|
ความคิดเห็นที่ 37 |
#35... ผมมองว่า KZM เป็นเครื่องจักรผลิตเงิน เหมือนกับที่คุณมอง DSM เหมือนกันนะครับ...
โดยมองว่า TDEX แต่ละราคา (zone) เป็นสินค้าชิ้นหนึ่งที่ราคาต้นทุนนั้น หลักการง่ายๆ...ซื้อของเก็บไว้ แล้วรอขายเมื่อมีกำไรตามที่ต้องการ... กอง A กำไรมากหน่อย กอง B กำไรน้อยหน่อย กอง C กำไรเป็นก้อนใหญ่ๆ กอง D กำไรเป็นก้อนเล็กบ้าง กลางบ้าง ใหญ่บ้าง
โดยอัตราการทำกำไรจะได้มากน้อย เร็วแค่ไหน ก็ขึ้นสภาวะของตลาด ถ้าตลาดแกว่งตัวผันผวนมาก ก็จะทำเงินออกมาได้มาก
โดยปกติแล้ว ตลาดแทบไม่มีทางที่ราคาคงที่ได้เป็นเวลานานๆ เพราะจะโดนทั้งความโลภ และความกลัว บีบบังคับทำให้ต้องมีการซื้อขายหุ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ราคา TDEX ซึ่งอิงกับ SET50 จึงมีการแกว่งตัวไปมาตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ซึ่งจุดนี้เองทำให้ระบบ KZM สามารถผลิตเงินออกมาได้เรื่อยๆ ไม่มีวันหมด
ถ้าราคาแกว่งแคบๆ ก็ใช้กอง B ทำเงิน ถ้าราคาแกว่งกว้างหน่อย ก็ใช้กอง A,B ทำเงิน ถ้าราคามีแนวโน้มขึ้น ก็ใช้กอง A,B,D ทำเงิน ถ้าราคามีแนวโน้มขึ้นมากๆ ก็ใช้กอง A,B,C,D ทำเงิน ถ้าราคามีแนวโน้มลง (แต่ยังไงก็ต้องมีการแกว่งบ้าง) ก็ใช้กอง B ทำเงิน
จะเห็นว่าไม่ว่าตลาดเป็นอย่างไร ก็สามารถผลิตเงินออกมาได้ตลอด แต่จะมากน้อยต่างกันไปขึ้นกับสภาวะของตลาด
แต่จะเห็นว่า KZM ช่วงขาลง จะผลิตเงินได้น้อย ดังนั้นถ้าคนใจร้อน อยากได้เงินมากตลอด อาจจะไม่ชอบ
ถ้าอยากจะเพิ่มกำไรในช่วงขาลง ก็อาจจะต้องเพิ่มความเสี่ยงบ้าง โดยการซื้อ long put options
โดยหลักการก็มอง put options แต่ละ strike price ให้คล้ายๆ tdex ที่ราคาต่างๆ (zone) แล้วก็ซื้อเก็บไว้ แล้วรอขายเมื่อมีกำไรตามต้องการ...
แต่ options มีความเสี่ยงมากกว่า tdex เพราะ options มีวันหมดอายุ (expire) ดังนั้น ถ้าถึงวันหมดอายุ แล้วยังขายไม่ได้ หรือขาดทุนอยู่ ก็จะกลายเป็นขาดทุนจริงๆ ขึ้นมาได้ ดังนั้น ควรใช้ความระมัดระวัง และทำความเข้าใจก่อนใช้ options มาช่วยเสริมนะครับ
จริงๆ แล้ว เราสามารถใช้ call options ในการเล่นขาขึ้นได้เช่นเดียวกับ tdex (หรือตรงข้ามกับ put options) ด้วยนะครับ...
จากคุณ |
:
Mongkon/Pong
|
เขียนเมื่อ |
:
1 พ.ย. 52 17:53:06
|
|
|
|
|