ความคิดเห็นที่ 1 หุ้นตัวนี้หากบอกชื่อจริงไป รับรองว่าทุกคนต้องร้อง อ้อ 100%  เพราะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้จักและกินมาตั้งแต่เด็กครับ อิอิ ทุกครั้งที่ผมจะทำการตะแกรงคัดเลือกหุ้น ผมจะต้องดูภาพรวมของบริษัทนั้นๆก่อน ว่าแนวโน้มภาพใหญ่ ... เป็นอย่างไร นั่นก็คือ ผมจะดู "งบการเงิน/ผลประกอบการ" ของบริษัทนั้นอย่างคร่าวๆก่อนที่จะเจาะลึกลงไป จากข้อมูลด้านล่าง จะสามารถสรุปข้อมูลที่สำคัญได้ดังนี้ 1. บริษัทมีสินทรัพย์รวมและส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 2. แต่ว่าหนี้สินก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน  (ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) 3. อัตรากำไรสุทธิ(%) เติบโตขึ้นเรื่อยๆ 4. %ROE สูง และค่อนข้างสม่ำเสมอ ไม่แกว่งมากเกินไป (ดี) 5. อย่างที่บอกครับว่า อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน(%) ถือว่าไม่สูงมาก แต่ว่าปันผลสม่ำเสมอแน่นอน แต่   มีจุดที่ผมอาจจะไม่เลือกหุ้นนี้อยู่สองอย่าง นั่นคือ 1. p/e สูงเกินเกณฑ์ที่ผมตั้งเอาไว้  (หุ้นที่ผมเลือก p/e ควรต่ำกว่า 10) 2. ราคาล่าสุด สูงกว่า book value มากพอสมควร (เป็นความรู้สึกส่วนตัวเฉยๆครับ) นั่นคือข้อขัดแย้งเบื้องต้นในใจ ว่าควรจะ "เพิ่มความเสี่ยง" มากขึ้นไหม ในกรณีถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ดี และกิจการสามารถเติบโตได้  ไม่มีวันตาย !! แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 52 13:44:15 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 12:51:21

ความคิดเห็นที่ 2 แค่เห็นกระทู้ก็นึกถึงหุ้นตัวนั้น "เด่น" ขึ้นมาทันที  ยิ่งกางงบให้เห็น  555 ชัดยิ่งกว่า "แบเบอร์" อีก อิอิอิอิ จากคุณ : Duo-Core เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 12:59:55

ความคิดเห็นที่ 3 ตัวนี้เติบโตดีสม่ำเสมอ แต่มองดูราคาแล้ว ล่าสุดขึ้นมากเป็นพิเศษเกือบเท่าตัวจากปีที่แล้ว ทัั้งๆที่ราคามันนิ่งๆมา 3 ปี ผมจึงมองว่า ณ ราคานี้ตอบรับมูลค่าของตัวนี้ไปแล้วครับ จากคุณ : lunch เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 13:05:19

ความคิดเห็นที่ 4 VI ไม่กลัวหุ้นสภาพคล่องน้อย แต่ส่วนตัวผมชอบหุ้นที่ซื้อง่ายขายคล่อง จากคุณ : ช า ติ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 13:10:20

ความคิดเห็นที่ 5 หากว่าภาพรวมพื้นฐานของบริษัทนั้น เป็นที่น่าพอใจ ผมถึงจะโหลด "งบการเงิน" มาทำการวิเคราะห์เบื้องลึกต่อไป ... ข้อมูลด้านล่างนี้ผมคำนวณผ่านโปรแกรม excel โดยนำค่าตัวเลขมาจากงบการเงินที่บริษัทนั้นได้เปิดเผยเอาไว้ ข้อมูลขั้นต้นได้ออกมาดังนี้ - งบดุลด้านสินทรัพย์ 1. สินทรัพย์รวมของปี 52 มากกว่าปี 51 (ดี) 2. แต่สินทรัพย์โดยส่วนใหญ่จะเป็นสินทรัพย์ถาวร (และปีล่าสุด สินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นถึง 225,181   ตรงนี้ต้องสนใจเป็นพิเศษ ว่าเขาเพิ่มขึ้น เพราะอะไร) - งบดุลด้านหนี้สินและทุน จากข้อมูลจะพบว่าเงินที่นำมาลงทุนนั้น ส่วนใหญ่มาจากเงินของผู้ถือหุ้น เป็นเงินที่มาจากหนี้สินน้อยมาก (ถือว่าดี) - งบกำไร ขาดทุน จากข้อมูลพบว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ที่น่าสังเกตุคือ "ความสามารถในการบริหารสินทรัพย์" มีค่าอัตราส่วนเพียง 0.3 แต่ข้อนี้ผมไม่ serious เพราะผมถือว่าบริษัทเติบโตและทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง (เป็นกิจการที่ไม่หวือหวา แต่มั่นคง) โดยที่ ณ ตอนนี้ กำไรล่าสุดมากกว่าปีที่แล้ว พอสมควร ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 13:10:27

ความคิดเห็นที่ 6 หลังจากนั้น ผมก็จะมาเจาะลึกด้วยวิธีการ "วิเคราะห์แบบแนวดิ่ง" การวิเคราะห์แบบแนวดิ่งคือการ ปรับค่าให้เป็นอัตราส่วน เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบค่าต่างๆได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง ... เริ่มต้นที่ งบดุล ในส่วนของ "สินทรัพย์"   พบว่า 1. สินทรัพย์ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของ สินทรัพย์ถาวร ซึ่งมีอัตราส่วนสูงถึง 82.27% ในงบ q2/52  (จริงๆมันก็มีมากมาตั้งนานแล้วล่ะ) 2. ที่น่าสังเกตุคือ ทำไมเงินสด ของ q2/52 ถึงเหลืออยู่เพียงแค่ 0.65% !! แสดงว่า บริษัทต้องนำเงินไปทำอะไรสักอย่าง  (ต้องสืบต่อไป อิอิ) จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 13:23:38

ความคิดเห็นที่ 7 มาถึงในส่วนของ "หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น" อย่างที่บอกว่า สัดส่วนของหนี้สินเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นแล้ว ถือว่า น้อยมาก (สบายใจได้เปราะหนึ่ง) แต่จากข้อมูล หนี้สินหมุนเวียนของ q2/52 พบว่า เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ระยะสั้น มีค่าเพิ่มขึ้นมากอย่างสังเกตุได้ชัด (เขาเอาไปทำอะไร ? ) แต่ยังไงก็ตาม ถือว่าไม่ร้ายแรงมากเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่หนี้สินระยะยาว ^0^ ในส่วนของรายละเอียดอื่น ผมขอข้ามไป เพราะถือว่าไม่มีนัยยะแตกต่างมากเท่าไหร่ ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 13:33:18

ความคิดเห็นที่ 8 ในส่วนของ "งบกำไร ขาดทุน"  ถือว่าโอเค ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ยอดขายเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ต้นทุนการขายกลับลดลง ย่อมส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มสูงมากขึ้น เป็นธรรมดา ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 13:39:36

ความคิดเห็นที่ 9 สุดท้าย กับข้อมูล "อัตราส่วนทางการเงิน" เป็นการแทนค่าสูตรเพื่อให้ทำการเปรียบเทียบแนวโน้ม รวมถึงการวิเคราะห์ภาพรวมของบริษัทนั้นๆได้ดียิ่งขึ้น 1. ความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้น อาจจะ "ต่ำ" ไปหน่อย หากเทียบกับหนี้สินหมุนเวียน (แน่นอนล่ะ เพราะว่าเงินสดหายไปตั้งเยอะนิ ) แต่ไม่ถึงกับน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ 2. ประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ ค่อนข้าง ต่ำไปนิด ด้วยมูลค่าของทรัพย์สินถาวรที่มีค่ามาก แต่ได้ผลตอบแทนเพียง 0.36 เท่านั้น ... 3. แต่ ความสามารถในการชำระหนี้ถือว่าเยี่ยม (กู้เงินจากข้างนอกน้อย ถือว่าดี) 4. สุดท้าย ขอจบที่ gross profit margin ถือว่าสวยงามในสายตาผมครับ ปล. %ROA & ROE อาจมีค่าต่ำจนเกินไป เพราะผมไม่ได้ปรับรายได้ให้เป็น 1 ปีน่ะครับ ... ขออภัย จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:00:31

ความคิดเห็นที่ 10 เพิ่งอ่านเล่มนี้จบเหมือนกันเดี๊ยะๆๆ เลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าในเวลาเดียวกันก็มีคนทำอะไรเหมือนกัน ปล.หนังสือออกมานานมากแล้ว พิมพ์ครั้งที่3 จากคุณ : MASTERSMITH เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:06:32

ความคิดเห็นที่ 11 คุณภาพเทียบกับราคาปัจจุบันผมมองว่าไม่น่าสนใจเท่าใดครับ รอดูงบ q ถัดถัดไปสิ ผมว่าไม่โตขึ้นสักเท่าไรนะครับ เพราะพึ่งประกาศลดราคาสินค้าลงครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 52 14:13:11 จากคุณ : luckydog2 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:12:45

ความคิดเห็นที่ 12 ขอเข้าไปดู หมายเหตุประกอบงบการเงินสักหน่อย เพราะหลายคนบอกว่า เป็นสิ่งที่สำคัญ ... ยกตัวอย่างมาสองเรื่องครับ 1. จากข้อมูลพบว่าปีล่าสุดบริษัทมีหนี้สินทรัพย์ถาวรเพิ่มมากขึ้น หากดูจากหมายเหตุ เขาก็จะบอกไว้ชัดเจนว่า เป็นการลงทุน ซึ่งตรงจุดนี้ เป็นหน้าที่ของเราแล้วล่ะครับ ที่จะต้องค้นหาข้อมูลต่อไป ว่าบริษัทเขาเอาเงินไปสร้างอะไร ??? 2. ในส่วนของงบดุล หนี้สินระยะสั้น จริงๆแล้ว หนี้ระยะสั้นจะไม่ค่อย serious มาก หากเทียบกับการต้องกู้เงินระยะยาว แต่ก็ลองขอเข้าไปอ่านหมายเหตุเขาสักหน่อย พบว่า บริษัทได้กู้เงินเป็นจำนวน 125 ล้านบาท แต่ต้องจ่ายคืนภายใน 1 เดือน (หนี้สั้นมากจริงๆครับ 55+)  ดอกเบี้ยก็ตามที่เขาบอกเอาไว้ ... จริงๆแล้ว หมายเหตุประกอบงบการเงินมีเยอะกว่านี้ครับ หากเราอ่านงบการเงิน แล้วอ่านหมายเหตุ ควบคู่ไปด้วย  มันก็สนุกดี เพราะมันมีที่มา ที่ไป ให้หมดครับ ทั้งนี้ ต้องตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า บริษัทนั้นไม่มีการปลอมแปลงบัญชี ซึ่งก็จะโยงไปถึง ธรรมาภิบาลของผู้บริหารเช่นกันครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:12:48

ความคิดเห็นที่ 13 แต่หากพอใจผลตอบแทนราวราว 10 % ต่อปีในระยะยาว ก็ลงทุนได้เลยครับ แต่ผมโลภอ่ะครับ อิอิ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 52 14:14:50 จากคุณ : luckydog2 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:14:27

ความคิดเห็นที่ 14 สุดท้าย ... ขอย้ำเจตนารมณ์ของ จขกท. อีกสักครั้ง การตั้งกระทู้นี้ จุดประสงค์เพื่อ อยากให้ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รวมถึงผู้ที่วิเคราะห์งบการเงินเก่งๆ ช่วยดูให้ผมหน่อยว่า "หลักการ" ที่ผมใช้ในการวิเคราะห์ , ในการเลือกหุ้นที่ดีสักตัว .... ถือว่าใช้ได้ไหม ? แน่นอนว่า ไม่มีวิธีไหนที่ดีที่สุด แต่เพราะว่าผมเป็นมือใหม่ ดังนั้น คำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์(มากกว่า) น่าจะให้คำแนะนำได้ดีในระดับหนึ่ง จริงๆแล้ว หากอ่านหนังสือแนวลงทุนแบบเน้นคุณค่า สิ่งที่ควรมองเป็นลำดับสุดท้าย ... นั่นคือ "ราคา"              (ในชีวิตจริง ทำได้ไหม  โปรดตอบ    55+) อย่างที่คุณ lunch คห.3 บอกก็ถือว่าถูกครับ  เห็นด้วย ราคา ณ ตอนนี้เริ่มแสดงมูลค่าที่แท้จริงของตัวหุ้นออกมาแล้ว คำถามคือ  มันจะสายไปไหม หากจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ โดยที่ยังมีอยู่สองสิ่งที่ "ฝืน" กฎของผมอยู่ คือ 1. p/e สูงเกินเกณฑ์ที่ผมตั้งเอาไว้  (หุ้นที่ผมเลือก p/e ควรต่ำกว่า 10) 2. ราคาล่าสุด สูงกว่า book value มากพอสมควร (เป็นความรู้สึกส่วนตัวเฉยๆครับ) เป็นคุณ (ไม่นับคนที่เล่นเกร็งกำไร และเล่น day trade นะครับ) จะเลือกลงทุนในหุ้นตัวนี้ไหมครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:20:38

ความคิดเห็นที่ 15 ว่าแล้วก็ขอตัวไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะครับ  หิวแล้ว   จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:27:24

ความคิดเห็นที่ 16 PB ขนมปังฟาร์มเฮ้าส์ ระวังขนมปังเครือซีพีไว้บ้างนะครับ ลองกินดูก่อนเดี๋ยวนี้เค้าไม่เหมือนก่่อนแล้วนะ ยิ่งช่วงหลังผลิตภัณฑ์ใหม่หลายตัว PB ทำทีหลังนะครับ จากคุณ : เข็มซ่อนคม เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:29:41

ความคิดเห็นที่ 17 เอ้ย  เวรกรรม  ลงรูปผิด  ทำไมไปลงรูปมาม่าเฉยเลย จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 14:32:54

ความคิดเห็นที่ 18 คำถามคือ  มันจะสายไปไหม หากจะเริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนนี้ โดยที่ยังมีอยู่สองสิ่งที่ "ฝืน" กฎของผมอยู่ คือ 1. p/e สูงเกินเกณฑ์ที่ผมตั้งเอาไว้  (หุ้นที่ผมเลือก p/e ควรต่ำกว่า 10) 2. ราคาล่าสุด สูงกว่า book value มากพอสมควร (เป็นความรู้สึกส่วนตัวเฉยๆครับ) 1.p/e ที่สูง หากมั่นใจว่าบริษัทสามารถเพิ่มกำไรได้ปีละราวราว 10 % p/e มันจะค่อยค่อยลดค่าลงมาเองโดยอัตโนมัติครับ เรียกว่ามองหา mos จากอนาคตแทนที่จะเลือกหา mos ในปัจจุบัน ทำนองว่าวันนี้แพง พรุ่งนี้อาจไม่แพงน่ะครับ 2. ราคาล่าสุดหากเราเทียบกับบุ๊ค เราต้องทำการปรับปรุงบุ๊คก่อนน่ะครับ ว่ามีรายการใดที่สะท้อนความผิดปกติของบุ๊คหรือไม่ เช่น ที่ดินที่ใช้มีการปรับปรุงราคาตั้งแต่เมื่อใด หรือ สินทรัพย์ที่มีการหักค่าเสื่อมราคาหักไปเท่าใดแล้วและสินทรัพย์นั้นหากหักค่าเสี่อมหมดแล้วยังสามารถใช้งานไปต่อได้อีกเท่าใด เมื่อได้ตัวเลขมูลค่าทางบัญชีที่แท้จริงแล้วจึงนำมาเปรียบเทียบอีกคั้รงหนึ่งครับว่า ราคาตลาดปัจจุบันสูงกว่าราคามูลค่าทางบัญชีมากน้อยเพียงใด ส่วนที่เกินกว่านั้นคงเป็นค่าความนิยม ซึ่งเราต้องมาชั่งใจว่าระหว่างชื่อเสียงของบริษัทและตราสินค้าของบริษัทนั้น กับราคาค่าความนิยมที่เราต้องจ่ายคุ้มหรือไม่ ปล. หุ้น vi ไม่มีอยู่จริงนะครับ สุดท้ายจะเป็นหุ้น vi ได้หรือไม่นั่นก็คือมูลค่าหุ้นที่เป็นจริงของบริษัทต้องอยู่ต่ำกว่าราคาตลาดในระดับที่เราพอใจ ครับผม จากคุณ : luckydog2 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 15:03:48

ความคิดเห็นที่ 19 เข้ามาอ่าน ผ่านมาดู เยร๊ย พี่ คนจนทีอยากรวย นั่น มาม่า ผม เอาคืนมา อิอิ จากคุณ : ahcmos เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 16:09:38

ความคิดเห็นที่ 20 เงินทุนหมุนเวียนสุทธิติดลบ ถ้าเจ้าหนี้ระยะสั้นพร้อมใจกันเรียกหนี้คืนทันที บริษัทจะไม่สามารถชำระได้ เรียกว่าล้มละลายทางทฤษฎี เงินทุนหมุนเวียนติดลบแสดงถึงการก่อหนี้ระยะสั้นเพื่อไปไฟแนนซ์สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (ที่ดินอาคารอุปกรณ์) ซึ่งผิดหลักการบริหารการเงินที่ดี แม้จะเปลี่ยนเงินกู้ยืมระยะสั้นไปเป็นระยะยาว เงินทุนหมุนเวียนสุทธิก็จะยังคงติดลบอยู่ดี แสดงถึงโครงสร้างทางการเงินที่ไม่เหมาะสม เงินกู้ยืมระยะสั้นนั้นคาดว่าจะไม่สามารถใช้คืนได้ใน 1 เดือน (ยกเว้นว่าเป็นธุรกิจอสังหา ก่อสร้างเพิ่งเสร็จพร้อมโอน จะมีเงินเข้ามาเยอะในช่วงนั้น) ซึ่งก็คงต้องต่ออายุ หรือออกตั๋วใหม่ไปแลกตั๋วเก่า หรือเปลี่ยนไปเป็นหนี้ระยะยาว อาจเป็นเพราะดอกเบี้ยระยะสั้นมีอัตราต่ำ จึงใช้แบบนี้ไปก่อน ถ้าอยากรู้ว่าเขาเอาเงินสดและกู้เงินไปทำอะไร ต้องไปดู"งบกระแสเงินสด"ครับ สรุปว่า ในราคา, PE, PB ปัจจุบัน ตัวนี้ไม่น่าสนใจ ยกเว้นว่า อนาคตน่าจะสดใส ก็ต้องประเมินข้อมูลอนาคตประกอบว่าจะน่าสนใจหรือไม่ จากคุณ : <เซ็นเซอร์> เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 18:02:10

ความคิดเห็นที่ 21 ถึงคุณ คนจนที่อยากรวย การเลือกหุ้นแบบ ห่านทองคำ อาจจะถือได้ว่าเลือกหุ้นแบบ fundamental ฉะนั้น การเลือกหุ้นแบบ fundamental มีมากกว่าการอ่านงบการเงิน อย่างที่คุณ เข็มซ่อนคม บอกไว้ distribution channel(ช่องทางกระจายสินค้า)นั้น สำคัญมากสำหรับหุ้นตัวนี้ โดยส่วนตัว(เท่าที่เคยสัมผัส)ช่องทางการกระจายสินค้าของPBมี4ช่องทางหลักๆคือ 1. Local Store (ร้านค้าท้องถิ่น) 2. Convenience Store(7-11, Family Mart) 3. Supermarket 4. Discount Store( BigC, Lotus, etc.) ตอนนี้ Convenience Store เริ่มเอา House Brandมาลงแล้ว(และแน่นอน จะต้องเอาสินค้าของคู่แข่งออกบางส่วน) ส่วน Discount Store ก็มีสินค้าทดแทน(Substitute Product)เป็น Bakeryสดๆ ทำให้ตรงนั้นเลย เหลือสองช่องทางคือ Local Store กับ Supermarket ที่PBทำการตลาดได้เต็มที่ บอกตรงๆ อุตสาหกรรมนี้ต้องแบรนด์แกร่ง และ มีช่องทางจัดจำหน่ายเยอะจริงๆ เพราะมีสินค้าทดแทน(ทั้งขนม นม เบเกอรี่)เยอะมากกกกกก ถ้าแบรนด์แกร่งแต่โดน House Bandครองshelfไปหมด มันก็ยากจะเกิด....อุปมา เหมือนคนเก่งแต่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือนั่นแหละ ปล. ความเห็นส่วนตัว กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน จากคุณ : clientuser เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 18:06:16

ความคิดเห็นที่ 22 ถึงคุณ <เซ็นเซอร์> เห็นด้วยครับว่าหากเอาตรงตามทฤษฎี การที่ปริมาณเงินสดน้อยกว่าปริมาณหนี้สินหมุนเวียน  ถือว่าเริ่ม ส่อเค้าลางไม่ดี ... ว่าแต่ เขากู้เงินไปทำอะไรน้อ  เดี๋ยวขอไปดูงบกระแสเงินสดก่อนดีกว่า อิอิ ขอบคุณสำหรับความเห็นครับผม --------------------------------------------------- หวัดดีครับคุณ clientuser (เจอกันอีกแล้ว) งบการเงิน เอาเข้าจริงๆผมว่าไม่เท่าไหร่นะ ใครๆก็เรียนรู้กันได้ หากตั้งใจจริง แต่สิ่งที่ผมคิดว่า "ยาก" มาก ไม่ว่าจะเป็นมือเก่า หรือ มือใหม่ นั่นคือการ "มองธุรกิจ" ในอนาคตให้ออก .... มันไม่ใช่การคาดเดา แต่มันต้องมีเหตุผลเข้ามารองรับ ซึ่งผมคิดว่าผมยังขาดในจุดนี้อยู่ จึงต้องพยายามถามความเห็นคนอื่นอยู่ตลอด เพื่อเปิดรับมุมมองที่กว้างขวางขึ้นน่ะครับ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งครับ แต่โดยส่วนตัว  ยังไง ผลิตภัณฑ์นี้มันก็เป็น brand ที่ติดหูคนไทยไปแล้วนะ ผมว่า ........ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 18:43:22

ความคิดเห็นที่ 24 ใช่ครับ การมองธุรกิจในอนาคตให้ออกนั้นยากกว่ามาก ไม่ทราบว่าคุณ คนจนที่อยากรวย เห็นโฆษณาของฟาร์มเฮ้าส์รึเปล่า ที่มีเอาขนมปังมาทำเหมือนอาหารญี่ปุ่น(ม้วนๆๆอะไรสักอย่าง) หรืออะไรหลายๆอย่างที่ไม่ใช่ทาเนยแล้วปิ้ง แสดงให้เห็นว่า บริษัทเริ่มรู้แล้วว่า ถ้ามัวแต่สนับสนุนให้ลูกค้าซื้อขนมปังไปปิ้งกิน มีหวังไม่ทันกิน เขาจึงต้องพยายามชักจูงให้ลูกค้านำขนมปังไปเป็นส่วนประกอบในการทำอาหารหรือของว่างอย่างอื่นแทน....ซึ่งก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างผ่านโฆษณานั่นแหละ (ภาษาการตลาดเรียกว่า New Context...แต่อย่างว่า ช่างมันเถอะ อย่าวิชาการมากเลย ปวดหัว555+) ถ้ายังไง รบกวนคุณ คนจนที่อยากรวย ลองศึกษาดู 5-Forces Analysis ของ Michael E. Porter และเรื่อง SWOT Analysis เพื่อจะได้นำไปใช้วิเคราะห์เพื่อให้รู้จักธุรกิจนั้นมากๆขึ้น จากคุณ : clientuser เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 19:17:29

ความคิดเห็นที่ 25 5-Forces Analysis SWOT Analysis โอเคครับ ขอจดชื่อไว้ก่อน แต่จะได้อ่านเมื่อไหร่ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน บางครั้งการลงทุนกับอะไรสักอย่าง มันไม่ควรจะได้มาอย่างง่ายๆ นั่นหมายความว่า เราควรต้องลงทุนทางด้าน "ความรู้" ในสิ่งที่เรากำลังสนใจอยู่ด้วย ตอนนี้ผมพึ่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนได้แค่สองสามเล่มเองครับ เล่มแรกคือ ตีแตก  อยากจะบอกว่าเป็นหนังสือที่เปลี่ยนมุมมองการลงทุนของผมอย่างสิ้นเชิง แต่ผลลัพธ์มันคงต้องอาศัยระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ตอนนี้คงได้แค่ลงมือทำ แล้วรอผลลัพธ์ที่จะเกิด  ... อีกเล่มคือ กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ  พึ่งซื้อมาอ่านเมื่อวาน โดย concept แล้วคล้ายๆกับหนังสือ ตีแตก  แต่ทำรูปเล่มออกมาได้น่าอ่าน และเข้าใจได้ง่ายดี (เหมาะกับมือใหม่) เล่มสุดท้ายคือ ลงทุนเพื่อชีวิตด้วยหุ้น  (ชื่อหนังสือเวอร์ไปนิดนะครับ ดร. อิอิ) ถามว่าเบื่อไหม ขอตอบว่าไม่เบื่อครับ  อ่านเพลินเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมให้ความสนใจอยู่แล้ว ว่าแต่ จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังหา "มูลค่าที่แท้จริง" ไม่ได้อยู่ดี   ฮาาาาาาาาาาาาา จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 19:30:29

ความคิดเห็นที่ 26 5-Forces กับ SWOT อ่านในเวบดีกว่าครับ ใช้เวลาไม่มากแต่คุณจะเข้าใจอะไรขึ้นมาเยอะมาก ส่วนเรื่อง"มูลค่าที่แท้จริง" บอกตรงๆผมก็หาไม่ได้ ได้แค่กะเกณฑ์ประมาณเอา...ก็เหมือนกับให้คุณvaluation ญ สักคน ว่าคุณควรยกสินสอดไปขอเธอเท่าไหร่ดีนั่นแหละ 555+ ปล. หลังจากvaluationแล้ว ถ้าคุณจะยกขันหมากไปขอเจ้าสาว แนะนำให้ถือพันธบัตรไปแทน เพราะว่าเป็นชื่อของคุณ แม่ยายเอาไปไม่ได้ อิอิ (ผมว่าผมจะเริ่มพากระทู้คุณออกทะเลแล้วล่ะ) จากคุณ : clientuser เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 19:52:17

ความคิดเห็นที่ 27 กำไรโตดีครับ  เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งมากมาก แต่ผลตอบแทนน้อยไปอะ จากคุณ : P Phod เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 19:54:26

ความคิดเห็นที่ 28 แหม่ ... บรรยายซะเห็นภาพเลยนะครับท่าน ตอนนี้ที่ผมเล็งๆไว้อีกหนึ่งตัว ก็คือ มาม่า แต่ราคาล่าสุดแพงมาก ! ตอนแรกผมนึกว่า banpu แพงที่สุดในบรรดาหุ้นไทยแล้วนะเนี่ย  อิอิ กลายเป็น มาม่า อาหารยอดฮิตตลอดกาลของคนไทยไปได้ซะนี่ ตัวนี้ผมขอเก็บไว้พิจารณา เพราะว่าผมกินมันเกือบทุกวัน คาดว่า น่าจะ รู้จักกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดี   ประเด็นคือ จะมีคนขายหุ้นให้ผมหรือเปล่า  ?  อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 20:21:20

ความคิดเห็นที่ 29 ผมไม่ค่อยรู้ในแนวห่านทองคำนะครับ แต่ถ้าจะเป็น vi ต้องดูเรื่องการเติบโตของกิจการด้วยนะครับ ผมลองดูหุ้นแล้วรู้แล้วว่าเค้าขายอะไร ผมว่ามันอิ่มตัวแล้วนะ(ตามความรู้สึก) และมันก็ไม่ใช่ของที่กึ่งผูกขาดด้วย ควรอ่าน annual report ปีเก่าๆ ประกอบด้วยนะครับ ว่าเค้ามีนโยบายอะไรยังไงบ้าง มีความน่าจะเติบโตมาก ขึ้นเปล่า อย่างไปตั้งโรงงานขายตปท ฯลฯ เป็นต้น เงินปันผล 3% ก่าๆ ต่อปีแบบคาดการณ์ได้ สำหรับผม มันน้อยนะ อย่างน้อย บ. ควรจะเติบโตมีกำไรมากขึ้น ปันผลมากขึ้นทุกๆ ปี แบบสัก 5 ปีข้างหน้าเราควรจะได้ปันผล 10% ต่อปี (เทียบกับราคาหุ้นที่เราซื้อตอนนี้นะ) อันนี้ผมฟัง ดร.นิเวศน์มาครับ :) ตามความเห็นผม หุ้นตัวนี้ ดีครับ ถ้ามันราคาถูกกว่านี้เท่านึง หนังสือ ดร.นิเวศน์ ผมชอบเล่มรวยหุ้นอย่างพอเพียงสุดครับ จากคุณ : คุณหนูพีพี เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 20:26:58

ความคิดเห็นที่ 30 ราคาไม่สมเหตุสมผลครับ ทำไมต้องปันผล 10 % ขึ้นไปก็เพราะว่า ปันผลคือสิ่งที่แน่นอน ได้เงินชัวร์ไม่ใช่ราคาหุ้นที่อาจไปไม่ถึงก็ได้หากมี เศรษฐกิจไม่ดี มากระทบ หุ้นทั้งกระดานก็ร่วงอีกรอบ ราคาที่หวังไว้ก็ไปไม่ถึง และด้วยค่า p/e ที่สูงเกินไปจึงไม่น่าสนใจ แต่ถ้าทำค่าลิช์เรโช ได้มากกว่า สองเท่าก็น่าลงทุนครับ จากคุณ : Tanaphon_P เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 20:54:36

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณครับคุณหนู สรุปเลยนะ หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี แต่ "แพง" เกินไปสำหรับผม ดังนั้น ขอเก็บไว้ใน watch list เฉยๆครับ   จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 20:56:49

ความคิดเห็นที่ 32 มาถึงตอนนี้ มุมมองในเรื่อง %การปันผล นับว่าค่อนข้างสำคัญแล้ว  (จริงๆมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม) หุ้นที่ดี ต้องมีพื้นฐานดี งบการเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปันผล อย่างน้อยที่สุดควรมากกว่า 8% ต่อปี และต้องปันผลอย่างสม่ำเสมอ ราคาไม่ควรแพง โดยเบื้องต้นให้ดูจากค่า p/e  (ไม่ควรมากกว่า 10 ) % market cap ควรมีค่าไม่ต่ำว่า 1500 ลบ. (คิดเอาเอง) สภาพคล่องไม่ต้องมีมากก็ได้ เพราะจุดประสงค์หลักคือเน้นลงทุนในระยะยาว เป้าหมายการลงทุนก็เพื่อ "อิสระภาพทางการเงิน" หาต่อไปนะ  ...  ไอ้มดแดง จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 52 21:05:43

ความคิดเห็นที่ 33 แอบมากินมาม่าคุณคนรวย เย้ยยยยยยยยย ... จากคุณ : ixu2T เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 52 13:39:46