Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Perfect Storm-Perfect Stock  

ข่าวร้ายในตลาดสำหรับคนเล่นหุ้นแล้ว   มันคือเวลาของการขายหุ้น   ยิ่งร้ายเท่าไรก็ต้องรีบขายเร็วเท่านั้น   ผลของการขายทำให้ราคาหุ้นที่เจอกับข่าวร้ายตกลงมาอย่างหนัก   หลาย ๆ  ครั้งหนักเกินความเป็นจริง   และนั่นคือโอกาสของนักลงทุนระยะยาวที่จะเข้ามาเก็บหุ้น   ประเด็นสำคัญก็คือ   คุณจะต้องมั่นใจจริง ๆ  ว่า   ข่าวร้ายนั้นเป็นเรื่องชั่วคราว   มันไม่ได้ทำให้พื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไปและไม่ช้าก็เร็วบริษัทก็จะสามารถกลับมาทำกำไรได้อย่างที่มันเคยเป็น   และด้วยราคาหุ้นที่ตกลงมามาก   การลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะไม่เกิน  3-5  ปีข้างหน้า

ข่าวร้ายในตลาดที่ส่งผลต่อหุ้นอย่างแรงอาจจะแบ่งได้เป็น  3  แบบด้วยกันคือ
leaf หนึ่ง   ข่าวร้ายจากภาพรวมของเศรษฐกิจหรือตลาด   ข่าวนี้ทำให้ตลาดเกิด  Panic  หรือตกใจ   เกิดการขายหุ้นทั่วทั้งตลาด   สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นจากภาวะการเงินหรือเศรษฐกิจที่ขาดความสมดุลอย่างแรง   เช่น  เกิดภาวะเงินตึงตัว   เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูง   หรือการที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรงอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้    ข่าวร้ายประเภทนี้มักทำให้หุ้นเกือบทั้งหมดตกลงแม้ว่าหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอาจจะไม่ได้รับผลกระทบจริงหรือถูกกระทบน้อย   หน้าที่ของ  Value Investor ก็คือ  มองหาหุ้นที่ถูกกระทบน้อยแต่ราคาหุ้นตกลงมามากพอ ๆ  กับดัชนีตลาดที่ประมาณ  50%  นับตั้งแต่เกิดวิกฤติ

leaf ข่าวร้ายแบบที่สองก็คือ   ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรม    ความตกต่ำหรือถดถอยของอุตสาหกรรมทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ    แต่เมื่อเวลาผ่านไป   บริษัทที่แข็งแกร่งจะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิมในขณะที่บริษัทที่อ่อนแอจะล้มหายตายจากหรือลดระดับของการดำเนินงานลง    กระบวนการนี้อาจจะใช้เวลาบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม   หน้าที่ของเราก็คือต้องวิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมจะใช้เวลาเท่าไรที่จะฟื้นตัว   แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ   ต้องหาว่าบริษัทไหนจะถูกกระทบน้อยและกลับมายิ่งใหญ่และทำกำไรได้มากแค่ไหนเมื่ออุตสาหกรรมฟื้นตัว

leaf ข่าวร้ายแบบสุดท้ายก็คือ  ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวบริษัทเอง   นี่คือข่าวร้ายที่เกิดขึ้นเฉพาะตัวบริษัทเองที่อาจจะทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง หรือถูกกระทบโดยความโชคร้าย    แต่ความผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและเป็นเรื่องชั่วคราวที่บริษัทน่าจะแก้ไขได้   เมื่อเกิดเรื่องขึ้น   นักลงทุนมักจะเทขายหุ้นกันอย่างหนักทำให้ราคาหุ้นตกลงมามาก  อย่างที่  “ไม่เคยปรากฏ” มาก่อน    หน้าที่ของ  VI  ก็คือ   พิจารณาว่าเหตุการณ์นั้นไม่ได้กระทบกับธุรกิจหลักของบริษัทที่ยังสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่งเมื่อเหตุการณ์ชั่วคราวนั้นผ่านพ้นไปหรือบริษัทได้แก้ไขไปแล้ว   และราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นจะทำให้การลงทุนของเราให้ผลตอบแทนสูงในช่วงเวลา  3-5 ปีข้างหน้า   นั่นก็คือ  อย่างน้อยถ้าเราซื้อหุ้นแล้วถือไว้  5  ปี  ราคาหุ้นน่าจะปรับขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวจากราคาที่เราซื้อ

หุ้นที่เราจะซื้อนั้น  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด    เราต้องมั่นใจว่ามันจะต้อง  “ฝ่าวิกฤติ”  ไปได้ไม่ว่าจะด้วยอะไร   เช่น  เป็นบริษัทที่มีฐานะทางการเงินดีมีเงินสดมากและมีหนี้น้อย   เป็นกิจการที่จำเป็นและมีผู้ให้บริการที่จำกัด   เป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งสนับสนุนอย่างหุ้นรัฐวิสาหกิจบางแห่ง   หรือแม้แต่เป็นกิจการที่  “ใหญ่เกินไปที่จะล้ม”   นี่จะเป็นเครื่องค้ำประกันว่าเหตุร้ายแรงที่อาจจะดำเนินไปหลายปีนั้นไม่ทำให้บริษัทต้องล้มละลายไปก่อนที่สถานการณ์จะฟื้นตัว  

บางที   สำหรับบางบริษัท   ข่าวร้ายนั้นเกิดเป็นชุดอย่างต่อเนื่องพร้อมกัน   โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างในปัจจุบันนั้น   โอกาสที่บริษัทจะเจอ  “2  เด้ง”  คือภาวะตลาดแพนิคและภาวะอุตสาหกรรมตกต่ำเกิดขึ้นพร้อมกันมีสูง    บางครั้งซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก   บางบริษัทอาจจะเจอกับข่าวร้ายทั้งด้านของภาวะตลาดหุ้น   ภาวะอุตสาหกรรม   และบริษัทเองก็เจอกับข่าวร้ายเฉพาะตัวเกิดขึ้นพร้อม ๆ  กัน   ถ้าจะพูดให้เห็นภาพก็คือ   บริษัทประสบกับ   “Perfect  Storm ”   ความร้ายแรงประดังกันเข้ามาอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญขนาดนั้น

หุ้นที่ประสบกับข่าวร้ายมาก ๆ  หลายเรื่องหรือทุกเรื่องอย่างหุ้น  Perfect Storm  นั้น    ราคาหุ้นจะตกลงไปมากจนแทบจะไม่เหลือค่าเมื่อเทียบกับขนาดของธุรกิจ   หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็อาจจะไม่น่าสนใจโดยเฉพาะถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันจะไปรอดหรือไม่   หรือรอดได้แต่ก็ไม่กลับมาเป็นอย่างเดิม     หรือรอดและกลับมาทำกำไรได้แต่ก็ต้องมีการเพิ่มทุนมหาศาลซึ่งทำลายมูลค่าหรือความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นเดิมไปหมด    ถ้าเป็นแบบนั้น   การลงทุนในหุ้น  Perfect Storm  ก็จะเป็นความเสี่ยงมหาศาล

ตรงกันข้าม   ถ้าเราเจอหุ้น  Perfect Storm   และราคาหุ้นสะท้อนข่าวนั้นแล้วโดยที่ราคาตกลงไปต่ำกว่าที่เคยเป็นในภาวะปกติมาก   ในขณะเดียวกัน   พื้นฐานของกิจการของบริษัทไม่เปลี่ยนและเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งทางการตลาดมาก    ประกอบกับความเชื่อมั่นว่าบริษัทจะไม่ล้มละลายและไม่ต้องเพิ่มทุนมหาศาล   และสุดท้าย   เราเชื่อว่าข่าวร้ายทุกอย่างจะต้องหมดไปเมื่อเวลาผ่านไป  3-5  ปี  และเมื่อนั้นกิจการของบริษัทก็จะกลับมาเหมือนเดิมก่อนที่ข่าวร้ายจะเกิดขึ้น    ในสถานการณ์แบบนี้   การลงทุนในหุ้น  Perfect Storm  ก็อาจจะเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติและหุ้นนั้นกลายเป็น  “Perfect Stock”  หรือเป็นโอกาสทองของการลงทุนในหุ้นตัวนั้น

แน่นอน   การลงทุนในหุ้นที่มีข่าวร้ายมาก ๆ  ย่อมมีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะในระยะสั้นเพียงปีหรือสองปี    คนที่สามารถลงทุนในหุ้นแบบนี้จะต้องมีจิตใจที่มั่นคงมาก   นั่นคือ   จะต้องทนดูหุ้นที่อาจจะตกลงไปต่ออีกมากได้   หรือต้องสามารถถือหุ้นที่อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเวลานานพร้อม ๆ  กับผลการดำเนินงานที่อาจจะไม่น่าประทับใจของบริษัท   และถ้าทนไม่ได้ขายหุ้นทิ้งก่อนที่หุ้นจะฟื้น   การขาดทุนก็จะกลายเป็นเรื่อง   “ฝันร้าย” ที่จะต้องจดจำไปอีกนาน    แต่ถ้าคิดถูกต้องและมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ   นี่คือ  Perfect Stock  ที่เราจะไม่ลืมเลย

Credit : โลกในมุมมองของ Value Investor  28 กุมภาพันธ์ 2552 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 52 10:40:28

แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 52 10:07:48

จากคุณ : คนจนที่อยากรวย
เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 52 09:26:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com