ความคิดเห็นที่ 1 ตำราเขาบอกว่า น่าจะจบ wave5 แล้ว ( ยกเว้นนอกเสียจาก M2 หรือ wave5 นั้น จะเป็นกลุ่มคลื่นที่ใหญ่มาก หรือ Compacted wave  เท่านั้น ที่จะทำให้การปรับตัวลงมาต่ำกว่ายอด M1 นั้น เป็นแค่การปรับตัวธรรมดา )    เดี๋ยวไปดูของจริงกันแล้วกัน ว่า หากเทียบกับ set แล้วมันจะเป็นยังไง จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 09:30:20

ความคิดเห็นที่ 3 ท้ายที่สุดตำราเวฟ มันก็เขียนแบบว่า ขึ้นต่อก็มีทฤษฏีรองรับ ลงก็มีทฤษฏีรองรับ ผมเลยไม่แน่ใจว่านับคลื่นมันมีประโยชน์จริงไหม คห. ส่วนตัวนะครับ ผมเองก็ไม่แตกฉากเรื่อง wave เท่าไหร่ ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ จากคุณ : Laganus เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 09:38:38

ความคิดเห็นที่ 4 ลองนำกราฟ SET มาเปรียบเทียบดู  และใช้ 2-4 trendline ของ wave5 ลากดู ( เส้นสีชมพู) จะเห็นว่า มีแท่งเทียนหลุด trend line ดังกล่าวลงมาแล้ว ตรงนี้มองว่า ยืนยันการจบ wave5 นั้นแล้ว ( ลงเร็วและแรงเด็ดขาด )    และถ้าหากเราจะมองในภาพที่ใหญ่ขึ้น  ก็ต้องลาก 2-4 trend line ของ คลื่นใหญ่ ( เส้นสีฟ้า ) ดูอีกเส้น   หากหลุดเส้นนี้ลงมาอีก แถวๆ 600 +/-  ภาพใหญ่ก็จะยืนยันว่าจบเช่นกัน    คราวนี้ คงได้มองเห็นกันว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไป        หากสมมติฐานข้างต้น อาจผิดพลาด จะสังเกตยังไง ?   1.  ดัชนี ควรมี new high ขึ้นไปต่อ และต้องสูงกว่า 656.94 มากพอสมควร แสดงว่า คลื่นที่ปรับตัวลงนี้ เป็นเพียงคลื่นย่อย ของ M2 เท่านั้น  2.  หากดัชนี รีบาวร์กลับ แต่ไม่ผ่าน high เดิม แล้ว ลงต่อทำ lower low ก็น่าจะยืนยันว่าลงจริง ครับ              ผมไม่สรุปว่าตลาดจะเป็นอย่างไร  ให้ผู้อ่านพิจารณาเองนะครับ    วันหลังภาพชัดกว่านี้ ผมจะวิเคราะห์ set ภาพใหญ่อีกครั้ง ( ในสิ่งที่ผมยังกังวลอยู่ ) จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 09:41:04

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ Laganus กล่าวใน คห 3  ถูกต้องแล้วครับ  ไม่ว่าจะขึ้นต่อ ก็มีทฤษฎีรองรับ  จะลงต่อก็จะมีทฤษฎีรองรับ    การศึกษา wave Theory มันเป็นเพียงเทคนิคหนึ่ง ที่เขาเชื่อกันว่า สามารถใช้ทำนายราคาในอนาคตได้ ตามรูปแบบ  แต่เราจะไม่รู้ว่าที่ทำนายมันถูกหรือผิด ต้องรอให้เหตุการณ์มันเกิดมาเสียก่อนจึงจะบอกได้   แต่ไม่ใช่ว่ากฎแต่ละกฎ หรือรูปแบบคลื่นที่เขากำหนด อยู่ๆจะใช้กันโดยไม่ได้รับการตรวจสอบ หรือยืนยันในความแม่นยำ แล้วจะใช้กันได้ทั่วไป   หากมันใช้แล้วไม่ได้ผลหรือพิสูจน์ไม่ได้เลย มันก็คงขาดความนิยมและเลิกใช้กันไปเป็นธรรมดา   อย่าลืมว่า ในวงการเงิน บุคคลต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนหรือเก็งกำไร ระดับมันสมองคงไม่ใช่พื้นๆธรรมดาทั่วๆไป   เขาว่ากันว่า วงการนี้แหละที่รวบรวมบรรดาอัจฉริยะ ต่างๆเข้ามาไว้มาที่สุด มากกว่าทุกสาขาอาชีพเสียอีก    ปัญหามันเกิดการการเรียนเรื่อง wave theory มันยาก และใช้เวลานาน และต้องรอการพิสูจน์อีก  และยังมีเทคนิคอื่นๆที่ง่ายกว่า เช่น Candlestick หรือ อื่นๆ  ซึ่งก็สามารถนำมาใช้ทำกำไรได้เช่นกัน  แต่สงสัยไหมว่าทำไม Wave theory ถึงยังเป็นที่ยอมรับกันมากมายอย่างนี้ ?    *** หมายเหตุ  รูปภาพนี้ คือ Robert R Prechter Jr.   เป็น President ของ Elliott wave International  ที่มีข่าวดังเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ออกมาทำนายว่าราคาน้ำมันจะลงไปที่ 10$ ในอีก 10 ปี ข้างหน้า   เขาเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในการใช้ Eliott wave ทำนายดัชนีล่วงหน้าถูกต้องมาหลายครั้ง  ไม่ใช่ผู้เขียนหนังสือ Mastering Elliott wave by Glenn Neely with Eric Hall  นะครับ เดี๋ยวจะสับสน  พอดีได้รูปนาย คนนี้เลยโพสให้ดูว่าน่าตาเป็นอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาในกระทู้นะครับ *** แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 52 08:56:44 จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 09:58:53

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณมากค่ะพี่คิตตี้ จากคุณ : พลูดาว เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:00:49

ความคิดเห็นที่ 7 มารออ่านต่อ จากคุณ : Laganus เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:08:21

ความคิดเห็นที่ 8 ลองไปดูเพื่อนบ้านเขานับเวบกันครับ http://www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=6198 จากคุณ : กินลม ชมทะเล เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:09:58

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับ... จากคุณ : helga เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:19:00

ความคิดเห็นที่ 10 มาดูแบบมีสาระดีกว่า น่าจะมีประโยนช์ไม่มากก็น้อย แต่ยังไงก็มี แล้วแต่คนจะไปปรับใช้กัน จากคุณ : rchai เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:30:25

ความคิดเห็นที่ 11 พี่ kitty63 พี่กังวลตามรูปนี้หรือป่าวครับ เพราะผมกำลังคิดถึงรูปนี้ครับพี่ จากคุณ : sampunth เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:44:20

ความคิดเห็นที่ 12 thanks ka จากคุณ : ลิ้นชักสีใส เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 10:56:08

ความคิดเห็นที่ 13 เพราะถ้ามองตามความคิดเห็นที่ 11 นับการขึ้นครั้งนี้เป็น wave4 ลงใหญ่ การขึ้นทำ wave4 ครั้งนี้ไม่สามารถทะลุ 50% fibo ได้ ดังนั้นโอกาส test เหวที่ wave3 ก็สูง เช่นกัน จากคุณ : sampunth เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 11:09:44

ความคิดเห็นที่ 14 อีกที base on ความคิดเห็นที่ 11 โอกาสที่จะปรับตัวลงเป็น wave5 ขาลงใหญ่ๆ ก็ตามสัดส่วนของ wave1 แรงๆ น่าจะเท่ากับ wave1 คือลงมาแถวๆ 502 หรือยาวไปถึง 405.16 กันเลยทีเดียว แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 13:24:56 จากคุณ : sampunth เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 11:12:46

ความคิดเห็นที่ 15 พี่ kitty63 ผมขอแจมหน่อยนะครับ พี่ผิดถูกพี่แก้ไขให้ด้วยนะครับ ผมเคยอ่านตำรา wave บางเล่มเขียนขัดกันยังไงก็ไม่รู้ครับ แต่เอาเป็นว่าผมลองเสนอความคิดเห็นดูนะครับพี่ แต่ถ้ามองกลับกันเป็นขาขึ้น และจบ wave5 ขาขึ้นแล้ว การปรับตัวลงทำ a, b, c ใหญ่ๆ น่าจะมีแนวรับตาม fibo ratio ตั้งแต่ 556.25, 494.02, หรือลงแรงที่สุดไม่ควรเกิน 455.56 ไม่งั้นต้องมองตามความคิดเห็นที่ 11 จาก double top theory ถ้าวัดตามสัดส่วนความสูงแล้ว โอกาสที่ set จะปรับตัวลงสุดก็ได้ แถวๆ 455.56 เหมือนกัน จากคุณ : sampunth เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 11:18:28

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่นะ อย่านะ อย่าเพิ่ง ผมชอบแบบนี้อยู่ เวียนหัวดี จากคุณ : เย่หยงเทียน เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 12:00:02

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล .... ผมดู wave ไม่เก่ง แต่ .... หนีตาม MACD !!! . . . จากคุณ : Two Fishes เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 12:10:13

ความคิดเห็นที่ 18 เข้ามาหาความรู้ จากคุณ : Dr.โอ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 12:17:00

ความคิดเห็นที่ 19 นักวิชาการเขาคุยกัน ผมฟังไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่าฟันธงมาเลย ขึ้นต่อ หรือลง จากคุณ : อั๋น (Captain_Unn) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 12:42:48

ความคิดเห็นที่ 20 ในความเห็นผม ตอนนี้ มันเกิดการกังวลในทฤษฎีเรื่อง การแยกแยะการปรับตัว ว่ารูปแบบไหนคือ Elongated Flat  ( A-B-C ) หรือ จะปรับตัวลงมาเป็น Impulsion wave (  1-2-3-4-5 )  ซึ่งในขาลง  ในช่วง 3 คลื่นแรก เราไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหน ในสองแบบนั้น เพราะ รูปแบบ Elongated Flat มันจะมีความยาว ใน wave-C เกิน 1.618 เท่าของ wave-A ได้ เหมือนกับ wave 3 ของ Impulse wave     ดังนั้น จะทำให้เกิดความสับสนกันมากว่า มันเป็น Correction wave แบบ Elongated Flat หรือ Impulsion wave กันแน่   ตามตำรา ( อีกแล้ว )   เขามีวิธีการแยกแยะว่า จะเป็นแบบใดดังนี้นคือ  1.  หากเป็น Correction wave แบบ Elongated Flat ( A-B-C จบ ) แล้ว การปรับตัวขึ้นมา นั้น จะต้องขึ้นมากกว่า 61.8% ของ wave-C เสมอ ครับ และจะต้อง ปรับขึ้นมาในเวลาที่น้อยกว่าการเกิด wave-C ที่ผ่านมาด้วยครับ ***ตรงจุดนี้ อ่านกันดีๆ นะครับ  แล้วเทียบกับกราฟดูว่าเป็นอย่างไร *** 2. หาก ไม่สามารถปรับตัวขึ้นหลังจากจบ wave-C ในข้อ 1 แล้วแสดงว่า จะเป็น Impulsion wave ครับ  และจะต้องมี 5 คลื่นเสมอ  แสดงว่า อาจยังไม่จบขาลง ตามทฤษฎี   ( แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องมี new low นะครับ  มันอาจเกิด wave 5 ขาลงไปไม่ถึง low เดิมก็ได้ ไม่ผิดกติกาอะไร )     ลองมาดู set weekly  อีกที    ในรูปนี้ ผมตั้งสมมติฐานว่า เราจบขาลงแล้ว และเป็นขาขึ้นอยู่  โดยรูปแบบขาลงใหญ่ที่ผ่านมาเป็น Elongated Flat   จบไปที่ 380   แล้วเป็นขาขึ้นใหม่  ตอนนี้เราจบคลื่น 3 กำลังลงทำ คลื่น 4 โดยมีเป้าหมายที่ 596  และ 561 จุดเป็นแนวรับสำคัญ ซึ่ง ควรดู ค่า Elliott wave Oscillator ประกอบด้วยว่ามันควรเกิด pull back to Zero ด้วยตามทฤษฎี  ดังนั้นมันไม่ควรจบในเร็ววัน ต้องใช้เวลาอีกหลายวัน    หลังจากนั้น ก็ควรปรับตัวขึ้นต่อไปทำ new high   แต่หาก มันไม่เป็นเช่นนั้น ตลาดยังลงต่อไปและหลุด 560 ลงไป  ก็พึงระมัดระวังให้มากๆ ว่า มันกำลังอยู่ใน wave5 ขาลงอาจเป็น wave3ย่อย ของคลื่น 5 ขาลงอยู่ก็ได้  และจะลงเร็วและแรงต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่า แรงรับจะหายไป รายย่อยถอดใจเมื่อไหร่ หมดหวังเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันใหม่ อาจทดสอบ low เดิม หรือทำ new low ก็ได้  ( 340 )         ผมก็ว่าไปตามตำรา และโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้  ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล  ไม่ต้องกังวลเกินเหตุ  เพราะมันไม่ใช่จะเกิดทันทีทันใด ในหนึ่งสัปดาห์   เพียงแต่เอาไปวางแผนการดูว่า หากเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไร มีวิธีรับมืออย่างไร  ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย แล้วปล่อยให้พอร์ตต้องขาดทุนมหาศาลเหมือนที่เคยเป็นมา   หากมันไม่เกิดก็ดีไป  เพราะคงไม่มีใครอยากเห็นคนอื่นขาดทุน  ตลาดขึ้นทุกคนก็กำไร มีความสุข  แต่ความคาดหวังกับความจริงมักสวนทางกันเสมอ  ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 14:03:03

ความคิดเห็นที่ 21 ในกรณีที่เรามองว่า เป็นขาขึ้นแล้ว ตอนนี้เราอยู่ใน คลื่น 4 ปรับตัว แนวรับ  596 และ 561    ***ต้องขออภัย เรื่องความแตกต่างของตัวเลข ที่บางทีผมไม่ได้ดูละเอียด เพียงดูตัวเลขคร่าวๆ บางทีทำให้ตัวเลข พวกแนวรับแนวต้านต่างๆ ที่เขียนอธิบาย กับ ตัวเลขจากการวัด แตกต่างกันบ้าง 2-3 จุด  แต่ให้เข้าใจว่า เป็นบริเวณดังกล่าวนะครับ  *** แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 52 17:17:10 จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 14:04:41

ความคิดเห็นที่ 22 vote ให้กระทู้นี้ครับ จากคุณ : Bullish Signal เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 15:19:18

ความคิดเห็นที่ 23 จากคุณ : ยอดไม้บนปลายดอย เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 16:43:16

ความคิดเห็นที่ 24 ผมไม่รีบรวย ขอดูอย่างเดียวดีกว่า จากคุณ : huron เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 17:50:03

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาดูพี่ๆโต้คลื่นครับ.............................. วันนี้ set ลงไปทดสอบ MA 25 วันแล้วไม่หลุด พรุ่งนี้ขอลุ้นต่อ (แต่ไม่ซิ้อเพิ่ม) ครับ             จากคุณ : pitan เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 19:28:20

ความคิดเห็นที่ 26 . จากคุณ : Nabokov1 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 19:50:36

ความคิดเห็นที่ 27 มานั่งศึกษาครับ จากคุณ : หนุมานมาเอง เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 20:56:42

ความคิดเห็นที่ 28 ขอให้ตอนนี้นี้เราอยู่ในคลื่นสี่วีค กำลังจะทีคลื่นห้าทีเถอะ  แต่คลื่นห้าห้ามต่ำกว่า 380  รับรองรวยทุกท่าน จากคุณ : Augustinus เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 52 22:54:46

ความคิดเห็นที่ 29 เข้ามาอ่านแบบงงๆ เนื่องจากอีสเป็นคนหัวขี้เลื่อย คงต้องกลับมาอ่านทู้นี้อีกครั้ง ขอโหวตเก็บไว้ก่อนนะคะ จากคุณ : LoveIsColorBlind เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 00:06:40

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับพี่  ในตลาดอะไรๆก็เป็นไปได้ หุหุ จากคุณ : phoenix02 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 00:10:42

ความคิดเห็นที่ 31 ผมว่าทฤษฎีคลื่น เป็นอะไรที่มัน subjective มากๆ การตีความมันเต็มไปด้วยกำกวมเอามากๆ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าจะมีใครที่สามารถประยุกต์ใช้มันในการเทรดจริงๆแล้วได้เงินเป็นกอปเป็นกำบ้าง คือใช้มันหา entry point,exit point และกำหนดจุด stoploss ที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ผมเชื่อค่อนค่างจะแน่นอนว่า ด้วยความกำกวมของการตีความ แม้แต่คนที่เรียนมาจากตำราเดียวกัน ก็อาจจะมองต่างกันในการตีความ มีความรู้สึกว่ากฎต่างๆมันสามารถไหลไป ไหลมา จนสามารถที่จะใช้อธิบายได้ทุกสถานะการณ์ ไม่ว่า outcome มันจะออกมาในรูปแบบใด อยากจะยกตัวอย่างมาสักตัวอย่าง สมมุติว่าผมนึกสนุกอยากเป็นนักพยากรณ์อากาศ ผมบอกว่า เร็วๆเนี๊ยฝนจะตกนะ หนึ่งวันผ่านไป ฝนก็ยังไม่ตก ผมก็บอกว่า เนี่ยใกล้ตกแล้ว ดูซิ เมฆดำมาโน่นแล้ว แต่ฝนก็ยังไม่ตก จนผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง ฝนก็ยังไม่ตก ผมก็อ้างทฤษฎีโน้น ทฤษฎีนี้มาอธิบายว่าทำไมฝนยังไม่ตก แต่ว่ามันก็ใกล้จะตกแล้วจริงๆรออีกนิดนะ จนหลายเดือนผ่านไปฝนก็ยังไปตก ผมก็ยังอ้างโน่นอ้างนี่สารพัดตรรกกะที่จะสามารถเอามาใช้ในปรากฎการณ์นี้ และในท้ายที่สุด ฝนก็ตกลงมาจนได้(ไม่วันใดก็วันหนึ่ง) ผมยิ้มอย่างผู้ชนะว่า เห็นไหมผมบอกแล้ว ฝนตกลงมาจนได้ ผมขอขออนุญาตคิดต่างบ้างหวังว่าคงไม่ว่าอะไรนะครับ ผมคิดว่าตรรกกะบางตรรกกะถ้าเราไม่พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วมันก็อาจทำให้เกิดภาพลวงตาแห่งตรรกกะได้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องเอามุมมองหลายๆมุมมองมาพิจารณา นี่ก็เป็นมุมมองของผมอีกมุมมองหนึ่งซึ่งอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ จากคุณ : Colossus เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 04:33:35

ความคิดเห็นที่ 32 คห 31 เรียน คุณColossus คุณลองศึกษาเวฟจริงจัง แล้วลองเอามาเทรดกับหุ้นแต่ละตัวดูสิคะ คุณจะเจอสิ่งมหัศจรรย์ค่ะ แต่กว่าจะเจอก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร แต่มันก็คุ้มมากค่ะ จากคุณ : sea angel เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 07:49:18

ความคิดเห็นที่ 33 ผมขอตั้งหลักที่ ต้นเหตุแห่ง ทฤษฏี ดาว  และพัฒนามาเป็น อีเลียตเวบ        สั้นๆๆครับ เอาพฤติกรรมคนที่เล่นตลาดดาวโจนส์ สมัยนั้น มาสังเกตร่วมกับกราฟ ว่า เกิดพฤติกรรม ที่ซ้ำๆๆกัน  ของกลุ่มคนกลุ่มนี้        จากคำว่าพฤติกรรม ที่ซ้ำๆๆนั่นคือเหตุการณื ที่เกิดเป็นปกติ บ่อยๆๆ คนกลุ่มนี้จะทำรูปแบบ  จากไม่เชื่อทั้งหมดว่าขึ้น เริ่มมีคนเชื่อว่าขึ้นกลุ่มแรกเริ่มซื้อ ไปจน เชื่อทั้งหมด  (กราฟสูงสุด หมดเงินซื้อ เริ่มมีคนเชื่อว่าจะลง และเริ่่ิม ลง )       แต่คราวนี้ เป็น วิกฤต  การเอาทฤษฏี ดาว หรืออีเลียต มาใช้ ในเหตุการณื ที่ผิดปกติ   ก้ผิด หลัก ดาว และอีเลียต เวพแล้วกระมัง       หรือตั้งหลักจากการขึ้นเดือนมีนา  ก็ขึ้นแบบผิดปกติ จากวิกฤต จึงไม่ใช่สิ่งที่เคยเกิดซ้ำๆๆ  ถึงจะเอาอีเลียตมาใช้ได้นะครับ      ยิ่งช่วงนี้ เป็นเรื่องของอิทธิพลจากข่าว ขึ้นวันลงวันก็เกิดให้เห็นแล้ว         กราฟ จะช่วยแปลผลอะไรในเหตุการณื วันต่อไป ไม่ได้ เท่าเมื่อก่อน จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 08:03:31

ความคิดเห็นที่ 34 พี่หมอเข้าใจผิดครับ  หลักการไม่ว่าจะเกิดวิกฤตสุดๆแค่ไหน  หรือ ดีแค่ไหน มันก็รวมอยู่ใน elliott wave แล้วครับ   เพียงแต่ลักษณะของคลื่นและระยะเวลา จะเปลี่ยนแปลงไป ตามพฤติกรรมของนักลงทุนในช่วงเวลานั้นๆ   Elliott wave จะบอกลักษณะคลื่นเพียง สอง อย่างหลักๆเท่านั้น คือ 1. Impulsion Wave เป็นคลื่นกระตุ้น ให้ดัชนีหรือราคาวิ่งไปตามแนวโน้มนั้นๆ อาจเป็นแนวโน้มขึ้น หรือลง ก็ได้ ตามความเชื่อของนักลงทุนนั้นๆ 2. Correction Wave เป็นคลื่นที่เกิดต้านแนวโน้มหลัก เพื่อปรับตัว หลังจาก เกิด Impulsion wave ก่อนหน้า   แค่สองข้อนี้ ก็จะแตกแขนงรูปแบบไปอีกมากมาย เช่น Correction wave จะแบ่งออกไปเป็นรูปแบบต่างๆเช่น Zigzag  Flat และ triangle    ส่วน Impulsion wave นั้น มันก็มีลักษณะและกฎที่ จะต้องมีเพื่อให้ครบคุณสมบัติของ Impulsion wave เรียกว่า Rules of Impulsion wave มีหลายข้อเหมือนกัน  ผมคงไม่อธิบายในที่นี้เดี๋ยวจะออกไปไกล   ปัยหาที่เราทั้งหลายมองไม่เหมือนกัน เกิดจาก 1. การอ่านคลื่นในระยะ Time frame ไม่เท่ากัน  เช่น day   week   Intraday  เป็นต้น 2. ความรู้ความชำนาญ ในการอ่าน ซึ่งเราต้องเรียนรู้กฎต่างๆ ให้ครบถ้วน และประสบการณ์  มีไม่เหมือนกัน  ทำให้การนับออกมาไม่เหมือนกัน    การเรียนรู้เรื่อง Elliott wave เป็นเรื่องยากครับ ต้องใช้เวลา และประสบการณ์ในการฝึกหัดมาก   แต่หากเรามีความชำนาญในการอ่านมากขึ้น แม้ไม่ถูกต้องทั้งหมด ก็สามรถนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจได้อย่างมาก   ยิ่งกรณีที่ผู้ที่มีความชำนาญมากๆ นั้น แค่การนำ C-wave technic มาใช้ในการเทรด อย่างอื่นก็ไม่ต้องใช้แล้วครับ    หากสนใจลองศึกษาเพิ่มเติมการใช้ Elliott wave ในการเทรดโดยใช้ c-wave technic ได้ จากหนังสือใน link ข้างล่างนี้ได้ครับ http://www.slingfile.com/file/LH5QNxfixn       *** ผมยืนยันได้ว่า การศึกษาเรื่อง Elliott wave หากเราศึกษาอย่างจริงจังและเข้าใจ มันจะเปลี่ยนมุมมอง และจะเกิดประโยชน์อย่างมากมาย เพียงแต่ท่าน จะลงมือศึกษามันหรือยังเท่านั้นครับ  *** แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 10:23:56 จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:57:03

ความคิดเห็นที่ 35 ขออภัย ส่งซ้ำ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 09:59:02 จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:57:47

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณมากค่ะ  พี่คิตตี้ และท่านอื่นๆ ที่ร่วมแสดงความคิดเห็น จากคุณ : spaceship เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 10:14:43

ความคิดเห็นที่ 37 ประเด็นการศึกษาของเวฟจะมีอยู่สี่อย่างครับ 1. ความน่าจะเป็น 2.จิตวิทยา อีกสองอันผมจำไม่ได้ ที่เห็นต่างกัน  อย่างที่คุณkitty63บอกแล้วครับ ขอเพิ่มเรื่อง  ช่วงเวลาที่นำมาพิจารณา เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พิจารณาต่างกันจุดเริ่มของแต่ละท่านและไทมเฟรมต่างกันส่งผลให้การพิจารณาต่างกันด้วย ปัญหาของการใช้เวฟ  เนื่องจากเวฟผู้ใช้มักใช้ในการคาดการ์ณล่วง  ซึ่งบางทีผู้ใช้อาจจะนับผิด    แต่ผู้ใช้ยังยิดติดกับสิ่งที่นับผิด  (คิดก่อนตลาดพอตลาดเฉลยแล้วยังดื้ออีก) ปัญหานี้แก้ได้โดย  เวลาใช้เวฟจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ทางด้านเทคนิค อย่างเช่นคลื่นสองต่ำกว่าจุดเริ่มของคลื่นหนึ่งไม่ได้  เมื่อต่ำกว่า  ควรจะคัตลอสแล้ว(ยังไม่ได้รวม MMเข้าไปนะครับ)เพราะฉนั้นหนังสือ C-wave technic จึงจำเป็นสำหรับผู้ศึกษาเวฟ เบสิคคอนเซ๊ป  ของดาว   เอเลียต  แกนน์   คล้ายๆกัน   เชื่อเรื่องราคา  เวลา  ปริมาณ แต่กระบวนการค้นหาต่างกัน  จากนั้นถึงจะพูดเรื่อง fractal ทั้งสามค่ายข้างบน  ได้ผ่านการพิสูจน์มาในระดับนึงแล้ว    ทั้งสามค่ายนี้ต่างผ่านร้อนผ่านหนาว  ผ่านวิกฤต มาพอสมควร   ถ้าถามว่าเวฟแม่นยำมากไหม  ในส่วนของผมพบว่าเวฟพยากรณ์ได้แม่นยำประมาณ80-90  เปอร์เซ็น  แล้วมีผิดพลาดไหม  คำตอบคือมีครับ  เพราะหลายครั้งที่ผมนับผิด    แต่โชคดีที่มีสต๊อปลอสช่วยไว้  ไม่งั้นจุก สรุปผมใช้เวฟจริงๆในการเทรดครับ ถึงจะไม่เทพแต่ก็ไม่ตายครับ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 13:40:54 จากคุณ : Augustinus เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 13:38:13

ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อกี้รุปมันใหญ่ไปครับ จากคุณ : Augustinus เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 13:41:30

ความคิดเห็นที่ 39 ตกลง มีใครยกตัวอย่างหรือเฉลยให้ได้ไหมครับว่า นับ wave ไป นับ wave มา มันช่วยเราในการเทรดยังไง ในเมื่อมันต้องรอสัญญาณ นั่นก้อคือราคา เป็นตัว confirm พอมัน confirm ราคาก็เกิดขึ้นจริงแล้ว ไม่ได้เป็นการ forecast เอาแบบสั้นๆ รวบรัดๆ ง่ายๆ ก้อได้   ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : Laganus เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 18:27:35

ความคิดเห็นที่ 40 How To Indentify High-Profit Elliott Wave Trades in Real Time-Walker <---- เป็นหนังสือที่ดีมาก ขอบคุณคุณ kitty63 มากครับ จะลองอ่านดูนะครับ อ่านคร่าวๆแล้วดูเหมือนว่าผู้เขียน จะมุ่งเน้นไปที่ wave C ที่มีคุณสมบัติที่จะทำให้เกิด high probability trade setup แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วทฤษฎีคลื่นนี้มันสลับซับซ้อนและกำกวมเกินกว่าที่จะเอามาใช้อยู่ดี แต่มันก็อาจจะเหมาะกันกับใครบางคนก็ได้(ที่มีความมุมานะพอที่จะเรียนรู้มันจนแตกฉาน) ความรู้สึกของผมเกี่ยวกับทฤษฎีนี้มันเหมือนกับเป็นศาสตร์ชั้นสูง เหมาะที่จะเป็นของเล่นทางความคิดของบรรดานักปรัชญาที่ไว้ใช้ถกเถียงกันบนหอคอยงาช้าง ถึงหลักปรัชญาการนับคลื่น เพราะผมมั่นใจว่าความกำกวมของวิชานี้มันมีเรื่องให้ถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 52 19:52:04 จากคุณ : Colossus เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 19:34:51

ความคิดเห็นที่ 41 มันไม่ได้ลึกลับซับซ้อนขนาดนั้นหรอกครับ มันยากก็จริงแต่ก็สามารถเรียนรู้ได้  แม้จะไม่สามารถอ่านได้ทะลุปรุโปร่ง แต่เราก็สามารถมองเห็นภาพคร่าวๆ และใช้วางแผน หรือเป็นสัญญาณเตือนในการลงทุนได้   ผมเห็นที่คนเก่งในด้าน elliott wave มากๆ เช่น อ.เล่าปี่  ที่ใช้เทรดด้วย elliott wave ใน real time เลย    ผมก็แอบไปดู ลักจำเอาบ่อยๆ  แต่ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องพยายามอ่านและนำมาฝึกฝนมากกว่า   หนังสือที่ผมใช้เป็นหลัก คือ Mastering of Elliott wave by Glenn Neely นั่นแหละ  ใครที่พอมีเวลาและตั้งใจเรียนรู้จริงๆ ก็น่าจะเรียนรู้ได้ ขึ้นกับความตั้งใจมากกว่า  แต่ส่วนใหญ่มักศึกษาไปและท้อมากกว่าเพราะใช้เวลานาน กว่าที่จะเข้าใจ และซับซ้อนมากพอสมควร  เล่มนี้ผมอ่านมานานกว่า 2 ปีแล้วและอ่านมากกว่า  20-30 รอบ  ยังรู้เรื่องไม่ถึง 50-60% เลย  ก็พยายามอ่านซ้ำไปเรื่อยๆทุกครั้งที่อ่านก็จะได้อะไรใหม่ๆอยู่เสมอ   และศึกษาเทคนิคอื่นๆร่วมไปด้วย ก็จะได้มุมมองที่หลากหลายวิธี ไม่ได้เจาะจงวิธีใดเทคนิควิธีหนึ่ง แต่จะใช้ร่วมกันได้ในการลงทุน จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 21:27:58

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ kitty63 อ่านตั้ง 20-30 รอบแล้ว นับถือจริงๆครับ ถ้าผมอ่านสงสัยว่า 2 ปีจะถึงครึ่งเล่มมั้ย ช่วยแปลเป็นไทยแล้วพิมพ์ขายได้มั้ยครับ พูดจริงๆนะครับ จากคุณ : ksarot เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 23:07:27

ความคิดเห็นที่ 43 ผมเคยอ่าน c wave technique คร่าว ๆ ยังประทับใจเลยครับ โดยพื้นฐานวิธีคิดแล้วยอดมาก ให้หลักในการเทรดดี และทำให้รู้จักอดทนรอคอย ตอนนี้ผมเลยหันมาศึกษาเรื่องเวฟมากขึ้น มันให้มุมมองใหม่ ๆ ดีทีเดียว ต้องขอบคุณคุณ kitty ที่อดทนเขียนนะครับ การนับเวฟผิดถูกนั้น ไม่สำคัญเท่าหลักการที่ซ่อนอยู่ในการอธิบายเวฟครับ ถ้าเข้าใจหลักการพวกนั้น จะเข้าใจจิตวิทยามวลชนและ fund flow ได้มากขึ้นด้วย จากคุณ : แขกขาว. (แม่อบเชย) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 23:39:36

ความคิดเห็นที่ 44 กลับมาดูอีกทีครับ จากคุณ : ยอดไม้บนปลายดอย เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 00:25:48

ความคิดเห็นที่ 45 สำหรับผมต้องการคำตอบแบบ ที่น้องๆๆเขาอยากได้เช่นกัน       และเข้าใจความยุ่งยากที่การเริ่มต้นนับเวพ ว่าแล้วแต่คนเลือก ผลจึงมีความแตกต่างกัน   เลยย้อนไปเป็นเช่นคนในอดีต  ที่อาศัยข่าว หรืออะไรที่มากระทบทำให้เกิดความคิดเกิดอารมณ์ ตลาดได้จริงๆๆเป็นตัวนำทางเหตุการณ์ ในขณะนั้น   เฉพาะช่วงเวลาที่ไม่ใช่เวลาปกติ จิตวิทยามวลชนสับสน เลือกเสพ และเชื่อไปคนละทิศทาง  กราฟส่งสัญญาณขาย แต่ ตัวเลขเศรษฐกิจ บางประเทศเริ่มฟื้น   สำหรับออพชั่นไม่มีปัญหาเพราะเล่นถือสองทางได้ หรือฟิวเจอร์ ก็ได้เมื่อภาวะไม่แน่ใจล๊อค สเปรด ไว้ก่อน  แต่หุ้น จะลำบากใจ อือขาย เข้าหรือ ออกก่อนดี   การประยุกต์ ด้วยตัวคุณเอง ให้เหมาะ กับ เวลา จะดีที่สุด หรือป่าว   เหมือนกับกลยุทธ์ ออพชั่นว่า ให้ซื้อพุท ซื้อคอลอย่างละหนึ่งสัญญา แล้วเซทแกว่งไปทางไหนก็กำไรได้  พอเราเอามจัดการเอง ซื้อที่ละข้าง ที่ทิศทางไปทางนั้น พอกลับทิศก็ซื้ออีกทางให้ครบ ตาม ตำรา กลับดีกว่าซื้อในวันเดียวกันนั้นเลย   คือการประยุกต์ จะดีกว่าไหม จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 04:07:41

ความคิดเห็นที่ 46 # 42   ผมอยากเห็นหนังสือเล่มนี้แปลออกมาขายเหมือนกันครับ  แต่ภาษาผมอ่อนแอมากจึงต้องอ่านซ้ำๆ หลายๆรอบ เพราะความเข้าใจในการอ่านแต่ละครั้ง มันเก็บข้อมูลได้น้อย   แต่ปัญหาการแปลหนังสือพวกเทคนิคนี้มันก็ยากเพราะผู้แปลต้องมีความรู้เรื่องพวกนี้พอสมควร ไม่งั้นอาจแปลความหมายผิดเพี้ยนไปจากความหมายของต้นฉบับไป  จึงทำให้หนังสือพวกนี้ถูกแปลออกมามีน้อยมาก จากคุณ : kitty63 เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 09:26:08

ความคิดเห็นที่ 47 ผมก็แปลไว้เหมือนกัน  มันยากที่จะอธิบายเป็นภาษาไทย  บางประโยคอ่านแล้วเข้าใจเอง  พอพิมพ์เป็นภาษาไทยไม่รู้ใช้คำว่าอะไรดี เคยขอแฟนให้ช่วยแปล  แย่กว่าที่ผมแปลอีกครับ  เพราะแฟน  ไม่เข้าใจศัพท์  อย่างเช่น  bull แฟนแปลว่าวัวกระทิงเอาดื้อๆเลย  short =สั่น   ทางที่น่าจะดี  คือ  ช่วยกันแปล  หาเจ้าภาพ  ซักคน  แล้วหาผู้อาสาสมัคร  มาช่วยกันแปลคนละบท (แล้วแต่สะดวก)  จากนั้นค่อยๆรวมเล่ม ตรวจสอบความถูกต้อง  แล้วค่อยแบ่งกันครับ  น่าจะรอดมากที่สุดแล้ว จากคุณ : Augustinus เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 10:52:03

ความคิดเห็นที่ 48 อย่างไรก็แล้วแต่...เดี๋ยวผมเป็นเจ้าภาพ จัดพิมพ์ ก็ได้ครับ ส่วนการขอลิขสิทธ์ อันนี้ไม่รับประกันว่าจะได้หรือเปล่านะครับ ถ้าสนใจจริงๆ หลังบ้านมาคุยกันก็ได้ครับ จากคุณ : นกเพนกวินอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 52 15:22:05

ความคิดเห็นที่ 49 รอดูครับ คลื่น5 จะมีพลังต่อเป็นสึนามิ  หรือ ว่าจะเป็นคลื่นกระทบทราย จากคุณ : โฮเฮะ เขียนเมื่อ : 22 ส.ค. 52 22:17:53