ความคิดเห็นที่ 1 ตอนที่ 2 ยังไม่ใช่..ที่ชอบ ตอนที่กลับมาตื่นเต้นมากเลย..เป็นช่วงพฤษภาทมิฬ เป็นช่วงที่ประกาศเคอร์ฟิวแล้ว เพื่อนไปรับต้องผ่านด่านทหาร โอ้โห!!! เหตุการณ์ตรึงเครียดมากนะ เพราะมีปืนจ่ออยู่ แต่ก็ ผ่านพ้นไปด้วยดี จากนั้นก็หางานทำ และในขณะนั้นธุรกิจไอที และคอมพิวเตอร์กำลังไดรับความนิยม ตอนนั้นก็เข้าไปทำงาน กับ SVOA ทำได้ประมาณหนึ่งปีครึ่ง ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ แต่ตอนนั้น ได้ยินเพื่อนพูดบ่อยๆ ว่าทำงานด้านหลักทรัพย์ได้เงินดี และตัว เราเองก็มีพื้นฐานทางด้านเทคนิค ตั้งแต่สมัยที่ทำงานเทรด F/X พอดีมีเพื่อสนิทลาออกไปทำงานด้านหลักทรัพย์ ก็มีการ ติดต่อการมาเรื่อยๆ และจากนั้นได้ไปสมัครงานที่ บล.ธนชาต ซึ่งตอนนั้นกำลังต้องการนักวิเคราะห์เทคนิเคิลพอดี ..ก็ถือเป็น ก้าวแรกที่ได้งานตรงใจ ตอนนั้นที่ทำงานดัชนีหลักทรัพย์อยู่ที่ระดับ ประมาณ 1800 จุด ..โดยดูแลในด้านเทคนิเคิลอย่างเดียว แต่ยังไม่ได้ดูด้าน พื้นฐาน ชื่อเสียงในขณะนั้นก็ถือว่ามีชื่อเสียงระดับหนึ่ง เป็นที่รู้จัก ของลูกค้า เพราะเรากล้าริเริ่มในสิ่งใหม่ๆ สำหรับการทำงานด้าน เทคนิค สมัยก่อนนั้นเครื่องมือยังไม่ทันสมัย ต้อง print กราฟออก มาแล้วพล็อตด้วยมือ บางครั้งนะจะวิเคราะห์หุ้นบางตัว บางครั้ง ต้องตัดแปะอยู่ 3-4 รอบ จึงสามารถพล็อตข้อมูลและวิเคราะห์ออก มาได้ ข้อมูลสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน สมัยนั้น..มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตื่นเต้นมากตอนนั้นดัชนี หลักทรัพย์ประมาณ 1800 จุด เปิดมาหุ้นก็ซิลลิ่งทุกตัว ตัวเราแม้ จะมีชื่อเสียงแต่ก็อยู่ในระดับจูเนียร์ ..วันนั้นดัชนีขึ้นไปสูงสุด 1800 กว่าจุด ตอนนั้นอยู่ในห้องค้าหน้าที่หลักคือออกเสียงตามสาย ได้ แนะนำลูกค้าว่าตอนนี้หุ้นร้อนแรงกินไปแล้ว..ก็บอกลูกค้าว่าขาย เถอะ..แต่มีเสียงตะโกนสวนกลับมาว่า “มันแนะนำขายแล้วโว๊ย ขายบ้านขายรถซื้อเลย” จากนั้นหุ้นก็ลงตลอด นั่นคือเหตุการณ์ที่ จำติดหูมาถึงทุกวันนี้ ในตอนนั้นเราแทบร้องไห้ แต่สะท้อนให้เห็น ว่าการใช้ข้อมูลข่าวสารในการวิเคราะห์เชื่อถือได้..แต่สำหรับนัก ลงทุนในสมัยก่อนจะมองตรงข้ามนักวิเคราะห์ คาดว่าคงเป็นเพราะ การสื่อสารและการได้รับข้อมูลข่าวสารน้อยเกินไป จากคุณ : ดร.เพียว เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 15:45:08

ความคิดเห็นที่ 2 ตอนที่ 3 เติมเต็มด้านพื้นฐาน ผมทำงานด้านวิเคราะห์ทางเทคนิเคิลได้ประมาณ 3 ปีครึ่ง..ก็เริ่มเบื่อ อยากทำ ด้านวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพราะตอนนั้นคนที่ทำงานวิเคราะห์ด้านพื้นฐาน มีชื่อเสียงทั้ง นั้นเลย เราก็อยากทำแต่ที่ บล.ธนชาต ก็มีนักวิเคราะห์เต็มแล้ว จึงสอบถามเพื่อนๆ ใน วงการและได้ไปสมัครงาน ที่ บล.ตะวันออกไฟแนนซ์ แต่ก่อนจะไปคิดรอบด้านนะ ได้ ทำงานที่ถูกใจ เงินเดือนเพิ่มขึ้น ตำแหน่งก็เพิ่มจึงตัดสินใจย้ายงาน ต้องรู้ให้รอบด้าน ทำงานที่ถูกใจตรงใจ แต่ทำได้ประมาณ 1 ปี บล.ตะวันออกไฟแนนซ์ ก็ปิดกิจการ (ในช่วง 16 ไฟแนนซ์ )พอดีว่าตอนนั้นช่วงที่ทำงาน มีหน้าที่ present งานและดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นพอร์ตประกัน เมื่อบริษัทปิด ก็ติดต่อกับบริษัทประกันและเข้าไปทำงานในตำแหน่งผู้ จัดการกองทุน มีหน้าที่ บริหารพอร์ตของบริษัทประกัน ดูแลเงินทั้งหมดประมาณ 2,000 ล้านบาท บริหารเงิน ซื้อธนบัตร เทรดหุ้น เพลินนะ..ก็ทำงานสนุกดี ท้าทาย ทำให้ตัวเรามี ความรู้กว้างขึ้นมาก และรอบด้านขึ้นด้วย ครบสูตร ทำงานตรงนั้นนานเหมือนกัน อยู่ในวงการนี้ประมาณ16 ปี แต่ในช่วงหลังเริ่มตื้อ บริษัทประกันเริ่มปรับระบบใหม่ มีการจ้าง ต่างชาติเข้ามาดูแลและทำหน้าที่แทนเรา เช่นจะซื้อขายพันธบัตรให้ กองทุนทำ ซื้อขายหุ้นให้ไพรเวทฟันด์ทำ มีการทำงานแทนเรา ทำให้ งานเราสโลว์ลง เรามีหน้าที่แค่ติดตามงาน ก็เริ่มไม่สนุกแล้ว ..จึงคิดที่ จะกลับมาทำงานเป็นนักวิเคราะห์อีกครั้ง จุดเริ่มต้นของ..เด็กแนว คราวนี้ได้กลับเข้ามาอีกครั้งเป็นช่วงที่ บล.แอ๊ดคินซัน ปรับ เปลี่ยนโครงสร้าง ก็เข้ามาสู่วงการอีกครั้ง ตอนนั้นในช่วงเริ่มแรก ทำงานก็ราบเรียบไปเรื่อยๆ ทำได้ประมาณ 1 ปี ช่อง 9 มีรายการหุ้น เขายกเอากล้องมาตั้งที่อาคารสินทร และขอร้องให้ส่งตัวแทนออก รายการ หน้ากล้อง วันละ 2 เวลา ตอนนั้นคนที่กล้าพูดมีผมคนเดียว เมื่อออกรายการทีวี ก็มีคนเห็นหน้าและรู้จัก ตอนนั้นทาง นสพ.ทันหุ้น ติดต่อเข้ามาและเชิญไปออกสัมมนาร่วมกัน ไปออกงานสัมมนาร่วม กันหนึ่งครั้ง ซึ่งสไตล์ผมคือกล้าพูด กล้าฟันธง ทำให้ บก.นสพ.ทันหุ้น เอ่ยปากเชิญชวนให้เขียนบทความ ก็รับปากว่าได้ แต่ต้องขอเขียนที่มี ลักษณะแตกต่างจากคนอื่น.. แบบปกติผมว่าธรรมดาไม่อยากเขียน อย่างนั้น ก็เลยร่างบทความ “เด็กแนว” ขึ้นมา เวียนภายใน 1 เดือน ก็ได้รับความสนและกระแสตอบรับดีมาก จึงส่งต้นฉบับให้ บก.นสพ. ทันหุ้น ดู จึงเป็นจุดเริ่มต้นเขียนคอลัมน์ตั้งแต่ตอนนั้น บวกกับการ ออกทีวีชื่อเสียงก็พุ่งเร็วมาก อาจเป็นเพราะบทความแรงมาก และ นักลงทุนให้ความนิยมเยอะ ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นที่รู้จัก จากคุณ : ดร.เพียว เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 15:48:50

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนที่ 4 จุดกำเนิด”เด็กแนว” ในตอนนั้นคิดว่าถ้าเกิดจะเขียนบทความซักคอลัมน์ ควรจะเปลี่ยนชื่อ นามปากกาที่เรียกได้ติดปาก และสอดคล้องกับงานเขียน ตอนนั้นมองไปดูนักวิเคราะห์ แถวหน้าดังๆ ก็มีชื่อหวือหวาทั้งนั้น อาทิ เอี๊ยก้วย ก็คิดว่าแล้วเราจะใช้ชื่ออะไรดีล่ะ..ก็คิด ว่าใช้อะไรก็ได้ที่เป็นนามปากกาและติดปาก ใช้คำว่า “เด็กแนว” ก็ติดปากดูน่ารัก..ดีกว่า ใช้คำว่าผม ตอนนั้นคำว่าเด็กแนวเป็นเพลงลูกทุ่งกำลังติดหูอยู่ ในส่วนของการเขียน บทความก็ใช้ถ้อยคำที่สนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ต่อมาได้รับความนิยม พอนักลงทุนเห็นตัวจริง ของเราบอกว่าไม่ใช่เด็กแนวเลย(หัวเราะ) หุ้นเด่นต้องมีประเด็น สไตล์การเลือกหุ้นจริงๆ จะเลือกหุ้นที่มีประเด็น และต้องชูประเด็นให้ชัด ว่าเรื่อง อะไร แล้วนำเสนอประเด็นนั้น บวกกับเทคนิเคิล เคล็ดลับคือ..แคนี้เอง ที่เหลือจากนั้นก็ คือการนำเสนอ โดยใช้ภาษาที่ดึงดึงดูดใจและถ้าเข้าจังหวะพอดี ทำให้ยิ่งแรงขึ้นไป ประเด็น..สร้างได้ สิ่งที่ช่วยเรามากคือการได้รับความนิยม สามารถสร้าง กระแสได้ ที่ผ่านมามีกระแสเกิดขึ้นจากคอลัมน์ของเด็กแนวหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตไม่มีใครแนะนำหุ้นโดยอิง book value มาก นัก แต่ผมเป็นคนสร้างกระแสนี้ขึ้นมาตอนหลังก็มีนักวิเคราะห์แนะนำ หุ้นแบบนี้เยอะเลย รวมถึงการนำประเด็นอื่นๆ มานำเสนออาทิ ค่าพีอีต่ำ ปันผลเด่น กระแสการเทคโอเวอร์ เป็นต้น ประสบการณ์..ช่วยเลือกหุ้น สำหรับวิธีการที่จะเลือกหุ้นมานำเสนอกับผู้ลงทุน ถ้าพูด แบบไม่มองวิชาการ ก็คือมาจากประสบการณ์หรือเซนท์ของเรา แต่ถ้า ตอบโดยหลักการคือดูจากระแสที่เริ่มได้รับความนิยม และมีวอลุ่มใน การซื้อขายขยับขึ้นมา จากนั้นก็ดูเทคนิเคิลสนับสนุน ซึ่งแสดงว่าเริ่มมี สัญญาณที่ดี นอกจากนั้นก็พิจารณาข้อมูลข่าวรอบด้านนี่คือปัจจัยที่ ช่วยหนุนทำให้การแนะนำหุ้นได้รับความสนใจ จากคุณ : ดร.เพียว เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 15:49:38

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนที่ 5 อยากเล่นหุ้น แต่มีทุน อยู่น้อยนิด จึงเริ่มคิด หาหนทาง พลางศึกษา ฟังเขาพูด ดูเขาเทรด จนมั่นอุรา ถึงเวลา ลงมือเล่น เจ๊งจังเลย เขาให้ดู พี อี ที่ตัวหุ้น ดูงบดุล ลุ้นกราฟ อย่าอยู่เฉย ดูช่อง Bid เล็ง Offer อย่าละเลย มันจังเอย เล่นข่าวฮิต ติดทุกตัว อยากเก่ง..ต้องทำการบ้าน การที่จะก้าวมาถึงวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย..ต้องศึกษาข้อมูลให้ รอบด้าน อาทิ นักวิเคราะห์ต้องทำการบ้าน แนวทางเบื้องต้นเริ่มดูจาก วอลุ่มที่เริ่มขยับเพิ่มขึ้น และมีสัญญาณทางเทคนิเคิลสนับสนุน จากนั้น คือการหาข้อมูล โดยเฉพาะการเข้าไปดูงบการเงิน ดูเรื่องของงบกำไรขาดทุน มีประเด็นให้เชียร์หรือไม่ อาทิ ดูงบการเงินในส่วนผู้ถือหุ้น ว่ามีกำไรสะสมซ่อนอยู่หรือไม่ ก็นำประเด็นนี้มาเขียน ซึ่งจากเดิมที่มี ประสบการณ์อยู่แล้ว เมื่อเขียนซัพพอร์ตเข้าไป จะส่งเสริมให้ข้อมูลที่ เรานำเสนอไปได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ทุกประเด็น ที่นำเสนอก็เป็นข้อมูลจริง (fact) ทั้งหมด ที่จริงในการหาประเด็นต่างๆ ไม่ได้เป็นหลักการอะไรที่แปลก ใหม่ อยู่ในหลักการวิเคราะห์อยู่แล้ว แต่นี่เป็นหลักการโปรโมท ซึ่งอยู่ ที่วิธีการของนำเสนอ ต่อหุ้นดีแค่ไหน แต่นำเสนอไม่ดี..ก็ไปไม่ไหว อยากเก่งหุ้นต้องเก่งเทคนิเคิลด้วย อยากจะเก่งในการเลือกหุ้น ผมว่าต้องเริ่มจากเทคนิเคิลก่อน ผมเห็นว่าเทคนิคเคิลสำคัญที่สุด เอาเหตุมาใส่ผล ถ้าหุ้นตัวนั้นมีข่าว อยู่แล้ว ก็ไม่ยากที่จะเสนอออกไปและได้รับความสนใจจากนัก ลงทุน..เป็นเรื่องที่ง่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าหากไม่มีข่าวก็ดูต้องมีเหตุผล สนับสนุนในการนำเสนอ โดยเข้าไปดูจากงบการเงินว่าสอดคล้องกัน หรือไม่ เมื่อสอดคล้องกันก็หาเหตุมาใส่ผล การดูงบการเงิน..ต้องเข้าไปดูในรายละเอียด โดยเฉพาะ ส่วนผู้ถือหุ้น ทรัพย์สิน และหนี้สิน ต้องดูว่ามีจำนวนหุ้นเท่าใด มีกำไร สะสมอยู่ด้วย ซึ่งมันจะบอก book value ซึ่งตรงนี้จะบอกว่ามีกำไร สะสมมากหรือน้อย มีกำไรสะสมหรือขาดทุนสะสม มีกำไรสะสมเยอๆ ก็สามารถเชียร์ได้ หรือ ขาดทุนสะสมเยอะๆ ก็เชียร์ได้เหมือนกัน จากคุณ : ดร.เพียว เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 15:52:49

ความคิดเห็นที่ 5 "แนะนำหุ้นตัวไหนเป็นต้องมี impact ทุกครั้ง" นักวิเคราะห์หลอกเด็ก วันไหนเชียร์ตัวไหน ต้องเตรียมขาย ไม่ใช่ไปไล่ซื้อ จากคุณ : เอกาก้า เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 16:19:35

ความคิดเห็นที่ 6 เด็กแนวนี่ ผิดทางประจำ  จริงจริง   ผมอ่านแกบอกให้ขายตอน 590-600 ขายตลอด ตอน Top ปรับฐานไป 30 แกบอกให้ขายไปรับ 27 วัน Low เลย เล่นตามเด็กแนวนี่กระอักอย่างเดียว จากคุณ : P Phod เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 16:33:12

ความคิดเห็นที่ 7 เคยอ่านแต่ไม่เคยตามเพราะดูท่าเจ๊งอย่างเดียว จากคุณ : Pongacku เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 17:24:09

ความคิดเห็นที่ 8 เสือ หรือ นางสิงห์ จากคุณ : Roll on เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 18:24:22

ความคิดเห็นที่ 9 เชียร์ขายตี้งแต่ 600 จากคุณ : ขึ้นสวรรค์ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 18:34:34

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าเป็นหุ้นขาขึ้น...เชื่อได้...ใครก็ทายถูก  เพราะเอาตัวที่ขึ้นแล้วมาทายมันต้องไปต่อ...แต่ให้เด็กแนวซื้อ...มันจะซื้อไหม ?  หุ้นสูงแล้ว    ถ้าปลายขาขึ้น   ถ้าเชื่อเด็กแนวติดดอยแน่นอน    เหมือนบางคนที่อยู่ในสินธร   ที่ทายผิดทายถูก   เข้าทำนองเด็กแนว   พอทายถูกก็เอาผลงานมาอ้าง  แล้วก็หน้าม้าแยะด้วย .....ระวังหน่อยนะ  หากินแจกหุ้นกันแยะ จากคุณ : notsugar เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 18:54:22

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วย อ่านประจำ แต่ไม่เคยตาม เพราะวันๆเอาแต่ท่อง 600 จุด per 22 ต้องขายอย่างเดียว จริงๆแล้วเชียร์ขาย  ตั้งแต่ 500จุด ยิ่ง 600 จุดไม่ต้องพูดถึงเชียร์ขายแหลกถ้าเชื่อนายคนนี้ แล้วจะเอาอะไรไปขายล่ะหมดตั้งแต่ 500 วันนี้ไปพูดที่ตลาดหลักทรัพย์ ขอโทษหุ้นที่แนะนำ เทรดทั้งวันไม่ถึง  ล้านบาท แถมผลดำเนินงานขาดทุนอีกต่างหาก ไม่รู้แกคิดได้ยังไงที่แนะซื้อ.... จากคุณ : Wonderful World เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 19:00:22

ความคิดเห็นที่ 12 Who is he? จากคุณ : เย่หยงเทียน เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 19:46:02

ความคิดเห็นที่ 13 เพิ่งเคยเห็นหน้า เด็กแนว ก็คราวนี้แหละ ดูแล้วไม่ค่อยแนวเท่าไรเลย แต่ก็ต้องยอมรับในฝีมือเหมือนกัน พี่แกเชียร์ตัวไหน ก็ดูมีผลกระทบทั้งนั้น จากคุณ : bigzaa เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 20:05:24

ความคิดเห็นที่ 14 นักวิเคราะห์ถ้าเก่งจริง แม่นจริง ให้ตัวไหนก็ถูก ออกไปเล่นหุ้นเองไม่รวยกว่าเหรอ ส่วนใหญ่ถ้าเน้นปลอดภัยก็ให้หุ้นตามกระแส แบบว่าตัวที่ให้ขึ้นแน่ๆ แต่คนซื้อตามจะได้ไม่ได้ไม่รู้เพราะบางตัวก็เปิดโดดแล้วลงทันที อีกอย่างที่ผมเคืองมากคือ หุ้นนิคม amata ตอนงบออกเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนมีแต่ paper บอกให้ขาย พอตอนนี้ขึ้นจาก 5 บาท มา 7 บาทปรับ target กันเป็น 8-10 บาทกันหมด เอา p/bv มาอ้าง ทั้งที่ตอนอยู่ 5 บาทเอา pe มาใช้ ทั้งที่พื้นฐานหุ้นก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่เป้าหมายกลับเปลี่ยนได้ตามแรงเชียร์ครับ จากคุณ : Notelio เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 22:00:46

ความคิดเห็นที่ 15 คัดมาจากอีไฟแนนช์ใช่เปล่าอาทิตย์ ก่อนก็เอาประวัตินายอภิชาติ(ปิง) ที่มารับงานค้าทองล่วงหน้าที่ ทีซีออสซิริสมาลง นายคนนี้มันโกงเงินผมบริหารพอร์ตแบบมีค่าจ้างขาดทุนบรรลัย แต่ยังชอบลอยหน้าลอยตาออกสื่อความรู้เทคนิคคอลแย่มาก อีไฟแนนช์เอาแต่พวกลวงโลกมาออกทั้งน้านครับดีนะหลัง แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 52 20:32:13 จากคุณ : เหยื่อ (chaybe) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 52 22:17:24