Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
VI เบอร์ 1 ของเมืองไทย “ดร.นิเวศ เหมวชิวรากร”  

สำหรับเซียนคนนี้ ต้องถือว่าค่อนข้างที่จะฉีกแนวไปจากชื่อคอลัมน์ เพราะเขาได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนมากว่าจะเป็น “เต่า” ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนละสายพันธุ์กับ “เสือ” แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ฝีมือที่ฝากไว้ได้เป็นที่ประจักษ์ที่ชัดเจนแล้วของทั้งในและนอกวงการ คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากสำหรับ Value Investor (VI) เบอร์ 1 ของเมืองไทยคนนี้

จากวิศวกรสู่โลกการเงิน
ก่อนหน้าที่จะเข้าสู่วงการนี้ผมเป็นวิศวกรมาก่อนเพราะเรียนจบจากวิศวะจุฬาฯ ซึ่งถือว่าห่างจากโลกการเงินเยอะ แต่พอเรียนจบปริญญาเอกก็เริ่มต้นทำงานที่ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม หรือ IFCT ซึ่งเป็นสถาบันการปล่อยกู้และมีส่วนร่วมในการบุกเบิกตลาดทุน พอตลาดหลักทรัพย์เริ่มบูมขึ้นมาก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ อยู่ในส่วนงานวานิชธนกิจที่จะนำบริษัทจดทะเบียนเข้าตลาดฯ ระหว่างนั้นก็มีโอกาสได้เล่นหุ้นบ้างแบบว่าได้กำไรมาก็ขายไป แต่ก็ไม่ได้แอ๊คทีฟมาก และก็ไม่ได้สั้นถึงขนาดเป็นเดย์เทรด เป็นระยะกลาง-สั้น ถือประมาณ 1-2 เดือน ตอนนั้นราวปี 2537-2538 เป็นช่วงที่หุ้นกำลังคึกคักและทุกคนเข้ามาเล่นกัน ซึ่งเป็นลักษณะของการที่เล่นเป็นงานอดิเรก ไม่ได้อิงการวิเคราะห์ตัวหุ้นซักเท่าไร อาศัยดูจากสภาพตลาดโดยรวมเป็นหลักมากกว่าซึ่งก็จะซื้อหุ้นประเภทที่ผันผวนตามตลาด

หลบภัยกลายเป็น VI
พอปี 2539-2540 เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจึงย้ายไปทำงานอยู่ DTAC ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แอ๊คทีฟงานอะไรมากนัก เป็นช่วงที่ค่อนข้างรีแลกซ์เสียมากกว่า มีเวลาทบทวนบทบาทของตัวเองเยอะ จึงกลายมาเป็น VI (Value Investor) เต็มตัว และเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียน ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดหลักทรัพย์เงียบเหงามาก เป็นช่วงที่ทุกคนหยุดหมด ที่เปลี่ยนสไตล์การลงทุนมาเป็นแบบ VI เพราะตอนนั้นผมเริ่มศึกษาแบบจริงๆ จังๆ จึงเห็นว่าแนวนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะปลอดภัย และเห็นโอกาสที่หุ้นลงมาเยอะจาก 1700 จุด อีกทั้งช่วงนั้นก็กำลังตกงานไม่มีรายได้ประจำ ลูกก็ยังเล็ก ภรรยาก็ไม่ได้มีรายได้ประจำ จึงต้องการลงทุนเพื่อหารายได้ในอนาคต

หนทางสองหมื่นลี้ต้องเริ่มที่ก้าวแรก
เรื่องการลงทุน ผมลงไปเต็มตัว 100% ตอนดัชนีอยู่ประมาณ 800 กว่าจุด ราวปลายปี 2540 (ตอนนั้นประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท) จุดหลักก็คือผมไปเห็นหุ้นบางตัวที่มีราคาลงมาเยอะมากและไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยกำไรและเงินปันผลไม่ได้ลดลงเลย ในขณะที่บางตัวกลับสวนทางดีขึ้นด้วย อย่างเช่นหุ้นส่งออก เป็นต้น ซึ่งได้รับผลบวกจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนลงการที่เข้าไปซื้อก็เน้นตัวธุรกิจจริงๆ ไม่ได้หวังกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น เพาะหุ้นตัวที่ซื้อราคานิ่งมากวอลุ่มก็ไม่ค่อยมี คนที่เล่นหุ้นตอนนั้นหวังกำไรจาก Capital Gain คงยาก หวังได้อย่างเดียวคือเงินปันผล ก็เลยทยอยเก็บหุ้นไปเรื่อยจนเงินหมดโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตอนนั้นเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาท

เทใจให้เต็ม 100
ถึงแม้ว่าจะลงทุนเต็ม 100% ตอนนั้นก็ไม่ได้มีแผนสำรองว่าถ้าหากผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร แต่เชื่อมั่นว่าหุ้นแต่ละตัวที่ซื้อมานั้นแข็งแกร่งและโอกาสที่จะขาดทุนมีน้อยมาก แถมยังมีการกระจายการลงทุน 7-10 ตัว อาทิ TF, WACOL, SSC, APRINT เป็นต้น ซึ่งทำให้โอกาสที่จะพลาดจึงต่ำลงไปอีก แต่ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาก็คงจะไม่พลาดแบบหายนะ อาศัยจากปันผลก็ยังทำให้อยู่ได้ ต้องยอมรับว่าความโดดเด่นของเครือสหพัฒน์ตอนนั้นคือ ไม่มีหนี้ เพราะเคยเจอวิกฤติการลดค่าเงินบาทสมัยป๋าเปรม จึงไม่มีการไปก่อหนี้ต่างประเทศ และจริงๆ คือไม่ก่อหนี้เลย ทำให้มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และตัวธุรกิจของเขาคือ คอนซูมเมอร์โปรดักส์ การที่ถึงแม้ประชาชนจะลดการใช้จ่าย แต่จะไม่ลดพวกนี้หรือลดน้อยลง เช่น มาม่า ตอนเกิดวิกฤตแล้วยอดขายกลับดีขึ้น หลังจากนั้นดัชนีหุ้นก็ลงต่อจาก 800 จุดมาที่ 200 กว่าจุด แต่พอร์ตของผมกลับสวนทางขึ้นมีกำไร และหากเทียบกับดัชนีฯ วันนี้ก็ถือได้ว่าลงมาครึ่งหนึ่งของเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่พอร์ตของผมก็โตมาได้หลายสิบเท่า ซึ่งก็ถือว่าวิธีแบบนี้สามารถทนทานต่อภาวะตลาดได้

ต้องติดตามและจินตนาการ
จริงๆ การติดตามเกี่ยวกับข้อมูลและข่าวสาร ผมว่ามันอยู่รอบตัวเลย อย่างเช่นพออ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็วิเคราะห์ไปเรื่อยๆ สถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้วจะกระทบกับตัวบริษัทอย่างไร จากนั้นก็ลงไปดูในท้องตลาอดเป็นการวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผมจะติดตามดูผลิตภัณฑ์ของบริษัทสม่ำเสมอ ยอดขาย ความรับรู้ของผู้บริโภค การขยายตัว เป็นอย่างไร ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าเป็นการทำงาน
นอกจากนี้ก็ยังอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็เป็น Textbook แล้วก็นำทั้งหมดมาวิเคราะห์เข้ากับสถานการณ์ในเมืองไทย หรือเรียกว่าจินตนาการ ซึ่งก็ถือได้ว่าทำเป็นประจำทุกวัน ส่วนใหญ่จะทำเวลาออกกำลังกาย เช่น วิ่งไปคิดไป รวมถึงยังมีการเก็บข้อมูลทางการเงินจากงบที่ประกาศแล้วก็รวบรวมตัวเลขพวกนี้เก็บไว้ในสมุด ตัวไหนที่น่าสนใจก็เก็บไว้ในจอเรย์ด้า จดว่าแต่ละไตรมาสข้อมูลเป็นอย่างไร พัฒนาการเป็นอย่างไร แล้วก็จะนำพวกี้ไปใส่จินตนาการเหมือนกัน

ตัดสินใจซิ้อหุ้น
จากที่สะสมจากจินตนาการเป็นเวลาหลายเดือนบางทีไม่ได้ซื้อหุ้นซักตัว แล้วพอมาถึงวันหนึ่งก็สรุปว่าถึงเวลาที่จะซื้อแล้วก็ซื้อเก็บเอาไว้ อย่างบางปีซื้อหุ้นแค่ 1-2 ตัวแค่นั้น ไม่ใช่ซื้อหลายๆ ตัวแบบเบี้ยหัวแตก ส่วนจำนวนการซื้อตอนี้ถ้าคิดว่าซื้อไม่ถึง 5% ของพอร์ตก็จะไม่อยากซื้อเพราะน้อยเกินไป เพราะถ้าหุ้นขึ้นเยอะๆ ก็ไม่ได้เป็นเงินอะไรมาก ฉะนั้นหลังๆ จึงเน้นไปเป็นแบบ โปรพลัสอินเวสเมนท์มากขึ้น คือ ถ้าซื้อน้อยเกินไปก็อย่าไปซื้อมันเลย มันจะดีจะอะไรช่างหัวมันเถอะ ต่อให้มันกำไร 100% ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างให้พอร์ตเรา สำหรับปัจจุบันในพอร์ตมีหุ้นอยู่ประมาณ 10 กว่าตัว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นหุ้นใหญ่ทุกตัว เพราะมีเหตุผลในการซื้อที่แตกต่างกัน

สภาพคล่องมีผลต่อการตัดสินใจ
การสะสมหุ้นจาก 0% ถึง 5% ใช้เวลาไม่นานมาก บางทีก็แค่อาทิตย์หรือสองอาทิตย์ก็ซื้อเสร็จแล้ว ส่วนเรื่องของสภาพคล่องนั้นแต่เดิมที่เป็นพอร์ตเล็กก็จะไม่ดู เพาะเราเงินนิดเดียวก็ซื้อไปได้เรื่อยทุกตัวมีสภาพคล่องหมดในสายตาเรา แต่ถึงวันนี้มันมีผลเพราะถ้าสภาพคล่องน้อยเกินไป ถึงอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้ ซื้อไปแล้วราคาก็วิ่งขึ้นไปก่อนที่เราจะเก็บได้เยอะๆ หรือเวลาขายก็ขายลำบาก ซึ่งไม่คุ้ม เพราะฉะนั้นหลังๆ สภาพคล่องก็เป็นปัญหาเหมือนกัน
ไม่ต้องกลัว...ถ้าเป็นหุ้นดี
อย่าง STANLY ในตอนนั้นเป็นไปตาม Story ของผมเป๊ะเลย เพราะสำหรับเมืองไทยรถยนต์ถือได้ว่ามีความจำเป็น ก่อนวิกฤติมียอดขาย 6-7 แสนคัน แต่พอเจอต้มยำกุ้งยอดขายมันตกลงมาเหลือแสนกว่าคัน ซึ่งผมรู้ว่าอย่างไรมันต้องกลับมาเพราะเศรษฐกิจตอนนั้นมันวิกฤติ คนจึงชะลอการซื้อออกไป และผมรู้ว่า STANLY ผลิตแผงไฟหน้าซึ่งจำเป็นกับทุกคัน ด้วยราคาได้ตกลงมาเยอะแต่หนี้ของบริษัทก็ไม่ได้เยอะ เป็นบริษัทที่ Well manage เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งสูงมากทางด้านการผลิต ผมก็ซื้อไป พอเศรษฐกิจเริ่มฟื้น และในช่วงหลังมีเรื่องของการส่งออกด้วยทำให้ได้กำไรหลายสิบเท่า ซึ่งผมก็ขายไปหลายปีแล้ว อันนี้ก็เป็นตัวอย่างว่าถ้าถ้า Story เป็นไปตามที่คิดราคามันก็จะไป แม้ว่าตอนซื้อใหม่ๆ มันจะไม่เป็นไปตามที่คิด เพราะผมซื้อก่อนที่ตัวเลขมันจะเหลือแสนกว่าคันด้วยซ้ำไป แต่ว่าในที่สุดมันก็กลับมา

การลงทุนไม่มีอะไร 100%
ส่วนใหญ่ซื้อมาตอนแรกก็ไม่ค่อยขายหรอก ต้องผ่านไประยะหนึ่งจนเห็นว่าผลการดำเนินงานหรือว่าธุรกิจของเขาไม่สอดคล้องความคิดของเราที่จินตนาการไว้ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยๆต้องใช้เวลาดูอยู่หลายไตรมาส แม้ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวลงแต่ตราบใดที่มองไปในอนาคตแล้วยังเป็นไปตามที่เราคิดก็จะไม่ขาย รอว่าเมื่อไหร่จะกลับมา การลงทุนไม่มีอะไร 100% บางทีอาจจะมีอะไรที่เราไม่รู้แต่คนอื่นรู้ทำให้ราคาหุ้นมันลง อย่างนี้เราต้องระวังจริงๆ แล้วผมจะมองไม่ค่อยผิด เพราะถ้ามองผิดแล้วจะอันตรายมาก เพราะซื้อเยอะ แต่จะชี้ให้เห็นว่าบางครั้งสิ่งที่คุณคาดอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด ด้วยเหตุที่สุดวิสัยก็ได้ มันไม่ใช่ว่ามองผิดหรอก แต่ธุรกิจมันเป็นอะไรที่ Dynamic มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ธุรกิจมันเป็นอะไรที่ Dynamic
ครั้งหนึ่งผมเคยซื้อหุ้นพิซซ่า ฮัท หรือ MINT ในปัจจุบัน ตอนนั้นผมชอบมากเพราะกิจการเติบโตเร็วมาก บริหารดี ธุรกิจหลายอย่างก็ดี พอผมซื้อไปทุกอย่างที่คาดไว้ไม่ผิดหรอก แต่ที่ไม่คาดฝันก็คือบริษัทโดนฝรั่งเอาแฟรนไชส์คืน ผมก็กลัวเลยเพราะตอนนั้น พิซซ่า ฮัท เป็นสัดส่วนรายได้ที่ใหญ่มากของบริษัท เป็นตัวหลักและผมก็เลยคิดว่าเขาคงแย่แน่เพราะคิดว่าสินค้าตัวนี้ต้องอาศัยชื่อ อันนั้นเป็นความเข้าใจผิดของเรา แต่หลังจากนั้นเขาสามารถสร้างแบรนด์ใหม่เป็นเดอะพิซ่า คอมพานี ขึ้นมา แต่ผมขายหุ้นไปแล้วเพราะนึกว่าสตอรี่มันเปลี่ยน ซึ่งราคาหุ้นมันก็ขึ้นมาตอนหลังอีกเป็นสิบเท่า ซึ่งผมไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าผมไปคิดใหม่ ถ้ามีประสบการณ์เหมือนวันนี้ผมจะไม่ขาย เพราะแบรนด์ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดปลอดภัย มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ผสมกัน เช่น การผลิต พนักงานสถานที่ ผู้บริหาร แต่ว่าตอนนั้นเราค่อนข้างจะอิงกับแบรนด์

จากคุณ : bigzaa
เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 52 09:15:40




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com