ความคิดเห็นที่ 1 ในช่วงทีผ่านมาถึงแม้เศรษฐกิจของโลกจะเป็นยังไง เศรษฐกิจจีนก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย Q2 GDP โตถึง 7.9% YoY สูงกว่าไตรมาสที่ 1 ที่โตเพียง 6.1%  แต่ถ้านับ QoQ แล้ว เศรษฐกิจจีนใน Q2 ขยายตัวจาก Q2 ถึง 16.4% (Oh My Buddha!)  ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นเช่นนั้นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลจีน ทำให้ส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนที่โตถึง 15.8% YoY อันนี้จะกลับกันกับบ้านเราที่การลงทุนหดมาก จนถึงขณะนี้ก็ฟื้นเพียงเล็กน้อย (ทำให้เป็นโอกาสดีการซื้อหุ้นนิคมดังที่ได้บ่นทุกเดือนมาร่วมสามเดือนแล้ว) จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 09:43:50

ความคิดเห็นที่ 2 แต่สำหรับภาคต่างประเทศนั้นจีนประสบปัญจากอุปสงค์ในต่างประเทศลดลงในตลาดใหญ่ๆของจีน ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯหรือยุโรป การส่งออกของจีนได้หดตัวลงอย่างต่อเนื่องที่ -19.7 % YoY ในไตรมาสที่ 1 และ -23.5 %YoY ในไตรมาสที่สอง   การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นเป็นผลจากการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐเป็นสำคัญโดยในส่วนการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวนั้นเป็นผลจากโครงการภาครัฐที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน (Crowding-in Effect) โดยการลงทุนในสาธารณูปโภคที่ขยายตัวร้อยละ 57.4 ต่อปี ในครึ่งปีแรกนั้น ส่วนใหญ่ มาจากการลงทุนในโครงการสร้างทางรถไฟที่ขยายตัวร้อยละ 126.5 ต่อปีและโครงการสร้างถนนที่ขยายตัวร้อยละ 54.7 ต่อปี ในขณะที่การขยายตัวของการบริโภคนั้นเป็นการขยายตัวของสินค้าคงทน เช่น รถยนต์อสังหาริมทรัพย์ และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นหลัก จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 09:47:36

ความคิดเห็นที่ 3 กลไกหลักในการกระตุ้นภาคการบริโภคได้แก่การปล่อยสินเชื่อจากธนาคารของรัฐ โดยปริมาณสินเชื่อที่ปล่อยกู้ในครึ่งปีแรกมีถึง 7.8 ล้านล้านหยวน ซึ่งแม้จะช่วยให้เศรษฐกิจไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกมากนัก รวมทั้งไม่ทำให้เกิดเงินเฟ้อในระยะใกล้ (อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่หดตัว -1.7% ในเดือนมิถุนายน) แต่ก็ทำให้เกิดฟองสบู่ ในสินทรัพย์ (Asset price bubble) โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ขยายตัวถึง 75% นับจากต้นปีในเดือนมิถุนายน ในขณะที่ราคาบ้าน เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 20% รวมไปถึงการที่ปริมาณเงินความหมายกว้าง (M2) ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 25 % ต่อปี อันตรายสุดๆถ้าไม่ควบคุมให้ดี มันอาจจะปลอดภัยอยู่นิดนึงตรงที่เงินเฟ้อยังไม่วิ่งเท่าไหร่ แต่อีกเดี๋ยวอาจจะมา  สำหรับผู้ที่ไม่มี Background ทางเศรษฐศาสตร์นะครับ (^^ ผมกำลังเป็นนักเรียนอยู่)  MV = PQ   M คือปริมาณเงิน V คืออัตราการหมุนของเงิน P คือระดับราคาทั่วไป Q คือ GDP ในรูปแบบปริมาณ Product    ระยะสั้นนั้นระดับราคาเปลี่ยนแปลงได้ช้า (Sticky Price) V เค้ามักจะสมมติให้คงที่ ดังนั้นการเพิ่มปริมาณจะทำให้ GDP โตขึ้นในระยะสั้น ในระยะยาวราคาจะสามารถปรับตัวได้ ดังนั้นการเพิ่ม M จึงจะทำให้เกิด Inflation ในเวลาต่อไปนะครับ  ตอนนี้ถ้าทุกคนอ่านข่าวของทางฝั่ง US จะได้ยินคำว่า Exit Strategy  คุณ Bernanke นอกจากมาสานต่อนโยบายซึ่งมีการอัดฉีดอย่างหนักแล้วจะต้องวางแผน Exit ด้วยว่า Fed จะออกจากอัดฉีดยังไงให้สวย นอกจากเรื่อง Sticky Price แล้ว สำหรับสาเหตุสำคัญที่เงินเฟ้อในแต่ละประเทศไม่พุ่งซักที ไม่สะใจกองเชียร์ค่าย Hyperinflation ก็คือ การที่เศรษฐกิจหดตัวทำให้เกิด Over-Capacity ในภาคการผลิตอย่างมาก แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 52 09:53:53 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 09:52:05

ความคิดเห็นที่ 4 การที่เศรษฐกิจจีนเริ่มมีความเสี่ยงของ Asset Price Bubble นั้น ทำให้ทางการจีนออกมาตรการป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยได้ประกาศ ตั้งเป้าสัดส่วนเงินกันสำรองหนี้เสีย (Loan loss Provisioning) เป็น 1.5 เท่า ในเดือนสิงหาคม 2552 จาก 1.34 เท่า ขณะที่ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBOC) ได้เริ่มออกพันธบัตรอายุ 1 ปี เพื่อดูดซับสภาพคล่องจำนวน 1 แสนล้านหยวนเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ผลที่ได้เหรอครับ > Panic Sell : Shang Hai Composite ดำดิ่งทันที ซึ่งข่าวในลักษณะนี้เป็น Fundamental Change นะครับ ไม่เหมือนข่าวประเภท คลังสำรองน้ำมันสหรัฐวิ่งขึ้นลง  มันจะแรงและกินเวลา เห็นช่วงแรกมีคนไปรับและตายสนิทจำนวนหนึ่ง ใน web board Pantip มีการถามไถ่กัน แต่ส่วนใหญ่ก็จะไม่คำตอบ (เนื่องจากผมทราบว่าเราชอบไสยศาสตร์กัน ชอบเรียกหาเจ้า หาเซียน ดังนั้นผมอยู่เงียบๆดีกว่า) แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 52 14:48:38 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 09:56:09

ความคิดเห็นที่ 5 ลองดูการขยายตัวของปริมาณเงินนะครับ ไม่เคยเร็วขนาดนี้มาก่อน จนทางการจีนเริ่มจำเป็นต้องดูดสภาพคล่องออกมาจากระบบ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:00:16

ความคิดเห็นที่ 6 นอกจากนั้น คณะกรรมาธิการการธนาคารของจีน (The China Banking Regulatory Commission) ยังได้ขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์ทั่ว ประเทศในการตรวจสอบสินเชื่อใหม่ ซึ่งทางคณะกรรมการได้ตักเตือนให้ ทางสถาบันการเงินต่างๆ ทำตามกฎในการปล่อยสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดให้วางเงินดาวน์อย่างน้อย 40 % ของมูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งการเข้มงวดสินเชื่อขึ้นดังกล่าวทำให้สัญญาณล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารธนาคารขนาดใหญ่ของจีน เช่น ธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์ของจีน (ICBC) บ่งชี้ว่าแนวโน้มการปล่อยสินเชื่ออาจเริ่มลดลง ทางสำนักเศรษฐกิจการคลังวิเคราะห์ว่า ในระยะต่อไปเศรษฐกิจจีนอาจเริ่มมีความเสี่ยง เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น เนื่องจาก แม้ว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น (Demand-pull Inflation) จะยังมีไม่มากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงน่าจะเป็นส่วนผลักดันให้ระดับการผลิตของจีนต่ำกว่าศักยภาพหรือเกิด Output Gap ขึ้น อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าในระยะต่อไป Output Gap ของจีนจะเริ่มลดลง โดยหากผู้ประกอบการปรับตัวโดยปรับลดคนงานออก ซึ่งจะทำให้ศักยภาพการผลิตของจีนลดลง และเพิ่มความเสี่ยงของ Demand-pull inflation นอกจากนั้นความเสี่ยงเงินเฟ้อจากราคาต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น (Cost-push Inflation) อาจเริ่มเพิ่มขึ้นหากราคาสินค้าโภคภัณฑ์เริ่มปรับตัวสูงขึ้น (ปัจจุบันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มิใช่พลังงานในจีนเพิ่มขึ้นที่ 5 %ต่อปี แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะยังหดตัวต่อเนื่อง ในขณะที่ระยะต่อไปมีแนวโน้มว่าราคาโภคภัณฑ์อาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหากอุปสงค์ภายในประเทศยังคงขยายตัว และความคาดหวังเงินเฟ้อ ที่เริ่มเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์   ในอนาคตอันใกล้ สศค. คาดว่าทางการจีนจะเข้าบริหารจัดการด้านเรื่องการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะเดียวกันจีนอาจเริ่มยุติการทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โดยอาจเริ่มปรับขึ้นสัดส่วนเงินกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ และขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจากระดับปัจจุบันที่ 2.25% และ 5.31% จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:01:11

ความคิดเห็นที่ 7 Credits : คุณ Ubolwan Usawattanagul , Somrasri Yupho , Piyasak Manason , Watchara Saisomboon , Thian Thiumsak จากสำนักเศรษฐกิจการคลัง จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:02:49

ความคิดเห็นที่ 8 Implications : 1. การฟื้นตัวของ SSEC ที่ผ่านมาอาจจะเป็นแค่ Correction และมันต้องใช้เวลาปรับฐานนานกว่านี้ 2. อาจไม่มีใครมารับไม้ต่อจากจีนในการพยุงเศรษฐกิจโลกได้ทันเวลาก็เป็นได้ 3. เรื่องเงินเฟ้อเป็นภัยใต้น้ำที่กำลังจะโผล่ขึ้นมา ทุกประเทศอัดฉีดเงินแต่ไม่สามารถถอนตัวในเร็ววันเนื่องจากยังกังวลเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ วันนี้คุณทำ Inflation Hedge แล้วหรือยัง ขอให้โขคดีทุกท่าน จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:06:52

ความคิดเห็นที่ 9 วิกฤติต้มยำกุ้ง กับวิกฤติแฮมเบเกอร์ ผ่านไปแล้ว.........ต่อไปก็ต้องมี วิกฤติ ข้าวต้มกุ๊ย 5555555 จากคุณ : goldengun เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:11:11

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆอย่างนี้ จากคุณ : ANATAGAN เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:14:46

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณฮะ จากคุณ : Duckcovery เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:18:49

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าสนใจการวิเคราะห์เศรษฐกิจจีน ก็ตองฟังรายการ เจาะตลาดแดนมังกร โดยดร.สมภพ มานะรังสรรค์ และคุณสมยส แช่มซ้อย มีคลิปรายการย้อนหลังให้ฟังด้วยครับ เป็นความรู้มากมาย ทุกวันอาทิตย์ 12.30-14.00 น. http://radio.mcot.net/fm965/programView.php?cliptype=42 จากคุณ : alien Flu เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:28:07

ความคิดเห็นที่ 13 ผมก็ฟัง 96.5 ผ่านเน็ตด้วยครับ แต่ส่วนใหญ่จะฟัง Econ Biz ของ ดร.อนุสรณ์ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:33:35

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ จากคุณ : kriengchai เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:43:22

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : red_devil เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 10:48:57

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : น้องมานี เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 11:40:43

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ... จากคุณ : helga เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 13:24:02

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณที่ให้้ความรู้ครับ เขียนได้อ่านเข้าใจง่ายดีครับ สำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้เศรฐศาสตร์ อย่างผมเป็นต้น แต่ Inflation Hedge คืออะไร เหรอครับ ? เป็นการประกันความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ ? และถ้าเงินเฟ้อ ทำให้ ค่าเงินหยวนลดลง  ????? จากคุณ : BeSmile เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 13:48:36

ความคิดเห็นที่ 19 มีเรื่องนี้ต่อครับ แต่ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8251717/I8251717.html inflation hedge คือการประกันความเสี่ยงที่เกิดจากเงินเฟ้อ สมมติว่า พี่เดินรถเหมือนเจ๊เกียว กลัวน้ำมันขึ้นก็อาจจะ 1. ซื้อหุ้น PTT 2. ซื้อ Long Contract ของ Crude Oil Futures 3. ซื้อทอง เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 27 ส.ค. 52 16:52:19 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 14:20:46

ความคิดเห็นที่ 20 วิกฤติซุปหูฉลาม  ต้องเกิดแน่ๆ แต่ปีไหน ฟองสบู่แตกเท่านั้นเอง เคยพูดหลายครั้งแล้วว่า จีนกำลังสำลักทุนนิยม ไปเที่ยว เซิ่นเจิ้น  เซี่ยงไฮ้ แล้ว คนจีนใช้เงินอย่างบ้าคลั่ง   ในขณะที่อินเดีย จะเป็นอีก feeling นึง อินเดีย น่าจะปลอดภัย วันนึง ลูกโป่งจีน ก็ต้อง ระเบิด ไทยเราก็ไม่แคล้ว  SET หุ้นตก ทะลูดทะลาด จากคุณ : พิจารณ์รัฐกิจ เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 52 16:34:55

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณคร้าบ จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด (C.BUN) เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 52 04:13:14

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ กำลังคิดจะกระจายเงินคงคลัง (เงินเก็บ) ไปซื้อทองเหมือนกัน ตอนนี้ เก็บเป็นเงินสด + สลากออมสิน   :) จากคุณ : BeSmile เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 52 11:45:13

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากๆเลยครับ ดีมากๆเลย จากคุณ : คุณกำลังเห่าต้นไม้ผิดต้น เขียนเมื่อ : 3 ก.ย. 52 12:02:29