ความคิดเห็นที่ 1 สิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุด แน่นอนมันคืออุบัติเหตุ และคงไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก ผมเองก็เสียใจในฐานะคนไทยที่มีส่วนในการรับรู้และมันคือผลประโยชน์ของประเทศ สิ่งที่เสียไปคือชื่อเสียงที่สั่งสมมาและแสดงถึงการจัดการบางอย่างที่บอกเราว่า Something Wrong ----------------------------------------------------------------------------  ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 265 / 2552                                               2 พฤศจิกายน 2552 เรื่อง การควบคุมสถานการณ์เพลิงไหม้ ในแหล่งมอนทารา โครงการ พีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย เรียน กรรมการและผู้จัดการ     ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย             ตามที่ PTTEP Australasia Pty Ltd ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการในสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 100 ในแหล่ง มอนทารา โครงการ พีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลติมอร์ ประมาณ 690 กิโลเมตร ทางตะวันตกของ เมือง Darwin ในเขต Northern Territory ประเทศออสเตรเลีย นั้น             เนื่องจาก เกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลจากหลุมพัฒนาในแหล่งมอนทารา โครงการ พีทีทีอีพี ออสตราเลเชีย ในทะเลติมอร์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 และบริษัทฯ ได้เร่งดำเนินการแก้ไข สถานการณ์การรั่วไหลโดยได้รับอนุมัติจากหน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลีย ให้ดำเนินการเจาะหลุม ควบคุมความดัน (Relief Well) และอัดน้ำโคลนเพื่อหยุดการรั่วไหลของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โดยได้ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง              บริษัทฯ ได้รับรายงานในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 ว่า เมื่อเวลา 9.30 น. ของเมืองดาร์วิน ประเทศออสเตรเลีย การดำเนินการเจาะหลุมควบคุมได้เข้าไปถึงระดับความลึกและตำแหน่งที่ต้องการ แล้ว จึงได้ทำการอัดน้ำโคลนตามขั้นตอนเพื่อยุติการรั่วไหล โดยในระหว่างการดำเนินการได้เกิดการติด ไฟขึ้นบริเวณแท่นเจาะ West Atlas ซึ่งเป็นของผู้รับเหมา รวมทั้งแท่นหลุมผลิต (Wellhead Platform) ของ แหล่งมอนทารา โดยปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการติดไฟ อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจาก เหตุการณ์ดังกล่าว             ทั้งนี้ บริษัทฯ กำลังเร่งดำเนินการควบคุมสถานการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น และจะแจ้งความ คืบหน้าให้ทราบต่อไป             จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                                ขอแสดงความนับถือ                                                อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                             (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                       กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:02:02

ความคิดเห็นที่ 2 มันมีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจผมมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครตอบได้ซักทีว่าทำไม PTTEP ถึงใส่ใจการลงทุนในต่างประเทศมากกว่าลงทุนในประเทศเราเอง ที่ได้เปรียบในความเป็นเจ้าถิ่นอย่างมาก เช่นกรณีการซื้อ แหล่งสิริกิตต์ มาจาก บริษัท ไทยเชลล์ เมื่อหลายปีก่อนที่ได้ทั้งโรงกลั่นระยอง และแหล่งนางนวลแถมพ่วงท้ายมาด้วย ในราคาที่ถูกเหมือนได้เปล่า แต่หลังจากนั้นนอกจากการซื้อหุ้น (Stock Purchase Agreement) กับกลุ่มบริษัท โปโก เพื่อเข้าซื้อหุ้นที่ถือโดยกลุ่มบริษัท โปโก ในบริษัท ไทยโป จำกัด และบริษัท B8/32 Partners จำกัด ทำได้มีส่วนแบ่งในแหล่งน้ำมันทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งโอเปอร์เรทโดย เชพรอนนั้น แม้ว่าราคาจะแพงไปนิด แต่ผมยังคิดว่ามันก็ยังเป็น Deal ที่โอเคนะ แต่หลังจากนั้น การทุ่มเทกำลังส่วนใหญ่ไปกับการเสาะแสวงหาแหล่งปิโตรเลียมในต่างประเทศ โดยแทบจะไม่เหลียวแลแหล่งในประเทศอีกเลย กลับเป็นการก้าวเดินที่นำไปสู่ความผิดพลาดหลายสิ่งหลายประการ เนื่องจากส่วนใหญ่จะล้มเหลวในการขุดเจาะหาแหล่งน้ำมัน หรือไม่ก็ขาดทุนเพราะไม่เพียงพอในเชิงพาณิชย์ และทำให้เกิดค่าตัดจ่ายหลุมแห้งจำนวนมากดังต่อไปนี้ จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:13:32

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 176 / 2552                                         17 กรกฎาคม 2552 เรื่อง      ผลการเจาะหลุมสำรวจ Wassa-1 แปลง 58 ประเทศโอมาน เรียน      กรรมการและผู้จัดการ          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย            ตามที่บริษัท พีทีทีอีพี โอมาน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ ในสัดส่วนร้อยละ 100 ในแปลงหมายเลข 58 ในประเทศโอมาน นั้น            บริษัทฯ ได้เริ่มทำการเจาะสำรวจเป็นครั้งแรกในหลุม Wassa-1 แปลงหมายเลข 58 ประเทศโอมานเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2552 โดยเจาะถึงระดับความลึกสุดท้าย 4,275 เมตร เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2552 และไม่พบปิโตรเลียม จึงจะดำเนินการตัดจำหน่ายหลุมดังกล่าว ในรอบบัญชีไตรมาสที่ 2 ปี 2552 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 450 ล้านบาท            ทั้งนี้ ปตท.สผ. จะดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมในรายละเอียดทางธรณีวิทยา เพื่อประเมินศักยภาพและกำหนดแนวทางดำเนินการของแปลงหมายเลข 58 ในประเทศโอมานต่อไป            จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                          ขอแสดงความนับถือ                                          อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                        (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                         ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:19:25

ความคิดเห็นที่ 4 ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 164 / 2552                                                10 กรกฎาคม 2552 เรื่อง     ผลการเจาะหลุมสำรวจ SAER Offshore - 1X แปลง ซิดิ อับ เอล รามาน ออฟชอร์         สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ เรียน     กรรมการและผู้จัดการ         ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย                ตามที่บริษัท พีทีทีอีพี ซิดิ อับ เอล รามาน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เข้าร่วมลงทุนแปลง ซิดิ อับ เอล รามาน ออฟชอร์ สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ในสัดส่วนร้อยละ 30 โดยผู้ร่วมทุนอื่นประกอบด้วย บริษัท Edison (ผู้ดำเนินการ) และบริษัท Sipetrol ตามสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 40 และ 30 ตามลำดับ นั้น                บริษัทฯและกลุ่มผู้ร่วมทุน ได้เริ่มทำการเจาะหลุมสำรวจ SAER Offshore - 1X ทางตะวันออกของแปลง ซิดิ อับ เอล รามาน ออฟชอร์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2552 โดยเจาะถึงระดับความ ลึกสุดท้าย 4,059 เมตร เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 พบเพียงร่องรอยปิโตรเลียมในชั้นหินกักเก็บ และวิเคราะห์แล้วเห็นว่าปริมาณที่พบไม่คุ้มค่ามากพอในเชิงพาณิชย์ จึงจะดำเนินการตัดจำหน่ายหลุม ดังกล่าว ในรอบบัญชีไตรมาสที่ 2 ปี 2552 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในส่วนของ ปตท.สผ. ประมาณ 340 ล้านบาท                ทั้งนี้ ในแปลง ซิดิ อับ เอล รามาน ออฟชอร์ ยังมีโครงสร้างทางทิศตะวันตก ซึ่งได้ทำการ สำรวจคลื่นไหวสะเทือนสามมิติ (3D Seisemic Acquisition) แล้วพบว่ามีศักยภาพที่น่าสนใจ โดยปตท.สผ.จะ ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมในรายละเอียด เพื่อนำข้อมูลไปใช้สำรวจเพิ่มเติมต่อไป                จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                                  ขอแสดงความนับถือ                                                    มารุต มฤคทัต                                                  (นายมารุต มฤคทัต)                                                  กรรมการผู้จัดการใหญ่                                             รักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:21:50

ความคิดเห็นที่ 5 ที่ ปตท.สผ. 20.910/072/ 2552                                                 17 มีนาคม 2552 เรื่อง การยุติการร่วมลงทุนในโครงการอินโดนีเซีย เมรางิน-1 และโครงการบังกลาเทศ 17 และ 18 เรียน กรรมการและผู้จัดการ      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย              บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ขอแจ้งว่า บริษัทฯ ได้ทำการทบทวนผลการดำเนินงานของโครงการสำรวจปิโตรเลียมต่างๆ ตามทิศทางการดำเนินงาน เชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ซึ่งได้ปรับให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ประกอบด้วยการศึกษาและ วิเคราะห์ผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาและแผนงานในปีต่อไป ทั้งในทางเทคนิคและผลตอบแทนใน การลงทุนแล้วเห็นว่า สมควรยุติการร่วมลงทุนในโครงการสำรวจปิโตรเลียม จำนวน 2 โครงการ ดังนี้             1. โครงการอินโดนีเซีย เมรางิน-1 ประเทศอินโดนีเซีย โดย บริษัท PTTEP Merangin                 Company Limited (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 40 ซึ่งจากการเจาะสำรวจในช่วงที่ผ่านมา ไม่พบปริมาณปิโตรเลียมในเชิงพาณิชย์ การยุติการร่วมลงทุน จะมีผลสมบูรณ์เมื่อได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ จากหน่วยงานราชการของประเทศอินโดนีเซีย                 สำหรับการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบัน ปตท.สผ. ได้ร่วมลงทุนในอีก 2 โครงการหลัก ซึ่งอยู่ในระยะสำรวจคือ โครงการอินโดนีเซีย เบงการา-1 และโครงการอินโดนีเซีย เซไม ทู             2. โครงการบังกลาเทศ 17 และ 18 สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดยบริษัท PTTEP Bangladesh Company Limited (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30                 บริษัทฯ ได้ศึกษาแล้วพบว่า ศักยภาพของปิโตรเลียมค่อนข้างต่ำ และเห็นสมควรยุติการลงทุน                ทั้งนี้ ปตท.สผ. ยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่มียุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อไป ซึ่ง                 สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ยังคงเป็นเป้าหมายที่สำคัญ สำหรับการลงทุนของปตท.สผ. ต่อไปในอนาคต            จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                                 ขอแสดงความนับถือ                                                 อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                               (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                               ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:25:58

ความคิดเห็นที่ 6 จากตัวอย่างทั้ง 3 ล่าสุด ปตท.สผ.ลงทุนไปในประเทศโอมาน อิยิปต์ อินโดนีเซีย และบังคลาเทศ แต่ส่วนใหญ่จะล้มเหลวทั้งหมด โดยที่อินโด และบังคลาเทศถึงขนาดต้องยุติการร่วมลงทุน นั่นหมายความว่าต้องสูญเสียเงินที่ลงทุนไปทั้งหมด ส่วน ที่โอมานและอิยิปต์ เสียค่าตัดจ่ายหลุมแห้งไป รวม 800 ล้านบาท จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:32:41

ความคิดเห็นที่ 7 อยากเห็นข้อมูลที่แสดงศักยภาพ ของสผ มั่งครับ  พอจะมีไหมครับ เพื่อจะได้มองสองด้าน  ผมไม่รู้เลยจริงๆ จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:34:38

ความคิดเห็นที่ 8 ยังมีการลงทุนในประเทศออสเตรเลีย และพม่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผลก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันคือล้มเหลว แถมต้องเสียค่าตัดจ่ายรวมกันมโหฬาร คือประมาณ 2,000 ล้านบาท ดังต่อไปนี้ ------------------------------------------------------------------------------------- ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 040 / 2552                                           26 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง     ผลการเจาะหลุมสำรวจ Abalone Deep-1 โครงการออสเตรเลีย เอซี/พี 36 เรียน     กรรมการและผู้จัดการ          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย                ตามที่บริษัท PTTEP Australia Offshore Pty Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เข้าร่วมลงทุนใน โครงการออสเตรเลีย เอซี / พี 36 ในสัดส่วนร้อยละ 20 โดยผู้ร่วมทุนอื่นประกอบด้วย บริษัท Finder Exploration Pty Ltd. และบริษัท Murphy Australia Oil Pty Ltd. (ผู้ดำเนินการ) ในสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 40 เท่ากัน นั้น                ปตท.สผ. ได้ทำการเจาะหลุมสำรวจ Abalone Deep-1 โครงการออสเตรเลีย เอซี/พี 36 โดยเจาะถึงระดับความลึกสุดท้าย 5,300 เมตร เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ถึงแม้จะพบเพียงร่องรอย ปิโตรเลียมในชั้นหินกักเก็บ และไม่สามารถพัฒนาเชิงพาณิชย์ได้ แต่ข้อมูลที่ได้จากหลุมสำรวจนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการประเมินศักยภาพ และแผนการสำรวจเพิ่มเติมในแปลงดังกล่าวเป็นอย่างมาก ตลอดจน โครงการสำรวจอื่นๆที่ปตท.สผ.ลงทุนอยู่ในบริเวณนอกชายฝั่งด้านตะวันตกของประเทศออสเตรเลีย                ทั้งนี้ ปตท.สผ.จะดำเนินการตัดจำหน่ายหลุมดังกล่าว ในรอบบัญชีไตรมาสที่ 1 ปี 2552 ซึ่งมี ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ปตท.สผ. ประมาณ 1,172 ล้านบาท                 จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                            ขอแสดงความนับถือ                                            อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                          (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                          ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แก้ไขเมื่อ 02 พ.ย. 52 23:37:33 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:36:37

ความคิดเห็นที่ 9 ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 007 / 2552                                              14 มกราคม 2552 เรื่อง ผลการเจาะหลุมสำรวจ Janaka-2 ในแปลง M3 ประเทศสหภาพพม่า เรียน กรรมการและผู้จัดการ       ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย                ตามที่ ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ ปตท.สผ.อ. (บริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.) เป็นผู้ดำเนินการ (Operator) ในแปลง M3 ซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวเมาะตะมะ ประเทศสหภาพพม่า โดยถือสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 80 และ CNOOC Myanmar Limited ถือสัดส่วนอีกร้อยละ 20 โดยสัดส่วนการร่วมทุนจะมีผลสมบูรณ์เมื่อได้รับ การอนุมัติจากรัฐบาลพม่า นั้น                ปตท.สผ. ขอรายงานผลการขุดเจาะหลุมสำรวจ Janaka-2 ซึ่งอยู่ในแปลง M3 โดยได้เริ่มทำ การขุดเจาะเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2551 เมื่อเจาะถึงระดับความลึกสุดท้ายที่ 3,351 เมตร พบชั้นหินกักเก็บ ก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพ 1 โซน มีความหนารวม 4 เมตร บริษัทฯ ไม่ได้ทดสอบอัตราการไหล และ วิเคราะห์แล้วเห็นว่าปริมาณที่พบไม่คุ้มค่ามากพอในเชิงพาณิชย์ จึงจะดําเนินการตัดจําหน่ายหลุมดังกล่าวในรอบบัญชีไตรมาสที่ 4 ปี 2551 โดยมีประมาณการค่าใช้จ่าย จำนวน 930 ล้านบาท                ทั้งนี้ บริษัทจะศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมในรายละเอียดและประเมินศักยภาพทาง ปิโตรเลียม เพื่อนำข้อมูลไปใช้สำรวจเพิ่มเติมในช่วงต่อไป                จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                               ขอแสดงความนับถือ                                               อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                             (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                              ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:38:40

ความคิดเห็นที่ 10 ยังมีอีกอันหนึ่งในช่วงเวลาไล่ๆกันนี้คือเมื่อปลายปีที่แล้วที่พม่าเหมือนกัน สิ่งที่ได้รับไม่แตกต่างกันคือ หลุมแห้ง ตัดจ่าย และลงท้ายด้วยการสูญเงินลงทุนไป   -----------------------------------------------------------------------------                                             3 ธันวาคม 2551 เรื่อง ผลการเจาะหลุมสำรวจ Janaka - 1 ในแปลง M7 ประเทศสหภาพพม่า เรียน กรรมการและผู้จัดการ      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย       ตามที่ บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ ปตท.สผ.อ (บริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ.) เป็นผู้ดำเนินการและถือหุ้นทั้งหมดใน โครงการสำรวจปิโตรเลียม แปลง M7 ซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวเมาะตะมะ ประเทศสหภาพพม่า นั้น       ปตท.สผ. ขอรายงานผลการขุดเจาะหลุมสำรวจ Janaka - 1 ซึ่งอยู่ในแปลง M7 โดยได้ เริ่มทำการขุดเจาะเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2551 เมื่อเจาะถึงระดับความลึกสุดท้ายที่ 3,581 เมตร พบชั้นหินกัก เก็บก๊าซธรรมชาติ 3 โซน มีความหนารวม 18 เมตร ประกอบด้วยชั้นก๊าซที่พิสูจน์แล้ว 15 เมตร และชั้น ก๊าซที่มีศักยภาพ 3 เมตร บริษัทฯ ไม่ได้ทดสอบอัตราการไหล และวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปริมาณที่พบไม่คุ้มค่ามากพอในเชิงพาณิชย์ จึงจะดำเนินการตัดจำหน่ายหลุมดังกล่าวในรอบบัญชีไตรมาสที่ 4 ปี 2551 โดยมีประมาณการค่าใช้จ่าย จำนวน 975 ล้านบาท        ทั้งนี้บริษัทจะศึกษาและวิเคราะห์เพิ่มเติมในรายละเอียดและประเมินศักยภาพทางปิโตรเลียม เพื่อนำข้อมูลไปใช้สำรวจเพิ่มเติมในช่วงต่อไป        จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                             ขอแสดงความนับถือ                                             อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                          (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                           ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:47:39

ความคิดเห็นที่ 11 ข้อมูล สฝ ของพี่คนรักน้ำมันนี่ ชัดเจนจริงๆ จากคุณ : กระบี่โลหิต เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:48:15

ความคิดเห็นที่ 12 เป็นไปได้ไหมครับ ว่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมันหายากขึ้นทุกๆวัน บริษัทต้องมีความเสี่ยงมากขึ้นในการสำรวจแล้วเสียเปล่า โอกาสที่จะตัดจำหน่ายหลุมแห้งจึงมีสูงกว่าในอดีต จากคุณ : As long as u love me เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:52:56

ความคิดเห็นที่ 13 พี่ thepthaiza ครับ อยากดูข้อมูลที่แสดงศักยภาพของสผใช่ไหมครับ มีครับ แม้ว่ามันจะน้อยเมื่อเทียบกับความล้มเหลว และการลงทุนครั้งนี้ สผ.ภูมิใจมากเหลือเกินครับ อยากทราบไหมครับว่าที่ประเทศไหน คำตอบคือข้างล่างนี้ครับ (โปรดสังเกต อักษรเข้มที่แสดงถึงความภาคภูมิใจมากๆของสผ.) --------------------------------------------------------------------------------- ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 085/2551                                                 20 มิถุนายน 2551 เรื่อง การผลิตก๊าซธรรมชาติและปริมาณคอนเดนเสทของโครงการอาทิตย์ เรียน กรรมการและผู้จัดการ        ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย               ตามที่บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็น ผู้ดำเนินการโครงการอาทิตย์ โดยมีสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 80 และมีผู้ร่วมทุนอื่นประกอบด้วย บริษัท Chevron Thailand Exploration and Production Ltd. (Chevron) และบริษัท Mitsui Oil Exploration Co., Ltd. (MOECO) ตามสัดส่วนการร่วมทุนร้อยละ 16 และ ร้อยละ 4 ตามลำดับ โดย โครงการอาทิตย์ได้เริ่มส่งก๊าซธรรมชาติ ให้กับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2551 แล้วนั้น              ปตท.สผ. ขอแจ้งว่า ปัจจุบัน โครงการอาทิตย์ได้ผลิตก๊าซธรรมชาติที่ปริมาณ 370 ล้าน ลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และผลิตคอนเดนเสทที่ประมาณ 19,800 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่าที่ ปตท.สผ. คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และ 11,000 บาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ ทั้งนี้ นับเป็น ความสำเร็จของ ปตท.สผ. ที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศที่มากขึ้นต่อไป             จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                                ขอแสดงความนับถือ                                                อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                                (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                                  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 08:07:50 แก้ไขเมื่อ 02 พ.ย. 52 23:55:03 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:53:09

ความคิดเห็นที่ 14 ผมยังรักและมั่นใจใน พี่เทพ รอ รอ รอ จากคุณ : Wed11Nov07 เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:53:45

ความคิดเห็นที่ 15 มันคือการสำรวจ ไม่ใช่หรอคะ ด้วยเทคโนโลยี+เครื่องมือของ ปตทสผ สามารถสแกนผ่าน ผิวโลก ได้หรือไม่ ว่าตรงนั้นมีบ่อน้ำมันชัวร์ ทำการขุดเจาะได้เลย จากคุณ : หอมจัง เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:57:20

ความคิดเห็นที่ 16 อีกนิด ความจริงประเทศไทยเราน่าจะคิดค้นหาพลังงานทดแทนรูปแบบใหม่ เผื่อเอาไว้บ้างก็ดี จะได้ไม่ต้องง้อน้ำมัน ประเทศเราแดดเยอะ ลมแรงในบ้างพื้นที่ น้ำตกก็มี น่าจะเอามาพัฒนา แต่ด้วยระบบกระทรวงของเมืองไทย คงต้องรอให้เอกชนเค้าพัฒนาก่อน จากคุณ : หอมจัง เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:00:04

ความคิดเห็นที่ 17 ผมเองโดยส่วนตัวไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรกับบริษัทนี้นะครับ แหล่ง S1 ผมก็เคยไปมาแล้ว ด้วยความอนุเคราะห์ของสผ. และไม่ได้แช่งให้หุ้นตกมากๆเพื่อไปช้อน เพราะผมไม่เล่นหุ้นตัวนี้มานานมากแล้ว และยังไม่มีความคิดที่จะซื้อกลับในระยะเวลาอันใกล้นี้ด้วย ตรงกันข้ามผมรู้สึกเป็นห่วงและปรารถนาให้สผ.เติบโตให้มากที่สุด เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริงของประเทศ ด้วยการขยายการลงทุนในประเทศให้มากแทนที่จะเอาเงินของนักลงทุนไปละเลง ละลายหมดไปกับความฝันของผู้บริหารบางท่าน ที่เข้าใจว่าการเป็น โอเปอร์เรท ในต่างประเทศจะทำให้เกิดความมั่นคงและเติบโตในบริษัท แต่ขอโทษนะครับ เมื่อคุณหาได้ในต่างประเทศ คุณหามาแล้วส่งกลับมาให้คนไทยได้ใช้ปิโตรเลียมได้รึเปล่าครับ คำตอบคือไม่ และคำตอบคือใช่สำหรับความมั่นคงที่มากขึ้นในประเทศอื่น ไม่ใช่ประเทศไทย เพราะคุณต้องขายให้รัฐวิสาหกิจของประเทศนั้นๆครับ จึงเพื่อสร้างความมั่นคงให้ประเทศเขา หาใช่ของเราไม่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ (โปรดสังเกตุอักษรเข้ม) ---------------------------------------------------------------------------------------- ที่ ปตท.สผ. 20.910/ 108 /2551                                                   28 กรกฎาคม 2551 เรื่อง การเริ่มผลิตในแปลง 9-2 โครงการเวียดนาม เรียน กรรมการและผู้จัดการ      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย                ตามที่บริษัท PTTEP Hoan Vu Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการเวียดนาม แปลง 9-2 ในสัดส่วนร้อยละ 25 โดยผู้ร่วมทุนอื่นประกอบด้วย PetroVietnam Exploration Production Corporation และ SOCO Vietnam Limited ในสัดส่วนร้อยละ 50 และ 25 ตามลำดับนั้น               ปตท.สผ. ขอรายงานว่า บริษัทฯ ได้เริ่มทำการผลิตน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง Ca Ngu Vang (CNV) ในแปลง 9-2 โครงการเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ในอัตราการผลิตเฉลี่ย ประมาณ 8,000 บาร์เรลต่อวัน และ 20 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ตามลำดับ ซึ่งนับเป็นการผลิตครั้งแรกของ ปตท.สผ.ในประเทศเวียดนาม บริษัทฯ คาดว่าจะสามารถเพิ่มระดับการผลิตของน้ำมันดิบและก๊าซฯ เป็น ประมาณ 20,000 บาร์เรลต่อวัน และ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ตามลำดับได้ในประมาณปลายปี 2551                 แหล่ง CNV ในแปลง 9-2 ตั้งอยู่นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ปิโตรเลียมที่ผลิตได้ จะถูกส่งเข้ากระบวนการแยกที่แท่นผลิต Bach Ho ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท Vietsopetro (VSP) ในแปลงใกล้เคียง โดยน้ำมันดิบที่ผลิตจะขายในราคาตลาด และก๊าซฯ ที่ผลิตได้จะ ส่งขายให้กับ Vietnam Oil and Gas Group ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลเวียดนาม                 จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ                                                   ขอแสดงความนับถือ                                                   อนนต์ สิริแสงทักษิณ                                                (นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ)                                                 ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:05:41

ความคิดเห็นที่ 18 การสำรวจและผลิต ปิโตรเลียม แล้วเจอหลุมแห้ง สำหรับผมมันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ อยู่แล้ว เพราะการสำรวจพื้นที่ก็ใช้ความน่าจะเป็นในการประเมินอยู่แล้ว หรือจะเรียกได้ง่ายๆว่าเดาอย่างมีหลักการแล้วกัน เพราะสิ่งที่ส่งลงไปสำรวจครั้งแรกก็คือการใช้คลื่นลงไปเก็บข้อมูล ไม่ใช้ลงไปถ่ายรูปให้เห็นแบบจะๆ เพราะงั้นความผิดพลาดก็มีโอกาสเกิดอยู่แล้ว จากนั้นค่อยประมวณผลอีกที จากนั้นค่อยแปลความหมาย ทั้งนั้นทั้งนี้การแปลความหมายมันก็ขึ้นอยู่กับ ความสามารถของเทคนิคเชี่ยนเฉพาะทางทั้งหลายบวกกับจินตนาการเฉพาะตัวแต่ละด้วย ว่าจะมีโอกาสแปลข้อมูลได้ถูกต้องแค่ไหน กระบวนการข้างต้นค่อนข้างจะเป็นสิ่งสำคัญเลยที่เดียวว่าจะตัดสินใจเจาะเพื่อพิสูจน์หรือไม่ ถ้าเค้าเห็นว่ามีโอกาสมากพอเค้าก็สั่งตั้งแท่นเพื่อเจาะ แต่เมื่อเจาะแล้วถ้าแห้งหรือไม่คุ้มทุน ก็สั่งปิด ที่พลาดเพราะไม่ได้เห็นแบบแน่นอนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ของอยู่ใต้ดิน ถ้ามีวิธีการที่ทำให้เห็นแบบจะๆ แหล่งน้ำมันคงโดนจับจองภายในปีเดียวหมดแล้วครับ โอกาสอยู่กับคนที่กล้าเท่านั้นนะครับ   มีบ่อยครั้งไปที่บริษัทรับสัมปทานจทีมงานชุดเดิมจะแปลความหมายผิดเกินสิบครั้งแต่ท้ายที่สุดก็สามารถเจาะเจอปิโตรเลียมได้ พลาดสิบครั้งเจอครั้งเดียวก็ได้กำไรเหลือบานเเล้วครับ จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:12:24

ความคิดเห็นที่ 19 ขณะที่สผ.กำลังเมามันกับการเสาะหาน้ำมันในต่างประเทศซึ่งส่วนใหญ่ล้มเหลว แต่กลับมีบริษัทน้ำมันเล็กๆจากแคนาดา ชื่อ แพนโอเรียนซ์ กลับมาเจาะไข่แดง เพราะเขามาเจอน้ำมันแหล่งบนบกบนผืนแผ่นดินไทยเราเอง และคาดว่าในไม่ช้า จะกลายเป็นแหล่งน้ำมันบนบกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศแทนที่แหล่ง สิริกิตติ์ ของสผ. ที่สผ.ภูมิใจนักหนาว่าเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันบนบกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี โดยพึ่งซื้อมาจากไทยเชลล์ไม่กี่ปีมานี้ และกำลังการผลิตนับวันก็ลดลงเรื่อยๆเพราะไทยเชลล์เขาสูบจนแทบเกลี้ยงแล้วก่อนมาขายให้สผ.ราคาถูกๆ และสถิตินั้นกำลังถูกทำลายโดยบริษัทน้ำมันจากแคนาดา ที่ข่าวนี้ออกไป ผู้บริหารสผ. ต่างก็เงียบกันเป็นเป่าสาก ไม่มีความเห็นใดๆ แต่ความคิดผมรู้สึกว่า ผู้บริหารสผ.เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เพราะตัวเองทำตัวแบบใกล้เกลือกินด่าง ไม่ให้ความสำคัญกับแหล่งบนบกในประเทศที่มีต้นทุนการขุดเจาะต่ำกว่าในทะเลหลายเท่า -------------------------------------------------------------------------------- ไทยผลิตน้ำมันได้2แสนบาร์เรลต่อวัน แซงบรูไนส่งออก กรมเชื้อเพลิงฯ เผยไทยสามารถผลิตน้ำมันจากแหล่งในประเทศได้เพิ่มเป็น 2แสนบาร์เรลต่อวัน แซงหน้าการส่งออกของบรูไน ระบุทุกแหล่งในประเทศแนวโน้มสูงขึ้น นายทรงภพ พลจันทร์ รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นและจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการขุดเจาะสำรวจปิโตรเลียม ทำให้ประเทศไทยผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งแซงหน้าปริมาณการส่งออกของบรูไนแล้ว ทำให้ประเทศไทยพึ่งพาพลังงานจากแหล่งในประเทศเพิ่มขึ้น รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงฯ กล่าวว่า ล่าสุดได้รับแจ้งจาก บริษัทแพนโอเรียนท์ เจ้าของสัมปทานแหล่งนาสนุ่น อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ว่าได้ผลิตน้ำมันเพิ่มเป็น 10,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา จากเดิมที่เคยผลิตเพียง 800 บาร์เรลเท่านั้น และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20,000 บาร์เรลในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า นับว่าเป็นการพบสำรองน้ำมันจากแหล่งหินภูเขาไฟครั้งแรกของไทย ซึ่งมีการกักเก็บน้ำมันในแอ่งหินระดับความลึก 100 เมตร แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 00:22:37 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 00:21:41 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 00:20:57 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:20:13

ความคิดเห็นที่ 20 คคห. 18 ครับ เรื่องนั้นผมทราบดี เป็นอย่างที่ท่านว่า แต่อยากให้ลองเปรียบเทียบกับบริษัท ยูโนแคลสิครับ ทำไมเขามาเจาะบ้านเรา 3 หลุมเจอ 1 และไม่แตกต่างกับเชพรอน เชลล์ แต่เราเองกำลังทำตัวเป็น Expert เกินไปรึเปล่า เพราะบางแหล่ง บางประเทศที่ไปขุดเจาะนั้น แม้แต่เชพรอน เชลล์ เขายังไม่กล้าไป ไม่ใช่เขาขี้ขลาดกว่าเรา หรือเพราะว่าจริงๆแล้วเขามีแผนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพกว่าเราหรือไม่ ??? จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:27:16

ความคิดเห็นที่ 21 บริษัทขุดเจาะน้ำมันเป็นบริษัทฯที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่สผ.ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตและร่ำรวยเหมือนเชลล์ เชพรอน เงินทุกบาททุกสตางค์มีค่าเกินกว่าจะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ การลงทุนทีเดียวเกือบ 10 ประเทศ แบบสะเปะสะปะ บริษัทชั้นนำเขายังไม่เสี่ยง เพราะรู้ว่าทำไปก็ไม่คุ้มเสี่ยง แต่เขาโฟกัสไปที่แหล่งที่มีความแน่นอน และทุ่มศักยภาพไปในพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ใช่ไปหาเอาจากแหล่ง Wild Cat แบบที่สผ.ทำ ขณะที่บริษัทจากไหนไม่รู้มาเจาะไข่แดงเราเองทั้งที่เป็นเจ้าของประเทศ ฝากถึงผู้บริหารด้วยนะครับ ผมอยากพูดเรื่องนี้มานานแล้ว และไม่เคยเห็นด้วยกับนโยบายลงทุนต่างประเทศของสผ. การตีเหล็กต้องตีเมื่อร้อนฉันใด วันนี้ผมเลยต้องระบายออกมาให้ได้ Discuss กัน ความเสียหายจากไฟไหม้มันก็มาจากการลงทุนที่สะท้อนถึงการขาดประสิทธิภาพในการ Operate ได้ในระดับหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ หรือว่าไม่จริง จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:34:49

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องเราทำตัวเก่งเกินไปรึป่าวนี่ผมไม่รู้นะ  แต่ผมว่าคนไทยเก่งพอตัวเพราะคิดเทคโนโลยี ใหม่ๆในด้านนี้มาช่วยให้เจาะหลุมในไทยได้ตลอด ไม่แปลกที่เราจะไปลองของในต่างประเทศ เพราะแต่ละทวีปแต่ละประเทศโครงสร้างธรณีมันต่างกัน   ถามว่าการลงทุนมีประสิทธิภาพหรือไม่ สำหรับผมพอสำรวจแล้วรู้ว่าไปต่อไม่ได้แล้วรู้จัก คัสลอส ไม่ถูลู่ถูกังไปต่อ สำหรับผมถือว่าโอเค เพราะอย่างน้อยไม่ได้น้ำมัน แต่ได้ข้อมูลโครงสร้างธรณีของพื้นที่นั้นๆมา ศึกษาต่อก็ช่วยลดคำว่าขาดทุนไปได้ไม่มากก็น้อย เพื่ออนาคตสำหรับโอกาสการขยายพื้นที่ บางประเทศที่ เชฟรอน ตอนนี้ไม่กล้าเข้าไปนี่ต้องดูก่อนว่าประเทศไหน ถ้าแถบตะวันออกกลางนี่ บริษัทที่มีเชื้อสายอเมริกา อย่าง เชฟรอน คงคิดหนักพอตัวนะ การเมืองแต่ละประเทศมันก็มีส่วนอย่างมากเหมือนกัน ความคิดผมแหล่งในประเทศที่น่าสนใจเป็นอย่างมันก็ฝั่งอันดามันนี่ละ ที่อื่นผมเฉยๆไปแล้วละ เรียกง่ายๆมันแทบจะพรุนแล้วละ เรื่องลงทุนต่างประเทศผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนัก แค่เป็นความคิดของตัวเอง ส่วนเรื่องในออสเตรเลีย  พอดีบริษัทแม่เป็นสัญชาติออสซี่ ฝรั่งเขาเอานิตยสารมาให้อ่านพอเห็นไรบางอย่าง แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 00:45:03 จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:38:55

ความคิดเห็นที่ 23 คคห.15 ครับ "มันคือการสำรวจ ไม่ใช่หรอคะ ด้วยเทคโนโลยี+เครื่องมือของ ปตทสผ สามารถสแกนผ่าน ผิวโลก ได้หรือไม่ ว่าตรงนั้นมีบ่อน้ำมันชัวร์ ทำการขุดเจาะได้เลย" ตอบ คคห.15 ทำไม่ได้ครับ การหาแหล่งน้ำมันมันไม่ง่ายเช่นนั้น และไม่สามารถสแกนได้ แต่อาศัยเพียงคลื่นแผ่นดินไหวที่บอกได้แต่เพียงว่า Profile ที่ลึกลงไปนั้นมีสภาพที่มีแนวโน้มจะเป็น Reservoirs ได้หรือไม่เท่านั้น การจะรู้ว่าสุดท้ายมีน้ำมันหรือไม่ได้จากการที่ต้องขุดเจาะลงไปให้เห็นจริงเท่านั้นครับ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 00:47:15 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 00:40:48 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:40:17

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณมากเลยครับ สำหรับบทความนี้ อย่างน้อยทำให้ผมตัดหุ้นตัวนี้ออกไปจากพอร์ตได้เลยครับ ราคา 100 นึงก็ยังถือว่าแพงไปสำหรับ ผลกำไร และผลงานการลงทุนของบริษัทฯ จากคุณ : คุณหน่อง เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 01:32:06

ความคิดเห็นที่ 25 ผมว่าใครมีเพื่อนเป็นนักวิเคราะห์หรือว่านักข่าวที่ต้องออกไปพบเยี่ยมเยียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ลองถามผู้บริหารดูมั๊ยครับ (ถ้าเค้าให้พบได้นะ) ว่าเหตุผลใดที่ไม่ลงทุนขุดหาน้ำมันในไทย ผมว่าเค้าน่าจะมีเหตุผลของเค้าเหมือนกันนะครับ(เหมือนเคยได้ยินมาก่อนว่าคำถามนี้มีคนเคยถามใครผ่านสื่อออกทางทีวีแต่มันนานมากแล้วนี่ครับ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะว่า) ผมว่าก่อนการตัดสินใจใดๆ เค้าก็คงคิดระเอียดในระดับนึงแล้วนะครับ ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ขนาดนี้คงจะทำแบบความฝันตัวเองเป็นหลักไม่น่าได้นะครับและผมว่ามันคงไม่น่ามีเหตุผลพอนะครับเพื่อความฝันตัวเองอย่างเดียวเนี่ย ที่ประชุมหรือว่าคณะกรรมการคงจะไม่น่าให้ผ่านและมาพลาญเงินเล่นหลายพันล้านได้มั้งครับ เหมือนอย่างบริษัทใหญ่ๆ ทั่วไปผมว่าเค้าก็ต้องมีคณะกรรมการหรือว่า board of director ไว้คอยคิดพิจารณาและกลั่นกรองการตัดสินใจด้วยไม่ใช่เหรอครับไม่ได้ให้คนๆ เดียวทำตามความฝันแล้วผ่านได้เลย ซึ่งถ้าความฝันของผู้บริหารท่านนั้นมันแย่จริงก็คงจะผ่านไม่ได้เช่นกันนะครับ อันนี้เป็นความคิดเห็นของนะครับ เพราะว่าถ้าการลงทุนของ สพ ใน ตปท เพื่อความฝันของผู้บริหารคนเดียวโดยไม่มีความน่าจะเป็นอื่นที่ส่งผลดีจริงๆ กับบริษัทหรือประเทศไทยเลย มันก็เลวร้ายมากครับแต่ในความคิดผมเองผมว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นครับ มากกว่าแค่ความฝันของคนๆ เดียวนะครับซึ่งมันผ่านมาได้ก็น่าจะมีข้อดีในความคิดนั้นๆ ด้วยเหมือนกันนะครับ จากคุณ : macbook เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 02:40:17

ความคิดเห็นที่ 26 เห็นด้วยครับ ขอบคุณๆคนรักน้ำมันมาก จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด (C.BUN) เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 02:44:02

ความคิดเห็นที่ 27 ผมมาขัดๆข้อมูล ในความเห็น 19 นะครับ " แพนโอเรียนซ์ กลับมาเจาะไข่แดง เพราะเขามาเจอน้ำมันแหล่งบนบกบนผืนแผ่นดินไทยเราเอง " แพนโอเรียนซ์เข้ามาน่ะ ปตท.ยังไม่ได้แปรรูปเลยนะครับ  ผมจำไม่ผิดแน่ๆคนที่ให้สัมปทาน แพนโอเรียนท์น่ะ ชวน หลีกภัย แค่จำไม่ได้ว่าตอนรัฐบาลชวน 1 หรือ ชวน2   เรื่องน้ำมันที่วิเชียรบุรีคงว่า ปตท.ไม่ได้ครับ จากคุณ : waphoo เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 05:59:17

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณครับ จากคุณ : SuperCrazyBoy เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 06:57:12

ความคิดเห็นที่ 29 เดือนนี้ สผ จะให้ผู้ถือหุ้นไปเยี่ยมชมที่กำแพงเพชร 2 ชุด ของเราได้วันที่ 19-20 พย คะ ยังไงเรารวบรวมคำถาม ข้อสงสัย ไว้ในกระทู้เดียวกัน และฝากผู้ถือหุ้นไปถามดีไหมคะ มีใครในที่นี้ไปบ้างเอ่ย จากคุณ : tottori (tottori) เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 06:58:21

ความคิดเห็นที่ 30 รอที่ราคาเดิม 77 บาท จากคุณ : 77 (autonomous) เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 07:04:01

ความคิดเห็นที่ 31 การสำรวจและผลิตน้ำมันมีความเสี่ยงอยู่แล้วครับ    นี่คือสาเหตุว่าทำไมถึงต้องมี margin ในธุรกิจนี้พอสมควร  มันไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่หลายๆ คนเคยโจมตีเครือ ปตท. ว่าเอากำไรทำไมมากมายมโหราฬ  เอาเปรียบคนไทย  ฯลฯ  แล้วแต่จะมาสรรหาด่าว่ากันสารพัด    ก็เพราะแบบนี้ล่ะครับ  การสำรวจน้ำมัน  ถ้าโชคดีเจอน้ำมันก็ได้กำไร  ถ้าไม่เจอ  มันก็ต้องขาดทุน   ปตท. ยังถือว่าเป็นบริษัทน้ำมันขนาดเล็ก  เมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่ๆ ข้ามชาติอื่นๆ ทั้งหลาย   ก็คงต้องให้เวลา  และให้กำลังเงิน กำลังทุนกับเค้า  เพื่อเติบโตต่อไปครับ จากคุณ : sunsetbeach เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 07:19:07

ความคิดเห็นที่ 32 ลงทุนต่างแดน กระเป๋าฉีกเกือบทุกที่ ทีมบริหารต่างแดนมีฝีมือจริงหรือไม่ geologist รวมทั้ง petroluem engineer ของไทยแท้มีฝีมือหรือไม่ ส่วนมากแล้วไม่ค่อยทำเอง ใช้หลักการบริหารหมด คือนั่งดูแล้วจ้างเขาทำ สู้กลับมาหากินกับคนไทยดีกว่า จะขี่จะโขกราคา gas เท่าไรก็ได้  ทำงานแบบเช่าชามเย็นสองชามยังได้ ต้นทุนสูงก็ช่างมัน ผลักลงที่ราคา gas พวกเรารับกันไป ลองไปหาข้อมูลดูแหล่งใหนที่ราคาสูง ชงเองกินเอง ผู้กำหนดราคา หน่วยงานรัฐที่กำกับเข้าไปเป็นบอร์ด  ง่ายดี จากคุณ : ควนโส เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 07:20:48

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากครับ จากคุณ : flyfoxsiam เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 07:23:44

ความคิดเห็นที่ 34 เพิ่มเติมข้อมูลในความเห็นนี้ "ผมมาขัดๆข้อมูล ในความเห็น 19 นะครับ " แพนโอเรียนซ์ กลับมาเจาะไข่แดง เพราะเขามาเจอน้ำมันแหล่งบนบกบนผืนแผ่นดินไทยเราเอง " แพนโอเรียนซ์เข้ามาน่ะ ปตท.ยังไม่ได้แปรรูปเลยนะครับ  ผมจำไม่ผิดแน่ๆคนที่ให้สัมปทาน แพนโอเรียนท์น่ะ ชวน หลีกภัย แค่จำไม่ได้ว่าตอนรัฐบาลชวน 1 หรือ ชวน2   เรื่องน้ำมันที่วิเชียรบุรีคงว่า ปตท.ไม่ได้ครับ." แม้จะเป็นบริษัทในเครือ แต่ ปตท.สผ เป็นเอกเทศมาตั้งนานแล้ว เข้าตลาดหลักทรัพย์ประมาณปี 2535 ซึ่งเป็นสมัยรัฐบาลนายกอานันท์ ฉะนั้นการตัดสินใจทุกอย่างจะดำเนินการค่อนข้างอิสระจาก ปตท. รวมทั้งการบริหารด้วย จากคุณ : กูรูขอบสนาม เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 08:01:18

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ waphoo ครับ บริษัท แพน โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด พึ่งมาจดทะเบียนเมื่อปี 2539 เองครับ โดยซื้อแปลงสัมปทานมาจาก  แปซิฟิก ไทเกอร์ คือ L33/43 และ L44/43 ซึ่งอยู่ในอำเภอ วิเชียรบุรี ศรีเทพ และนาสนุ่น โดยแต่เดิมผลิตได้เพียงวันละ 800 บาร์เรล โดยเฉลี่ย แต่แพน มาพัฒนาได้แหล่ง นาสนุ่นตะวันออกเพิ่ม โดยการขุดเจาะช่วงแรกแค่ 7 หลุม และผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตั้งแต่ เดือน ตุลาคม 2551 ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตเฉพาะแหล่งนี้ 6,000-10,000  บาร์เรลต่อวันครับ จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 08:03:29

ความคิดเห็นที่ 36 ดูเป็น youtube http://www.youtube.com/watch?v=aF5f2wIxpww จากคุณ : Jack Wealth เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 09:04:11

ความคิดเห็นที่ 37 ดูจากความเสียหาย และสูญเสียเงินในการจ้างปิดวาล์ว ดับไฟ คราบน้ำมัน รวมทั้งอาจ โดนฟ้องร้อง น่าจะโดนอีกหลายอัฐ ครับ http://wwhttp//www.youtube.com/watch?v=fIw1abbWkXo&feature=relatedw.youtube.com/watch?v=fIw1abbWkXo&feature=related จากคุณ : Jack Wealth เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 09:08:49

ความคิดเห็นที่ 38 ดูจากความเสียหาย และสูญเสียเงินในการจ้างปิดวาล์ว ดับไฟ คราบน้ำมัน รวมทั้งอาจ โดนฟ้องร้อง น่าจะโดนอีกหลายอัฐ ครับ อันนี้ครับ http://www.youtube.com/watch?v=fIw1abbWkXo จากคุณ : Jack Wealth เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 09:11:37

ความคิดเห็นที่ 39 เห็นด้วยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูล จากคุณ : lunch เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 09:31:40

ความคิดเห็นที่ 40 กระทู้นี้สนุกดีครับ เจ้าของกระทู้ คุณคนรักน้ำมัน ดูท่าจะรัก ปตท.สผ.มากจริง เพราะแสดงความเห็นประกอบข้อมูลครบถ้วน จากสายตาคนนอกอย่างผม ผมว่าธุรกิจ สำรวจและผลิตน้ำมัน (Exploration & Production, E&P) เป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน จะสูงหรือจะต่ำขึ้นอยู่กับว่า บริษัท E&P เลือกลงทุนในพื้นที่ไหน ถ้ามีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง บริษัทก็ต้องคาดหวังผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน เป็นไปตามหลักคิดธรรมดาที่ว่า High Risk High Return ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตทรัพยากรขึ้นมาขายนั้น โดยธรรมชาติที่เราทราบอยู่แล้วว่าทรัพยากรมีอยู่จำกัด เมื่อผลิตขึ้นมาแล้วก็ต้องหมดไป ทุกโครงการทีผลิตขึ้นมาก็เห็นอนาคตอยู่รำไรว่าจะไปสิ้นสุดกันเมื่อไหร่  สิ่งสำคัญของบริษัทเหล่านี้ก็ต้องหาทรัพยากรมาเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอดขององค์กร แต่ไม่ได้บอกว่าการลดต้นทุนเพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ เพราะเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่าถ้าต้นทุนถูกกว่า ก็ต้องได้กำไรสูงกว่าแน่นอน คราวนี้กลับมาดูว่าศักยภาพของปิโตรเลียม (เรียก น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติ รวมๆ กัน) มันอยู่ที่ไหนกันบ้าง ศักยภาพของปิโตรเลียม หรือพูดง่ายๆ ว่าบริเวณไหนน่าจะมีแหล่งปิโตรเลียมที่มีขนาดใหญ่ ถ้าใหญ่ก็กำไรเยอะ ถ้าเล็กก็กำไรน้อย เข้าใจได้ไม่ยาก แล้วมันอยู่ที่ไหนบ้าง เรื่องนี้ใครๆ ก็อยากรู้ ปิโตรเลียมถ้าตรงพื้นที่นั้นมันมี มันก็มีของมันอยู่ ไม่มีใครไปบอกให้มันมีขึ้นมาได้ แต่คนเรายังไม่รู้ว่ามันมีเท่านั้นเอง ปัญหาของบริษัทที่ทำธุรกิจก็คือ จะล่วงรู้ว่าตรงไหนมีปิโตรเลียมได้อย่างไร แต่ก่อนที่ล่วงรู้ว่ามีหรือไม่ ต้องทำการคาดการณ์ก่อน เพราะจะรู้ว่ามีปิโตรเลียมหรือไม่นั้นต้องทำโดยการเจาะสำรวจเท่านั้น ซึ่งค่าเจาะมันแพงอย่างที่รู้กันอยู่ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญของการคาดการณ์ศักยภาพปิโตรเลียม แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญอันดับสอง เพราะอันดับแรกคือแนวคิดทางธรณีวิทยาว่า พื้นที่ที่กำลังศึกษาอยู่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการสะสมตัวของปิโตรเลียม เนื่องจากว่าแนวคิดที่วางไว้แต่เบื้องต้นจะเป็นเหมือนแนวทางในการศึกษาหาข้อมูลในลำดับถัดๆ ไป แน่นอนที่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก และต้องใช้ประสบการณ์ในการพบเห็นการเกิดปิโตรเลียม และเข้าใจธรณีวิทยาในพื้นที่นั้นเป็นแนวคิด ผมว่าตรรกะง่ายๆ ก็สามารถใช้กับธุรกิจนี้ได้ เช่น แหล่งใหญ่ๆ ง่ายๆ ถูกๆ ก็คงจะถูกค้นพบไปโดยบริษัทที่เข้ามาทำการสำรวจก่อน พื้นที่ที่เหลือ ก็เหลือจากการสำรวจมาแล้วว่าไม่พบปิโตรเลียม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มี เพราะถ้ามันมีมันก็มีอยู่ แต่หากันไม่เจอเอง แต่ถ้าผลการเจาะสำรวจไม่พบมันก็เป็นข้อมูลเชิงลบที่จะบอกว่า ความคิดแบบเดิมมันไม่เวิร์ค (เพราะไม่เจอ) ถ้าอยากจะหาที่เดิมก็ต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพราะถ้าคิดแบบเดิมก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนสำรวจแบบนี้แล้วเป็นอย่างไร (ยกเว้นบริษัทแรกไม่ไหวจริงๆ) หลายคนสงสัยว่า เมืองไทยมีศักยภาพทางปิโตรเลียมมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องบอกว่าของดีๆ ก็เจอไปกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น โครงการ S1 (เช่น แหล่งสิริกิติย์ ฯลฯ) โครงการยูโนแคล 1,2,3,4 (มีแหล่งเยอะแยะ) โครงการบงกช โครงการ B8/32 (เบญจมาส ทานตะวันของ Chevron) โครงการอาทิตย์ และก็มีแหล่งที่ผลิตแล้วแต่ไม่ค่อยใหญ่ ตามรายงานของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ อีกหลายแหล่งเหมือนกัน ศักยภาพของเมืองไทยก็คงมีเท่านี้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่พบปิโตรเลียมอีกนะครับ เพราะยังคงทำการสำรวจอยู่ แต่ภายใต้แนวคิดทางธรณีวิทยาแบบที่พบกัน ก็คาดกันว่าไม่น่าจะเป็นแหล่งที่มีขนาดใหญ่ หรือบางทีมีขนาดเล็กจนไม่สามารถพัฒนาในเชิงพาณิชย์ได้ โดยเฉพาะที่อยู่ในทะเล ตราบใดที่ภาระกิจของบริษัท ยังคงดำเนินต่อไป การหาพลังงานในประเทศถูกจำกัดด้วยศักยภาพของทรัพยากรของประเทส การมุ่งหน้าไปหาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่อื่นจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องมองใครอื่น บริษัทรัฐวิสาหกิจของจีน ยังต้องรุกหาแหล่งปิโตรเลียมในต่างประเทศอย่างหนักเพื่อเชื่อมโยงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วบางโครงการไม่ได้ส่งปิโตรเลียมเหล่านั้นกลับมาที่ประเทศ เพราะสาเหตุจากประสิทธิภาพทางตลาดให้บริษัทขายปิโตรเลียมย่านนั้น ส่วนการจัดหามาใช้ในประเทศก็จัดหาจากตลาดที่มีราคาสุทธิดีกว่า เพราะถ้าบริษัทสามารถส่งปิโตรเลียมมาขายในประเทศแล้วได้ประโยชน์สูงสุด บริษัทก็คงต้องทำอย่างนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่การเป็นเจ้าของทรัพยากรส่วนหนึ่งในต่างประเทศก็ต้องความมั่นใจระดับหนึ่งว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ ก็สามารถมีแหล่งพลังงานจากที่อื่นมาใช้ได้ระยะหนึ่ง จบดีกว่าครับ เขียนยาวไปมันน่าเบื่อ เดี๋ยวคนในธุรกิจ E&P จะมาจับผิดผม จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 10:26:55

ความคิดเห็นที่ 41 กรณีของบริษัท Pan Orient Energy บริษัทกะทัดรัดจากประเทศแคนาดา ที่สามารถผลิตน้ำมันดิบได้ 6,000-10,000 บาร์เรลต่อวัน เท่าที่สอบถามจากผู้รู้นั้น เขาว่า บริษัทนี้เขาคิดใหม่ ทำใหม่ ไม่เหมือนบริษัทเดิมที่ขายต่อมาให้ เลยไปพบชั้นน้ำมันใหม่อีกชั้นที่ไม่เคยพบว่าก่อนในเมืองไทย การค้นพบของบริษัทนี้ ควรได้รับการชมเชยเพราะสามารถมีแนวคิดว่าน่าจะมีการเกิดและสะสมน้ำมันแบบนี้ ตรงพื้นที่นี้ แล้วไปสำรวจก็เจอจริงๆ ด้วย คนเดิมคอยตามหาน้ำมันชั้นเดิมๆ เลยผลิตกันเป็นหลักร้อย แต่บริษัทนี้ผลิตได้เป็นหลักหมื่นจากชั้นน้ำมันที่พบใหม่ ด้วยแนวคิดแบบนี้อาจจะไปเจอที่อื่นได้อีก (แต่ไม่ได้บอกว่าจะมี เพราะถ้ามันมีน้ำมัน มันก็มี ให้มีแนวคิดอะไรแปลกๆ ก็ไปบอกให้มีไม่ได้) แต่คิดว่าไม่น่าจะใหญ่เท่าใครงการ S1 ครับ ธรณีวิทยาแบบแปลกๆ บางทีก็มาพร้อมกับความไม่แน่นอนครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 10:41:41

ความคิดเห็นที่ 42 การที่ สผ. ทำไมถึงไปลงทุนในต่างประเทศเยอะ เพราะว่า เป้าหมายเพิ่มกำลังในการผลิตเป็น 900,000 BOE<<ถ้าจำตัวเลขไม่ผิดนะครับ (ในปีอะไรผมจำไม่ได้นะครับลืมขอโทษจริงๆประมาณ201X)   ซึ่งถ้าคิดจะลงทุนแต่ในบ้านเรา บ.มองว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วครับ ที่จะได้กำลังการผลิตเท่านี้ บ. จึงต้องเข้าไปหาแปลงสัมปทาน ใหม่ๆ ในต่างประเทศ  เพื่อที่จะทำได้กำลังการผลิตตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งมีการคิดและประเมินแล้วว่าถ้าเราไม่สนใจแหล่งต่างๆในต่างประเทศเลย กำลังการผลิตจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าเราทำได้ตามเป้า กำลังการผลิตจะเป็นเท่าไหร่ ซึ่งแผนการเป้าหมายที่วางไว้นี้ ผมว่าดีต่อผู้ถือหุ้นในแง่ของการมองการเติบโตในอนาคตนะ แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของ บ.สำรวจและผลิต การที่เข้าไปสำรวจแปลงสัมปทานใหม่ๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ ที่จะเจอหลุมแห้ง แม้แต่เอส1 เอง ยังเจาะเจอหลุมแห้ง อยู่บ้างเลยครับ   ส่วนแพน ก็เพิ่งจะโชคดีสำรวจเจอกระเปาะใหญ่ ซึ่งถ้า สผ.เอง โชคดี ไปเจอแหล่งใหญ่ๆในต่างประเทศมันก็แจ็คพ๊อตเหมือนกันครับ แปลงสัมปทานของแพน ผมว่า สผ.ก็คงสนใจจะเทคโอเวอร์อยู่ แต่คงติดเรื่องราคามั๊งครับ จากคุณ : ==NokWeed== เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 10:52:15

ความคิดเห็นที่ 43 แนวคิดแบบคิดใหม่ ทำใหม่ ทำให้ Brazil พบแหล่งน้ำมันที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกเท่าที่เคยพบมา (สรุปตามข่าว) ลองเข้าไปดูครับว่าเป็นอย่างไร ทำให้ได้รู้ว่า แหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันดับ 1 และ อันดับ 2 อยู่ที่ไหน (ย่อหน้าที่สอง) อ่านเองนะครับ ผมแปลไม่เก่ง แต่ข่าวนี้ออกมาตั้งแต่ 15 เมษา 2551 แล้ว http://www.bloomberg.com/apps/news?pid=20601086&sid=aUWwKQhtYbbM&refer=news แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับที่จะพบได้ เพราะนอกจากต้องมีแนวคิดทางธรณีวิทยาที่เป็นเหตุเป็นผล ต้องลงทุนหาข้อมูลที่ถูกต้องมายืนยันแนวคิด และสุดท้ายต้องกล้าเสี่ยงลงทุนด้วยครับ เพราะที่แปลกๆ ก็ตามมาด้วยเงินลงทุนเจาะสำรวจที่แพงมากจริงๆ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 11:04:19

ความคิดเห็นที่ 44 เราว่ามันเป็น accident จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 12:27:19

ความคิดเห็นที่ 45 ผมรอคอยความเห็นอย่างของคุณ GEO.Explorer อยู่ ดีใจครับ ที่มีคนในสายงานนี้มาร่วมกัน Discuss และรอท่านอื่นๆด้วยนะครับ ในคคห. 40 ยอดเยี่ยมมากครับ ผมเองแม้ไม่ได้จบสายนี้ แต่เคยเข้าไปเรียนอยู่พักนึงก่อนย้ายภาคไปเรียนโยธา และมีเพื่อนหลายคนในสายงานนี้ที่พูดคุยกันบ่อยๆ มีบางอย่างที่ผมอาจเห็นต่างจากท่าน  GEO.Explorer  อยู่ที่เกี่ยวกับศักยภาพในประเทศไทย ที่ว่ามีเพียงเท่านี้ และผมเชื่อว่าผู้บริหารปตท.สผ.ก็คงมองเช่นนี้เหมือนกันจึงต้องเร่งไปเสาะแสวงหาที่ประเทศอื่นเข้ามาด้วย Pan Orient ก็คงคิดแบบเดียวกัน แต่สิ่งที่เขาแตกต่างจากเรา ก็คงเหมือนที่ท่านว่าคือ เขาคิดต่าง คิดใหม่ออกไป จึงเจอน้ำมันปริมาณสูงบนผืนแผ่นดินไทยเราได้ แล้วผมก็ขอถามกลับว่า ก็แล้วทำไมผู้บริหารสผ.จะไม่ลองคิดใหม่ทำใหม่บ้างล่ะครับ และลองเปลี่ยนทัศนคติใหม่ที่ว่าประเทศไทยหมดศักยภาพทางปิโตรเลียมแล้ว ในเมื่อคุณลองดูในต่างประเทศมาตั้ง 3-4 ปีแล้วถ้ามันไม่เวิร์ค ไม่ลองหันกลับมาหาเกลือกินในบ้านเราใหม่ไม่ได้หรือ ต่อไปนี้เงินทองที่เอาไปทิ้งที่ต่างชาติ ลองเอามาทิ้งในบ้านเราดูบ้าง จับพลัดจับผลู เกิดมันฟลุ๊กเจอแบบ Pan ประเทศชาติก็จะได้ประโยชน์หลายต่อ ประการแรก แน่นอนที่สุดสผ.เติบโตขึ้น ประการต่อมา หากเจอน้ำมันมาก ประเทศชาติก็ลดการนำเข้าไปได้มาก พร้อมกับมีความมั่นคงในทางพลังงานมากขึ้น หากเกิดภาวะสงคราม ยังไงน้ำมันมันก็อยู่ในเมืองไทยเราเอง  อีกประการมันก็เกิดการจ้างงานในประเทศเราเองมากขึ้น รัฐก็เก็บภาษีได้มากขึ้น การที่บอกว่าบ้านเราหมดศักยภาพ นั่นเกิดจากการคาดเดาใช่ไหมครับ และถ้า Pan Orient คิดแบบผู้บริหารสผ. เขาจะบากบั่นมาลงทุนในไทยทำไม และเขาก็คงไม่มีวันนี้แน่นอน น้ำมันในเมืองไทยส่วนตัวผมเชื่อมาตลอดว่ามันมีไม่น้อย เหตุผลง่ายๆ พม่าอยู่ทางซ้ายเรามีคลังก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ คิดเป็น BOE ก็ไม่ต่ำกว่า 600,000 บาร์เรล/วัน ทุกวันนี้ราก็ซื้อก๊าซเขาอยู่ มาเลเซียอยู่ข้างล่างเรามีน้ำมันเกือบล้านบาร์เรลต่อวัน เลี้ยงคนเกือบทั้งประเทศได้ เวียดนามอยู่ด้านขวาเรา เขาก็มีน้ำมันดิบไม้น้อย ถ้าจำไม่ผิดตัวเลขราว 500,000 บาร์เรล/วัน อัพ แถมยังส่งออกไปต่างประเทศได้เป็นอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม ซึ่งผลิตน้ำมันดิบเหลือใช้และส่งออกได้เฉลี่ย 600,000-900,000 บาร์เรล /วัน หันกลับมาดูในประเทศไทย ปัจจุบันผลิตเฉพาะน้ำมันดิบได้เพียง 130,000 บาร์เรลต่อวัน น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศที่อยู่รอบๆเรา แต่เป็นของปตท.สผ.เองคือแหล่ง S1 ซึ่ง ณ วันนี้โดยเฉลี่ยผลิตน้ำมันได้วันละ 20,000 บาร์เรล/วัน และที่น่าเศร้าไปกว่านั้น สผ.ไม่ได้เป็นคนขุดเจาะได้เอง แต่อาศัยซื้อมาจาก ไทยเชลล์เมื่อ 5-6 ปีก่อน ขณะเดียวกันหากจะบอกเราตีบตันแล้ว ประเทศไทยไม่มีศักยภาพพอ แล้วเมื่อ 8 ปีก่อน ประเทศไทยเรามีน้ำมันดิบเพียง 5-60,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น โดยเป็นของเชพรอน ยูโนแคล และไทยเชลล์ แชร์กันด้วยสัดส่วนเท่าๆกัน ถามว่า อ้าวแล้วสผ.ล่ะ อยู่ไหน ก็ตอบว่าไม่ต้องห่วงครับ สผ.เราเก่งเนื่องด้วยอำนาจรัฐ ไม่ทำเองหรอก ใครผลิตได้ก็ขอเอี่ยว เชพรอนได้น้ำมันมาก็ขอเอี่ยว ยูโนแคลได้มาก็ขอเอี่ยว ไม่ได้โอเปอเรทเก่งครับ แต่เอี่ยวเก่ง มาตอนหลังก็ซื้อเก่ง สิ่งหนึ่งที่ผมอยากสื่อให้เห็นว่า เวลา 8-9 ปีที่ผ่านมา น้ำมันเราหาได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเลยนะครับ อย่างนี้จะบอกว่าประเทศไทยไม่มีศักยภาพทางน้ำมันไม่ได้หรอก และตอนนี้หากสผ.มองกาลไกล มุ่งขอสัมปทานและขุดเจาะเอง ทุ่มงบประมาณลงทุนในประเทศให้มากกว่านี้ ในแหล่งน้ำมันผมเชื่อว่าวันนี้ประเทศไทยเราจะสบายกว่านี้มากครับ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 18:22:54 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 17:34:12 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 13:54:31

ความคิดเห็นที่ 46 ผมแอบไปถามเพื่อนมาอีกทีครับ เพื่อมาตอบคุณคนรักน้ำมัน ผมอธิบายอย่างนี้ไม่แน่ใจว่าพอฟังขึ้นบ้างหรือเปล่า ในการสำรวจหาปิโตรเลียมนั้น จะใช้หลักคิดว่ารอบๆ พื้นที่ว่าพบปิโตรเลียมแล้วพื้นที่ที่เรากำลังมองๆ อยู่มีโอกาสมีปิโตรเลียมด้วยนั้น คงใช้ดูประกอบในระดับพื้นที่ที่ไม่กว้างนัก นักธรณีวิทยาจะเรียกว่า แอ่งการสะสมตัวของปิโตรเลียม แนวคิดว่าเพื่อนบ้านมีเยอะแยะแล้วเมืองไทยมีปิโตรเลียมเยอะแยะคงทำไม่ได้ในระดับประเทศ ไม่อย่างนั้นประเทศอย่าง บาห์เรน ซีเรีย เลบานอน จอร์แดน อิสราเอล คงมีน้ำมันเยอะเหมือนๆ กับเพื่อนบ้านของเขา การที่มองระดับแอ่งการสะสมตัวนั้น เพราะปัจจัยการเกิดการสะสมตัวของซากพืชซากสัตว์ (ตามทฤษฎีการเกิดปิโตรเลียม) ต้องเป็นพื้นที่ที่มีแอ่ง เพราะของต้องเคลื่อนตัวจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำ ถ้าแอ่งใหญ่ ก็มีโอกาสเจอแหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ แอ่งเล็กก็คงเจอเล็ก เพราะยิ่งมีจำนวนซากสิ่งมีชีวิตมาสะสมมากๆ ก็เหมือนเป็นวัตถุดิบที่ให้ปิโตรเลียมได้มากๆ หลักคิดก็ง่ายๆ แบบนี้ครับ การที่ผมบอกว่าบริษัท Pan Orient Energy คิดใหม่ทำใหม่ แล้วพบน้ำมันในอีกชั้นนึงนั้น ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่การพบน้ำมันเป็นการพิสูจน์ว่ามีน้ำมันเกิดขึ้น แต่ขนาดของแหล่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะความเป็นจริงแล้ว แหล่งของ Pan Orient Energy ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ก็น่าจะมีขนาดไม่ใหญ่นักประมาณ 20 ล้านบาร์เรล (ลองเข้าไปดูการรายงานตัวเลขของบริษัทนี้ได้ที่ website ของบริษัทเขานะครับ บริษัทนี้ให้ข้อมูลเยอะทีเดียวเพราะจดทะเบียนในตลาดหุ้นโตรอนโต http://www.panorient.ca) แต่อาจจะมีได้มากกว่านี้อีกหน่อยขึ้นอยู่กับผลการเจาะในอนาคตครับ ความไม่แน่นอนมันเป็นอย่างนี้เอง การที่มีน้ำมันไม่น่าจะมากนั้นเพราะแหล่งนี้อยู่ในแอ่งที่ไม่ใหญ่โตเมื่อเทียบกับแอ่งพิษณุโลกที่เป็นที่ตั้งของโครงการ S1 หรือแ่อ่งในอ่าวไทยที่พบแหล่งใหญ่ การค้นหาปิโตรเลียมในเมืองไทยนั้นมีขึ้นมายาวนานน่าจะได้ร้อยปีแล้วมั้งครับ ตั้งแต่การพบแหล่งน้ำมันที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ปัจจุบันยังคงทำการผลิตอยู่แต่อยู่ภายใต้การการดูแลของกรมพลังงานทหาร กระทรวงกลาโหม กิจกรรมการสำรวจในประเทศไทยก็ยังคงมีต่อเนื่อง ผมเข้าไปดูใน website ของ ปตท.สผ. เขาก็มีแปลงสัมปทานในประเทศไทยมากเหมือนกัน คิดว่าเขาก็คงนั่งคิดนอนคิดว่าจะสำรวจกันอย่างไรให้พบปิโตรเลียม บางทีการสำรวจในเมืองไทยก็แพงไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน อย่างเช่นการเจาะหลุมสำรวจในภาคอีสานของเราดูเหมือนค่าเจาะจะแพงกว่าเจาะในทะเลอ่าวไทยเสียอีก และถ้าย้ายไปเจาะในทะเลอันดามัน ค่าเจาะน่าจะแพงกว่าเขาเพื่อน เพราะทะเลสวยๆ ด้านอันดามันระดับความลึกเห็นเขาว่าเป็นกิโลเมตรเลยทีเดียว การครุ่นคิดเพื่อเจาะสำรวจคงลำบากเหมือนกัน ศาสตร์ทางด้านธรณีวิทยา ก็เป็นศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์ที่ต้องอาศัยทฤษฎี หลักการ เหตุผล ข้อมูล กระบวนการคิดทางวิทยาศาสตร์ การพิสูจน์ มาใช้ประกอบการทำธุรกิจ เป็นสำคัญ หลักการคิดเทียบเคียงก็ทำได้ในระดับหนึ่งครับ แต่อย่าใจร้อนฟันธงว่าต้องเป็นอย่างที่คิด แต่เอาไว้เป็นแนวทางในการสืบค้นเพื่อพิสูจน์ความคิดของเราดีกว่าครับ ส่วนเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ว่า ปตท.สผ.เก่งไม่เก่งอย่างไรนั้น ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องไปแก้ตัวแทนบริษัทเขา เอาเป็นว่าดูผลลัพธ์ว่าการดำเนินงานเป็นอย่างไร อะไรฝีมือ อะไรโชคช่วย เรื่องที่ ปตท.สผ.เติบโตมาจากการขอเอี่ยว ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ เพราะ ปตท.สผ.ก็คือตัวแทนรัฐ แต่เมื่อรัฐให้สมบัติไว้เป็นทุนรอนในการตั้งต้นเมื่อ 25 ปีก่อน ปตท.สผ.เองก็ต้องขวนขวายสร้างตนเองขึ้นมา เพราะสมบัติเมืองไทยเมื่อเทียบกับโอกาสในโลกกว้าง มันไม่ได้มากมายอะไรนักในสายตาผม แต่เท่าที่ผมทราบสมบัติที่ได้จากรัฐน่าจะมีโครงการ S1 และ E5 เท่านั้น บางโครงการก็ใช้ความเป็น ปตท. บางโครงการก็ได้มาเอง แต่จะไปบริภาษกันไปทำไมละครับ เอาเรื่องความสามารถในปัจจุบันดีกว่า ผมว่าคอยติดตามผลการดำเนินงานของ ปตท.สผ. แล้วค่อยมาว่ากันจะสนุกกว่า ผมว่าสร้างสรรค์ดีด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 17:45:47 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 16:17:11 จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 15:46:37

ความคิดเห็นที่ 47 มันคงเป็นเรื่องสุดวิสัย  ไม่มีใครอยากให้เกิด  เมื่อเกิดแล้วก็ต้องยอมรับความจริงแล้วแก้ไขกันต่อไป จากคุณ : Noopy&Wood เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 16:34:09

ความคิดเห็นที่ 48 การทำธุรกิจไม่มีอะไรที่ทำแล้วจะสำเร็จทุกครั้ง ผมเคยได้อ่านบทความคุณตัน oishi เขาเล่าให้ฟังว่าสินค้าที่เขาผลิตออกมาประสบความสำเร็จแค่ 10% จากคุณ : completer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 17:13:20

ความคิดเห็นที่ 49 ทรัพยากรในประเทศ น่าจะหวงแหน เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลาน ไว้ใช้ในภายหน้า จะรีบขุดเจาะเอาไปให้หมดเกลี้ยง ไม่น่าจะถือว่าเป็นการรักชาติ ความเห็นส่วนตัวจ้ะ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 17:45:56 จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 17:45:21

ความคิดเห็นที่ 50 Pttep Here I am ดอยรัก 144 บาท จากคุณ : khaofaang_pp เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 18:00:11

ความคิดเห็นที่ 51 ความคิดเห็นของคุณ sb*star ในความเห็นที่ 49 ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด แต่จะต้องเขยิบออกมาอีกนิดนึงครับ เขยิบออกมาให้มองเห็นเป็นเรื่องการวางแผนการใช้พลังงานของประเทศจะทำให้เรามองภาพได้คมชัดกว่า ว่าเราจะจัดการกับการใช้พลังงานและการจัดหาพลังงานกันอย่างไร เรื่องการวางแผนการใช้พลังงานจะเป็นเรื่องสำคัญ เพราะพลังงานเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถ้าเกิดการขาดแคลนจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสังคม และลามไปการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับประเทศไทยตอนนี้ นโยบายจะออกไปทางเร่งสำรวจหาปิโตรเลียมขึ้นมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งหลายๆ ประเทศก็คิดแบบนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะประเทศที่ต้องพึ่งพาการใช้พลังงานมากๆ (ต้องนำเข้ามาก) การค้นพบปิโตรเลียมในเมืองไทย จะทำให้ระบบเศรษฐกิจผ่อนคลายแรงกดดันมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้พลังงานราคาถูกกว่าตลาดโลกก็ตาม  แต่การมีทรัพยากรก็เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเช่นที่เคยค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและทำการผลิตเพื่อใช้ในประเทศเมื่อ 30 ปีก่อน จนทำให้เกิดอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือปิโตรเคมี และทำให้ประเทศมีรายได้นำมาพัฒนาประเทศให้เจริญมากขึ้น (ไม่ต้องใช้เงินไปซื้อพลังงานเข้าประเทศ) ปัญหาที่ควรจะคิดก่อนว่าจะเก็บไว้ใช้ภายหน้าหรือไม่นั้น คำถามนี้สามารถเก็บไว้ตอบทีหลังได้ แต่ต้องตอบคำถามแรกก่อนว่า ประเทศเรามีปิโตรเลียมอยู่ตรงไหนกันบ้าง เพราะสถานการณ์ปัจจุบันพื้นที่ที่มีศักยภาพทางปิโตรเลียมเหลือน้อยเต็มที ลำพังปริมาณสำรองที่มีอยู่ก็ใช้ได้ไม่น่าจะเกิน 30 ปี ซึ่งที่จริงตอนนี้ส่วนใหญ่ต้องนำเข้ามากอยู่แล้ว ถ้าปิโตรเลียมหมดไปก็คงต้องนำเข้ามาเกือบ 100% ผมคิดว่าแนวทางในการส่งเสริมการสำรวจเป็นสิ่งที่ควรจะทำต่อไป และอาจจะต้องส่งเสริมให้มีการสำรวจกันมากขึ้นด้วยเพื่อเป็นแรงจูงใจให้บริษัทต่างๆ เข้ามาเสียงครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 18:13:59

ความคิดเห็นที่ 52 โหวตฝ่า จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด (C.BUN) เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 19:16:32

ความคิดเห็นที่ 53 ขึ้นแนะนำเลยหรือเนี่ย ตกใจ จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 19:19:28

ความคิดเห็นที่ 54 ผมขอเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งน้ำมันในประเทศไทยในภาพรวมให้ทราบ โดยข้อมูลมาจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ไว้ประกอบการ Discuss ดังนี้ครับ ข้อมูลจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่าปัจจุบันไทยผลิตน้ำมันดิบรวมคอนเดนเซท (น้ำมันเบารวมก๊าซธรรมชาติเหลว) นำมากลั่นเป็นน้ำมันและใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ประมาณ 2.2 แสนบาร์เรล/วัน แยกเป็นน้ำมันดิบ 1.4 แสนบาร์เรล คอนเดนเซท 8 หมื่นบาร์เรล ขณะนี้บบรูไนผลิตน้ำมันดิบ 2 แสนบาร์เรล/วัน อยู่อันดับที่ 4 ของอาเซียน รองจาก อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย ไทยมีแหล่งผลิตน้ำมันดิบรวม 22 แหล่ง แบ่งเป็นแหล่งผลิตในทะเล 11 แหล่ง เช่น เบญจมาศ นางนวล ปลาหมึก สุราษฎร์ อาทิตย์ ฯลฯ แหล่งผลิตบนบก 11 แหล่ง เช่น เบญจมาศ นาสนุ่น วิเชียรบุรี แหล่งผลิตใหญ่อยู่ในอ่าวไทย ที่เป็นผลพลอยได้จากการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติ ข้อมูลในปีนี้ ไทยมีสำรองน้ำมันดิบที่พิสูจน์ทราบ 450 ล้านบาร์เรล ปริมาณค่อนข้างแน่นอน 600 ล้านบาร์เรล มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะพบ 200 ล้านบาร์เรล รวมแล้ว 1,250 ล้านบาร์เรล สามารถขุดมาใช้ 10 – 20 ปี แต่ปริมาณน้ำมันสำรองจะเปลี่ยนแปลงทุกปี ตามการสำรวจพบและเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นในการสำรวจและขุดเจาะ แหล่งน้ำมันล่าสุดที่พบน้ำมันในปริมาณที่เพิ่มขึ้น คือแหล่งน้ำมันนาสนุ่น ใน อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ของบริษัท แพน โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นของนักลงทุนแคนาดา ที่เข้ามาสำรวจและขุดเจาะมาตั้งแต่ปี 2546 ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2537 เคยมีผู้มาสำรวจแต่พบน้ำมันในปริมาณน้อย ไม่คุ้มทุนหากจะผลิตในเชิงพาณิชย์ จึงคืนแปลงสำรวจให้ภาครัฐ เมื่อปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา บริษัท แพน โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตน้ำมันดิบแหล่งนาสนุ่นถึง 10,000 บาร์เรล/วัน จากก่อนหน้านี้ผลิตเพียง 800 บาร์เรล/วัน มีศักยภาพที่จะเพิ่มเป็น 20,000 บาร์เรล/วัน ถือเป็นครั้งแรกที่ไทยพบน้ำมันจากหินภูเขาไฟ จากปกติที่ขุดพบในหินตะกอนและทะเลเท่านั้น หลุมขุดเจาะแหล่งนาสนุ่นลึกไม่ถึง 1 กม. เมื่อเทียบกับแหล่งอื่นที่ต้องขุดลึก 2 – 5 กม. ดังนั้นจึงเป็นความหวังหากขุดลึกไปมากกว่านี้หรือสำรวจในบริเวณใกล้เคียงจะพบปริมาณน้ำมันที่มากขึ้น แหล่งน้ำมันนาสนุ่น ถือเป็นแหล่งน้ำมันดิบบนดินที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากแหล่งสิริกิตติ์ ใน อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร ที่ผลิตมาตั้งแต่ปี 2526 ขณะนี้มีปริมาณผลิต 20,000 บาร์เรล/วัน ขณะนี้กระทรวงพลังงานมีแผนที่จะเจรจากับทหาร เพื่อขอให้เปิดสัมปทานปิโตรเลียมในพื้นที่ที่ครอบครอง โดยเฉพาะในแถบ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีปริมาณผลิต 1,000 บาร์เรล/วัน นำมันดิบที่ขุดพบบางส่วนจะถูกนำมาใช้ในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า แต่บางส่วนมีคุณภาพดี หรือมีคุณสมบัติที่ไม่เหมาะจะนำมากลั่นในโรงกลั่นของไทย จะถูกส่งออกไปยังสหรัฐและจีน ในยุคที่ราคาน้ำมันแพงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การขุดน้ำมันเชื้อเพลิงในไทยจึงเป็นที่นิยมมากขึ้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเปิดสัมปทานปิโตรเลียมในครั้งที่ 19 และ ครั้งที่ 20 ห่างกันแค่ 1 ปี สัมปทานครั้งที่ 20 ออกประกาศไปเมื่อ 23 พ.ค. 50 มีอายุสัมปทาน 1 ปี ล่าสุดมีผู้ขอสัมปทาน 35 ราย 59 คำขอ 39 แปลงสำรวจ การขุดพบน้ำมันในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย เป็นผลดีกับไทย ที่นำเข้าน้ำมันปีละ 7.5 แสนล้านบาท เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมามีปริมาณนำเข้าน้ำมันดิบประมาณ 9 แสนบาร์เรล/วัน ปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดพบในไทย 2.2 แสนบาร์เรล/วัน หากคิดมูลค่าน้ำมันที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คิดเป็นเงินถึง 22 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 700 ล้านบาท หนึ่งปีมีมูลค่า 2.5 แสนล้านบาท จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 19:47:13

ความคิดเห็นที่ 55 สงสัยได้แนะนำเพราะเฮีย C.BUN แน่เลย อิอิ และขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการโหวตนะครับ ไม่คาดคิดเหมือนกัน เพราะเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างเฉพาะทางมากๆ แต่ผมก็หวังว่าเสียงเล็กๆอย่างผมน่าสะกิดให้ท่านผู้บริหารผู้มีความสามารถสูงทุกท่านได้เงี่ยหูฟังบ้างสัก 10 วินาทีก็ยังดี อย่างคุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ นี่ผมชื่นชอบบุคลิกและความสามารถของท่านมากๆ มีโอกาสไปสัมผัสตัวเป็นๆ ของท่านตอนประชุมผู้ถือหุ้นไทยออยล์ ปตท. แล้วรู้ได้เลยว่าคนอย่างนี้ฝากความหวังไว้ได้แน่นอน และขอเป็นกำลังใจให้ท่านได้ทำงานต่อไปครับ   แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 19:54:48 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 19:48:33

ความคิดเห็นที่ 56 อีกท่านคือคุณ อนนต์ CEO คนใหม่ ผมขอเป็นกำลังใจให้ท่านเพราะท่านพึ่งเข้ามา และเชื่อแน่ว่าช่วงนี้ท่านต้องเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดกรณีที่ออสเตรเลีย สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้ท่านฝ่าฟันปัญหาอันใหญ่หลวงนี้สำเร็จด้วยดีครับ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 20:00:00 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 19:58:55

ความคิดเห็นที่ 57 คนรู้และมีข้อมูลมาคุยกันแบบเปิดอก ดีครับ  สัมนาแนวสาธารณะแบบนี้    เคยอ่านพบ เมกา ไม่ยอมใช้ทรัพยากรของตัวเอง เช่นกัน  แต่ยอมไปซื้อจากเพื่อนไกลๆๆก่อน    อ่านเเล้ว อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าเป็นร้อยปีแล้วที่ ไทยมีความรู้ด้านการขุดเจาะสำรวจ   คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก (เรื่องหุ้นก็น่าจะเช่นกัน ) จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 20:02:25

ความคิดเห็นที่ 58 เรื่องเทคโนโลยีการขุดเจาะนี่หลายๆอย่างก็เรื่องต้นในประเทศไทยนะครับ เช่นการทำหลุมเอียง เหตุเนื่องจากว่าโครงสร้างของอ่าวไทย มีลักษณะเป็น กะเปาะเล็กๆครั้นจะจะทำหนึ่งแท่นต่อหนึ่งหลุมก็ไม่คุ้มทุน เลยหาทาง และก็ได้วิธีเจาะเอียงขึ้นมา คืออาจจะ4-5หลุมต่อหนึ่งแท่น แต่เจาะเอียงมันก็มีข้อจำกัดของมัน  คือค่อยเอียงประมาณ 4-5 องศาต่อ 100ฟุต แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าพัฒนา ได้ดีขึ้นกว่านี้หรือยัง แล้วการควบคุมมันก็ลำบากอยู่ ลองคิดดู ถ้าใช้หลอมดูดน้ำหนึ่งอันมาหมุนๆดูว่ามันเป็นไง ที่นี้ก็ลองต่อกันสัก 5 อันดู แล้วลองดูว่ามันเหวี่ยงขนาดไหน   และในความเป็นจริงยังต้องเจอความดัน และความร้อนที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีก ธุรกิจนี้มีแต่ความเสี่ยงสูงทั้งนั้น แต่ผลตอบแทนมันก็สุดจะคาดเดา จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 20:29:07

ความคิดเห็นที่ 59 ข้อมูลที่คุณคนรักน้ำมันไปนำมาจากกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ก็เป็นข้อมูลที่เป็นทางการเสนอภาพของสถานการณ์ปิโตรเลียมในเมืองไทยได้ชัดเจน ภาพรวมกว้างๆ ทีผมช่วยสรุปได้เพิ่มเติมเป็นดังนี้ครับ ภาคเหนือ ภาคกลาง แหล่งที่พบจะเป็นแหล่งน้ำมัน ที่สำคัญคือ แหล่งสิริกิติ์ นาสนุ่น และฝาง ตามที่คุณคนรักน้ำมันรายงาน ที่จริงภาคกลางยังมีแหล่งอู่ทอง ในอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี และแหล่งกำแพงแสน จ.นครปฐม ที่จริงแล้วยังมีแหล่งอื่นๆ กระจายอยู่ใกล้ๆ กับแหล่งที่กล่าวอีกหลายแหล่งครับ ภาคอีสานพบแหล่งก๊าซ แต่ที่ผลิตอยู่แล้วคือ แหล่งน้ำพอง ที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และแหล่งสินภูฮ่อม ที่อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี ทั้งสองแหล่งไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ แต่เป็นแหล่งสำคัญที่ส่งก๊าซธรรมชาติให้กับโรงไฟฟ้าน้ำพอง นอกจากนี้ยังมีการพบแหล่งก๊าซอีกหลายแห่ง แต่มีขนาดเล็ก ไม่สามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ ซึ่งก็ยังมีบริษัทหลายบริษัท ค้นหาต่อไป อ่าวไทยเป็นพื้นที่ที่พบปิโตรเลียมมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นก๊าซธรรมชาติ เช่นแหล่งต่างๆ ในโครงการยูโนแคล 1,2,3,4 แหล่งบงกช, แหล่งอาทิตย์, แหล่งเจดีเอ แต่ก็มีแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่เช่นกัน คือ โครงการ B8/32 และแหล่งน้ำมันขนาดเล็กเช่น แหล่งนางนวล สงขลา บัวหลวง ด้านอันดามัน มีการสำรวจเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่พบปริมาณปิโตรเลียมที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ ซึ่งบางทีอาจจะหมายถึงว่า สภาพยังไม่อาจจะเอื้ออำนวยให้มีการเกิดหรือการสะสมตัวของปิโตรเลียมได้ ประกอบกับระดับน้ำลึกมาก การเจาะสำรวจค่อนข้างแพง แรงจูงใจในการสำรวจเมื่อเทียบกับผลการเจาะที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ในอดีต ทำให้การสำรวจด้านนี้ไม่ค่อยคึกคักมากกว่าบริเวณอื่นๆ ตอนนี้แปลงสำรวจในเมืองไทย ผมเข้าใจว่าถูกจับจองไปเกือบจะหมดแล้ว อย่างที่คุณคนรักน้ำมันบอก มีการขอสัมปทานกันมากในช่วงที่ราคาน้ำมันสูง เพราะผลการตัดสินใจที่สำคัญคือผลตอบแทน ถ้าราคาน้ำมันสูง ก็เป็นแรงจูงใจให้คนมาเสี่ยงสำรวจกันมากขึ้นครับ แต่อย่างที่บอกนะครับ ปิโตรเลียมถ้ามันมี มันก็มีของมันมานานแล้ว แต่ถ้ามันไม่มี ให้สำรวจกันอย่างไร มันก็ไม่มี ปัญหาคือ ถ้ามันมี เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันมี และถ้ามันไม่มี เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันไม่มี แต่การล่วงรู้ของเราต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่า เสียเวลาและค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุดครับ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 20:34:59

ความคิดเห็นที่ 60 เสริมให้คุณ Bach_Ho  ครับ รูปนี้ผมได้ตอนไปเยี่ยมชมที่แหล่ง S1 ในปี 2005 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บรรยายคล้ายกับที่คุณ Bach_Ho บอกเลย หรือว่าเจอผู้เชี่ยวชาญตัวจริงซะแล้ว อิอิ ปล. ในบล็อกผมจะมีรายละเอียดตอนไปเยี่ยมชมซึ่งผมเป็นรุ่นแรกที่ได้ไป ตอนนั้นสนุกมากครับ อาหารดีและการต้อนรับดีมากๆ เป็นทริปที่มีแต่รอยยิ้มและความสุข ยังนึกขอบคุณผู้บริหารทุกท่านในครั้งนั้นที่ให้โอกาสนักลงทุนได้เข้าไปทุกปี ขอชื่นชมจากใจครับ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=oillover&month=02-05-2009&group=1&gblog=9 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 20:46:17

ความคิดเห็นที่ 61 เสริมภาพประกอบให้คุณ Geo.Explorer ครับ จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 20:52:58

ความคิดเห็นที่ 62 พอขึ้นกระทู้แนะนำ ผมก็เลยอยากช่วยดันกระทู้ของ คุณคนรักน้ำมัน ด้วยคน แสดงความเห็นต่อคำถามมาหลายกระทู้แล้ว ขอแสดงความเห็นต่อชื่อกระทู้หน่อยครับที่ถามว่า PTTEP ----->Are You ok???? จะว่าไปแล้ว ตอนนี้ก็ต้องบอกว่า PTTEP อยู่ในช่วงเบญจเพส ก่อตั้งมาตั้งแต่ 2528 ปีหน้ากลางปีคงได้ฉลองครบรอบ 25 ปี ถ้าเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ คงต้องทำอะไรแก้เคล็ดบ้างครับ ไม่งั้นอาจเจออะไรที่ไม่ค่อยดี ถ้าเป็นคนอาจทำให้ล้มป่วย บาดเจ็บ ได้ แต่เมื่อหายป่วย หายบาดเจ็บ ก็ดำรงชีวิตในสังคมต่อไป อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพื้นฐานชีวิตของแต่ละคนที่จะทำมาหากิน และวางแผนในการดำรงชีวิตในอนาคต ผมว่า PTTEP ก็คงเทียบเคียงได้เช่นกัน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบ 25 ปี เผอิญปีนี้อาจจะเจอเรื่องร้ายๆ โดยเฉพาะเรื่องการรั่วไหลน้ำมันและก๊าซธรรมชาติและลงท้ายด้วยการเกิดเหตุไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ (ตามรายงานของบริษัท และคำให้สัมภาษณ์ของ CEO กับคุณสรยุทธ์เมื่อเย็นวันที่ 2 พ.ย.) คราวนี้ต้องถือว่าเป็นบทเรียนการทำธุรกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งของ PTTEP ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็คงดำเนินไปตามเหตุการณ์ การแก้ปัญหาเท่าที่ได้อ่านจากสำนักข่าว ABC ก็ถือได้ว่า PTTEP ได้ดำเนินการอย่างมืออาชีพ แต่เผอิญโชคไม่เข้าข้าง ความเสียหายเลยปรากฏอย่างที่เห็น การสำรองบันทึกค่าใช้จ่ายพ้าพันกว่าล้านในไตรมาสสามที่ผ่านมา ก็เป็นความเสียหายที่รับรู้ไปแล้วระดับหนึ่ง ลำดับถัดไปก็ต้องมาดูว่าจะมีอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และที่สำคัญที่ทุกคนกังวลคือ ค่าฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมหรือค่าชดเชยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ PTTEP จะต้องรับผิดชอบจำนวนเท่าไร อาจจะได้ภาพที่ชัดเจนมากขึ้นตามรายข่าวที่จะมีในอนาคต ผมคิดว่าคงกระทบนะครับ แต่ไม่รู้เท่าไหร่ เท่านั้นเอง ถ้าผมจะคำนวณง่ายๆ แบบนี้จะพอรับได้ไหม (ไม่อยากเอาผลกระทบทางภาษีและการเคลมประกันมาคิด) ถ้าค่าใช้จ่าย 100 ล้านเหรียญ หรือ 3400 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นหายไปประมาณ 1 บาท ถ้าค่าใช้จ่าย 200 ล้านเหรียญ ก็ประมาณ 2 บาทต่อหุ้น ถ้าเป็น 500 ล้านเหรียญ ก็ 5 บาทต่อหุ้น แต่ค่าใช้จ่ายไม่น่าจะลงทั้งหมดในปีนี้ ถ้าผมยกเมฆมาเป็น 400 ล้านเหรียญ อาจจะลงเป็นของปีนี้สัก 200 ปีหน้าอีก 200 ล้านเหรียญ กำไรจะหายไปปีละ 2 บาทต่อหุ้น ถ้า P/E 15 เท่า ก็ดูเหมือนว่ามูลค่าหุ้นน่าจะหายไป 30 บาทต่อหุ้นเป็นอย่างมาก ถ้าเอาผลกระทบทางภาษีมาคิดด้วยอย่างที่ PTTEP รายงานว่า บันทึกค่าใช้จ่าย 5179 ล้าน กระทบเพียง 2190 ล้าน กำไรจะลดลงไปเพียง 42% ดังนั้นที่บอกว่า 2 บาทต่อหุ้นก็น่าจะเหลือสัก 0.84 บาทต่อหุ้น หรือมูลค่าหุ้นน่าจะหายไป 13 บาทต่อหุ้น ผมเดาเอาง่ายๆ แบบนี้นะครับ ใครมีความเห็นกันอย่างไรลองเสนอมาดูนะครับ แต่ตัวแปรสำคัญคือ ความเสียหายว่าจะต้องจ่ายกันเท่าไหร่ ตอนนี้ก็เดาๆ กันไปก่อนนะครับ แต่ที่สำคัญคงต้องดูผลประกอบการในด้านอื่นๆ ประกอบด้วยครับว่าเป็นอย่างไร เพราะน่าจะเป็นตัวผลักดันราคา PTTEP ในระยะยาวครับ แล้วค่อยว่ากันต่อครับ... จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 21:01:38

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนอันนี้เป็นปริมาณการผลิตล่าสุด เมื่อกันยาที่ผ่านมานี้เองครับ จากรูปแสดงให้เห็นว่าแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นแหล่งเบญจมาศ ของเชพรอน เทคซาโก ส่วนที่ท่าน GEO กล่าวว่าเป็นช่วงเบญจเพศ นี่ผมเองก็นึกไม่ถึงเลยจริงๆ แปลกดีเหมือนกัน อย่างนี้ปีหน้าพ้นเบญจเพศ ต้องไปรุ่งแน่ๆๆๆ อิอิ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 21:15:45 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 21:07:49

ความคิดเห็นที่ 64 ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกครับ อายุผมก็เท่ากับ สผ นั่นแหละครับ เกิดปีเดียวกัน และผมก็บอกไปตามที่เรียนมา บวกกับฟังพวกรุ่นพี่ที่ทำงานกันแล้วเล่าให้ฟัง บวกกับสองสามปีหลังมานี้ ค่อนข้างจะเข้าไปติดต่องานที่กรมเชื้อกับ ปตท บ่อย เลยได้อ่านได้เข้าประชุมได้ฟัง พวกเทคนิคเชี่ยนด้านนี้โดยเฉพาะพูดกัน (ไม่ใช่ฟังนักบริหารพูดกัน) ความจริงการทำงานบนแท่นนี่เป็นความฝันเลยนะ จึงทำให้เลือกเรียนด้านนี้ แต่พอเรียนแล้วไม่ใช่อะ ชอบสายสำรวจมากกว่าสายโปรดักชั่น อาจเป็นเพราะชอบลุยสำรวจดูโลกกว้างสิ่งที่ไม่เคยเห็นมากกว่า ทำงานบนแท่นที่ไปไหนไม่ได้เลย ดูชื่อล็อคอินผมดิ ผมก็เอามาจากชื่อที่เวียดนาม หลุมนี้ตามที่อ่านรายงานเห็นว่าลำบากพอสมควรเกือบโดน ปิดไปละ แต่สุดท้ายก็ฝ่าฟันได้(เห็นไหมคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก) กลับมาเรื่องพื้นที่ภาคอีสาน แหล่งภูฮ่อม ของ amerada hess แหล่งนี้เท่าที่ฟัง หลายๆหลุมค่อนข้างมีปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างกักเก็บ เนื่องจากชั้นชั้นปิดกั้นด้านบนค่อนข้างบาง ทำให้พอเจาะแล้วทำให้ปากหลุมพัง เลยทำให้มีหลุมที่ผลิตได้ยังไม่มากนัก แต่ความจริงก็น่าจะมีปิโตรเลียมอยู่ด้านล่างพอสมควรนะ และพื้นที่ในอีสานหลายๆที่โดนจับจองจากการเปิดสัมปทานสองครั้งก่อนเยอะอยู่นะ  แสดงว่าอาจพอมีลุ้น พื้นที่ในความสนใจส่วนตัวของผม ก็คือ ฝั่งอันดามันเจ้าของพื้นที่เดิม คือ ยูโนแคล แต่หาไม่เจอ และตอนนี้เป็น สผ ที่เข้ามารับช่วงต่อ พื้นที่นี้ตามความคิดผม น่าสนใจ เพราะด้านบน คือ พม่า เจอแหล่งก๊าซ ด้านล่าง อินโด ก็เจอ แล้วตรงกลางอย่างไทยเกิดอะไรขึ้น ??? น้ำมันยังไม่สุก จริงหรือ คนเก่งๆที่รู้จัก วิจัยพื้นที่ส่วนนี้กำลังจะได้เข้าทำงานให้ สผ แต่โดนการเมืองภายในเล่นงาน อดเข้าซะงั้น  เลยโดนบริษัทต่างชาติดึงตัวไปเลย บริษัทไทย ไม่เอาคนไทยซะงั้น ??? งืมๆ ไปดูกองทุนต่อก่อนนะ แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 21:44:17 แก้ไขเมื่อ 03 พ.ย. 52 21:43:14 จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 21:41:13

ความคิดเห็นที่ 65 ขอคารวะ ท่านผู้รู้ ทั้งคุณ คนรักน้ำมัน และ คุณ Geo.(รวมทั้งท่านอื่นๆที่มาแจม) ที่ได้ให้ข้อมูลและความรู้เรื่อง การขุดเจาะน้ำมัน    pttep เป็นหุ้นที่ pat ชอบมาก มีติดพอร์ทตลอด แต่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย    กระทู้นี้ช่วยเปิดหูเปิดตา มากเลยค่ะ จากคุณ : Patella เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 22:54:13

ความคิดเห็นที่ 66 สงสัย PTTEP ต้องสะเดาะเคราะห็ ต่อชะตา ซะหน่อย เบญจเพศ มันแรงจริงๆ นะ ผมเองก็ถือพี่เทพอยู่บ้าง เคยขายหมู, cut loss, กำไรเยอะแยะ ในรอบที่แตกต่างกัน สำหรับผม ผมสนับสนุนให้ พี่เทพ เติบโต ค้นหา ในโลกที่กว้างใหญ่อย่างที่เป็นอยู่ แต่ก็อยากให้พี่เทพค้นหาในละแวกนี้เพื่อเป็นพลังงานสำรองให้กับประเทศไทย แต่ในฐานะคนไทย แล้วซื้อน้ำมันหรือก๊าซจากพี่เทพที่ขุดได้โดยสัมปทานของไทย อยากให้พี่เทพ ขายให้กับคนใช้ในไทยในราคา (0 + operating expense) บาท ไม่รู้จะขอมากไปหรือไม่ จากคุณ : นักรบโอ่งมังกร เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 01:17:21

ความคิดเห็นที่ 67 เช้ากลับมาอ่านต่อ รอให้มีคนมาร่วมแจม  สุดยอดวิชาการและการนำเสนอตามอัตตภาพ แบบไม่เตรียมตัว ใครมีภาพเสริมภาพ คนอ่านได้จริงๆๆ ได้เกล็ดเล้กน้อยคันๆๆ  ความลำบากที่ต้องไปลุยภาคสนาม หรือคนดี เขาไม่รับ (สายปิโตรเคมี น่าจะยอดนิยมที่สุด ตั้งแต่ ปตท ดังมามากมาก ) อย่างผมก็คนข้้างโรงแยกแก๊ส เคยมีข่าวแก๊สรั่ว  มีข้อมูลว่าระเบิดที รัศมี 10กว่ากิโลราบเป็นหน้ากอง  อิอินอนใก้ลระเบิด แต่เพื่อ ประโยชน์ โดยรวม บางอย่างก็ ต้องยอมกันบ้าง เพราะ กฏหมายก็ดีขึ้นเรื่อยๆๆ  กรมพลังงาน ออกกฏหมายให้เรียกเก็บ  เอาจากหน่วยผลิต โรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะจากแก๊ส (อยู่ติดกัน โรงผลิตไฟฟ้ากับโรงแยกแก๊ส  เขาเลยเปลี่ยนจากน้ำมันเตา มาใช้แก๊ส )เลยเกิดกองทุนเพื่อพัฒนา ชุมชน  ในระยะ5กิโลเมตรจากโรงผลิตไฟฟ้า (ผลงาน เอนจีโอ ) ก็ได้เงินเติมกองทุนทุกปี ประมาณ ปีละ60ล้าน (เมื่อก่อนจะทำอะไรเพื่อสาธารณะต้องคิดจัดงานหาเงิน เลยเดี๋ยวนี้แค่ระดมสมองคิดใช้เงินให้ก่อนประโยชน์ " เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน ) ทั้งประเทศโดนกฏหมายนี้ 102โรงไฟฟ้า อัตราต่างกันใช้น้ำผลิต น้ำมันเตา แก๊ส จ่ายไม่เท่ากันเพราะเกิดมลภาวะไม่เท่ากัน      จะบอกนิดเดียวเพื่อใครจะค้านท่อแก๊สขึ้นแถวบ้าน  เขียนเสียยาว            ก็เริ่มจะเข้าประเด็นที่คนอ่านที่นี่อยากรู้  แล้วละทีี่ ท่านผู้ทรงคุณวุฒิคุยกัน           สิ่งที่น่าเป็นประโยชน์สำหรับ ใให้ครบตามสูตร ห้องสินธร คือการเล่นหุ้น เมื่อมีประกาศผลไตรมาสสามออกมา  อยากอ่านความเห็นนัก การบัญชี นักการเงิน หรือนักเศรษฐศาสตร์  ออกมา สรุปงบการเงินไตรมาสสามหน่อย           ว่าผลประกอบการมันเข้า่ท่าไหม ดีขึ้นลดลง และราคาควรจะอยู่ตรงไหน   คห 62  ก็บอก ไปบ้างแล้ว ว่าความเสียหายโดนประมาณ น่าจะทำให้หุ้นมูลค่าหายไป 13บาทต่อหุ้น จากราคาตรงไหน  แล้วตรงนี้ตกลงไปมากเกินไปหรือยัง หรือต้องรอถึงราคาเท่าไรดี       ขอคาราวะ ทุกท่านที่  ให้ ข้อมูลและความเห็น จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 04:59:33

ความคิดเห็นที่ 68 ตื่นเช้าเห็น คุณนักรบโอ่งมังกร อยากให้คนไทยใช้ปิโตรเลียมในราคา 0+Operating expenses ว่า PTTEP จะทำให้คนไทยได้หรือเปล่า งั้นเรามารู้จักโครงสร้างต้นทุนการผลิตปิโตรเลียมแบบคร่าวๆ ดีกว่าครับว่าเป็นอย่างไร วงจรของธุรกิจปิโตรเลียม โดยปรกติจะต้องเริ่มด้วยการสำรวจก่อน เพราะการได้ปิโตรเลียมด้วยการเข้าไปสำรวจหาเอง ถือว่ามีต้นทุนที่ต่ำที่สุด เนื่องจากเงื่อนไขในการได้มาของแปลงสำรวจนั้น จะเป็นเพียง เนื้องานสำรวจที่จะต้องทำเพื่อพิสูจน์ทราบการมีอยู่ของปิโตรเลียม (Work Commitment) และวงเงินที่จะลงทุน (Financial Commitment) ทั้งสองส่วนนี้บริษัทจะต้องสัญญากับประเทศเจ้าของแปลงสำรวจว่าจะทำอะไรบ้าง บริษัทที่ชนะการประมูลสำรวจมักจะเสนอปริมาณงานและวงเงินที่สูงกว่า แต่บริษัททุกแห่งต้องมีวิธีคิดว่าควรจะเสนอกันอย่างไร เพราะอย่าลืมวา แปลงสำรวจที่ได้มาเป็นแปลงเปล่าๆ ที่ยังไม่พบปิโตรเลียมเลย หรือมีปริมาณที่ไม่สามารถผลิตขึ้นมาขายได้ ขั้นตอนการสำรวจจึงมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง เพราะลงทุนไปด้วยความหวัง ซึ่งหลายครั้งก็ผิดหวัง และไปโผล่ที่งบกำไรขาดทุน อันที่จริงช่วงนี้จะใช้เวลาและเสียเงินศึกษามากกว่าการทำอย่างอื่น ค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดมักจะเป็น ค่าหลุมเจาะ แต่บางพื้นที่หลุมเจาะถูก ค่าใช้จ่ายในการทำคลื่นไหวสะเทือน (Seismic) แบบนี้จะพบบนบกที่เจาะง่ายๆ สมมติว่ามีการเจาะหลุมแล้วพบปิโตรเลียม แต่ก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จนัก เพราะการพบก็พิสูจน์ได้ว่า ตรงนั้นมีปิโตรเลียมเกิดขึ้นและสะสมตัวอยู่ แต่จะผลิตได้อย่างคุ้มค่ากับต้นทุนที่จะต้องลงทุนต่อหรือไม่ ก็ต้องมาทำในขันถัดไป คือการไปประเมินต่อว่ามีปริมาณปิโตรเลียมมากพอที่จะพัฒนาได้หรือไม่ ขั้นตอนนี้เรียกกันว่า Appraisal Phase อ้อผมลืมบอกไป ขั้นตอนการสำรวจก็เรียกว่า Exploration Phase ขั้นสำรวจ สำรวจเพื่อบอกว่ามีปิโตรเลียมหรือไม่ ส่วนขั้นประเมิน เรารู้ว่ามีแล้วแต่มีเท่าไหร่มากพอที่จะคุ้มต่อการลงทุนพัฒนาหรือเปล่า สมมติต่อว่ามีปริมาณปิโตรเลียมที่สามารถลงทุนพัฒนาเพื่อขายได้ คราวนี้ก็ง่ายแล้วครับ ไม่ได้ง่ายในเชิงพัฒนาครับ เพราะขั้นนี้เกี่ยวข้องกับงานด้านวิศวกรรมตั้งแต่วิศวกรรมที่อยู่ในชั้นหิน ในหลุม และบนพื้นดิน ด้วยวัตถุประสงค์ง่ายว่า ทำอย่างไรให้เอาปิโตรเลียมไปส่งมือผู้ซื้อได้ในต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่บอกอย่างนี้เพราะปิโตรเลียมจะต้องใช้เวลาการผลิตยาวนาน การเลือกแนวคิดการพัฒนาจึงสำคัญ และที่สำคัญยิ่งกว่า คือต้องปลอดภัยต่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่ซีเรียสจริงๆ ในธุรกิจ และผมก็คิดว่า ปตท.สผ. ก็ถือเรื่องนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการทำงานโดยไม่ลังเลที่จะลงทุนเพื่อให้เกิดความปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม ที่เขียนอย่างนี้ไม่ได้ปกป้องอะไรเขา แต่เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ถ้าปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าความเสียหายจะมากมายเท่าไหร่ อย่างที่เห็นกันจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน เมื่อพัฒนาแล้วก็ถึงเวลามีความสุขกับการผลิตแล้วครับ เพราะขั้นตอนนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเท่าไหร่ มีแต่เพียงค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน บางคนไปดูงบการเงินแล้วบอกว่า โอ้ ปตท.สผ. มีต้นทุนเพียง 3-5 เหรียญต่อบาร์เรล ตอนนี้ราคาน้ำมันสูงขนาดนี้ กำไรเละเทะแน่เลย กำไรนั่นนะได้อยู่แล้ว แต่ที่จริงอาจจะไม่ได้มากมายอย่างที่คิด เพราะแปลงสำรวจที่ได้มาแต่ต้นนั้น ไม่ได้เพียงสัญญาว่าจะสำรวจเขาประเทศเจ้าของยังไงเท่านั้น แต่ไปบอกเขาด้วยว่า (หรือเขากำหนดมาแล้วว่า) ถ้ามีการผลิตปิโตรเลียมขึ้นมาขาย จะต้องแบ่งให้เจ้าของประเทศอย่างไร การแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับเจ้าของประเทศเขาเรียกกันว่า Fiscal Regime ในโลกนี้เขาแบ่งกันใหญ่เป็น 2 ระบบ คือ ระบบสัมปทาน (Concessionary System) และ ระบบสัญญา (Contractual System) สัมปทานเราคุ้นกัน เพราะเมืองไทยใช้ระบบนี้ ระบบสัญญาก็จะคุ้นสำหรับคนที่ตามผลงานของ PTTEP  เพราะระบบนี้แบ่งได้อีก 2 ประเภท คือ ระบบสัญญาแบบการแบ่งปันผลผลิต หรือ Production Sharing Contract กับระบบสัญญาว่าจ้างทำงาน หรือ Service Contract แต่ไม่ว่าจะระบบไหน โดยสรุปจะกำหนดให้รัฐได้ผลตอบแทนหรือส่วนแบ่งจากการขายปิโตรเลียม ถ้าประเทศที่ไม่ศักยภาพและอยากจูงใจให้คนมาสำรวจเยอะ รัฐก็จะเอาน้อยหน่อยอาจจะอยู่ระหว่าง 40%-60% แต่ถ้าเป็นประเทศที่ค่อนข้างมีศักยภาพก็ขอเยอะหน่อยอาจจะประมาณ 60%-80% แต่บางประเทศมีศักยภาพสูงจะเอาตั้งแต่ 80% ขึ้นไป ส่วนใหญ่ตัวนี้แหละครับ ที่จะคอยบอกว่าบริษัทที่ลงทุนจะได้กำไรสุทธิเท่าไหร่ เพราะหลักคิดของเจ้าของประเทศรวมถึงประเทศไทย ก็ง่ายๆ ครับ เขาจะเก็บผลประโยชน์จากปิโตรเลียมจากผู้ลงทุนให้มากที่สุดเท่าที่ยังจูงในให้บริษัทเหล่านั้นมาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศเขา  เพราะทุกประเทศถือว่า ปิโตรเลียมคือทรัพยากรของคนทั้งประเทศ ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นของคนทั้งประเทศ บริษัทที่มาลงทุนควรจะได้ผลตอบแทนตามสมควรที่เสี่ยงและลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม ทุกบริษัทก็มีสิทธิที่จะเลือกลงทุน การที่บริษัททุกบริษัทตัวสินใจลงทุนสำรวจ นั่นก็หมายความว่าเขาเห็นศักยภาพและหนทางแห่งการได้ผลตอบแทนการลงทุนครับ ถึงตรงนี้ ราคา 0+Operating Cost ผมว่าไม่น่าจะได้ แต่จะเป็นเท่าไหร่ดีครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 05:37:40

ความคิดเห็นที่ 69 เจอข่าววิเคราะห์ ราคา ปตทสพ หลัง ไฟไห้ม ที่ มอนทารา แล้วที่เวบอีไฟแนนซ์ http://www.efinancethai.net/hotnews/frame_hot.aspx?release=y&name=h_031109h จากคุณ : หมอสัจจะ เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 06:45:51

ความคิดเห็นที่ 70 ตามที่เรียนมา ค่าภาษี ที่บริษัทจะเสียให้ประเทศไทย ตั้งแต่ ในหลุมเจาะจนมาถึงรถ จะเสียภาษีให้รัฐรวม 200% จากต้นทุน เพราะแค่ลงดูดขึ้นมาเก็บในแท้งค์ก็เสียแล้ว เอาจากแท้งค์ใส่เรือก็เสียอีก จากเรือใส่รถไปโรงกลั่นก็เสียอีก  โรงกลั่นเอาไปส่งตามปั้มก็เสียอีก ปั้มใส่รถก็เสียอีก ฉะนั้น 0+Operating Cost  ถ้าจะลดก็ต้องเริ่มจากรัฐลดการจัดเก็บภาษีให้ได้ก่อน แต่ยาก จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 07:00:50

ความคิดเห็นที่ 71 ราคา peak สผ = 5 เท่าของ BV คนซื้ิอนี่คงสติดี >_<" กระทู้เกี่ยวกับ น้ำมันๆ ขุดๆ นี่เคยเห็นในหว้ากอเยอะอยู่ไปค้นๆกันอ่านดูจเข้าใจมากขึ้น จากคุณ : น้องส้มเด็กดี เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 08:26:50

ความคิดเห็นที่ 72 เห็นคุณหมอสัจจะ ส่ง link บทวิเคราะห์หุ้น PTTEP ของแต่ละ broker ผมก็คงต้องถอยฉากจากการวิเคราะห์ดีกว่าครับ อ่านแล้วก็เห็นว่ามีหลักคิดดี และการตีมูลค่าก็เป็นแบบ DCF ที่ประเมินจากพื้นฐานของสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ย่อมดูน่าเชื่อถือกว่าวิธีคิดเทียบเคียงกับ P/E อยู่แล้ว   แต่อ่านๆ ดูเหมือนว่าจะต้องรอสร้าง Platform ตัวใหม่แทนตัวที่ไหม้ไป อาจจะต้องรอประมาณ 18 เดือน บทวิเคราะห์ของ AYS ก็น่าสนใจที่ว่า ถ้าเอาโครงการมอนทาราออกไปเลย มูลค่าหุ้นก็จะหายไป 19% หรือประมาณ 36 บาทต่อหุ้น  อ่านดูแล้วไปชั่งน้ำหนักกันนะครับ ตอนนี้ไฟดับแล้ว ตามรายงานที่ PTTEP แจ้งให้ตลาดทราบ ก็ต้องยินดีด้วย ลำดับถัดไปก็จะค่อยๆ ทราบว่าจะเสียหายมากแค่ไหน และสามารถเคลมประกันได้เท่าไรครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 08:31:07

ความคิดเห็นที่ 73 ตามที่คุณ Bach_Ho (ผมใช้ google แปลได้ความหมายว่า white tiger ในภาษาเวียดนาม) พูดเรื่องภาษีนั้น คงเหมารวมภาษีทุกชนิดที่เก็บบนผลิตภัณฑ์น้ำมัน แต่ในความหมายที่ผมอธิบายในเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์จากการผลิตปิโตรเลียมระหว่างรัฐกับบริษัทที่ลงทุนนั้น จะตีกรอบเพียงแต่รัฐเก็บจากผู้ลงทุนในแปลงสำรวจ (หรือจะเรียกว่าเป็นผู้รับสัมปทานก็ได้) ในประเทศไทยมีระบบการเก็บผลประโยชน์ให้แก่รัฐภายใต้กฎหมาย 2 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม (เรียกเก็บค่าภาคหลวงและผลตอบแทนพิเศษ) และ พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (เรียกเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) ครับ หลังจากที่น้ำมันได้ถูกขายจากผู้ผลิตขั้นต้นแล้ว ก็จะเข้าสู่ระบบการจัดเก็บภาษีของหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ตัวที่เก็บอยู่ทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนมือคือ VAT นั่นเองครับ แต่ถ้าใครอยากเห็นโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งเป็นเรื่องที่ถกกันมาทุกยุคทุกสมัย ลองไปหาข้อมูลได้เลยครับ แต่ถ้าอยากเห็นเป็นตัวเลขรายวันก็ต้องที่นี่ครับ http://www.eppo.go.th/petro/price/ ส่วนที่ผมอธิบายสัดส่วนการเก็บว่าเป็นกี่ % นั้น ผมหมายถึง ประมาณการเป็น % จากรายได้หักค่าใช้จ่ายตลอดระยะเวลาการผลิตของโครงการน่ะครับ ในประเทศไทยน่าจะอยู่ที่ประมาณ 50%-80% ครับ เก็บไม่น้อยเหมือนกันนะครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 08:49:02

ความคิดเห็นที่ 74 มีคำถามอยากถามเซียนน้ำมันหน่อยครับ อย่างบริษัทที่เขาได้สัมปทานมาขุดเจาะน้ำมันเขาต้องเสียค่าอะไรให้กับเราบ้างครับ จากคุณ : Bullish Signal เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:11:11

ความคิดเห็นที่ 75 การประเมินมูลค่าบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมนั้น ต้องยอมรับว่าเป็นไปค่อนข้างยากสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำการประเมินมูลค่าบริษัทประเภทนี้ สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ เนื่องจาก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรายได้ ซึ่งก็คือ น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาตินั้น มันอยู่ใต้ดิน ไม่เคยมีการบันทึกสินทรัพย์ที่จะได้เหล่านี้ลงในงบดุล ไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหนก็ตาม บางทีเขาเรียกพวกนี้ว่ามัน off balance sheet assets ที่สำคัญมูลค่าของกิจการทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวนี้ มันไม่ใช่ อุปกรณ์การผลิต แท่นผลิต ท่อ หรืออะไรทั้งนั้น การตีมูลค่าโดยใช้วิธีการเทียบเคียงสัดส่วนทางบัญชี อาจจะทำให้การตีมูลค่าคลาดเคลื่อน ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เน้นที่จะทำการประเมินมูลค่าบริษัท E&P ด้วยวิธี DCF ในต่างประเทศจึงให้ความสำคัญต่อการประกาศปริมาณสำรองของบริษัท หรือที่เรียกว่า Reserves อย่างมาก เพราะปริมาณสำรองนั้นจะเป็นตัวตั้งต้นของการประเมินมูลค่าโครงการ ประเทศอย่างสหรัฐฯ ก็มีมาตรฐานในการประกาศตัวเลขปริมาณสำรองอย่างเข้มงวด ไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะมีการใช้มาตรฐานตนเองประกาศตัวเลขเกินจริงจนสร้างความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นได้ ในปี 2004 Shell บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดี ก็พลาดในเรื่องนี้ได้ทำการบันทึกปริมาณสำรองที่ไม่ถูกต้องจนต้องจ่ายค่าปรับเป็นเงินสูงถึง 83 ล้านปอนด์มาแล้ว รายละเอียดอยู่ในนี้ครับ http://www.independent.co.uk/news/business/news/shell-pays-acircpound83m-fine-to-settle-scandal-over-oil-reserves-554955.html สำหรับในเมืองไทย เนื่องจากมี PTTEP เป็นบริษัทเดียว กลต. คงไม่ได้มีมาตรฐานอะไรออกมา แต่ผมเข้าใจว่า PTTEP ได้ประกาศตัวเลขปริมาณสำรองตามมาตรฐานที่กำหนดโดย Society of Petroleum Engineers (SPE), World Petroleum Congress (WPC), และ American Association of Petroleum Geologists (AAPG) ซึ่งทั้งสามสถาบันเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับของคนในวงการสำรวจและผลิตทั่วโบก ถ้าใครอยากทราบมาตรฐาน (ซึ่งค่อนข้างลงรายละเอียด) สามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.spe.org/spe-site/spe/spe/industry/reserves/Petroleum_Resources_Management_System_2007.pdf แต่อย่างไรก็ตาม อันนี้เป็นแนวทางในการสร้างความเข้าใจในการตีมูลค่าหุ้นบริษัทสำรวจและผลิต แต่ใครจะคิดแบบไหน อย่างไรก็ตามสะดวกนะครับผม จะเป็น P/E ก็ได้ P/BV ก็ได้ ไม่ว่ากันครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:24:53

ความคิดเห็นที่ 76 ผมไม่ใช่เซียนน้ำมัน แต่ขออนุญาตตอบคุณ Bullish Signal ผมคิดว่าคงอยากจะถามว่าคนที่มาขอสัมปทานแปลงสำรวจในประเทศไทยจะต้องจ่ายอะไรให้รัฐบาลบ้าง โดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีการผลิตปิโตรเลียมขึ้นจากแปลงสัมปทานที่ได้ไป การกำหนดผลตอบแทนที่จ่ายให้กับรัฐบาลไทย ได้ถูกกำหนดไว้แล้วภายใต้ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม และ พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ซึ่งได้แก่ ค่าภาคหลวง ค่าผลตอบแทนพิเศษ และภาษีเงินได้ปิโตรเลียม แต่ในขั้นแรกของการขอแปลงสัมปทานนั้น แปลงที่เปิดให้ผู้ขอสัมปทาน ยังไม่มีการค้นพบปิโตรเลียม หรืออาจจะพบแต่ไม่สามารถผลิตให้คุ้มค่าการลงทุนได้ ผลตอบแทนเบื้องต้นทั้งสามตัวก็ยังไม่ต้องจ่าย เพราะจะจ่ายก็ต่อเมื่อได้มีการพบปิโตรเลียม พัฒนาและเริ่มทำการผลิตแล้วเท่านั้น ในการขอสัมปทานในเมืองไทย สิ่งสำคัญที่เป็นปัจจัยในการประกอบการพิจารณาคือ เนื้องานและวงเงิน ที่บริษัทสัญญาที่จะทำในขั้นตอนการสำรวจ ที่สำคัญเพราะ บางบริษัทอาจจะขอไปแล้วไม่ทำอะไร ทำให้รัฐเสียโอกาสในการพัฒนาทรัพยากรของประเทศได้ ดังนั้น ผู้ที่มีโอกาสได้สัมปทานคือผู้ที่เสนอทำงานสำรวจมากกว่าคนอื่น โดยธรรมชาติแล้ว บริษัทที่มาขอสัมปทานก็ไม่อยากจะสัญญากับรัฐว่าจะลงทุนเท่าไหร่หรอก เพราะบางทีศีกษาไปแล้วอาจจะพบว่ามีศักยภาพน้อยกว่าที่คาดก็ได้ แต่รัฐเองก็อยากได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น จึงมีการกำหนดสิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ นอกจากนั้นแล้ว การได้มาซึ่งสัมปทาน อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น ค่าลงนามสัญญาสัมปทาน (Signature Bonus) ถ้ามีการเจาะพบปิโตรเลียมอาจจะมีค่า Discovery Bonus ถ้ามีการผลิตก็อาจจะต้องจ่าย Production Bonus ซึ่งค่าใช้จ่ายพวกนี้จ่ายครั้งเดียวตามเงื่อนไขที่กำหนด หรืออาจจะต้องจ่ายค่าสนับสนุนการอบรม พัฒนาความรู้ให้กับหน่วยงานรัฐ เป็นรายปี แต่ไม่มาก ค่าใช้จ่ายก็มีประมาณนี้ครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:41:11

ความคิดเห็นที่ 77 O_O" ข้อมูลเพียบเลย... ขอบคุณทุกท่านมากนะคะ จากคุณ : spaceship เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:44:01

ความคิดเห็นที่ 78 คนเก่งๆที่รู้จัก วิจัยพื้นที่ส่วนนี้กำลังจะได้เข้าทำงานให้ สผ แต่โดนการเมืองภายในเล่นงาน อดเข้าซะงั้น  เลยโดนบริษัทต่างชาติดึงตัวไปเลย บริษัทไทย ไม่เอาคนไทยซะงั้น ??? เรื่องจริงที่แก้ไขไม่ได้ .... ================= กระทู้นี้ มีประโยชน์มากครับ ... มีทั้งความรู้ และ การแสดงความเห็นอย่างอารยะชนเขาทำกัน ... ผมอ่านไม่จบหรอกนะครับ แต่เท่าที่เคยไปดูข้อมูลของแหล่งสำรองน้ำมันของโลก .. เชฟรอน เอกซอน ไม่ไช่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ ไปตกพวกกับ พวกอาหรับ ซะแบบทิ้งไม่เห็นฝุ่น ... ยังไงพวกนั้นมีน้ำมันมาขายอยู่แล้ว ของไทยเอง ผมเข้าใจว่าหลักๆ คือการเปิดสัมปทานมาเพื่อป้อนก๊าซ เข้าโรงไฟฟ้า ... น้ำมันที่เราเข้าใจว่าขุดได้ หรือ ขุดในประเทศได้ เป็น ปริมาณน้อยมากและเข้าใจว่าไม่สามารถกลั่นมาเป็นเบนซินหรือดีเซลให้รถใช้ได้เลย (ค่า CO2 สูงไป ประมาณนี้ จำไม่ได้ครับ) การขุดได้หรือไม่ได้ในประเทศจึงไม่มีนัยสำคัญเลย ต้องนำเข้าอย่างเดียว (คนละเรื่องกับ LPG ... ซึ่งทำไมไม่ให้ใช้ในรถก็ไม่รู้ นัยว่าขายตลาดโลกได้แพงกว่า) แต่หลักๆแล้วคือ หากเราใช้น้ำมันได้มีประสิทธิภาพมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีกับเรามากขึ้น ไม่จำเป็นว่าเราต้องมีทรัพยากร หรือ ขุดเองได้หรือไม่ ส่วนเรื่อง PTTEP ในส่วนการบริหาร ... ผมไม่รู้นะ ไม่อยากออกความเห็นมาก การที่บริษัทโดนครอบงำจากอำนาจบางอย่าง บางทีผลมันก็ออกมาไม่ค่อยดีนักนะครับ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 13:07:00 จากคุณ : KENG76 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 11:01:59

ความคิดเห็นที่ 80 wow.... ขอบคุณเซียนทุกท่านที่กรุณาให้ข้อมูลมากมายอ่านไม่หมด และข้อมูลยากๆทั้งนั้น คงต้องอ่านหลายวัน ขอคารวะ อีกครั้ง ...ขอบคุณทุกท่าน จากคุณ : ใบโหระพา เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 11:07:25

ความคิดเห็นที่ 81 น้องผมทำงานที่ Schlumberger บริษัทขุดเจาะน้ำมัน จบวิศวไฟฟ้า-จุฬา ทำงานตามประเทศต่างๆแล้วแต่บริษัทจะส่งไป เริ่มแรกให้ไปเรียนด้านพลังงานที่ ออสเตรเลียก่อน เรียนไปมีเงืนเดือนให้ด้วยครับ แล้วกลับมาทำในเมืองไทย-สิงค์โปร-มาเลเซีย ประมาณ1ปี แล้วไปต่อที่เวียดนาม 2 ปี    อังกฤษ  เมกา  รัสเซีย แล้วตอนนี้อยู่เมืองหลวงมาเลเซีย ทำงานตามสถานที่ต่างๆ บ้านพัก รถยนต์ แม่บ้าน ทุกอย่างฟรีหมด อยู่เมกามีลูก 2 คน ก็ได้สัญชาติเมกาด้วย ตอนอยู่รัสเซีย เนื่องจากรัสเซียเมืองที่ไปทำงาน ไม่มี รร. นานาชาติ จึงต้องส่งลูก 2 คน มาเรียนที่ ISB กรุงเทพ ปัจจุบันอยากกลับมาเมืองไทย แต่บริษัทให้ไป มาเลเซีย เลยเอาลูก 2 คนไปเรียน รร. นานาชาติที่กัวลาลัมเปอร์ บริษัทนี้ดีอย่าง ไปไหนอยู่ไหน ทุกอย่างฟรี ค่าเล่าเรียนของเด็กก็ออกให้ แถมยังให้หุ้นราคาเฉลี่ยแต่ละเดือน ลด 10 %  เป็นจำนวน 10 % ของเงินเดือน ปัจจุบันเงินเดือนอยู่ที่หลายหมื่นยูเอสดอลล่าล์ ที่เล่ามาอยากให้เด็กสมัยนี้เรียนเก่งๆ เรียนด้านวิศวเก่งๆ รับรองรุ่งแน่ จากคุณ : ตอร์เรสสุไหงโกลก เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 13:19:29

ความคิดเห็นที่ 82 เรียนเก่งๆ เป็นคนดี แล้วจบมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเองไม่ดีกว่าหรอครับ อยากอยู่ไหนก็อยู่ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องง้อเงินเดือน ตัวอย่างเช่น เถ้าแก่น้อย... จากคุณ : JunkieXL เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 17:08:06

ความคิดเห็นที่ 83 ไหนๆ ก็หลวมตัวเข้ามาตอบกระทู้ซะยืดยาว ทำเหมือนเป็นเจ้าของกระทู้ซะงั้น เห็นคุณ KENG76 แสดงความเห็นในลำดับที่ 78 ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับ ความจริงแล้วการเปิดสัมปทานของไทยก็คืออยากจะให้มีการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในประเทศให้เยอะครับ ไม่ได้เกี่ยงว่าจะต้องผลิตก๊าซเข้าโรงไฟฟ้า หรือต้องเป็นน้ำมัน เพราะเจออะไรก็ขายได้หมดครับ (ที่จริงได้น้ำมันจะดีกว่าก๊าซ) ผมมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับการผลิตปิโตรเลียมในเมืองไทยอย่างนี้ครับ เมืองไทยมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติพอสมควรแต่เมื่อเทียบกับความต้องการแล้ว ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ สามารถดูข้อมูลการผลิตได้ที่ http://www2.dmf.go.th/download/production_month_thai.asp?m=9&y=2009 จะเห็นว่าการผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสท ที่สามารถกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปได้เพียง 1 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด หรือประมาณ 220,000 bbl/d ที่เหลือเป็นการผลิตก๊าซธรรมชาติ ถ้าไปดูความต้องการการใช้น้ำมันทุกประเภทของประเทศไทย ทุกวันนี้เศรษฐกิจอาจจะไม่ดีนักก็ใช้ประมาณ 640,000 bbl/d (ดูข้อมูลได้ที่ http://www.eppo.go.th/info/stat/T01_02_02.xls )  ที่จริงน้ำมันดิบส่วนหนึ่งประมาณ 50,000 bbl/d ที่ผลิตได้จากแหล่งเบญมาศ ทานตะวัน จะส่งออกเพราะไม่สามารถกลั่นในประเทศได้ ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะคุณภาพน้ำมันไม่เหมาะสมกับโรงกลั่นในเมืองไทย น้ำมันส่วนใหญ่ประมาณ 75% จึงต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ จะบอกว่าระดับการผลิตในประเทศไม่มีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ก็พอบอกได้เหมือนกันครับ ส่วนเรื่องการไม่ส่งเสริมให้ใช้ LPG นั้นเฉพาะภาคการใช้อื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาคครัวเรือนเป็นเพราะราคา LPG ในตลาดโลกแพงมาก เมื่อเทียบกับราคาที่ขายในประเทศไทย ถ้ามีการใช้ในภาคขนส่งหรืออุตสาหกรรม ด้วยนโยบายราคา LPG ราคาเดียว ทำให้กองทุนน้ำมันต้องชดเชยส่วนต่างราคามาก ก็เลยอยากให้กลุ่มอื่นๆ ยกเว้นภาคครัวเรือนไปใช้พลังงานตัวอื่นแทน เช่น NGV หรือที่เขาเรียกว่า CNG ครับ เพราะก๊าซตัวนี้ต้นทุนถูกกว่า LPG แต่จะว่าไปแล้วราคาปัจจุบันที่กิโลละ 8.50 บาท ยังมีการชดเชยอยู่ครับ ที่จริงเรื่องการวางแผนการใช้พลังงาน ต้องศึกษาควบคู่ไปกับ นโยบายการขนส่ง เพราะปัจจุบันดูเหมือนจะใช้ทางถนนเป็นหลักเลยหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานน้ำมันให้มีประสิทธิภาพได้ยาก คงต้องให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบดูกันต่อไปครับ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 20:18:23 จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 18:13:51

ความคิดเห็นที่ 84 ข้อมูล อย่างแน่น ครับ เห็นคุณ คนรักน้ำมัน เอาหนังสือ เรื่องความล้มเหลว ของ สผ. มาหลายฉบับ อยากจะทราบ ว่า แล้ว แหล่ง JDA ล่ะครับ ผมก็ว่า มันก็สดใสดีอยู่นา วันนี้ เอง หุ้น สผ. ก็ปิด + ด้วย ไม่ทราบว่ามีปัจจัย อะไร หรือ ที่ทำให้ นลท. มาช้อนซื้อกัน หรือว่าเพียงแค่ ไฟดับแล้ว ....ก็ น่าจะสดใส ? ผมไม่มีความรู้เรื่องหุ้นน่ะ ครับ ..แค่สงสัย จากคุณ : NPM เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 19:09:12

ความคิดเห็นที่ 85 เข้าไปดูข้อมูลที่ PTTEP นำเสนอใน website บริษัท แจ้งว่าจะเริ่มผลิตภายในไตรมาส 4 ปีนี้ครับ น่าประกาศว่าเริ่มผลิตได้ในเร็ววันนี้ ส่วนวันนี้ PTTEP เป็น + ผมก็ไม่ทราบครับว่าปัจจัยใดเป็นปัจจัยหลัก ลองมาช่วยกันแสดงความเห็นก็ได้ครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 19:47:27

ความคิดเห็นที่ 86 ปตท สผ เป็นองค์กรที่ดีมากๆที่หนึ่งในประเทศไทย อย่างน้อยก็บุคลากร จากที่ๆผมได้เห็นมา จากคุณ : To die for เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 22:11:39

ความคิดเห็นที่ 87 ไม่ได้เข้ามาสี่ห้า วัน มีกระทู้นี้แล้วเหรอ แปะโป้งและโหวตให้ก่อน พรุ่งนี้ มาอ่านต่อครับ จากคุณ : เหล่าฟาง เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 23:32:58

ความคิดเห็นที่ 88 วันนี้ได้รับบทวิเคราะห์ PTTEP โดย Trinity ก็มีมุมมองเรื่องการประเมินผลกระทบได้น่าสนใจ ประมาณการตัวเลขได้ใกล้เคียงกับ AYS ที่เคยนำเสนอไปแล้วว่า ถ้าไม่คิดมูลค่าโครงการมอนทารา มูลค่าต่อหุ้นจะหายไปประมาณ 37 บาท แต่เรื่องนี้คงไม่น่าจะเกิดขึ้น คงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป แต่ที่ผมรู้สึกแปลกใจกับข้อสรุปของ Trinity ที่สรุปว่า PTTEP แบกรับความเสี่ยงเพียงลำพังมากเกินไปอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ในการเข้าถือหุ้น CRL และแหล่งมอนทารา 100% และยังให้เหตุผลว่าต้องเจาะลึกลงไปถึง 2.6 กิโลเมตรจากท้องทะเล นับเป็นการขุดเจาะที่ยากลำบากและเปิดความเสียงมากเกินไป ผมมีความเห็นอย่างนี้ครับ โดยปรกติความเสี่ยงจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ที่จะพิจารณาประกอบการลงทุน อย่างแรกคือ ความเสี่ยงที่สามารถหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ และ ความเสี่ยงที่ไม่สามารถป้องกันได้ต้องรับความเสี่ยง (แต่ลดได้) บางคนจะแบ่งเป็นแบบอื่นๆ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะวัตถุประสงค์อาจต่างกัน ความเสี่ยงที่สามารถหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ ส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวกับความปลอดภัย หรือสร้างความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน โอกาสในการเกิดความเสี่ยงประเภทนี้จะขึ้นอยู่กับ วิธีการทำงาน มาตรการการป้องกัน ถ้ามีวิธีการทำงานที่ถูกต้อง และมีมาตรการการป้องกันที่เข้มงวดรัดกุมและมีการตรวจสอบ โอกาสในการเกิดก็น้อยลงมากจนไม่เกิดขึ้นเลย ความเสี่ยงอีกประเภทคือความเสี่ยงที่ไม่สามารถหาวิธีการป้องกันได้ แต่ลดได้ ในธุรกิจสำรวจและผลิตนั้น ความเสี่ยงประเภทนี้ที่มีความสำคัญที่สุดคือ ความเสี่ยงทางธรณีวิทยา พูดง่ายคือ ความเสี่ยงในการเจาะหลุมสำรวจแล้วไม่พบปิโตรเลียม แล้วทำให้เกิดผลขาดทุน  ความเสี่ยงประเภทนี้จะลดลงได้โดยการหาข้อมูลทางการสำรวจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการเจาะสำรวจ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถลดความเสี่ยงได้อีก เพราะยังไงต้องลงทุนเจาะหลุมสำรวจ และอาจเกิดผลขาดทุนได้  การลดความเสี่ยงประเภทนี้ในลำดับถัดไปคือ การลดสัดส่วนการลงทุน และไปหาแปลงสำรวจอื่นเพื่อเจาะสำรวจ หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าการกระจายการลงทุน ถ้าพิจารณาโครงการมอนทารา โครงการนี้ได้ผ่านขั้นตอนการสำรวจมาเรียบร้อยแล้ว ความเสี่ยงทางธรณีวิทยาไม่มี เพราะพบน้ำมันแล้ว และพบในขนาดที่สามารถพัฒนาแล้วได้กำไร ดังนั้นข้อสรุปที่ทาง Trinity สรุปเหมือนกับว่า PTTEP ถือหุ้น 100% ในมอนทารา เป็นเรื่องที่ผิดปรกติ ซึ่งที่จริงเป็นเรื่องปรกติมากที่จะถือหุ้น 100% ในแหล่งที่ผลิตแล้ว ตัวอย่างเช่น โครงการ S1 ที่ PTTEP ถืออยู่คนเดียว 100% หรือ โครงการอาทิตย์ที่ถืออยู่สูงถึง 80% ดังนั้นการถือ 100% ในโครงการที่พัฒนาหรือผลิตแล้ว ก็เป็นเรื่องปรกติครับ แต่การลงทุนในการสำรวจ ที่ยังมีความเสี่ยงทางธรณีวิทยานั้น อาจจะพิจารณาลดสัดส่วนการถือลงมาเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งก็ดูเหมือนว่า PTTEP ก็ได้ทำแบบนั้นเกือบทุกโครงการ ส่วนเรื่องการเจาะหลุมลึก 2.6 กิโลเมตรนั้น ในธุรกิจสำรวจและผลิต ถือว่าเป็นเรื่องที่ธรรมดามากครับ เพราะในอ่าวไทยเจาะลึก 4 กิโลเมตรก็ทำมาแล้วหลายหลุม ระดับความลึกส่วนใหญ่ก็เกิน 2.5 กิโลเมตรเกือบทุกหลุม และยิ่งบริเวณแหล่งมอนทาราที่ดูในแผนที่แสดงระดับน้ำทะเล ก็ลึกอยู่ราว 80 เมตร พอๆ กับอ่าวไทยของเรา ยิ่งไม่มีปัญหาในการเจาะ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการเจาะสามารถเจาะได้ในบริเวณน้ำลึก 2 กิโลเมตร (และลงไปใต้ดินอีก 2-4 กิโลเมตร) แต่ราคาแพงมาก การเจาะหลุมก็เป็นเรื่องปรกติของธุรกิจ ซึ่งแน่นอนความเสี่ยงมี แต่เป็นความเสี่ยงที่สามารถจัดการภายใต้วิธีการทำงานที่รัดกุม เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการเจาะก็ดีมาก เจาะเอียง เจาะนอน เจาะเลื้อยไปมา เป็นว่าเล่นครับ ไม่ได้ยากเย็นหรือน่ากังวลอย่างที่คิด http://portal.settrade.com/brokerpage/IPO/Research/upload/2000000130735/PTTEP-Thai-20091104.pdf จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 09:27:09

ความคิดเห็นที่ 89 ออกตัวก่อนเหมือนกันว่าไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรมากนะครับ จริงๆเรื่องที่รัฐบาลเก็บบริษัทน้ำมันเนี่ย เยอะอยู่นะครับ เรื่องแบบนี้แต่ละประเทศไม่ยอมเสียเปรียบหรอกครับ จากตัวเลขที่จำในหัวได้ ของไทย รัฐบาลจะเก็บค่าสัมประทานก่อนเลยเวลาจะลงสำรวจ (เจอไม่เจอรัฐบาลไม่เกี่ยว กะเก็บตังแล้วอ่ะ) ต่อมาบริษัทก็จะเริ่มลงทุน (รัฐบาลไม่ช่วยออก) เมื่อเริ่มผลิต รัฐบาลก็บอกว่าให้ผลิตไปนะ แต่ถ้ามีกำไรแบ่งคนคนละครึ่ง !!! ครับผมฟังไม่ผิดครับ 50 - 50 เลย ต่างกับธุรกิจอื่นที่เก็บแค่ 30 % แล้วยังเป็นขั้นบันไดด้วยนะครับ เพราะงั้นรัฐบาลไม่เสียเปรียบหรอกครับ มีแต่ได้กับได้ ถ้าไม่มีการ corruption นะครับ แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 52 10:08:01 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 52 10:04:58 จากคุณ : janickle เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 09:59:17

ความคิดเห็นที่ 90 อยากทราบ background คนเขียนกระทู้ จบ petroleum หรือไม่ จากคุณ : GSP1 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:00:36

ความคิดเห็นที่ 91 ขออนุญาตไม่แสดงตัวนะครับ คุณ GSP1 ธุรกิจด้านนี้ต้องยอมรับว่าแคบมากครับ บริษัทสัญชาติไทยที่เป็นจริงเป็นจังกับธุรกิจนี้ก็มีแต่ PTTEP บริษัทต่างชาติที่มีการผลิตในเมืองไทยก็มีไม่กี่แห่ง สถาบันที่สอนด้านวิศวกรรมปิโตรเลียมโดยตรงก็มีแห่งเดียว ธรณีวิยาก็มีสามแห่ง แต่ผมก็เฉี่ยวไปมาในวงการนี้มานานพอสมควรครับ เอาเป็นว่า ถ้าประเด็นไหนต่างจากข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นดูไม่ค่อยเข้าแก็ป ช่วยแนะนำผมด้วยครับ ยินดีน้อมรับฟังความคิดเห็นครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:36:55

ความคิดเห็นที่ 92 1. ทำไม PTTEP ถึงใส่ใจการลงทุนในต่างประเทศมากกว่าลงทุนในประเทศเราเอง ที่ได้เปรียบในความเป็นเจ้าถิ่นอย่างมาก normal ในประเทศ แหล่งน้ำมัน ไม่น่าสนใจ เท่า หรืปกติ การขุด น้ำมัน ทำให้เกิดค่าตัดจ่ายหลุมแห้งจำนวนมาก เป็นเรื่องปกติ จากคุณ : supanut01 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 12:55:40

ความคิดเห็นที่ 93 จาก website ของ PTTEP ดูเหมือนว่าทางบริษัทก็มีแปลงสำรวจในประเทศค่อนข้างมาก ดังนี้ 1. ทะเลอันดามัน : แปลง A4/48,A5/48,A6/48 ขนาดพื้นที่ 68,820 ตารางกิโลเมตร 2. ทะเลอ่าวไทย : แปลง G9/43 ขนาดพื้นที่ 2,619 ตารางกิโลเมตร 3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : แปลง L21/48, L28/48, L29/48 ขนาดพื้นที่ 11,803 ตารางกิโลเมตร 4. ภาคกลางตอนบน : แปลง L22/43 ขนาดพื้นที่ 3,632 ตารางกิโลเมตร 5. ภาคกลางตอนล่าง : แปลง L53/43, L54/43 ขนาดพื้นที่ 7,955 ตารางกิโลเมตร ส่วนพื้นที่ภาคเหนือตอนบน อยู่ในความดูแลของกรมพลังงานทหาร กระทรวงกลาโหม ที่ทำการสำรวจเองครับ สำหรับศักยภาพปิโตรเลียมในเมืองไทย ผมพอสรุปไว้บ้างในความคิดเห็นที่ 40 ครับ แต่ผมเข้าใจว่า หลายแปลงสัมปทานได้มีการออกให้กับบริษัทอื่นๆ ไปเป็นจำนวนมากแล้ว คงต้องรอผลการสำรวจครับว่าเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการตัดจ่ายหลุมแห้ง ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปรกติสำหรับการลงทุนสำรวจครับ เพราะการสำรวจเป็นวิธีการที่ได้มาซึ่งปริมาณสำรองที่ราคาต่ำกว่าวิธีอื่น แต่มีความเสี่ยงครับ ปริมาณสำรองสามารถซื้อได้แต่จะแพงกว่ามากครับ ดังนั้นหลายบริษัทจึงยอมเสี่ยงทำการสำรวจ ค่าตัดจ่ายหลุมแห้งจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ เพราะการเจาะหลุมเป็นวิธีการเดียวที่จะพิสูจน์ว่ามีปิโตรเลียมหรือไม่ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 15:48:39

ความคิดเห็นที่ 94 อัพเดตให้นะครับ ด้านปิโตรเลียม วุฒิวิศวกร มี 2 แห่ง วุฒิวิทยาศาสตร์มี 4 แห่ง จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 18:39:12

ความคิดเห็นที่ 95 ขอบคุณครับคุณ Bach_Ho ผมคงตกยุคไป นึกว่าวิศวกรรมปิโตรเลียมมีแต่ที่จุฬาฯ ส่วนธรณีก็คิดว่ามีแต่ จุฬาฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น ครับ เพราะคนที่ผมรู้จัก ก็จบกันจากที่เหล่านี้ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 19:20:18

ความคิดเห็นที่ 96 ตามรายงานของ PTTEP ที่ Australia แจ้งว่าได้ใช้เฮลิคอปเตอร์วนดู เพื่อดูความเสียหายก่อนส่งคนขึ้นไปตรวจอย่างละเอียด และแจ้งว่าไฟได้ดับสนิทจนอุณหภูมิที่แท่นผลิตได้เป็นปกติ http://www.au.pttep.com/uploads/MediaRelease91_05-11-09.pdf Date: 5 November 2009 1530 WST PTTEP Australasia has conducted a close-in helicopter flight around the Montara well head platform and West Atlas drilling rig in the Timor Sea today to better assess the damage caused by fire which was extinguished earlier this week and plan for the next phase of the operation. Thermal imaging technology being used on the support vessel Nor Captain has shown the main fire-damaged area on the West Atlas and well head platform has cooled down to the ambient air temperature. This allowed the flight to be made safely and give the specialist team from ALERT Well Control their first close-up look since the fire was extinguished on Tuesday (3 November) after the well was ‘killed’. The team has been standing off, onboard the Nor Captain, monitoring the situation and is progressing plans to reboard the well head platform next week. This afternoon’s flight allowed them to gather more visual data to help progress that planning. PTTEP is carrying out a safety assessment for the reboarding operation and is working with the National Offshore Petroleum Safety Authority (NOPSA) to obtain approvals for the proposed reboarding operation. Once aboard the well head platform, the team will conduct detailed assessments and safety preparations to determine how the next phase to plug and fully secure the H1 well will be carried out following the damage caused by the fire. The Montara well head situation remains stable following the successful well kill operation. แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 52 19:43:08 จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 19:25:35

ความคิดเห็นที่ 97 วุฒิวิศวกร ก็จะมีที่ จุฬา กับ สุรนารี แต่ของสุรนารีจะเรียนทางด้านธรณี ด้วยมากหน่อย วุฒิธรณีวิทยา ก็จะมีที่ จุฬา มช. มข. และก็มหิดล จากคุณ : Bach_Ho เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 22:07:47

ความคิดเห็นที่ 98 ผมไม่แน่ใจว่า ถ้า สุรนารี เรียนด้านธรณีวิทยามากหน่อย จะเป็น วุฒิวิศวกรรมหรือเปล่า เพราะด้านวิศวฯ นั้น น่าจะเรียนเป็นพื้นฐาน ซึ่งก็ต้องมีวิทยาศาสตร์หรือวิศวฯ ด้านอื่นๆ เช่น เคมี เครื่องกลบ้าง และมาเรียนในสาขาวิชาชีพซะเยอะ เช่น วิศวกรรมแหล่งปิโตรเลียม การเจาะ การผลิต ฯลฯ ผมก็เพิ่งทราบว่า มหิดล เปิดภาควิชาธรณีวิทยาแล้ว น่าสนใจครับ ที่จริงเปิดเพิ่มขึ้นก็ดี เพราะงานด้านนี้ค่อนข้างขาดแคลน ส่วนวิศวกรรมปิโตรเลียม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายังไงก็ไม่พอ ได้ข่าวช่วงหลังๆ วิศวกรรมปิโตรเลียมที่จุฬาฯ ได้รับความนิยมสูงมาก คนที่ได้เกรดสูงๆ มักจะเลือกเข้าภาควิชานี้ อาจเป็นเพราะราคาน้ำมันสูงและมีแนวโน้มสูง ซึ่งก็น่าจะได้ผลตอบแทนสูงในการทำงาน คนก็เลยสนใจกันเยอะครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 52 05:15:14 จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 05:14:23

ความคิดเห็นที่ 99 ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ท่าน Geo Explorer และ ท่าน Bach_Ho ทั้ง 2 ท่านที่ช่วยปั่นกระทู้ต่อให้นะครับ พร้อมทั้งให้ความรู้ความเข้าใจได้ดีมากๆด้วย ผมเองจริงๆก็ด้วยใจรักและในฐานะนักลงทุน และเพื่อสอดคล้องกับห้องสินธร การนำเสนอจึงเน้นไปในเรื่องของผลตอบแทน และความคุ้มค่าการลงทุน ตัวผมเองอย่างที่บอกไปแล้วว่ามีโอกาสไปเรียนภาคนี้อยู่ระยะหนึ่งก่อนย้ายภาคมาเรียนโยธาต่อ ทั้งๆที่เสียดายไม่น้อย แต่ยังสนใจติดตามข่าวอยู่ ยิ่งตอนจบเศรษฐกิจไม่ดี รายได้จากโยธาน้อยกว่าปิโตรเลียมมาก แต่มาวันนี้ก็ไม่ได้เสียดายแล้วเพราะได้ทำตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้(ไม่ขอบอกว่าเป็นอะไร) เพื่อนๆที่จบปิโตรเลียมได้เงินเดือนกันหลักแสนทุกคน ยังหวังว่าซักวันหนึ่งจะกลับไป Field น้ำมันซึ่งเป็นสิ่งที่รักแต่อาจในอีกฐานะหนึ่งที่ไม่ใช่นักสำรวจขุดเจาะอีกแล้ว ส่วนตัวผมเชื่อมาตลอดว่าประเทศไทยมีน้ำมันมาก รวมทั้งทรัพยากรอื่นๆด้วย ซักวันหนึ่งข้างหน้าเมืองไทยจะร่ำรวยด้วยทรัพยากรที่แสนอุดมสมบูรณ์ ให้สมชื่อแดนขวานทอง และแดนสุวรรณภูมิครับ จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 06:34:42

ความคิดเห็นที่ 100 พอดี serch ไปเจอพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งได้กล่าวเกี่ยวกับน้ำมันไว้ ยังไงก็ฟังหูไว้หูนะครับ แต่เห็นว่าเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจดี ลองอ่านกันดูครับ ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย อย่าง น้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน เขาบอกว่า อยู่ในห้องนี้แหละ แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า “เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น เขาบอกว่า น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย” ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่ เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว ทีนี้เวลานี้การเจาะน้ำมัน การดูดน้ำมันเขาว่าได้น้อย แต่ความรู้สึกของผู้พูด หรือตามข่าวหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่าความจริงประมาณน้ำมันที่ได้ มันมากกว่าข่าวที่เขาแจ้งมา ข้อนี้จะเท็จจริงประการใดก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่หนังสือพิมพ์ แต่เขาบอกว่าเขาแจ้งได้น้อย ก็ยังมีอีกหลายหลุมที่เขาเจาะพบแล้ว เขาบอกว่าไม่พอกับเชิงพาณิชย์ จึงไม่ยอมดูดขึ้นมา นี่ก็เป็นลีลาของพ่อค้าเป็นของธรรมดา ถ้ากำไรน้อยเขาจะไม่เอา หรือจะมาพูดกันอีกทีหนึ่ง เวลานี้ทราบว่า คนไทยศึกษาเรื่องวิชาการเจาะน้ำมันมาได้ดีแล้ว มีความชำนาญพอแล้ว แล้วก็กำลังจะเจาะก่อน หนังสือจะออกคงจะเจาะแล้วละมั้ง เจาะก๊าซที่สงขลาใกล้ๆ กับบ่อเดิม จะเอาก๊าซมารวมกัน เข้ากับท่อเดียวกัน ขึ้นมาใช้จะได้มีปริมาณสูง ถ้าบังเอิญท่าน หรือนายทุนท่านใดท่านหนึ่ง ในพื้นที่ ที่ไม่มีสัญญาประมูลกับบริษัทต่างๆ แต่น้ำมันมีมาก ปริมาณของประเทศไทยนี่ ถ้าจะลองเจาะอย่างต่างประเทศเขา เอาที่ใดที่หนึ่งก็ได้สักที่หนึ่ง ที่พูดนี่เป็นการสมมติกันนะ จะเชื่อหรือไม่สมควรเชื่อ เพราะความรู้สึกว่ามีอยู่ว่าการเจาะที่แล้วมา เขาเจาะกันยังไม่ถึงฝาผนังหรือเพดาน ของถังน้ำมัน ซึ่งมันเป็น ถังใหญ่คลุมจักรวาล มันเป็นทะเลอีกชั้นหนึ่งต่างหาก คือเป็นทะเลน้ำมันจริงๆ ประเทศไทยตั้งอยู่เหนือทะเลน้ำมัน จีนก็เช่นเดียวกันแล้วก็พม่าก็เหมือนกัน อินโดนีเซียก็เหมือนกัน มาเลเซียก็เหมือนกัน บรูไนก็เหมือนกัน มันเป็นถังถังเดียวกัน ถ้าบังเอิญ เราจะเจาะอย่างอังกฤษ ที่เขาบอกว่า อังกฤษเจาะที่ทะเลเหนือ เจาะลง ไปลึกลงไปใต้ดินถึง ๖ กิโลเมตร ก็ได้น้ำมันขึ้นมาเพียงพอ แต่ประเทศไทยเราสำรวจแล้วว่า ที่ใดที่หนึ่งมีน้ำมันพอที่จะเจาะได้ ก็ลองเจาะสัก ๖ กิโลเมตร จะมีผลเป็นประการใดเรื่อง นี้ก็ลองถามท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง ท่านมีความชำนาญในด้านนี้มาก ก็เรียกว่า "ดร.สรรพศาสตร์" ท่านดร.สรรพศาสตร์ ท่านบอกว่า ถ้าเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตร ในถังน้ำมันที่มีพื้นแผ่นดินหนา หมายความว่า หลังถังน่ะลึกลงไป เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตร จะถึงผิวถังน้ำมัน หรือหลังคาน้ำมัน ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ไอ้ท่อที่เจาะลงไปนั้น จะจมไปในตัวถังน้ำมัน บ่อน้ำมันจริงๆ ครึ่งกิโลเมตร ถ้าเจาะในที่ตื้น ที่บางจุดอยู่ไม่ไกลกรุงเทพนัก ในที่นี้ถ้าเจาะถึง ๖ กิโลเมตร ท่อจะจมลงไปในเขตของน้ำมัน  ถามว่า ดร.สรรพศาสตร์ ถ้าเราจะดูดใช้อย่างปัจจุบันนี่ ถ้าทำอย่างนั้นจะใช้ได้สักกี่ปี ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอา ๓๐ เท่าของปัจจุบันใช้ไป ๕,๐๐๐ ปี น้ำมันยังไม่หมด ปริมาณยังไม่ลด แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 07:35:19 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 06:54:30 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 06:53:35 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 06:48:39 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 06:42:40

ความคิดเห็นที่ 101 ขอบคุณ คุณคนรักน้ำมัน ครับ ข้อเขียนที่ยืดยาว บางทีก็เบี่ยงเบนออกไปจาก concept ห้องสินธรบ้าง แต่ผมคิดว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เป็นธุรกิจที่จำกัดอยู่ในคนกลุ่มเล็กๆ เมื่อเทียบกับสังคมไทย แต่ผลิตภัณฑ์ของธุรกิจคือน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ มันกระทบกับทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ถ้าเรารู้จักธุรกิจนี้เพิ่มขึ้น จะทำให้เราเข้าใจภาพของธุรกิจ เผื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการติดตามข่าวสารที่ขึ้นเกิดขึ้น และใช้ประกอบการลงทุนได้บ้างครับ ความลึกซื้งในธุรกิจก็ยังคงมีอีกมากมาย ถ้าเขียนมากไปมันก็จะไม่สนุก ที่จริงเรื่องเกี่ยวกับทางธรณีวิทยาเป็นเรื่องที่สนุกมาก เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ บางทีเป็นแนว Unseen ที่ ททท. อาจจะไม่ได้โปรโมท แต่น่าสนใจไม่น้อยในความแปลกของธรรมชาติ บางทีก็อยากเล่าให้ฟังสนุกๆ แต่เดี๋ยวมันจะออกทะเลไปไกล ข้อความที่ คุณคนรักน้ำมัน ให้อ่าน ผมก็ไม่ได้เคยผ่านตา แต่เคยได้ยินเรื่องเล่าตอนที่ บริษัทไทยเชลล์ กำลังสำรวจน้ำมันในพื้นที่ภาคกลางตอนบน และได้มีการเข้าไปนมัสการ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แถวอุทัยธานี เนื้อความผมจำไม่ได้แน่ เพราะเป็นเรื่องที่ผมได้ยินมานานกว่าสิบปีมาแล้ว แต่ก็พอเลาๆ ว่าท่านได้ชี้แนะและให้กำลังใจว่าน่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งเรื่องนี้คนที่ร่วมสมัยในการสำรวจก็อยู่ใน ปตท.สผ. เยอะ เพราะ ปตท.สผ. ได้ไปซื้อกิจการของบริษัทไทยเชลล์พร้อมทั้งคนทั้งหมดเมื่อ 5 ปีก่อน ผมคงไม่มีความเห็นใดๆ ต่อคำกล่าวข้างต้นครับ ผมเคารพในคำกล่าวของท่าน ถ้าจะหวนกลับมาประเด็นใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ถ้าผมรู้ (ซึ่งก็รู้ไม่มาก) ผมก็จะยินดีแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นครับ ... จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 07:58:48

ความคิดเห็นที่ 102 ชอบอ่านกระทู้แบบนี้มากๆเลยค่ะ  อ่านทุกคห.เลย (เลยเข้ามาอ่านอีกรอบเผื่อมีอะไรเพิ่มเติม) ขอบคุณ คุณคนรักน้ำมัน สำหรับข้อมูล ขอบคุณ คุณGeo.Explorer ที่ร่วมสนทนา และอธิบายเป็นอย่างดี ขอบคุณทุกคห.ที่ร่วมแจมด้วยนะคะ กระทู้สร้างสรรมาก ไม่ใช่แค่รู้เพราะหวังกำไรจากหุ้น แต่มันเกี่ยวเนื่องกับทุกคนจริงๆ ทั้งทางตรง ทางอ้อม ปล. ไม่เบื่อที่จะอ่านค่ะ คุณ จีโอ จากคุณ : spaceship เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 09:45:00

ความคิดเห็นที่ 103 นั่งอ่านตั้งหลายวัน อ่านมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่อารมณ์ แต่ยอมรับว่า รู้เรื่องไม่ถึง 10% แต่ก็อยากอ่าน เพราะมันสนุก ขอบคุณทุกข้อมูล ขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้อง จากคุณ : ตอร์เรสสุไหงโกลก เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 15:08:51

ความคิดเห็นที่ 104 ขอบคุณ คุณ Spaceship ครับ ที่จริงคำถาม หรือข้อสงสัย หรือความเห็นที่ต่างหรืออาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในธุรกิจ ทำให้ผมขยันขันแข็งในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ ผมว่า PTTEP เป็นหุ้นที่หลายคนไม่ได้เคยคิดว่า จากราคา 33 บาท (พาร์ 10 บาท) ในราวปี 2535 วันนี้จะอยู่ประมาณ 140 บาท (พาร์ 1 บาท) และก็เคยขึ้นไปถึง 222 บาท (พาร์ 1 บาท) ในช่วงเวลา 17 ปี ผมก็ไม่ได้คลุกคลีในตลาดหุ้นมากนัก ก็เลยไม่แน่ใจว่ามีหุ้นไหนบ้างที่มีอัตราการเติบโตประมาณ 25% ต่อปีโดยเฉลี่ย ลงทุนหุ้น PTTEP ตัวเดียวได้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนรูปแบบอื่นๆ แต่คงไม่มีใครในตลาดคาดคิดว่า มันจะมาถึงตรงจุดนี้ได้ ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการพลิกผันของราคาน้ำมันที่ทะยานไปเกิน 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ราคาน้ำมันก็เคยต่ำกว่า 10 เหรียญสหรัฐเมื่อหลายปีก่อน แต่ธุรกิจสำรวจและผลิตนี้ก็ยังคงเติบโตต่อไปได้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ยังเป็นที่ต้องการและยังไม่สามารถหาพลังงานที่ทดแทนได้อย่างสมบูรณ์ บางคนอาจจะบอกว่า PTTEP เติบโตมาได้ด้วยฐานของรัฐ ที่แบ่งเอาทรัพยากรของประเทศมาให้ นั่นก็เป็นข้อเท็จจริงประการสำคัญของการสร้างฐานของบริษัท ถ้าไม่มีตรงนั้น ผมว่าก็คงไม่มี PTTEP ในวันนี้ แต่ฐานที่ได้มาของธุรกิจจะไม่มีความหมายอะไร ถ้าไม่ได้รับการต่อยอดให้สูงขึ้น และแน่นอนการต่อยอดก็ยังคงต้องเดินหน้าต่อไป ตราบเท่าที่ภาระกิจของธุรกิจยังคงดำรงอยู่ และผมคิดว่าเพียงแค่ฐานที่ PTTEP ได้มาจากรัฐ ก็ตีมูลค่าได้เพียง 33 บาท ซึ่งเมื่อตอนเข้าซื้อขายใหม่ๆ ตลาดก็มองเห็นเพียงราคาแค่นั้น หลังจากนั้นจึงได้เริ่มปรับตัวสูงขึ้น จนทุกวันนี้ ผมว่าช่วงนี้คำถามหลายคำถามได้ถูกถามขึ้นมา ซึ่งมาพร้อมกับเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่แหล่งมอนทารา ผมเผอิญเดินผ่านเข้ามา ก็เลยมาช่วยดับไฟ เอ้ย ไม่ใช่ครับ มาช่วยตอบคำถามตามกำลังความรู้ที่มีอยู่ ด้วยฐานะที่วนไปวนมาอยู่ในธุรกิจด้านนี้ หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างครับ... จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 15:12:35

ความคิดเห็นที่ 105 ขอบคุณ คุณ Geo.Explorer และท่านอื่น ๆ สำหรับความรู้ใหม่ ๆ จากคุณ : Bullish Signal เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 22:01:58

ความคิดเห็นที่ 106 เปนปาโยดมาก มากเลย ขอรับ ขอบคุณทุกๆท่านที่ทำให้ผมไม่รู้สึกเสียใจที่ลงทุนในหุ้นตัวนี้เลย และจะลงไปอีก 10 ปี หรือมากกว่านั้น จากคุณ : Quadrifoglio Verde เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 22:25:40

ความคิดเห็นที่ 107 การจะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในยุคถัดไป น่าจะท้าทายกว่าในอดีต มีหลายคนประเมินสิ่งที่ท้าทายในอนาคตได้คร่าวๆ คือ การแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาแข่งขันของรัฐวิสาหกิจของ จีน อินเดีย และ การสำรวจที่ยากมากขึ้น แต่ก็มีแรงจูงใจจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นใกล้ระดับ 100 เหรียญต่อบาร์เรล และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ลดความเสี่ยงลงได้มาก ก็น่าสนใจครับสำหรับทิศทางในอนาคต คอยติดตามประกอบการลงทุนครับ จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 08:26:43

ความคิดเห็นที่ 108 จขกท ลองดูข่า่วนี้หน่อย ปตท.สผ.เล็งถือหุ้น"สินภูฮ่อม"เพิ่ม เผยรื้อดีลเจรจาหลังผู้ถือหุ้นขอเพิ่มจากเดิม280ล. ปตท.สผ.เล็งถือหุ้นในแหล่งสินภูฮ่อมเพิ่ม CEO ปตท.สผ. "อนนต์" ชี้เน้นนโยบายเพิ่มแหล่งผลิตในประเทศ เผยล่าสุดยังเจรจาไม่จบหลังผู้ถือหุ้นขอเพิ่มราคาอีก จากที่เคยตกลงไว้ที่ 280 ล้านเหรียญ หากดีลนี้จบ ปตท.สผ.ขึ้นแท่นเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทันที ด้านการผลิตจากแหล่งสินภูฮ่อมล่าสุดเฉลี่ยได้ 100 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต/วัน จากต้นปีที่ผลิตได้แค่ 50 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แหล่งข่าวจากวงการพลังงาน เปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัท ปตท.สผ.อยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในแหล่งสินภูฮ่อม ที่ตั้งอยู่บริเวณจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดขอนแก่น กำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วันให้มากขึ้น ด้วยการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ปัจจุบันบริษัท ปตท.สผ.ถือหุ้นในแหล่ง สินภูฮ่อมที่สัดส่วนร้อยละ 20 เท่านั้น และเมื่อ ปตท.สผ.สรุปการซื้อขายครั้งนี้ได้ จะส่งผลให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในแหล่งนี้ โดยเบื้องต้นคณะกรรมการบริหาร หรือ บอร์ด ปตท.สผ.ได้อนุมัติให้เข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มจากแหล่งดังกล่าวเพิ่มเติมแล้ว เดิมมีการเจรจากันเบื้องต้น ได้รับข้อมูลว่า มูลค่าลงทุนอยู่ที่ประมาณ 280 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ภายหลังการบอร์ดอนุมัติแล้วนั้น บริษัทที่เจรจาอยู่กลับเพิ่มมูลค่าของโครงการ ทำให้ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะราคาที่ยื่นเสนอเข้ามาใหม่ถือว่ามีมูลค่าที่ค่อนข้างสูงมาก ซึ่งทำให้ต้องเจรจาซื้อขายกันใหม่ "แหล่งสินภูฮ่อมถือว่า ค่อนข้างมีศักยภาพ ปตท.สผ.จึงต้องซื้อหลุมเพิ่ม รวมถึงผู้ถือหุ้นในบางรายที่เน้นเพียงธุรกิจ Upstream จะทำธุรกิจเพียงสำรวจ ขุดเจาะ และวิเคราะห์ว่าจะมีปริมาณสำรอง (reserve) เท่าไหร่ หลังจากนั้นจะขายให้กับผู้ที่ต้องการเข้ามาพัฒนาต่อยอดต่อไป ปตท.สผ.มองว่า นอกจากจะนำ ก๊าซ ส่งให้โรงไฟฟ้าแล้ว ในกลุ่ม ปตท. ยังนำมาส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ หรือ NGV ให้มากขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ครอบคลุมมากขึ้น" ด้านนายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มีการเจรจากับ ผู้ถือหุ้นในโครงการจริง เพื่อซื้อส่วนที่ถือครองสัมปทานอยู่ และเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจหากว่า แหล่งสัมปทานนั้น ค่อนข้างมีศักยภาพจะเข้าไปถือหุ้นเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญเป็นนโยบายของบริษัท ปตท.สผ.อยู่แล้ว ที่จะต้องเพิ่มการเป็นเจ้าของแหล่งผลิตก๊าซในประเทศเพิ่ม แต่ขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าเพราะยังอยู่ในช่วงของการเจรจา และยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ว่า กำลังเจรจากับผู้ถือหุ้นรายใดอยู่ "ภาพใหญ่ของ ปตท.สผ.จะเห็นว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเก็บคือ ซื้อโปรเจ็กต์ที่ดีไว้ ซึ่งเราสามารถทำได้ และ ปตท.สผ.ยังมีกระแสเงินสดที่ดีพอจะเพิ่มทุนในแหล่งสินภูฮ่อมได้" นายอนนต์กล่าว รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า โครงการสินภูฮ่อม มีพื้นที่ประมาณ 231.6 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางตอนเหนือของโรงไฟฟ้าน้ำพอง ในจังหวัดขอนแก่น ประมาณ 45 กิโลเมตร เริ่มผลิตก๊าซธรรมชาติและคอนเดนเสตในเชิงพาณิชย์ได้เมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา สำหรับอัตราการผลิตในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แบ่งเป็น ในเดือนกรกฎาคม ผลิตก๊าซได้ 92 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ผลิต คอนเดนเสตได้ 474 บาร์เรล/วัน เดือนสิงหาคมผลิตก๊าซได้ 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ผลิตคอนเดนเสตได้ 515 บาร์เรล/วัน และในเดือนกันยายนผลิตก๊าซได้ 100 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และผลิตคอนเดนเสตได้ 519 บาร์เรล/วัน ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี" 52 ที่ผ่านมาที่มีการเดินเครื่องผลิตได้ เฉลี่ยเพียง 40-50 ล้านลูกบาศก์ฟุต/ วันเท่านั้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซลดลงตามไปด้วย http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv03121152&sectionid=0203&day=2009-11-12 แก้ไขเมื่อ 13 พ.ย. 52 00:23:22 จากคุณ : Quadrifoglio Verde เขียนเมื่อ : 13 พ.ย. 52 00:22:34