Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ทำน้อยได้มาก  

หนทางสู่ความสำเร็จ  ความร่ำรวย  และความสุข  โดยที่ไม่ต้องทำงานหนักหรือดิ้นรนมากเกินไปนั้น  ผมคิดว่าอยู่ที่การรู้จักเลือกทำอะไรที่มีคุณค่ามากซึ่งทำแล้วจะได้ผลลัพธ์หรือผลตอบแทนมาก  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  “ทำน้อยได้มาก” และหนทางที่ทำให้เราเหนื่อยยากและทำแล้วก็ไม่ได้มรรคผลเท่าที่ควรก็คือการทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือก่อให้เกิดผลน้อยกว่าแรงงานที่ใส่ลงไป   เราทำมันโดยที่ไม่ได้คิดไตร่ตรอง  ทำมันตามที่คนอื่นบังคับให้เราทำ  ทำเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่การงาน  หรือทำเพราะความเคยชิน  เป็นต้น

หลักของการ  “ทำน้อยได้มาก”  นั้น  มาจากหลักการ  80/20 ซึ่งค้นพบโดย Vilfredo Pareto  นักเศรษศาสตร์ชาวอิตาลี  หลักการนี้พูดถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่าง  สาเหตุและผล  สิ่งที่ใส่เข้าไปกับสิ่งที่ได้ออกมา   และงานที่ทำกับผลตอบแทนที่ได้รับ  โดยที่ความไม่เท่าเทียมนั้นโดยคร่าว ๆ  ก็คือ  ประมาณ 80 ต่อ 20  ตัวอย่างเช่น  ถ้าเราเอาคนที่ดื่มเหล้าหนักที่สุด 20%  ของคนดื่มเหล้าทั้งหมดมานับรวมกันดูก็จะพบว่าพวกเขาดื่มเหล้าคิดเป็นประมาณ 80%  ของการบริโภคเหล้าทั้งหมด    หรือเอาปัญหาทางการผลิตที่สำคัญเพียง 20% มาแก้ไขปรับปรุงก็จะได้ผลผลิตที่ดีขึ้น 80% หรือมากกว่า   ว่าที่จริงกฏ 80/20 นั้น  เริ่มจากการพบสิ่งที่ไม่สมดุลของรายได้และความมั่งคั่งของประชากร  โดยที่พาเรโตพบว่ามีความเหลื่อมล้ำกันมากคือ  คนที่มีรายได้สูงที่สุด 20%  มีรายได้รวมกันถึงประมาณ 80% ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ  นั่นคือเรื่องที่เป็นเมื่อกว่า 100 ปีมาแล้ว  ถึงวันนี้ผมคิดว่ามันก็ยังคงเป็นอยู่หรือเป็นมากขึ้นด้วยซ้ำ

หลักการ 80/20 หรือหลักของความไม่สมดุลนี้  เกิดขึ้นมากมายในชีวิตประจำวัน  ในธุรกิจ  และแม้แต่ในเรื่องทางวิทยาศาสตร์  แน่นอนว่าความไม่สมดุลในแต่ละเรื่องนั้นไม่ใช่ 80/20 พอดี  อาจจะเป็น 75/25  หรือ 70/30  แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นความเหลื่อมล้ำที่ค่อนข้างสูง  ดังนั้น  ถ้าเราค้นพบ  เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มาก  เช่นนักการตลาดทำโปรแกรมโฆษณาหรือส่งเสริมการขายเน้นไปที่ลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคหนักที่สุด 20% แรก  ซึ่งเป็นลูกค้าที่สร้างรายได้ให้บริษัทถึง 80%   พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงบริษัทประกันภัย GEICO หรือ Government Employee Insurance Company ของวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ขายประกันโดยเฉพาะประกันรถยนต์ให้กับพนักงานของรัฐโดยไม่ผ่านนายหน้า  นี่ก็เป็นวิธีคิดแบบ 80/20 เหมือนกัน  เพราะพนักงานของรัฐนั้น  โดยสถิติพบว่าเป็นนักขับรถที่ดีเยี่ยมประสบอุบัติเหตุน้อยกว่าคนกลุ่มอื่นมาก  ดังนั้น  GEICO จึงสามารถขายประกันให้ในราคาเบี้ยประกันที่ต่ำ  นอกจากนั้น  ยังสามารถลดต้นทุนด้านการขายซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงมากโดยไม่ผ่านนายหน้าด้วย

ในฐานะของ VI นั้น  ผมคิดว่าเราน่าจะต้องเป็นคนที่คำนึงถึงเรื่องหลัก 80/20 มากที่สุดกลุ่มหนึ่ง   เพราะความสามารถของเราหรือสิ่งที่เราค้นหาตลอดเวลาก็คือ  เราต้องการหาการลงทุนที่เราใช้เงินน้อยแต่ในที่สุดมันจะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าปกติ  เราไม่ต้องการอะไรที่เป็นแบบ 50/50 หรือลงทุน  10  บาทแล้วในที่สุดก็ได้ผลตอบแทนประมาณ 1 บาทต่อปีหรือ 10%  หรือลงไปแล้วขาดทุน  นั่นคือปรัชญาสำคัญของ VI  แต่  VI  นั้นไม่ใช่ดูเฉพาะเรื่องของการลงทุนทางการเงินเท่านั้น   VI ที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ครอบคลุมทั้งชีวิต  ดังนั้น  เวลาเราพูดถึงหลัก 80/20  VI  ก็จะมองหาว่ามีอะไรในชีวิตที่เราจะสามารถใช้ประโยชน์จากหลักการนี้ได้

ผมคงไม่สามารถบอกได้ทุกเรื่องว่าเรื่องไหนมีช่องที่เราจะสามารถนำหลักการ 80/20 มาใช้สำหรับทุกคน   เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องคิดเอง  แต่อยากจะลองยกตัวอย่างเพื่อให้นำไปคิดต่อเช่น   ในการเรียนหนังสือนั้น  มีคนบอกว่าวิธีที่จะทำให้สามารถ  “ทำน้อยได้มาก”  ก็คือ  เวลาอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบนั้น  ให้อ่านคำนำกับบทสรุปหลาย ๆ  เที่ยวเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นที่สำคัญก่อน  ส่วนเนื้อหาก็ให้เน้นอ่านเฉพาะที่เป็นเรื่องสำคัญ  ส่วนรายละเอียดหรือเรื่องที่ไม่ได้เน้นไว้ในบทสรุปก็ให้อ่านผ่าน ๆ  ไปหรือไม่ต้องอ่าน  เหตุผลก็เพราะว่า  ข้อสอบนั้น  80%  หรือมากกว่านั้น  จะออกเฉพาะในเรื่องที่สำคัญที่อยู่ในบทสรุป

ในเรื่องของการทำงานนั้น  ว่ากันว่า  คนที่มีคุณค่ามากในบริษัทเพียง 20%  เท่านั้นที่ทำกำไรให้กับบริษัท   ส่วนคนส่วนใหญ่นั้นสร้างคุณค่าน้อยและอาจจะไม่คุ้มค่าด้วยซ้ำ  งานจำนวนมากในบริษัทนั้นไม่ก่อให้เกิดคุณค่าจริง ๆ  ดังนั้นบริษัทหลายแห่งจึงใช้วิธี  Outsource หรือจ้างคนอื่นทำงานทั่ว ๆ  ไป  ตัวเองทำเฉพาะงานสำคัญที่ตนเองมีความสามารถจริง ๆ   เช่นเดียวกัน  ในแง่ของส่วนบุคคล   เราก็ควรต้องเน้นทำเฉพาะงานที่เป็นความเชี่ยวชาญของเราจริง ๆ  และลดงานที่ไม่ถนัดลงถ้าเราจะสามารถ  “ทำน้อยได้มาก”  และประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องเหนื่อยยากเกินไป

ในเรื่องของการลงทุนนั้น  ความชัดเจนประการแรกก็คือ  หุ้นนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เรา  “ทำน้อยได้มาก”   เพราะในระยะยาวแล้ว  หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารการเงินอื่นมาก  สมมุติว่าเรามีเงิน 1 ล้านบาทและอายุ  30 ปี  ถ้าเราลงทุนในหุ้นไปเรื่อย ๆ โดยซื้อกองทุนรวมหุ้นที่อิงกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์  เมื่อเราเกษียณที่ 60 ปี  เราจะมีเงินประมาณ 17.4 ล้านโดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะหุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นประมาณปีละ 10%   แต่ถ้าเราฝากไว้ในธนาคารแบบฝากประจำเราน่าจะมีเงินเพียง 2.4 ล้านบาทเพราะเงินฝากน่าจะให้ผลตอบแทนเพียง 3 % ต่อปี   และถ้าเราลงทุนเป็นพันธบัตรรัฐบาล  เงินที่เราจะมีในวันเกษียณก็อาจจะเป็นเพียง  4.3 ล้านบาทเพราะพันธบัตรน่าจะให้ผลตอบแทนเพียงปีละ 5%  ความแตกต่างของเม็ดเงินระหว่างหุ้นกับเงินฝากหรือพันธบัตรก็ประมาณ 80 ต่อ 20

ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงหลักการและตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเพื่อเป็นการจุดประกายให้เห็นถึงความสำคัญของกฏ  “ทำน้อยได้มาก”  VI ที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงจริง ๆ  นั้นจะต้องเชี่ยวชาญในเรื่องนี้จริง ๆ  นั่นคือ  หาอะไรที่ทำหรือลงทุนแค่ 20% แล้วให้ผล 80%  ซึ่งด้วยวิธีนี้เขาสามารถทำงาน 40% ของพลกำลังแล้วได้ผลตอบแทน 160%  เปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่งที่ทำงาน 120% แล้วได้ผลตอบแทน 120%  แล้ว  ผมคิดว่าคนแรกนั้นน่าจะมีความสุขและร่ำรวยกว่ามาก


โลกในมุมมองของ Value Investor  25 ตุลาคม 52 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

จากคุณ : คนจนที่อยากรวย
เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 52 09:26:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com