ  แต่เราก้อยังไม่เห็นคำตอบนี้เหมือนกันนะ  เห็นตอบแต่อย่าอื่น  อธิบายว่ามันต้องเป็นไปตามระบบ (ระบบของ bank ที่ จขกท ทักท้วงว่ามันไม่เป็นธรรม) จากคุณ : พูดไม่ค่อยเก่ง แต่เข้าใจนะ (วูล์ฟ) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 08:37:45

ความคิดเห็นที่ 54   บัตรเครดิตของทุกธนาคาร ในความคิดเห็นส่วนตัวผมนั้น มันเป็นมาตรฐานเหมือนกันหมดไม่ว่าแบงค์ไหน เราบริสุทธิใจว่ายังไงก็ ยอดนี้ ฉันไม่ได้ไปรูดซื้อของแน่ๆ ทั้งในเน็ตและร้านค้าทั่วไป ถึงจะโทรแจ้งอายัตไว้ก่อน แบงค์ก็ต้องทำตามกฎคือ hold ยอดใช้จ่ายนั้นๆ ไว้ และให้ลูกค้าที่เสียหาย ทำเรื่องปฎิเสธการชำระเงิน แต่ถึงจะเป็นหนี้ในส่วนที่เสียหายนี้ ก็ไม่ต้องชำระ จนกว่าธนาคารจะสืบสวน ทำเรื่องจนจบ ระหว่างรอนี้ หากาทางแบงค์ยืนยันว่าไม่มีผลต่อเครดิตบูโร ก็สบายใจได้ครับ ส่วนตัวผม ขอแค่คำยืนยันจากแบงค์ในจุดนี้ก็พอแล้ว ไม่มีคดีเป็นหนี้แบงค์ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ไปใช้จ่าย ก็ happy แล้ว ในในใบแจ้งหนี้ เป็นแค่ตัวเลขหนี้ ที่ควรจะเป็นตามระบบในการใช้บัตรเครดิตปกติ แต่ในความเป็นจริง แบงค์ก็กำลังดำเนินการเรื่องของเราอยู่ สบายใจได้ แต่หากเงียบหายไป แล้วยังเป็นหนี้ก้อนนี้อยู่ แถมมีผลต่อเครดิตบูโรนี่ซิครับ ค่อยน่าเอาเรื่อง ส่วนเรื่อง ของ เจ้าของกระทู้ ส่วนตัวผมอ่านแล้ว เห็นใจมากครับ เข้าใจว่า เสียความรู้สึกตั้งแต่แรกในการบริการของพนักงาน call center ทางโทรศัพท์ ซึ่งให้คำตอบได้ไม่เคลียร์ หรือ วกไปวนมา ผมว่าหากให้คำตอบลูกค้า พูดจาแบบ ให้ลูกค้าสบายใจว่า ยอดหนี้นี้ ฉันไม่ต้องรับผิดชอบนะ ไม่มีผลต่อเครดิตบูโรใด ๆ สบายใจได้ แค่รอทางแบงค์เคลียร์เรื่องให้ ซึ่งต้องใช้เวลาซักระยะ พูดให้ลูกค้าอุ่นใจ อะไรประมาณนี้ ผมว่า ลูกค้าที่ได้รับคำตอบก็น่าจะใจร่มได้เยอะนะครับ เข้าใจคุณ pjuk ใน ความคิดเห็น 20 และ 38 นะครับ ว่าหากแบงค์ไม่ทำการตรวจสอบให้รอบครอบก่อน มาตรฐานการใช้บัตรเครดิตก็จะไม่มี และยอดหนี้ที่เราไม่ได้เป็นคนใช้ ซึ่งเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราบริสุทธิใจ แต่ความเป็นจริงในการดำเนินการของทางแบงค์ ก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ ยอดหนี้ที่เกิดขึ้นในใบแจ้งหนี้ ก็ตามที่คุณ pjuk บอกน่ะครับ "ขอเพียงมั่นใจว่า เป็นแค่ตัวเลขที่แสดงไว้ให้ทราบว่ามียอดเงินใดที่มีสถานะ เช่นใด ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อการแสดงยอดหนี้ในส่วนของเครดิตบูโรแต่อย่างไรครับ" คุณเจ้าของกระทู้ ใจเย็น ๆ นะครับ ผมมั่นใจว่าไทยพาณิชย์ หรือไม่ว่าธนาคารใด ๆ หากมีเรื่องแบบนี้ หากเรามั่นใจและบริสุทธิใจซะอย่างว่าเราไม่ได้เป็นคนสร้างหนี้นี้ขึ้นมา  บทสรุป เราก็ต้องไม่เป็นหนี้ก้อนนี้อย่างแน่นอนครับ ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือ ต้องอดทนรอ ๆ ครับ จนกว่าเรื่องจะจบสิ้น และขอให้มั่นใจในมาตรฐานของแบงค์ครับ ขอแค่ยืนยันว่า เราไม่ติดเครดิตบูโร ไม่ต้องชำระหนี้ ก็สบายใจได้เลยครับ ยอดหนี้ที่เกิดขึ้นก็เพียงตัวเลข แต่เราไม่เสียหายถึงขั้นเสียเครดิต ก็ช่างมันเถิดครับ ใจร่ม  ๆนะครับ ^_____^  เอาใจช่วยให้เรื่องนี้จบไปผ่านไปด้วยดีและไม่ล่าช้านะครับ จากคุณ : เอาใจช่วยให้เรือ่งจบโดยไวครับ (tle) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:13:42

ความคิดเห็นที่ 55   ภาพใน #47 ยอดการใช้บัตรเครดิตจนถึงปัจจุบัน (บาท)  ที่แสดงเป็น 0.00 บาท แสดงให้ทราบแล้วนะครับว่าไม่ได้มียอดค้างชำระอยู่....... เพราะถ้าปกติแล้ว เมื่อยังไม่มีการชำระคืน ยอดการใช้บัตรเครดิตจนถึงปัจจุบัน (บาท) จะต้องมีค่าเท่ากับยอดเงินที่ใช้จ่ายไปปรากฏให้เห็นอยู่ด้วยครับ ส่วนที่เห็นใน e-Bill ในความเห็นที่ #48 เป็นสิ่งที่ระบยจัดสร้างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ (ในวันปิดยอด) แล้วเก็บไว้ให้ เพื่อใช้แสดงผล โดยไม่ใช่เป็นระบบจัดสร้างทุกครั้งที่เรียกดู (จะช้า) ดังนั้น แม้ฐานข้อมูล จะเปลี่ยนสถานะไปอย่างไรก็ตาม ระบบก็ไม่ได้ดำเนินการ สร้างใหม่ให้ทันที เหมือนกับ กระดาษที่ส่งไปแล้ว ก็จะแก้ไขไม่ได้ แม้ข้อมูลการใช้บัตรจะยก เลิกการเรียกเก็บให้แล้วตาม จดหมายใน #46 ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:18:29

ความคิดเห็นที่ 56   ลอง Click Unbilled ใน #47 มาแสดงเพิ่มให้ดูหน่อยนะครับ ว่าระบบบอกอะไรให้ทราบบ้างครับ....... จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:23:28

ความคิดเห็นที่ 57   Click Unbilled ด้วยนะครับ จะได้ตอบได้ว่า มีการดำเนินการใดหรือไม่ เพราะถ้าเป็นการนำส่วนของ Statement ใน e-Bill ที่จะไม่มีการเปลี่ยนค่าแม้จะเป็นการใช้เงินคืนตามปกติไปแล้วก็ตาม เพราะสิ่งที่แสดงให้เห็น สามารถเก็บไว้เป็นประวัติ ที่เรียกย้อนหลังออก มาดูได้ตลอดเวลา ไม่ได้เป็นการสร้างใหม่ทุกครั้งที่เรียก ซึ่งต่างจากใน ส่วนของ Balance/Unbilled ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:28:23

ความคิดเห็นที่ 58   ผมเปิดอ่านมา 2 วันแล้ว เห็นด้วยกับ คห.52 สุดๆ แล้วผมก็ว่าเจ้าของกระทู้ค่อนข้างเปลืองตัวเหมือนกัน ถ้าจะทำให้เป็นกรณีตัวอย่าง (เพราะคนส่วนใหญ่ เป็นคนไทยที่เป็นไทยจริงๆ) จากคุณ : ~เอ็มไม่หมู~ เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:29:03

ความคิดเห็นที่ 59   คือ ไม่ค่อยเข้าใจกับคำนิยามว่าความเสียหายยังไม่เกิดของ จขกท ครับ เพราะตาม Statement 12/06 มีการใช้บัตร 15/06 มีการบันทึกรายการ 16/06 จขกท ได้รับ SMS แล้วทำการอายัดบัตร สำหรับ transaction ตัวนี้ผมว่ารายการมันถูกบันทึกไปแล้วก่อนที่เจ้าของ บัตรจะทำการอายัดนะครับ ความคหส่วนตัวเฉยๆ จากคุณ : Dark Archon เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:30:23

ความคิดเห็นที่ 60   คุณความคิดเห็นที่ 59คะ ดิฉันแก้ไขข้อความข้างบนให้ถูกต้องแล้วค่ะ ขออภัยด้วย ดิฉันได้รับ SMS เมือ 12-06-09 เวลาทุ่มกว่าๆค่ะบัตรถูกระงับตั้งแต่ตอนนั้น แต่มีการบันทึกเข้ามาเมื่อ 15-06-09 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 09:45:03

ความคิดเห็นที่ 61   Unbilled คือส่วนบันทึกการเรียกเก็บระหว่างรอบบัญชีที่ยังไม่ออกใบแจ้งหนี้ มันมาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะคะ เอาง่ายถ้าบัตรถูกระงับ มันใช้บัตรไม่ได้แล้วจะมี Unbilled ได้อย่างไรคะ จาก 47 ยอดใช้บริการไม่มีแต่ยอดค้างชำระมีไม่ใช่หรือคะ แล้วทำไมไม่ตอบคำถามที่ถามไว้ข้าวบนคะว่าบัตรมันมียอดค้างชำระตามกฏหมายผู้ถือบัตรเป็นหนี้ธนาคารอยุ่ใช่ไหมคะ คุณตอบอยู่บนพื้นฐานที่คิดว่าเดี๋ยวตรวจสอบเสร็จมันก็ลบออกไป แต่ดิฉันกำลังถามว่า เมื่อเวลาที่โทรแจ้ง  ธนาคารยังไม่ได้จ่ายเงินออกไป นี่คือที่พูดว่า ความเสียหายมันยังไม่เกิดขึ้น หลังจากโทรแจ้ง   ถ้าธนาคารจ่ายเงินเมื่อเรียกเก็บ เกิดหนี้แต่หนี้ตัวนี้ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นหนี้ของผู้ถือบัตร เพราะธนาคารยังต้องเข้าไปตรวจสอบว่าเป็นหนึ้ของผู้ถือบัตรหรือเปล่า แล้วถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ ธนาคารใช้สิทธิ์อะไร บันทึกว่า เป็นหนื้ของผู้ถือบัตรและแจ้งหนี้เรียกเก็บเงิน อย่าว่าแต่ออกใบแจ้งหนี้เลยค่ะ วันที่บันทึกรายการนั้น ธนาคารยังไม่ได้พิสูจน์ได้ว่าเป็นการทำรายการของผู้ถือบัตร ธนาคารบันทึกได้อย่างไร จะอธิบายอีกทีนะคะ กรณีเจอจากใบแจ้งหนี้หรือเมือรายการถูกเรียกเก็บแล้ว วันที่มีการบันทึกราย หรือจ่ายเงินนั้น ผู้ถือบัตรยังมิได้แจ้งอะไรกับธนาคาร เพราะฉะนั้นรายการนี้ก็ยังเป็นค่าใช้จ่ายของบัตรที่ธนาคารต้องบันทึกรายการและแจ้งหนี้เรียกเก็บกับผู้ถือบัตร เมือผู้ถือบัตรปฏิเสธหนี้ตรงนั้น ธนาคารก็จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าไม่ใช่หนี้ของผู้บัตรจึงประปรับปรุงหนี้ให้ได้ สิงที่ธนาคารทำกรณีดิฉันคือ ยังไม่เกิดหนี้ แจ้งปฏิเสธการใช้ ธนาคารขอตรวจสอบ ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นของผู้ถือบัตรไม่ได้แต่ขอบันทึกเป็นหนี้ไว้ก่อน ถ้าไม่ใช่จะมาลบหนี้ออกไป ตรงหนี้แหละที่ดิฉันถามว่าธนาคารมีสิทธิ์ตั้งหนี้ก่อนที่จะพิสูจน์ว่าเป็นหนี้จริงได้หรือเปล่า ดิฉันได้เอกสารจากแบงค์และแบงค์คงมีคำตอบได้ไม่มากกว่านี้ ต่อไปดิฉันก็จะไปหาคำตอบใจากองค์ที่กำกับดูแลและองค์กรเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ทางกฏหมายบ้านเมืองตีความให้ได้ว่า แบงค์มีสิทธิ์ทำแบบข้างต้นได้หรือเปล่า เนื่องจากแบงค์อ้างกฏของ VISA Master ดิฉันจะร้องเรียนไปทางนั้นด้วยว่ากฏของคุณสั่งให้เขาตั้งหนี้และเรียกเก็บเงินลูกค้าก่อนตรวจสอบได้ว่าเป้นหนี้จริงหรือเปล่า ถ้าใช่ จะได้ถามองค์การสากลว่ากฏของ VISA Master มันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่า คนอ้างว่าออกโดยระบบ แล้วคนไม่ใช่ผู้ควบคุมระบบหรือคะ แล้วระบบนี่มันมีข้อยกเว้นที่ไม่ต้องปฏิบัติตามกฏหมายผู้บริโภคหรือคะถึงต้องยอมรับมัน เหนือยจะตอบแล้วค่ะ ดิฉันว่าดิฉันได้แสดงรายละเอียดชัดเจนแล้วท้งเรื่องตรวจสอบ เรืองความเสียหาย เรื่องหนี้ เอาเป็นว่ารอขบวนการร้องเรียนตรวจสอบสิทธิ์ในการทำของแบงค์จะดีกว่าค่ะ จะได้รู้ชัดกันไปว่าตามกฏหมายนั้นทำได้หรือเปล่า ดิฉันไม่กลัวเปลืองตัวหรอกค่ะ จำได้ไหมคะตอนที่มือถือเรียกค่าต่อสัญญาณ ก่อนจะได้รับคำตัดสินลักษณะก็ไม่ต่างจากดิฉันขณะนี้ค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:12:00

ความคิดเห็นที่ 62   ขออนุญาต เล่าเรื่องการใช้บัตรเครดิต ของผมซักนิดน่ะครับ ^ ^ คั่นรอคลายเครียดซักนิด แห่ะ ถ้าเห็นว่าไม่สมควรก็โหวตลบได้นะครับ ตัวผมเอง ก็เคยซื้อของทางเน็ตจากเว็บต่างประเทศก็หลายครั้งอยู่ ไปเจอเว็บ ๆ นึง ครับ อยากได้ Mp3 มากมาย แต่อ่านดูในเงื่อนไขการจัดส่ง ดันส่งในเฉพาะ USA เท่านั้น อ่ะ ไม่เป็นไร แม่ฉันอยู่ USA ให้ส่งไปที่แม่ก็ได้ ฮ่า ๆ แล้วให้แม่จัดการแพคส่งมาที่ไทยก็จบ สมัครสมาชิกปุ๊บ สั่งปั๊บ ถึงหน้ากรอกเลขบัตรเครดิต ผมมีบัตรอยู่สองใบ ใบนึง visa ของ UOB วงเงินนิดเดียวเอง ได้มาตั้งแต่สมัยทำงานบริษัทแรก ตอนนั้นเงินเดือนน้อยมาก ๆ จำได้ว่าอยากได้บัตรเครดิตมาใช้มากมาย แห่ะๆ ใจคิดแค่ว่า ตรูมีบัตรเครดิตซักใบคงเท่ห์มิใช่น้อย ฮ่าๆๆๆ แอบลุ้นว่า ธนาคารจะอนุมัติไหมหนอ และแล้วก็ได้มาครับ วงเงิน 2 หมื่น ^ ^" แห่ะ ๆ ให้น้อยจริง ๆ แต่ก็ดีครับ ไว้ซื้อของทางเน็ต ปลอดภัยดี เผื่อว่าวันดีคืนดี ดวงไม่ดี โดนฉกเจอโจรแอบไปรูด ก็ไม่ผ่านง่าย ๆ หรอก เพราะว่าวงเงินเกือบเต็มตลอดเวลา ฮ่าๆๆๆๆๆ ใช้มาเกือบ 4 ปี เพิ่งเพิ่มวงเงินให้ อีก 6 พัน ก็ยังดีครับ แห่ะๆ มีอีกใบเป็น Master card ของ KTC ใบนี้ เป็นบัตรที่สองหลังจากได้ ของ UOB มา วงเงินแรกที่ได้มา  3 หมื่นบาท โหะๆ เยอะมากในตอนนั้น และทุกปีก็ปรับวงเงินให้ ขึ้นมาทุกปีจนปัจจุบัน 8 หมื่นบาท >_<  เยอะจนน่าตกใจ มิกล้าใช้รูดซื้อของในเน็ตเลย โหะๆ กลัวจริง ๆ ครับ ง่ะ ออกทะเลมาไกลแล้ว -__-" วกต่อถึงตอนกรอกเลขบัตรจ่ายค่าของต่อคับ กรอก ๆ ๆ พอจะยืนยัน ก็มีตัวหนังสือแดง ๆ แว๊บ ๆ ยืนยัน ก็ไม่ได้สนใจไรครับ เพราะเป็นภาษาอังกฤษ ตามันลาย แห่ะๆ  ยืนยันไปป๊าบ ก็รอ Process เชื่อมต่อตรวจสอบบัตร ซักแป๊บ เอ๊าๆ เด้งกลับว่าไม่ผ่าน หรือไม่อนุมัติด้วยเหตุผลไรซักอย่าง ด้วยความที่ไม่รอบครอบ  ใจร้อนก็ไปคลิกดูสถานะการทำรายการ ขึ้นว่า Not Finalized แปลได้ว่า รายการไม่เสร็จสมบูรณ์ ไรฟร่ะ วงเงินก็เช็คหน้าเว็บ cyberbanking ดูแล้ว ว่าพอแน่ ๆ ก่อนยืนยันจ่าย ก็เลยกลับไปเช็ดดูวงเงินหน้าเว็บอีกที ปรากฎว่า อ้าว วงเงินตรูหายไปแล้ว 6 พันกว่า ๆ -___-" แล้วไมสถานะรายการสั่งซื้อ ไม่เสร็จสมบูรณ์หว่า งงๆๆ นั่งคิดไปคิดมา เอ ๆ หรือเราจะใช้ชื่อแม่เราสมัครสมาชิกหว่า เลยทำให้ชื่อไม่ตรงกับในบัตรที่เรารูดปรี๊ดๆ ไปตะกี้ สมัครสมาชิกใหม่เป็นชื่อเราเองดีกว่ามั้ง เวลารูดจ่ายด้วยบัตรเครดิตจะได้ตรงกับชื่อสมาชิก แต่ที่อยู่จัดส่งของเป็นที่อยู่แม่ที่อเมริกา วุ้ยคิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า เด้วปัญหาเกิด ซ้ำซ้อนอีก แห่ะๆ  ขอเคลียร์อันเก่าให้จบก่อนดีไหมเนี้ย แต่ก็โชคดีที่ได้คุยกะ support ออนไลน์ซะก่อน เหลือบไปเห็นเจ้าหน้าที่ ออนไลน์ chat อยู่หน้าเว็บขาย Mp 3 พอดี เอาวะ ภาษาอังกฤษก็อ่อนล้า มากมาย ตรูจะคุยกับเค้ารู้เรื่องไหมเนี้ย แห่ะๆ ฟุตฟิต ฟอไฟ เสนค ๆ ฟิต ๆ พักใหญ่ ก็พอจับใจความเจ้าหน้าที่ได้ว่า หน้าเว็บคอนเฟิมจ่ายด้วยบัตร ทางเว็บก็ได้แจ้งแล้วว่า จะต้องเป็นบัตรเครดิต ชื่อเดียวกับสมาชิกและเป็นบัตรที่ออกใน USA เท่านั้น เง้อ ว่าแล้ว ไอ้ตัวแดง ๆ ที่ขึ้นมา ดันไม่อ่านให้ดีก่อน อ้าว ๆ แล้วไอจะทำไงละ วงเงินก็ถูกตัดออกไปแล้วนะ ยูจะโกงไอหรือป่าวอ่ะเนี้ย ปกติซื้อของทางเน็ตจากเว็บอื่นๆ ในต่างประเทศ ก็ผ่านไม่มีปัญหาไรนี่นา ไอผิดใช่ไหมที่ไม่อ่านเงื่อนไขให้ดีก่อนอ่ะนิ คลิกไปอ่านส่วน ถามตอบ faq ก็มีคนถามอยู่เยอะในเรื่องที่ว่าต้องเป็นบัตรที่ออกใน USA เท่านั้น กรำของตรูไม่อ่านให้ดีก่อน แห่ะๆ เจ้าหน้าที่ฝรั่งคนนั้นก็ตอบอย่างสุภาพ อย่างเข้าใจลูกค้าบ้านนอก ๆ อย่างผม แห่ะๆ ว่า ยู don't worry ทางร้านเราไม่เรียกเก็บยอดเงินของคุณชัวร์ป๊าด  ประเดี๋ยวแบงค์ที่ออกบัตรให้ยูก็จะเคลียร์ยอดเงินก้อนนี้ กลับไปเข้าบัตรยูเองน่านหร่ะ แต่ต้องอดทนรอหน่อยนะ อ้อ ๆ กระจ่างเลย ^__^ กันยอดไว้ตามระบบเท่านั้น เมื่อร้านค้าไม่เรียกเก็บ ยอดก็จะคืนเข้าบัตรเอง แต่ด้วยความกังวลใจอีก แห่ะ ๆกลัวว่าตาฝรั่งนั่นจะโม้ ก็เลยโทรเช็ค call center uob ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกันว่า ไม่ต้องห่วงครับ ประมาณ 15 วัน ถ้าไม่มีการเรียกเก็บจากร้านค้า ระบบจะออโต้คืนวงเงินให้ เจ้าหน้าที่ก็เช็คให้ว่ามีการใช้จ่ายเป็นเงิน usd รุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่จาก uob ก็โทรมาชี้แจงอีก แต่ดันไม่ได้รับสาย มิสคอลซะงั้น แต่จำได้ว่าเป็นเบอร์ uob เลยโทรกลับไป เจ้าหน้าที่ก็แสนดีอธิบายให้ฟังอีกรอบว่าเดี๋ยววงเงินก็จะกลับมาปกติค๋ะ แต่ที่ผมเซ็งก็คือ แห่ะๆ อีกไม่กี่วัน ยอดชำระ บิลต่าง ๆ ค่าโทร ค่าเน็ต ค่าโน่นนี่ ที่หักชำระอัตโนมัติไว้ก็จะครบกำหนดแล้ว วงเงินตรูอีกไม่กี่บาทจะเต็มแล้ว >_<"  กว่ายอดหกพันกว่าบาทจะกลับมาไม่ทันแน่ ๆ ตรูต้องเอาเงินสดใส่กลับไปแทนไว้ก่อนใช่มะเนี้ย จริง ๆ ค่าบิลต่าง ๆ ถึงจะตัดไม่ได้ ก็ยกยอดไปรอบถัดไป แต่เหอๆ ไม่อยากจะได้รับข้อความ ทั้งทางโทรอัตโนมัติ ทาง sms  ทวงหนี้ยิกๆ  -__-" เบื่อจริง ๆ 15 วันผ่านไป เช็ควงเงินออนไลน์ดู ยอดเงินก็คืนกลับมา บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่า จะสั่งซื้อของทางเน็ตจากเว็บต่างประเทศ ควรอ่านเงื่อนไขให้รอบครอบก่อน ว่ายอมรับบัตรเครดิตจากไทยหรือไม่ อ่อ อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ เว็บที่จะจ่ายเงินปลอดภัยดีน่าเชื่อถือหรือไม่ เคยมีประวัติฉ้อโกง เบี้ยว หรือเปล่า ถามพี่กู (google) ก่อนเพื่อความชัวร์ครับ มิฉะนั้นวงเงินคุณจะถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว ไปครึ่งเดือนเลยทีเดียวครับ ^___^ จากคุณ : tle เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:12:02

ความคิดเห็นที่ 63   ตอนที่ได้รับใบแจ้งหนี้ ไม่ได้โมโหหรือไม่เข้าใจนะคะ รู้ว่ามันเกิดจากระบบและความเคยชินที่ทำกันมา ดิฉันติดต่อเข้าไปและชี้แจงเหตุผลว่ากรณีนี้น่าจะบันทึกรายการและตั้งหนี้ก่อนการตรวจสอบเสร็จไม่ได้ แต่ไม่มีใครฟังเหตุผลค่ะ ตอบเหมือนๆกัน และก็คิดแค่ว่าตั้งแล้วเด๊่ยวก้ลบได้ ไม่มีผลอะไร มันไม่ใช่เหตุแค่นั้นแล้วจะมีสิทธิ์มาตั้งอะไรตามใจหรือตั้งระบบไว้เป็นแบบนี้แล้วแก้ไขไม่ได้ค่ะ แต่แบงค์เลือกจะเป็นอย่างนี้ค่ะ และกว่าจะได้คำตอบสุดท้าย ก็มีทั้งยกเลิกไม่ทันเลยติดไป ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีผลอะไร ถ้ามันไม่มีผลอะไรแล้วทำไมคุณไม่รอตรวจสอบก่อนแล้วค่อยตั้งละคะ จะบอกว่าตั้งที่หลังไม่ใด้ก็ไม่ใช่  ข้ออ้างทังหมดของแบงค์ทั้งหมด ดิฉันตอบหมดแล้วในกระทู้นี้ด้วยเหตุผลและตัวอย่างด้วย อย่างอ้างเอกสารหรือใบแจ้งหนี้เลยค่ะ ตอบดิฉันได้ไหมคะว่า ณ. วีนาทีนี้เดี๋ยว บัตรใบนั้นมียอดค้างชำระอยู่ซึ่งหมายถึงเจ้าของบัตรยังมีหนี้กับธนาคารใช่ไหมคะ แล้ววินาทีนี้ธนาคารยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าดิฉันเป็นหนี้ แล้วหนี้มันถูกบันทึกได้อย่างไรคะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:19:46

ความคิดเห็นที่ 64   คุณ Alone with out lonely ครับถ้าจะปิดฝาโลงประเด็นการโต้แย้งจากบรรดาสาวกไทยพาณิชย์และเป็นการเน้นย้ำประเด็นว่าคุณถูกยัดเยียดความเป็นลูกหนี้ให้(แม้ว่าเราจะพยายามแจ้งก่อนการบันทึกรายการแล้วก็ตาม)ช่วยลงภาพSMSในโทรศัพท์มือถือหน่อยได้ไหมครับว่า มีSMS Alert ของ SCB เข้ามาวันที่ 12/06/09 จริง ส่วนผู้ให้บริการเลิกชี้แจงไม่ตรงประเด็นซะทีได้ไหมครับ ยอมรับและบอกกันมาเลยตรงๆว่าระบบของข้าเป็นแบบนี้แหละ(คือไม่ยอมเอาสถานะลูกหนี้และข้อมูลลูกหนี้อันไม่สุจริตนี้ออกจากระบบไม่ว่ากรณีใดๆ)ผู้บริโภคทั้งหลายจะได้รับรู้เป็นข้อมูลไว้ตัดสินใจพิจารณาใช้บริการ จากคุณ : econdpu เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:22:50

ความคิดเห็นที่ 65   คุณtle คะ ดิฉันไม่ติดใจเรื่องวงเงินค่ะ และก็ทราบขั้นตอนการตรวจสอบดีค่ะ ไม่ได้ตั้งกระทู้ด้วยความกังวลว่าจะต้องรับผิดชอบยอดเงินตัวนี้ แต่ตั้งกระทู้ถามถึงความชอบธรรมในสิงที่แบงค์บอกว่ามันเป็นระบบของเขาที่จะตั้งหนี้ไว้ก่อนการตรวจสอบค่ะ มันต่างกับกรณีที่หนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วก่อนการปฏิเสธนะคะ รายละเอียดชี้แจงไว้ข้างบนหลายรอบแล้วค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:23:47

ความคิดเห็นที่ 67   ความคิดเห็นที่ 66 คะกรุณาตอบคำถามข้างล่างค่ะ ตอบดิฉันได้ไหมคะว่า ณ. วีนาทีนี้เดี๋ยว บัตรใบนั้นมียอดค้างชำระอยู่ซึ่งหมายถึงเจ้าของบัตรยังมีหนี้กับธนาคารใช่ไหมคะ แล้ววินาทีนี้ธนาคารยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าดิฉันเป็นหนี้ แล้วหนี้มันถูกบันทึกได้อย่างไรคะ อ้างระบบอ้างแก้ไขแล้ว ข้อมูล real time ก็ยังเหมือนเดิม ref 47 มันreal timeนะคะ ถ้าโปร่งใสชัดเจนมันต้องไม่ยากจะเข้าใจค่ะ ไม่ใช่ต้องใช้การอธิบายที่ขัดกับข้อเท็จจริง ยอดค้างชำระคือยอดหนี้ใช่ไหม วินาทีพิสูจน์ได้หรือยังว่าเป็นหนี้ของดิฉันน่ะ ถ้าตอบไม่ได้เลิกตอบเถอะค่ะ รอธนาคารแห่งประเทศไทย Visa Master card และองค์คุ้มครองผู้บริโภค หรือแม้แต่ระบบยุติธรรมาช่วยตอบให้ดีกว่าค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 10:37:14 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:34:52

ความคิดเห็นที่ 68   ครับผม เข้าใจครับ ว่า เรื่องแบบนี้ไม่เกิดกับตัวเอง คงไม่มีใครเข้าใจความรู้สึก เป็นกำลังใจให้ทั้งคุณ Alone with out lonely และ scb แก้ไขปัญหานี้ให้จบได้โดยไวครับ edit: คุณ Alone with out lonely อาจจะเข้าใจผิดเรื่องวงเงินในบัตร ที่ผมเล่า ประสบการณ์ ไปรูดบัตรซื้อของในเน็ตน่ะครับ ต้องขออภัยด้วยครับ แท้จริงอยากจะเล่าถึงความเซ่อของผมเองเฉย ๆ น่ะครับ เผื่อจะมีประโยชน์กับท่านอื่น ๆบ้างไม่มากก็น้อยครับ ^ ^ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 11:33:28 จากคุณ : tle เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:37:14

ความคิดเห็นที่ 69   SMS ค่ะ น่าเสียดายที่ใช้เบอร์ 02 โทรถ้าใช้มือถือจะไปขอรายละเอียดเวลาติดต่อ 7777777 มาโชว์ให้ดูค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 10:39:07 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:37:47

ความคิดเห็นที่ 70   ขอบคุณพี่จุกค่ะ ตอบทุกข้อสงสัยได้ชัดเจนมากๆเลย จากคุณ : minkcheerful เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:48:37

ความคิดเห็นที่ 71   มีที่น่าสนใจอีก อันนี้เมื่อ 17-07-09 23.34 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:51:27

ความคิดเห็นที่ 72   อันนี้ 18-07-09 10.42 วันปิดบัตรของดิฉันคือ 18-07-09 ปกติไม่เคยปิดแต่เช้าแบบนี้หรอกค่ะ สรุปว่าเมื่อคืนหลังจดหมายออกแล้วนี่ดิฉันยังมีหนี้อยู่ใช่ไหมคะ  แต่เผอิญไปดูที่เสตรทเมนท์ เสตรทเมน์ล่าสุดยังเป็นเดือน 6 อยู่เลยค่ะ เพื่อนๆสมาชิกท่านไหนปิดบัตรวันนี้ช่วยดูให้หน่อยได้ไหมคะ บัตรท่านปิดรอบหรือยัง วันนี้ SCB ขยันเป็นพิเศษค่ะ สงสัยปิดตั้งแต่ 0.00 ของวันที่ 18-07-09 กันเลย แถมคุยกันมาแทบตายจดหมายมาถึงเมื่อคืนยังบอกว่าต้องรอตรวจสอบอยู่เลย ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป การตรวจสอบมันเสร็จสิ้นแล้วหรือคะยอดมันเลยหายไปได้ แล้วอย่าบอกว่าแก้ไขแล้วมันจบเรื่องแล้วนะคะ เพราะคำถามดิฉันก็คือ SCB มีสิทธิ์จะมาตั้งหนี้ก่อนมูลหนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ค่ะ ไม่ได้มาเรียกร้องให้เอารายการออก เดี๋ยวจะส่งความชัดเจนในการตอบคำถามของ SCB ในกระทู้นี้ไปให้ธปทดูค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 11:08:22 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 11:06:24 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 11:04:58 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 52 10:59:38 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 10:57:26

ความคิดเห็นที่ 73   เข้าใจ พี่ จขกท.เรื่องที่ตั้งประเด็นนะคะ ขอบคุณ จขกท.ที่เป็นหนึ่งเสียง ซึ่งมาเรียกร้องให้เกิดการพัฒนาค่ะ ส่วนตัวเป็นสาวก scb เพราะชอบระบบของแบงค์นี้ แต่รอบนี้ กรณีของจขกท. แบงค์ทำไม่ถูกเท่าไหร่ ส่วนตัวคิดว่า โชคดีที่เรื่องเกิดขึ้นกับ scb เพราะ เชื่อว่าการพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพราะ แบงค์นี้ค่อนข้างเปิดกว้าง ในการพัฒนาระบบต่างๆ ค่ะ ปล.เป็นกำลังใจให้ pjuk นะคะ จากคุณ : เสียงดัง ฟังชัด เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 11:28:07

ความคิดเห็นที่ 74   ผมเข้าใจทั้งสองฝ่ายครับ ผมเป็นจขกท.ก็ต้องรู้สึกไม่สบายใจ และขอขอบคุณ pjuk ที่ช่วยเหลือในทุกๆเรื่องเสมอมาครับ ปล. แอบเสียวบัตร SCB ของตัวเองบ้างแล้วครับ ยกเลิกไปหลายบัตรแล้วเหลือบัตร SCB card กับ Famlily plus แต่ไม่ได้ใช้เลย จากคุณ : Papiruz เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 11:58:30

ความคิดเห็นที่ 75   เข้าใจ Point ของ จขกท ครับ แต่อยากออกความเห็นในฐานะคนที่ต้อง เข้าไปยุ่งเรื่องบัญชีนิดๆหน่อยๆ ว่ากันจริงๆแล้ว Transaction ซื้อขายมัน completed ตั้งแต่ VISA ส่ง Approval Code ไปให้ทางร้านที่จำหน่ายสินค้าในวันที่ 12 แล้วล่ะครับ ส่วนวันที่ 15 คือวันบันทึกรายการเฉยๆครับ ยังไงๆก็ขอให้ Clear กับทางธ.ได้เป็นที่เรียบร้อยนะครับ จากคุณ : Dark Archon เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 12:33:52

ความคิดเห็นที่ 76   อ่านมาตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งข้อความที่ยังไม่แก้ไข และข้อความที่แก้ไขแล้ว จขกท ก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เลยนี่คะ  ดูตั้งใจจะฟ้องร้องธนาคารอยู่แล้ว   ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามแก้ไขในส่วนที่เป็นปัญหาแล้วก็ตาม ปัญหาของ จขกท คือ "ตรงหนี้แหละที่ดิฉันถามว่าธนาคารมีสิทธิ์ตั้งหนี้ก่อนที่จะพิสูจน์ว่าเป็นหนี้จริงได้หรือเปล่า"  (คหห 61) ถ้าไม่มีข้อมูลการรูดบัตรเกิดขึ้น ธนาคารก็ตั้งไม่ได้หรอกคะ.........แต่มันมี  ถูกไหมล่ะคะ    เมื่อมี แล้วทำไมจะตั้ง "ข้อกล่าวหา" ไว้ก่อนไม่ได้คะ   โทรยกเลิกไม่ว่าจะช้า 10 วัน หรือเร็ว 2 นาที มันก็คือ หลังจากมีการส่งข้อความ  ..........ใช่ไหมคะ   แม้แต่ในการคำนวณทางโปรแกรม (ถ้าเคยเขียนมาบ้าง)  โปรแกรมมาตราฐานเขายังเรียกว่า time to expiry เดียวกัน ได้รับการปฏิบัติเท่ากัน (ในกรณีนี้ คือ หลังจากทราบข้อความจากแบงค์ ไปจนถึง 10 วัน) ถ้าเคลียร์ให้คุณได้ โดยที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอะไร ก็ไม่ยุติธรรมกับคนที่เขาโทรยกเลิกช้ากว่าคุณในเขตช่วงเวลาที่กำหนด เดียวกันซิคะ ถ้าทำอย่างนั้น ก็คือไม่ทัดเทียม  ถูกหรือไม่ ไม่เป็นการเอาเปรียบลูกค้าท่านอื่นเหรอคะ  ถ้าลูกค้าไม่มีมือถือมารับ SMS ลูกค้าก็หมดสิทธิ ใช่ไหมคะ.........แบบนี้เรียกว่าบริการแบบแบ่งแยกชนชั้น หรือปล่าว ระบบยุติธรรมศาลในโลกยังมีตั้งหลายแบบ  ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มาตราฐานไหน อย่างเช่น..........ไทยใช้ระบบฝรั่งเศส   นั่นคือ  กล่าวหาก่อน ตีค่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นจำเลย และให้จำเลยพิสูจน์ ถามว่ายุติธรรมไหม...........ทำไมคนแจ้งความถึงไม่หาหลักฐาน  จำเลยอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้ไปทำอะไร ทำไมต้องเดือดร้อนไปหาหลักฐานมาแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง   ในเมื่อเป็นอย่างนี้ กฎหมายไม่ยุติธรรม เอาเปรียบ ไม่คุ้มครองประชาชนไทยอย่างทัดเทียม  ผิดรัฐธรรมนูญชัดๆ ถ้าคิดอย่างตรรกะคุณ จขกท คงจะออกมาแนวนี้ แล้วถ้าเปลี่ยนมาใช้ระบบอังกฤษล่ะ.......ให้ผู้ฟ้องร้องหาหลักฐานมาเอง  ผู้ถูกกล่าวหาจะยังคงบริสุทธิ์อยู่จนกว่า ผู้ฟ้องร้องจะพิสูจน์ได้ ผู้ฟ้องร้องคงจะโวยวายว่า .......จะไปหามาได้ยังไง เราโดนกระทำ มาพึ่งความยุติธรรมให้ช่วยหาหลักฐาน คนทำผิดที่ไหนจะโง่ทิ้งหลักฐานไว้ อย่างนี้กฎหมายเอื้อผู้ทำผิดนี่  ไม่มีความยุติธรรม  คนคิดระบบแย่มาก ใช่ไหมคะ..........ตามตรรกะ จขกท   ระบบไหนก็ตอบสนองความต้องการของทุกคนไม่ได้หรอกค่ะ มีธนาคารไหนที่ทำตามที่ จขกท ต้องการบ้างคะ ช่วยยกตัวอย่างให้ทีซิคะ ในเมื่อการ Hold แบบนี้เป็นมาตราฐาน Visa Master  เมื่อมีมีการรูดบัตร ก่อนพิสูจน์ได้ก็ตั้งว่า "หนี้" ไว้ก่อนค่อยพิสูจน์    ถ้าผิดคุ้มครองผู้บริโภคจริงๆอย่างที่ จขกท เข้าใจ คงฟ้องร้องระบบนี้ทั่วโลกไปแล้ว  หรือว่าผิดเฉพาะในประเทศไทยเอ่ย........ ถ้าเข้ากับระบบสากลไม่ได้ ........... เราเห็นของแบงค์ไหน เมื่อมีการรูด ก็จะขึ้น Hold ลูกหนี้ไว้ทันที  จนกว่าจะพิสูจน์เสร็จสิ้นถึงจะเอาสถานะออกให้   เราเห็นเป็นอย่างนี้ทุกที่นะคะ ถ้าผู้บริโภครับระบบนี้ไม่ได้ ควรจะพิจารณาไม่ใช้บัตรเครดิตที่มีคำว่า Visa หรือ Master ค่ะ.......เพราะถ้าเราเป็น Visa Master เราคงไม่เปลี่ยนระบบแน่นอนค่ะ ระบบที่เราหมายถึง ไม่ใช่การตรวจสอบ แต่เป็นระบบ Hold สถานะ "หนี้" เมื่อมีการเคลื่อนไหวเงิน..........หวังว่าคงตรงตามข้อสงสัย จขกท นะคะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:03:59

ความคิดเห็นที่ 77   #57 พี่pjuk แนะนำให้ click unbilled   จขกท กรุณา คลิก มาวางโชว์หน่อยซิคะ ว่าแบงค์เพิกเฉยหรือไม่ อยากเห็นเหมือนกันคะ......... จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:11:33

ความคิดเห็นที่ 78   คุณ Dark Archon คะดิฉันเข้าใจระบบบัญชี และก็ไม่คิดด้วยสิ่ิงที่มันเกิดขึ้นเป้นความตั้งใจของธนาคาร สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเกิดจากช่องโหว่วของตัวระบบ ดิฉันก็พยายามทักท้วงในปัญหาเรื่องระบบ แต่ธนาคารก็ยังจะบอกแต่เพียงว่ามันต้องทำตามระบบ ไม่มีระบบไหนที่ไม่มีช่องโหว่วค่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องพัฒนาปรับปรุงกันอยู่ตลอดเวลา กรณีเกิดการใช้บัตรจากการขโมยข้อมูลมันมีความเสียหายกันทุกจุดที่เกี่ยวข้อง ผู้ใช้บัตร ธนาคาร ร้านค้า และทุกๆฝ่ายก็มีสัญญาระบุหน้าทีความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน กรณีปัญหานี้มันแก้ระบบได้ไม่ยากถ้าผู้ใช้ระบบคิดว่าสิ่งที่เกิดจากระบบมันเป็นปัญหาหรือมันเป็นการละเมิด ถ้าจะยอมรับกันว่า การปฏิเสธการใช้บัตรก่อนการบันทึกรายการหรือการเรียกเก็บเข้ามามันมีความแตกต่างกันและจัด process ของการทำงานให้แยกออกจากกัน เพราะกรณีแบบนี้แน่ๆเลยคือบัตรจะถูกระงับการใช้ทันที การจะตั้ง code หรือทำ maker ไว้ทำไม่ยาก ให้เจ้าหน้าที่ที่ระงับบัตรเป็นคนใส่ข้อมูลไปเลยก็ได้ กรณีไม่เรียกเก็บมามันก็ auto อยู่แล้วคือไม่มีบันทึกวงเงินโอนกลับไม่มีปัญหาใดๆ ถ้ามีการเรียกเก็บ กรณีแบบนี้ดิฉันเชื่อว่าอย่างไรก็ต้องมีการตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไป ยอดเงินตั้งเป้นคงค้างหาที่ให้มันอยู่ระหว่างรอ verify process ไป ดิฉันเชื่อว่ากรณีทำเองแล้วแจ้งปฏิเสธนี่มีจริงแต่มันเป็นส่วนน้อยเพราะมันเป็นการแจ้งเท็จที่เปิดเผยตัวตน มันหนีความผิดไม่ได้อยู่แล้วเพราะฉะนั้น data ตรงนี้มันจะกลับไปเกี่ยวก้องกับผู้ใช้บัตรน้อยมาก ไม่ได้ลำบากในการทำงานเลย แต่ที่ทำอยู่นี่เพราะมันง่ายกับแบงค์ และความคิดที่ว่า ใส่ไว้ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวก็เอาออกไม่เห็นเป็นไร แบงค์มองที่ผลของการกระทำแต่แบงค์ไม่ได้มองถึงว่าสิ่งที่ทำมันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่า มีสิทธิ์ทำหรือเปล่า ส่วนของธนาคารเขาคงไม่ต้องทำอะไรแล้วค่ะ เพราะเขาเอายอดออกไปจากบัตรที่เป็นชื่อดิฉันแล้วในวันนี้ เหลือแต่ส่วนของดิฉันที่จะต้องดำเนินการหาคำตอบว่าการกระทำแบบนี้มันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่าเท่านั้น จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:13:01

ความคิดเห็นที่ 79   คุณกันดัมจังค่ะ คำถามคุณดิฉันตอบไว้ตั้งแต่คหบนๆแล้วค่ะ เอาเป็นว่าดิฉันไม่ได้ตั้งใจมาฟ้อง แบงค์อย่างเดียวอย่างที่คุณกล่าวค่ะ แต่ดิฉันมาหาคำตอบว่าสิ่งที่ SCB หรือทุกแบงค์ที่คุณบอกว่าทำเหมือนกันเนี่ยะมันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่า การที่มีการกระทำอะไรที่ทำเหมือนกันมากๆ หรือทำต่อๆกันมามันไม่ได้หมายความว่ามันต้องถูกเสมอไม่ไใช่หรือคะ หลายๆตัวอย่างที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นกันบ้างแล้วว่า การกระทำที่ทำกับเป็นส่วนมากหรือทำต่อๆกันมาก็ไม่ได้เป็นสิงที่ถูกต้อง ดิฉันไม่ได้กล่าวหาแต่ใช้สิทธิทวงถาม แบงค์ก็ไม่มีสิทธิ์กล่าวหาถ้ายังไม่มีหลักฐานเหมือนกันค่ะ ว่าแต่อย่ามาประทะคารมกับให้กระทู้มันร้อนหรือเบี่ยงเบนประเด็นไปดีกว่านะคะ รอดูว่าผลมันจะออกมาอย่างไรดีกว่าค่ะ ดิฉันเคารพความคิดเห็นต่างในบอร์ดสาธารณะนะคะ และยินดีจะแลกเปลี่ยนถ้าความคิดเห็นนั้นมันเสนอด้วยเหตุผลและมีเหตุผลมาโต้แย้งค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:28:31

ความคิดเห็นที่ 80   เฝ้ารอคุณ pjuk มาชี้แจงครับว่า ที่ จขกท ต้องการคำตอบจาก scb ในเคสนี้ว่า  "มันชอบด้วยกฎหมายหรือเปล่า" อ่านไปอ่านมา งง และสงสัยครับ ว่ามาตรฐานและกฎเกณฑ์ ของ visa และ master card ที่แบงค์จะดำเนินการในกรณีแบบนี้ที่เกิดขึ้น เป็นไปอย่างไร ติดขอบจอครับ ^______^ จากคุณ : tle เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:37:21

ความคิดเห็นที่ 81   #72  คุณ จขกท เข้าใจอะไรผิดรึปล่าวคะ คำตอบของคนในเวปสินธร ไม่ใช่คำตอบของ SCB นะคะ  เป็นการแสดงความเห็นปกติ อย่างเช่น ดิฉันก็ไม่ใช่ SCB เป็นต้น เข้าใจว่านะคะ จขกท ต้องการ"สร้างหลักฐาน" เพื่อจะนำไปประกอบการฟ้องร้องต่างๆ  ถึงได้แก้ไขข้อความพิมของตัวเองบ่อยครั้ง  และเห็นย้ำอยู่เสมอว่าจะใช้ข้อความต่างๆในกระทู้จะนำไปประกอบการฟ้องร้อง แต่ก็อยากจะบอกว่ามันไม่ตรงจุดค่ะเพราะ การโพสในห้องสินธรเป็นการแสดงความเห็นในเรื่องราวต่างที่เกี่ยวกับการลงทุนตามปกติ ไม่ได้มีหน่วยงานไหนมาตั้งอยู่ในห้องนี้ ถ้าอยากจะทำหลักฐานเพื่อใช้ฟ้องร้อง SCB ควรจะหาคำตอบที่ลงมาในนาม SCB นะคะ............คำตอบจาก pjuk เป็น ลอคอินส่วนตัว ไม่ได้ทำในนาม SCB ใช้ฟ้องร้องอะไรไม่ได้หรอกค่ะ  เพราะไม่ใช่คำตอบของ SCB เห็นต้องการทั้งคำตอบจาก SCB และ ธปท Visa Master Card และ สคบ จาก #67.........แล้วเพราะอะไรจึงคิดว่าหน่วยงานเหล่านี้จะมาตอบคำถามคุณในพันทิป มาตั้งกระทู้ถามเอาในบอร์สาธารณะอย่างพันทิป  เราว่าไปตั้งกระถามจากหน่วยงานตรงๆ จะดีกว่านะคะ  ขนาดคนจะร้องเรียนอะไรเขายังต้องขึ้นให้ถูกศาลเลย  จริงไหมคะ ถ้าฟ้องร้องเสร็จสิ้นยังไง ก็รบกวนมาโพสให้เพื่อนเห็นว่าการกระทำข้างต้นผิดในมาตราใด..........ตามที่ หน่วยงานต่างๆเห็นพ้องกับคุณคะ แนะนำมาทั้งหมดนี่เพราะหวังดีนะคะ อยากให้คุณได้ใช้เวลาหาหลักฐานที่ใช้ได้จริงและเกิดประโยชน์ต่อตัวเองได้เต็มที่ค่ะ  ^_^ ขอบคุณสำหรับอุธาหรณ์ที่นำมาแบ่งปันนะคะ ทำให้ผู้ที่คิดจะใช้บัตรเครดิตได้ตัดสินใจค่ะ "ถ้าไม่ต้องการจะมี สถานะคำว่าหนี้ ในช่วงที่กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง  ไม่ควรใช้บัตรเครดิตที่มีคำว่า Visa หรือ Master เด็ดขาด " ไม่ว่าธนาคารใดๆทั้งสิ้น ไม่จำกัดเฉพาะ SCB ค่ะ  เพราะ Visa Master เขาให้มาแบบนั้น...........จริงไหมคะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:40:04

ความคิดเห็นที่ 82   อ่าน คหห #81 ของตัวเอง อยากจะบอกว่า ที่แนะนำให้ไปโพส หรือตั้งกระทู้ตามหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น  ไม่ใช่หมายถึง ไม่ควรมาโพสที่พันทิปนะคะ โพสที่นี่ก็เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินของเพื่อนๆมากมายคะ และขอบคุณมากๆที่นำอุธาหรณ์มาแบ่งปัน แต่ก็อยากจะให้ จขกท ได้ข้อความที่ตรงจุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงด้วยค่ะ  จะได้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ จขกท ด้วยนะคะ และบางทีอาจเกิดผลดีต่อผู้บริโภคท่านอื่นๆด้วยค่ะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 13:48:02

ความคิดเห็นที่ 83   ให้ give ไม่ถูกแล้ว จากคุณ : เห็นใจกันบ้าง.. (ยังมิได้ give ชิมิ) เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 14:16:52

ความคิดเห็นที่ 84   เห็นด้วยกับ #81 จากคุณ : อันปังแมน เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 14:39:07

ความคิดเห็นที่ 85   กรณีแบบนี้ผมเคยเจอกับตัวเองครับ เลยเข้ามาให้กำลังใจคนทำงาน pjuk ครับ ปล. ไม่ใช่สาวกใครทั้งนั้นครับ จากคุณ : Athlons เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 15:50:40

ความคิดเห็นที่ 86   เคยโดนของ scib ครับ.... ซื้อของจากไต้หวัน แล้วอยู่ดีดีศูนย์เค้าก็โทรมาบอกว่ามีการใช้เงินที่อิตาลีเป็นเงินเจ็ดหมื่นกว่าบาท...เข้าใจว่าเป็นการแอบรูดใช่หรือไม่? ผมก็บอกว่าใช่... เค้าก็บอกว่าไปให้แจ้งความแล้วแฟกซ์ใบแจ้งความให้เค้า ส่วนยอดเงินสำหรับยอดรอบนั้นเค้าก็บวกมาในรายการนะครับ แล้วเค้าบอกว่าไม่ต้องจ่าย พอเดือนถัดไปก็มียอดมาลบออก.... ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้เคยอ่านคู่มือการใช้บัตรเครดิตหรือไม่ครับ??? เข้าใจว่าในนั้นมีบอกไว้ว่าข้อมูลบัตรทุกอย่างเป็นความลับของเราการรูดทุกครั้งถือว่าเราเป็นหนี้ธนาคารและต้องชดใช้หนี้ให้กับธนาคาร ซึ่งในความเป็นจริงการที่บัตรเราโดนขโมยข้อมูลไปตามสัญญาเค้ามองว่าเราจงใจไม่รักษาข้อมูลบนบัตรนะครับ.... ซึ่งในความเป็นจริงอีกเช่นกัน..กรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเราไม่ได้รูดจริงเราก็ไม่ต้องจ่ายธนาคาร  ผมว่าที่เค้าตั้งให้เป็นลูกหนี้เนี่ยก็ทำถูกนะครับ แค่รอบบิลเดียวเอง...   ผมว่าคุณพี่ด่วนใจร้อนจะให้เค้าลบหนี้ออกโดยทันที ผมว่าคงไม่ได้มั๊งครับ เค้าก็มีระบบของเค้า อย่าลืมนะครับ ตอนรับบัตรเครดิตทุกครั้งจะมีคู่มือการใช้บัตรเครดิตแนบมาด้วย รวมไปถึงในใบสมัครบัตรเครดิตทุกใบมีอะไรที่เราเสียเปรียบธนาคารหลายข้อ ซึ่งผมคิดว่าถ้าธนาคารทำตามนั้นเป๊ะเนี่ย เรา ๆ ท่าน ๆ คงจะไม่สนุกกับการใช้บัตรเครดิตเหมือนทุกวันนี้เป็นแน่.... จากคุณ : ชายยอดนักทดลอง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 20:12:07

ความคิดเห็นที่ 87   ไม่ใช่สาวก scb แน่นอน ..แต่รู้สึก เจ้าของกระทู้ OVER REACT กับแค่ หนี้ 8,000 กว่าบาท กับการถามหาความชอบด้วยกฏหมาย ของการแสดงสภาพหนี้ การยอมรับบัตรเครดิตมาใช้งานถือเสมือนยอมรับกระบวนการทั้งหมด ที่ต่อว่าธนาคารมาแล้วนั่นแหละ เห็นด้วยกับหลายคนครับ เพราะเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดกับหลายคนในนี้ รวมทั้งผมก็เคยเจอ บัตรถูกรูดที่ญี่ปุ่น ทั้งที่บัตรอยู่กับตัวในเมืองไทย ก้มีใบแจ้งหนี้ แค่โทรไปคุย กับทางเจ้าของบัตร ทุกอย่างมีขั้นตอน เคลียร์กันได้แน่นอน หนี้เราไม่ได้ก่อยังไงก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ระบบถูกออกแบบ และวางมาให้รัดกุมและยุติธรรมกับทุกฝ่ายภายใต้การ ยอมรับของเราในการถือบัตรและใช้บัตรนั้นแล้ว จขกท. บอกว่า ดิฉันไม่ได้ตั้งใจมาฟ้อง แบงค์อย่างเดียวอย่างที่คุณกล่าวค่ะ แต่ดิฉันมาหาคำตอบว่าสิ่งที่ SCB หรือทุกแบงค์ที่คุณบอกว่าทำเหมือนกันเนี่ยะมันชอบด้วยกฏหมายหรือเปล่า ถ้าต้องการแค่ชอบด้วยกฏหมาย เนี่ย อยากจะบอกจังว่า จะเอาผิดแบ็งค์ด้วยเรื่องแค่นี้ อ๊ะ ลงทุน เขียนกระทู้ยาวยืด เพื่อจะถามว่า ชอบด้วยกฏหมายป่าว แบ็งค์ได้บีบให้รับสภาพหนี้ จริงๆ ใบแจ้งหนี้ ไม่ได้เป็นการบังคับให้ชำระหนี้สักหน่อย แล้วงงมาก ธนาคารโชว์ว่าเป็นหนี้ก็ไม่ยอม ธนาคารเอาออกให้  ก็บอกว่า คุยกันมาแทบตายจดหมายมาถึงเมื่อคืนยังบอกว่าต้องรอ ตรวจสอบอยู่เลย ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป การตรวจสอบมันเสร็จสิ้นแล้วหรือคะยอดมันเลยหายไปได้ แปลกแฮะ ยังงั้นก็ไม่ดี ยังงี้ก็ไม่ชอบใจ จะเอาชนะ หรือจะหาเรื่อง ผมว่าถ้ารู้สึกไม่สบายใจรวบรวมหลักฐานทั้งหมดไปฟ้อง สคบ.เลบครับ และ ฟ้อง แบ็งค์ชาติ ฟ้องสมาคมธนาคาร ฟ้อง VISA INTERNATIONAL ฟ้องศาลปกครองด้วยเลยครับ ผมก็อยากรู้ผลเหมือนกัน ทำกันให้เป็นกรณีตัวอย่างเลยนะครับ จากคุณ : :::GANTZ::: เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 21:34:16

ความคิดเห็นที่ 88   ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะคะ ดิฉันคิดว่าได้ชีแจ้งรายละเอียดไปจนครบหมดแล้ว และในสถานการณ์ณ.ปัจจุบันนี้ดิฉันและSCB คู่กรณีก็คงไม่อะไรต้องคุยกันต่อแล้วเพราะ SCB ได้ลบยอดหนี้ที่เป็นปํญหาออกไปจากบัญชีบัตรเครดิตแล้วหลังคืนเมื่อคืนนี้ ดิฉันขอไม่ชี้แจงรายละเอียดต่อไปอีกเพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั้งและกลายเป็นการทะเลาะกันอันจะเป็นสาเหตุให้กระทู้ต้องถูกลบไป ในส่วนของการหาคำตอบนั้นดิฉันจะดำเนินการต่อไปและจะนำผลมาแจ้งในเวปบอร์ดไม่ว่าผลจะออกมาแบบไหนค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 52 22:43:24

ความคิดเห็นที่ 89   ประเด็นคือ แค่คุณออกมาบอกว่าคุณไม่ได้ใช้ มันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ได้ใช้จริงๆ เขาต้องตั้งหนี้และพิสูจน์กันต่อไปก็ถูกแล้ว ไม่เกี่ยวเลยที่คุณจะโทรไปแจ้งหรือไม่เพราะมันหลังจากการใช้ไปแล้ว กรณีที่เขาไม่ควรจะตั้งหนี้คุณก็คือคุณจะต้องโทรไปแจ้งก่อนเท่านั้น หากคุณใช้บัตรแล้วมันยุ่งยากใจนักก็ยกเลิกเถอะครับ ไม่ได้ประชดนะครับ แต่ระบบของบัตรเขาก็รอบคอบและยุติธรรมดีอยู่แล้ว คุณจะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางได้อย่างไร หากรับระบบไม่ได้ดีสุดก็เงินสดครับ จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 01:58:09

ความคิดเห็นที่ 90   ไม่รู้นะ ผมเป็นธนาคารผมจำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะผมคิดไว้ตั้งแต่อ่านยังไม่ถึงกระทู้ที่ 38 ที่ตอบโดย pjuk ถ้าผมเกิดไปใช้บัตรแล้ว ใช้เสร็จโทรแจ้งว่าได้ sms แต่ไม่ได้ใช้บัตร จริงๆผมได้รับสินค้าไปแล้ว ถ้าใครก็ตามใช้วิธีนี้ แล้วธนาคารรีบดำเนินการแก้ไขให้ทันที แล้วการโจรกรรมบัตรยิ่งจะมีช่องโหว่ครับ แปลกๆตรงเจ้าของกระทู้ทำไมต้องทำเหมือนวางแผนมาแล้วอย่างนั้น อันนี้คิดสงสัยเฉยๆ จงใจบอกว่าตั้งใจใช้เบอร์ 02 เพื่อบอกว่าอยู่ในไทย แค่สงสัยครับ จากคุณ : Photo by ObEy เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 03:43:29

ความคิดเห็นที่ 91   ผมว่าหยุดอธิบายให้คุณ Alone with out lonely ฟังเถอะ เพราะไม่ว่าจะเอา Board ของ SCB มาอธิบายเธอก็จะไม่เข้าใจหรอกครับ เพราะเท่าที่อ่านมาเธอพยายามจะไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น เพราะสิ่งเดียวที่เธอต้องการคือ "เอาชนะ" ครับ ขอโทษนะครับที่ต้องพูดตรงๆเพราะทนอ่านมานานแล้ว มันอดไม่ได้จริงๆ จากคุณ : KamalaBoy เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 05:01:57

ความคิดเห็นที่ 92   ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง เข้ามาเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ครับ จากคุณ : น้ำค้างเดือนเก้า เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 11:15:51

ความคิดเห็นที่ 93   ในฐานะผู้บริโภคและเคยทำงานเชคระบบบางประเภท อยากจะอธิบาย ให้เพื่อนๆ ผู้บริโภคหลายๆท่าน เข้าใจว่า ทำไมระบบ Visa Master ถึงต้อง hold สถานะ "หนี้"  ทันทีที่มีการรูดบัตรคะ  1.แบงค์เจ้าของบัตรมีสิทธิเต็มที่ ที่จะ hold สถานะ ตามกฎหมายเพราะเป็นไปตามสัญญาการใช้บัตรเครดิต ที่ให้เราอ่านและรับรู้ก่อนการที่จะได้ใช้บัตรเครดิต ตามที่พี่ยอดชายนายทดลองกล่าว 2.ถามว่า สัญญาเป็นธรรมหรือไม่ เฉพาะในกรณี Hold สถานะ  ไม่นับกรณีข้อตกลงอื่นในสัญญานะคะ...... เป็นธรรมค่ะ  เพราะ  บัตรเครดิต คือ เครดิตที่ผู้บริโภคทำไว้กับเจ้าของบัตร และเครดิตที่เจ้าของบัตรทำไว้กับร้านค้า นั่นคือ.........เวลาเราซื้อของเราใช้เครดิตในนาม visa master ไม่ใช่ใช้เครดิตตัวเราเองซื้อของนะคะ   การที่เราใช้บัตรเครดิต นั่นคือ เราไม่ได้ใช้เงินจริงๆนะคะ   เมื่อเราใช้เพื่อ ซื้อสินค้า หรือจองโรงแรม ทำธุรกรรมต่างๆ  ถ้าไม่นับว่า "การรูดบัตร" คือการจ่ายเงิน ในตอนนั้น  ก็แสดงว่า เรา "ขโมย" สินค้าออกมา ใช่ไหมคะ   การที่เอาสินค้าออกจากร้าน โดยที่คนเอาสินค้าไปไม่ได้จ่ายเงิน  ทางร้านไม่ได้รับเงินจากใครทั้งสิ้น.........ก็คือ การขโมย ดีๆ นี่เอง ดังนั้น เมื่อรูดบัตร ก็จะเป็นข้อตกลงกับร้านค้าว่า นี่คือ เจ้าของบัตรรับปากว่าจะจ่ายเงินค่าสินค้า ที่คนใช้บัตรเอาออกไป  เมื่อรับว่าจะใช้เงินค่าสินค้าให้  ตัวผู้ใช้บัตรก็ต้อง "เป็นหนี้" เจ้าของบัตร ถูกต้องไหมคะ ถ้าคุณไม่รับว่าเป็นหนี้ นั่นหมายถึง คุณคือ ขโมย ใช่หรือไม่ ก็คุณเอาของออกจากร้านโดยไม่ได้จ่ายเงิน และไม่มีใครมารับจะจ่ายแทน นี่คะ ดังนั้น การที่ระบบ จะ hold สถานะ "หนี้" ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวบัตร จึงเป็น "ความชอบธรรม" ต่อผู้ใช้บัตร เจ้าของร้านค้า อย่างครบถ้วน อย่างเช่น สมมติ ดิฉัน ไปซื้อ เครื่องสำอางค์ที่เคาเตอร์ซักแห่ง  ดิฉันก็รูดบัตร  เมื่อรูดเสร็จก็เซ็นต์ชื่อรับ  และหอบของเดินออกจากเคาเตอร์โดยที่ไม่ได้จ่ายเงินสด   เคาเตอร์ก็ถือว่า ณ เวลานั้นแบงค์จ่ายแทนแล้ว  เมื่อแบงค์จ่ายแทนแล้วดิฉันก็คือ "ลูกหนี้" แบงค์เจ้าของบัตรทันที   ถ้าดิฉันโวยวายว่า  ไม่นะ ดิฉันไม่ได้เป็นลูกหนี้........ถามว่าแล้วตอน ณ เวลานั้นใครจ่ายเงินค่าเครื่องสำอางค์ที่ดิฉันหอบออกมาล่ะ   แบงค์ไม่ได้จ่าย(เพราะดิฉันไม่ยอมรับว่า ใช้เงินแบงค์จ่ายนี่) ดิฉันก็ไม่ได้จ่าย ดิฉันก็กลายเป็น "ขโมย"  นะคะ หวังว่าผู้บริโภคท่านอื่นๆจะพอเข้าใจ ในการ Hold "หนี้" ทันทีที่มีการรูด เมื่อ Hold สถานะ "หนี้" ไปแล้ว จึงเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ และแจ้งรายละเอียด การที่โทรไปยกเลิก การใช้บัตร นั่นคือ การร้องเรียนหลังการที่บัตรเข้าสู้สถานะ "หนี้" ไปแล้ว จะช้า จะเร็ว มันก็คือ หลังจากรูดไปแล้ว  ซึ่งก็ต้องพิสูจน์กันต่อไปว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นไรค่ะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 13:22:05

ความคิดเห็นที่ 94   เยี่ยมจริง ๆ ^______^ คุณกันดัมจัง แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 13:55:38 จากคุณ : tle เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 13:54:47

ความคิดเห็นที่ 95   คุณกันดัมจังคะ ที่คุณกล่าวมาข้างบนเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วค่ะ ถ้ามันมีหนี้เกิดขึ้นดิฉันยืนยันหลายหนแล้วว่ามันตั้งเป็นหนี้ได้ ประเด็นที่ดิฉันต้องหาคำตอบคือกรณีแจ้งก่อนเรียกเก็บนี่ มันมีหนี้เกิดขึ้นจริงๆระหว่างตรวจสอบหรือเปล่า แล้วมันคือ หนี้ ที่สามารถตั้งหนี้ แจ้งหนี้ เหมือนกรณีแจ้งหลังเรียกเก็บหรือเปล่า ส่วนเรื่องที่บอกว่าเป็นกฏของ Visa กับ Mater นั้นดิฉันก็จะเอาคำตอบจากเขามาให้ว่า กฏของเขาคือการปฏิเสธการใช้บัตรไม่สามารถเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบได้ทันทีต้องตรวจสอบแล้วเป็นกฏของเราที่แบงค์ต้องทำตามคือแจ้งหนี้ในกรณีนี้หรือเปล่า เรื่อง hold หรือยอมรับว่าแม้ว่าจะปฏิเสธการใช้บัตรแล้วไม่ได้หมายความว่าจะหมดภาระต่อยอดๆนั้น ดิฉันแจ้งชัดเจนไปแล้ว ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า ยอดที่ Hold อยุ่นี้มันมีสถานะจริงเป็นหนี้ที่ออกใบแจ้งหนี้ได้หรือเปล่า หรือ แบงค์ได้จ่ายเงินไปจริงเหมือนยอดที่แจ้งหลังบันทึกรายการหรือเปล่า ใจเย็นๆนิดนึงนะคะ คุณก็คิดอย่างดิฉันก็คิดอย่าง หลายท่านๆก็คิดอย่างเราเถียงกันให้ตายในกระทู้นี้มันก็ไม่มีใครต้ดสินว่าอะไรคือความถูกต้อง เรามีทั้งองค์กร และกฏหมายที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ต่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย เขาสามารถจะบอกเราได้พร้อมคำชี้แจงและข้อกฏหมายที่จะบอกว่าสิ่งที่ถูกต้องมันคืออะไร ตัวดิฉันก็ใจร้อนอยากจะเอาคำตอบมาแจ้งเหมือนกัน แต่วันนี้วันหยูดราชการของทุกประเทศค่ะ ดิฉันจนใจที่อย่างไรก็ต้องรอ ถ้าสิงที่ดิฉันตั้งคำถามมันเป็นสิ่งที่กระทำที่ชอบด้วยกฏหมายแล้ว มันจะได้เป็นบรรทัดฐานให้กับแบงค์ได้เลยไงคะ ว่าเขาได้ทำถูกต้องแล้ว กฏหมายทุกประเทศมันมีไว้เพื่อป้องกันการเอาเปรียบต่อกันและกันในคู่สัญญาอยู่แล้วค่ะ ป.ล. ดิฉันลืมตอบคำตอบคุณไปหลายข้อที่คุณตั้งข้อสังเกตมา 1. เรื่องแก้ไขข้อความหลายครั้ง ที่เห็นแก้ไขข้อความหลายครั้งไม่ได้เข้ามาแก้ค่ะ แต่เข้ามาเขียนเติมข้อความด้วยความคิดที่ไม่อยากให้ความเห็นมันมากเกินไปค่ะ 2. สร้างหลักฐาน หลักฐานมันสร้างไม่ได้ค่ะ ถ้าสร้างมันคือหลักฐานเท็จค่ะ แล้วถ้าดิฉันเอาหลักฐานที่สร้างขึ้นมาไปใช้ แบงค์ก้จะมีข้อเท็จจริงที่คัดค้านให้หลักฐานที่ถูกสร้างมันตกไปได แล้วจะสร้างทำไมคะ แบงค์ที่เป็นคู่กรณีเขาหยุดรอแล้ว ดิฉันก็รอเหมือนกัน คนอื่นๆก็น่าจะรอได้นะคะ อีกประเด็นจากที่คุณกล่าวเรื่องระบบการ hold หนี้ ดิฉันก็ทราบมาว่าถ้ากรณีที่แจ้งปฏิเสธรายการหลังจากบันทึกรายการแล้วนี่ มันต้องพักยอดค่าใช้จ่ายหรือพักหนึ้นั้นไว้รอการตรวจสอบเป็นเวลา 30-45 วันเหมือนกับในจดหมายที่แบงค์ที่เห็นข้างบน กรณีของดิฉันนี่ ส่งเอกสารวันที่ 2 ยอดถูกเอาออกไปวันที่ 17 รวมเวลาทั้งสิ้น 15 วัน มีคำอธิบายไหมคะว่าเพราะอะไรมันถึงแตกต่าง ในเมืออย่างไรมันก็ต้องตั้งเป็นหนี้และรอการตรวจสอบก่อน เพราะปกติแล้วยอดหนี้ที่มีการปฏิเสธการจ่าย ยอดมันจะปรากฏจนถึงตรวจสอบเสร็จสิ้น อีกทั้งวงเงินในบัตรก็จะถูกล๊อกไว้เหมือนกัน ยอดกรณีดิฉัน มันโดนตัดออกจากวงเงินตั้งแต่ก่อนออกใบแจ้งหนี้ด้วยซ้ำไปค่ะ ซึ่งมันไม่เคยเกิดกับกรณีปฏิเสธการจ่ายเงินในครั้งใดๆมาก่อนค่ะ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 14:08:57 จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 13:56:53

ความคิดเห็นที่ 96   ต่อจากคหข้างบนค่ะ จากข้อมูลรายละเอียดที่คุณให้มาช่วยอธิบายกรณีที่ยอดตัวนี้มันถูกตัดออกไปภายใน 15 วันหลังแจ้งตรวจสอบที่ต่างจากการ Hold หนึ้ตามปกติที่คุณกล่าวมาได้ไหมคะ เพราะดิฉันคิดว่าถ้าความถูกต้องว่ากรณีนี้ก็เป็นหนี้เหมือนกรณีอื่นๆยอดค่าใช้จ่ายมันก็ควรจะยังคงอยู่จนกว่าจะตรวจสอบเสร็จสิ้นและวงเงินมันก็ไม่ควรถูกยกออกไปใช่ไหมคะ เพราะก็มีคำตอบอยู่ข้างบนมาบ้างแล้วว่าเอาวงเงินออกแล้วอาจมีปัญหาถ้ากลับมาเรียกเก็บที่หลัง อีกทั้งวันเวลาตัดยอด ก่อนจะตั้งขอสังเกตนี้ดิฉันกลับไปดูเสตรทเมนท์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 50 มาแล้วนะคะ วันปิดยอดคือ วันที่ 18 มันจะเป็น 24.00ของวันที่ 18 มาทุกรอบค่ะ เพราะมันมีรายการบันทึกในวันที่18 เรียกเก็บมาใจใบแจ้งหนี้ค่ะ แต่คราวนี้มันปิด 0.00 นของวันที่ 18 ค่ะหรือ 24.00 นของวันที่ 17 ดิฉันกับไปดูเสตทเม้นท์ย้อนหลังเพือดูว่ามันอาจเป็นเพราะวันที่ 18 เป็นวันหยุดจึงทำการตัดก่อน แต่มีหลายเสตรทเมนท์ย้อนหลังหลายเดือนที่วันที่ 18 เป็นวันหยุดแต่ก็ยังมีรายการบันทึกในวันที่ 18 เรียกเก็บเข้ามาไม่ได้ยกไปเดือนต่อไปค่ะ ดิฉันกล่าวถึงยอดที่บันทึกรายการในวันที่ 18 นะคะไม่ใช่วันที่เกิดการค่าใช้จ่าย ความผิดปกตินี้มีคำอธิบายไหมคะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 14:32:42

ความคิดเห็นที่ 97   ถ้าเจ้าของบัตรอยู่เมืองไทย แต่ให้ข้อมูลบัตรกับคนอื่นที่ต่างประเทศ เช่นญาติหรือเพื่อนสนิท เอาไปสั่งซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต แล้วปฏิเสธ อ้างว่าโดนขโมยข้อมูล ก็น่าเห็นใจทางธนาคารและร้านค้านะ บัตรเครดิตอย่างไรเสียก็มีความเสี่ยง ถ้าจะโกงกันจริง ๆ ย่อมทำได้หลากหลายวิธี แม้ไม่ตั้งใจโกง การขโมยข้อมูลอิเล็กโทรนิกส์ของลูกค้า เช่นการใช้โทรจันก็มีได้อยู่แล้ว ลูกค้าที่ใช้บัตรและใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไม่ระมัดระวัง ใช้คอมพิวเตอร์ที่ไม่ปลอดภัยก็อาจถูกล้วงข้อมูลโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน การใช้บัตรเครดิตมีความเสี่ยง ถ้ากังวลมากก็ไม่ควรใช้ แต่ถ้าคิดจะใช้ก็ต้องใช้ให้ถูกวิธี กรณีเจ้าของกระทู้ ผมขอออกความเห็นแค่เพียงว่าระบบบัตรเครดิตปัจจุบันนั้นอำนวยความสะดวกมาก ซึ่งต้องแลกกับความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย ผมเองพอใจในความสะดวกนี้ และยอมรับความเสี่ยงตรงนั้น ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ไม่เคยมี transaction ที่ผิดพลาดแล้วเคลียร์ไม่ได้สำหรับผม เคยเกิดสักสองครั้งในสิบกว่าปีที่ใช้บัตรมา ก็เคลียร์ได้ทั้งหมด จากคุณ : แม่อบเชย เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 14:34:51

ความคิดเห็นที่ 98   คห. #71 คือบัตรใบเก่า ที่เห็นยอดตั้งพักหนี้ไว้ 8329.31 บาท คห. #72 คือบัตรใบใหม่ ที่ออกทดแทน ไม่ได้มียอดค้าง 8,329.31 บาท ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับ ไม่ได้เป็นการลบออกให้ แต่ไม่ได้เอาหนี้ตามมาในบัตรที่ออกให้ใหม่อยู่แล้ว ถ้ายอมรับจุดนี้ ก็ไม่น่ามีประเด็นตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 14:36:08

ความคิดเห็นที่ 99   ใน Statement มีแจ้งเวลาให้ทราบด้วยหรือครับ........ การปิดยอดจะปิดในวันทำการก่อนวันหยุดเสมอครับ ไม่มีการปิดยอดวันหยุดแน่นอนครับ ดังนั้นการปิดยอดของเดือน ก.ค. จะปิดยอดวันที่ 17 ไม่ใช่ 18 ครับ เดือนไหนครับที่เห็นว่ามีการปิดยอดวันที่ 18 ที่ตรงกับวันหยุดบ้างครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 14:44:51

ความคิดเห็นที่ 100   คห. #71 คือบัตรใบเก่า ที่เห็นยอดตั้งพักหนี้ไว้ 8329.31 บาท คห. #72 คือบัตรใบใหม่ ที่ออกทดแทน ไม่ได้มียอดค้าง 8,329.31 บาท ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมครับ ไม่ได้เป็นการลบออกให้ แต่ไม่ได้เอาหนี้ตามมาในบัตรที่ออกให้ใหม่อยู่แล้ว ถ้ายอมรับจุดนี้ ก็ไม่น่ามีประเด็นตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ ^ ^ แล้วยอดหนี้ในบัตรใบเก่าที่ไม่ลบออกเป็นหนี้ของผู้ถือบัตรหรือเปล่าคะ ส่วนที่ถามเรื่องวันปิดยอดจะไปดูแล้วจะเข้ามาตอบค่ะ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 15:12:32

ความคิดเห็นที่ 101   เมื่อSCB ลบยอดหนี้ออกจากบัตรที่ถูกอายัดไปแล้ว ก็คงไม่มีประเด็นต้องติดตามในส่วนคู่กรณี เหลือแต่ประเด็นที่ว่า กรณีนี้ตั้งหนี้แจ้งหนี้ชอบด้วยกฏหมายหรือไม่ในเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความเห็นไม่ตรงกันขอเป็นรอให้ดำเนิการให้ผู้มีอำนาจตัดสินเข้าตัดสินพร้อมเหตุผลดีกว่าไหมคะ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาตอนนี้ จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 15:16:35

ความคิดเห็นที่ 102   เข้าใจอะไรผิด ตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ...... จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 15:26:23

ความคิดเห็นที่ 103   ขึ้นความเห็นใหม่ละกันมันจะได้ไม่เป็นประเด็นเรื่องแก้ไขข้อความอีก ดิฉันตั้งกระทู้นี้เพื่อติดต่อกับ SCB หลังจากติดต่อช่องทางปกติมันไม่ได้การตอบสนอง ในขณะนี้ยอดหนี้ปัญหามันถูกตัดออกไปแล้ว ก็คงไม่มีประเด็นต้องคุยกับ SCB อีก ส่วนเรื่องประเด็นว่า ตั้งหนี้ได้หรือไม่ SCB ก้ให้คำตอบมาว่าได้ แต่เมื่อดิฉันไม่ยอมรับคำตอบ ก็ต้องไปดำเนินใดที่จะทำให้ SCB ยอมรับว่าไม่ได้ แต่ถ้าไปดำเนินการแล้ว third paty ทั้งหลายที่กำกับดูแลและผู้รักษากฏหมายเขาบอกว่ามันทำได้ ดิฉันก็ต้องกฏ กติกา ของสังคมนี้ แต่ถ้าปรากฏว่ามันไม่ได้ มันจะได้เป็นบรรทัดฐานที่ใช้กันต่อไป สรุปว่าดิฉันหมดข้อทักท้วง หรือทวงคำตอบ การกระทำใดๆ จาก SCB ตั้งแต่ยอดเงินถูกลบออกไปแล้วนะคะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิทธิ์จะหาคำตอบตรงนั้น จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 15:29:15

ความคิดเห็นที่ 104   มีใครท่านใด พอจะยกเอาสัญญาระหว่างผู้ถือบัตรเครดิต กับธนาคาร มาให้ดูได้ไหมครับ ถ้าได้สัญญาระหว่างผู้ถือบัตร กับ ธนาคาร มาดูได้ คำตอบที่ว่า "ธนาคารมีสิทธิตั้งหนี้ตามชอบด้วยกฎหมาย" ก็น่า จะเจอ หรือเปล่า อยากให้ทาง SCB หรือแบงค์ชาติ ได้มาให้ข้อมูลที่แจ่มชัด กระจ่างเข้าใจกันไปเลย ขอแบบมีเอกสารยืนยัน ที่มาที่ไปชัดเจน ไม่น่าจะยากนะครับ ได้ความรู้เข้าใจในการใช้บัตรเครดิตที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง กันทุกคนที่เข้ามาอ่านกันไปเลย ความเห็นส่วนตัวผมที่อ่าน ๆ มา ส่วนตัวการตั้งหนี้ไว้ก่อนเนี้ย แล้วมาทักท้วงภายหลัง ก็ถูกต้องตามหลักมาตรฐานและบรรทัดฐานของบัตรเครดิตอยู่แล้วแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นปานฉะนี้ คนโดนแฮกบัตรเครดิตซึ่งมีมากมาย หลายคนทั่วโลก คงจะฟ้องแบงค์ จนได้เรื่องได้ราวกันไปแล้วมั้งครับ ^______^ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 52 15:52:48 จากคุณ : tle เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 15:35:48

ความคิดเห็นที่ 105   ความคิดเห็นที่ 102 ถ้ามันเป็นการเข้าใจผิด ก็มีสิทธิ์จะออกมาชี้แจงไม่ใช่หรือคะ ถ้าใช้แจงแล้วคิดว่าเขายังไม่ยอมรับไม่เข้าใจก็ต้องปล่อยให้สังคมใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลกันเองไม่ใช่หรือคะ อีกทั้งใครจะใช้สิทธิ์ดำเนินการใดๆ ถ้าไม่ไปละเมิดใครมันก็ทำได้ไม่ใช่หรือคะ ถึงจะบอกว่าที่นี่ไม่มีใครเป็น SCB ทุกคนมาด้วยล๊อกอินส่วนตัว แต่ในทางปฏิบัติมันมองเห็นได้ว่าเป็น represent ของ SCB ถ้าลูกค้ามันดูเหมือนพูดไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจซักทีก็น่าจะปล่อยให้สังคมตัดสินกันไปเองดีกว่าไหมคะ จะได้ไม่เสียภาพพจน์ขององค์กรด้วย สำหรับดิฉันย้ำหลายครั้งแล้วว่าจบกับปํญหานี้กับSCB เมื่อยอดมันถูกลบออกไป ในส่วนความข้องใจอื่นๆดิฉันต้องไปดำเนินการตามช่องทางและสิทธิ์ของตัวเอง จากคุณ : Alone with out lonely เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 52 15:38:00