Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Cash Is King  

ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ   คำว่า  Cash Is King  หรือ  “เงินสดคือพระราชา”  จะได้รับการกล่าวถึงเสมอ   เพราะในยามวิกฤตินั้น  บริษัทธุรกิจและผู้คนในสังคมมักจะ  “ขาดเงินสด”   กันมากมาย   หรือในภาษาทางการเงินเรียกว่า   “ขาดสภาพคล่อง”   เนื่องจากกำไรมักจะหดหายหรือขาดทุน    หนี้ก็มากและการขอกู้เงินใหม่มักถูกปฏิเสธ   ผลจากการขาดสภาพคล่องทำให้คนต้องขายทรัพย์สินเพื่อนำเงินสดมาใช้ในการดำเนินงานของกิจการหรือเพื่อการชำระหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย    นั่นทำให้ทรัพย์สินต่าง ๆ  มีราคาลดลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ   ดังนั้น  ในยามวิกฤติจึงเป็นโอกาสที่สำคัญของคนที่มีเงินสดอยู่ในมือมาก ๆ  และนั่นคือที่มาของคำว่า  “เงินสดคือพระราชาหรือพระเจ้า”   มาดูกันว่าเงินสดทำอะไรได้ในยามวิกฤติ

leaf ข้อแรกก็คือ  บริษัทที่มีเงินสดมากมักจะไม่เจ๊งในยามที่ธุรกิจซบเซาอย่างหนัก   ในเวลาเดียวกัน  คู่แข่งในอุตสาหกรรมหลายรายอาจต้องปิดตัวลง   หลายบริษัทอาจต้องลดระดับการผลิตลง    นี่ทำให้บริษัทที่มีเงินสดมากสามารถขยายตัวหรือกินส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง   ผมยังจำได้ว่า  ในช่วงวิกฤติรอบก่อนในปี 2540   บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ซึ่งได้รับการเพิ่มทุนจากหุ้นส่วนที่มาจากต่างประเทศทำให้มีเงินสดมาก   ได้เสนอกลยุทธ์  “สร้างบ้านเสร็จก่อนขาย”  ในขณะที่บริษัทจัดสรรส่วนใหญ่ไม่มีแม้กระทั่งเงินที่จะมาสร้างบ้านที่มีคนจองแล้ว    นั่นทำให้แลนด์แอนด์เฮ้าส์สามารถขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นผู้นำอันดับหนึ่งจนถึงทุกวันนี้

leaf ข้อสอง การมีเงินสดมากทำให้บริษัทสามารถซื้อของถูกที่มีคนเสนอขายกันเต็มไปหมด    ของถูกที่ว่านั้นอาจรวมไปถึง   ที่ดิน  สิ่งปลูกสร้าง   โรงงาน  หรือแม้แต่หุ้นของกิจการต่าง ๆ   ทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์    ทรัพย์สินหรือของนั้น   อาจเป็นได้ทั้งทรัพย์สินที่บริษัทต้องใช้หรือสามารถนำมาใช้ในการดำเนินการหรือขยายงานหรือทรัพย์สินที่บริษัทซื้อมาเพื่อการลงทุนเฉย ๆ  ก็ได้   ผลจากการซื้อนั้น  ถ้าทำได้ดี   บริษัทก็จะมีความได้เปรียบในระยะต่อไป   เพราะต้นทุนที่ได้มานั้นมักจะต่ำกว่าปกติ   ทำให้สามารถทำกำไรได้มากกว่าปกติในอนาคตเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว

leaf ข้อสาม บริษัทที่มีเงินสดเหลือเฟือนั้น   สามารถจ่ายปันผลได้ตามปกติหรือมากกว่าปกติถ้าบริษัทลดการขยายตัว   ในขณะที่บริษัทอื่นนั้นมักจะต้องลดการจ่ายปันผลลง   ดังนั้น  หุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีเงินสดดีก็จะสามารถรักษาระดับราคาหุ้นได้ดีกว่าหุ้นของบริษัทที่มีหนี้มากและมีเงินสดน้อย   เพราะในยามวิกฤตินั้น   นักลงทุนมักจะมองหาหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลและจ่ายได้ในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับราคาหุ้น

leaf ข้อสี่   บริษัทจดทะเบียนที่มีเงินสดมาก  สามารถที่จะ  “ซื้อหุ้นคืน”   เมื่อหุ้นของบริษัทมีราคาลดต่ำลงมากเกินกว่าพื้นฐาน    การซื้อหุ้นคืนช่วยพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตกต่ำลงรุนแรงเกินไปโดยเฉพาะในยามที่หุ้นของบริษัทไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนเนื่องจากไม่เห็นข่าวดีเลยในช่วงเวลาที่มองไปข้างหน้า    ในอีกด้านหนึ่ง   การซื้อหุ้นคืนในยามที่หุ้นมีราคาต่ำมากจะทำให้จำนวนหุ้นของบริษัทน้อยลงไปมาก    ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้นในงวดการเงินต่อ ๆ  ไปสูงขึ้นและจะส่งผลต่อราคาหุ้นของบริษัทที่จะสูงขึ้นในอนาคต

แต่ก็เหมือนกับอีกหลายสิ่ง   เงินนั้นคือพระเจ้าก็ต่อเมื่อมันถูกใช้อย่างชาญฉลาด   ถ้าบริษัทมีเงินสดมากแต่ไม่ได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แต่เก็บรักษาเอาไว้เฉย ๆ  ในบัญชีเงินฝากหรือหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ   สิ่งเดียวที่บริษัทจะได้ก็คือ  ความมั่นคงที่บริษัทจะไม่ล้มละลาย   ประโยชน์ที่ได้รับก็จะน้อย    ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ  บริษัทนำไปใช้ในทางที่ผิดหรือซื้อทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่กลับเป็นภาระซึ่งทำให้เงินสดลดลงจนบริษัทเองก็อาจจะประสบปัญหาได้เหมือนกัน

และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในช่วงนี้ที่ผมดูว่าอาจจะเป็นการใช้เงินที่ไม่คุ้มค่า   ประการหนึ่งก็คือ  บริษัทบางแห่งนั้นไม่ได้มีเงินสดมากมายอาจจะเนื่องจากธุรกิจเองไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างกระแสเงินสดได้ดีเพียงแต่ในช่วงเวลาขณะนั้นมีเงินสดเหลืออยู่    ลักษณะแบบนี้   ถ้าในอนาคตธุรกิจย่ำแย่ลง  การเงินของบริษัทก็จะมีปัญหา   อีกประการหนึ่งก็คือ  หุ้นของบริษัทอาจจะไม่ได้มีราคาถูกจริงแม้ว่าราคาจะตกลงมามาก   ผู้บริหารอาจจะลืมคิดไปว่าวิกฤติกำลังจะเกิดขึ้นและพื้นฐานของบริษัทกำลังเปลี่ยนไปและราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นเหมาะสมแล้ว     ผมเองคิดว่า  บริษัทที่สมควรจะซื้อหุ้นคืนนั้น  ต้องมีความมั่นใจว่าธุรกิจของตนนั้นมี  “ธรรมชาติ”  ที่เป็นธุรกิจที่มีกระแสเงินสดดี   เช่น   เป็นธุรกิจที่ขายเงินสดแต่จ่ายค่าสินค้าเป็นเงินเชื่อ    หรือเป็นธุรกิจที่มีกำไรต่อยอดขายสูงมาก   เป็นต้น   นอกจากนั้น  จะต้องดูว่าราคาหุ้นที่ซื้อคืนนั้นมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมากจริง ๆ  โดยคิดรวมปัจจัยเรื่องวิกฤติเศรษฐกิจเข้าไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด   ดูเหมือนว่าหุ้นของบริษัทที่มีเงินสดมากและบริษัทที่มีกระแสเงินสดดีจะสามารถรักษาระดับราคาดีกว่าบริษัทที่มีหนี้สูงหรือบริษัทที่มีสภาพคล่องทางการเงินต่ำ   นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับตลาดหุ้นไทย   ตลาดหุ้นทั่วโลกและบทเรียนจากตลาดหุ้นไทยในช่วงวิกฤติคราวที่แล้วแสดงให้เห็นว่า   ในยามวิกฤติ  บริษัทที่มีเงินสดและกระแสเงินสดมากมักจะเป็น  “ผู้ชนะ”  และบริษัทที่ผู้บริหารสามารถที่จะใช้เงินสดให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุดก็จะยิ่งเป็นผู้ชนะที่สมบูรณ์แบบ    พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง  เบิร์กไชร์แฮทธาเวย์  บริษัทของ วอเร็น บัฟเฟตต์   วิกฤติรอบนี้ของสหรัฐเกิดขึ้นในช่วงที่เบิร์กไชร์มีเงินสดเต็มกระเป๋า   และสิ่งที่เรารู้และยอมรับกันก็คือ  บัฟเฟตต์  นั้นคือ  “สุดยอดฝีมือของการใช้เงินสด”   เราคงต้องรอดูกันต่อไปว่าหลังจากวิกฤติแล้ว    บริษัทและหุ้นเบิร์กไชร์ จะเป็นอย่างไร    ในระหว่างนี้   ก็ลองมามองดูว่า  บริษัทจดทะเบียนไหนในตลาดหุ้นไทยมีเงินสดและกระแสเงินสดมากและพวกเขาใช้มันอย่างไร   บางทีเราอาจจะได้หุ้นที่ทำเงินในยามที่เศรษฐกิจกำลังประสบกับความยากลำบากก็ได้

Credit : โลกในมุมมองของ Value Investor   27 มกราคม 2552 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 52 10:30:09

จากคุณ : คนจนที่อยากรวย
เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 52 10:19:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com