ความคิดเห็นที่ 1 @ ทำไมต้องกระจายการลงทุน "ตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.ธนชาต อธิบายว่า กลุ่มสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีในแต่ละช่วงเวลายากที่นักลงทุนจะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ในกรณีของตลาดหุ้นไทยในปี 2003 ให้ผลตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 แต่ถ้าใครเข้าไปลงทุนในปีถัดมาคือปี 2004 กลับให้ผลตอบแทนเป็นอันดับสุดท้ายเลย นี่คือความเสี่ยงหนึ่งของนักลงทุน ดังนั้น “การกระจายการลงทุน” ไปในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนในการที่จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนและช่วยเพิ่มโอกาสในการที่จะได้รับผลตอบแทนจากกลุ่มสินทรัพย์ที่หลากหลายในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมี "จุดเด่น" และ “จุดด้อย” ที่แตกต่างกันไป - “เงินสดหรือสินทรัพย์คล้ายเงินสด” เป็นการลงทุนที่มักดีเมื่อเกิดความไม่แน่นอนขึ้นหรือในช่วงที่ดอกเบี้ยสูง แต่มักเป็นการลงทุนที่ไม่ดีเมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงหรือดอกเบี้ยต่ำ - “ตราสารหนี้” เป็นการลงทุนที่มักดีเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดความไม่แน่นอนหรือในช่วงที่ดอกเบี้ยสูงสุดแล้วกำลังจะปรับตัวลง แต่มักจะเป็นการลงทุนที่ไม่ดีในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูงหรือในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำแล้วกำลังจะปรับตัวขึ้น - “หุ้น” เป็นการลงทุนที่มักดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวหรือเติบโตหรือในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ แต่มักเป็นการลงทุนที่ไม่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือตกต่ำหรือในช่วงที่ดอกเบี้ยสูง - “สินค้าโภคภัณฑ์” เป็นการลงทุนที่มักดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวหรือเติบโตหรือในช่วงที่มีอัตราเงินเฟ้อหรือในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แต่มักเป็นการลงทุนที่ไม่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือตกต่ำหรือเกิดภาวะเงินฝืดหรือในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า - “ทองคำ” เป็นการลงทุนที่มักดีในช่วงที่เกิดความไม่แน่นอนเกิดภาวะเงินเฟ้อหรือค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า แต่มักเป็นการลงทุนที่ไม่ดีเมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า - “อสังหาริมทรัพย์” เป็นการลงทุนที่มักดีในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวหรือเติบโตเกิดภาวะเงินเฟ้อหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่มักเป็นการลงทุนที่ไม่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวหรือตกต่ำหรืออัตราดอกเบี้ยสูง “การลงทุนแบบผสมผสานโดยกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ แม้จะไม่ใช่รูปแบบของการลงทุนที่ทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุดก็ตาม แต่ก็จะไม่ทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนต่ำสุดเช่นเดียวกัน อีกทั้งในระยะยาวยังทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนมีความคงเส้นคงวามากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทหนึ่งประเภทใดเพียงประเภทเดียวอีกด้วย โดยนักลงทุนสามารถใช้สินทรัพย์แต่ละประเภทปรับเปลี่ยนการลงทุนของตัวเองให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาได้ดียิ่งขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย” จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 23:06:23

ความคิดเห็นที่ 2 @ สินทรัพย์แต่ละประเภทเสี่ยงต่างกัน ตระกูลจิตร บอกว่า ค่าสถิติที่ใช้วัดและประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทก็คือ “ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)” ซึ่งก็คือความไม่แน่นอนของผลตอบแทนที่จะได้รับที่เหวี่ยงตัวออกไปจากค่ากลาง 1 หน่วย S.D. ทั้งใน “ทางบวก” และ “ทางลบ” โดยปกติแล้วสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำความผันผวนของผลตอบแทนก็จะต่ำไปด้วย ในทางตรงข้ามสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงความผันผวนของผลตอบแทนก็จะสูงไปด้วย จากข้อมูลตั้งแต่ปี 1999-ก.ค.2009 พบว่ากลุ่มสินทรัพย์ประเภทเงินสดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.08% มีความผันผวน 0.52% ตราสารหนี้โลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.35% และมีความผันผวน 6.10% หุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.90% และมีความผันผวน 16.94% ทองคำให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12.73% และมีความผันผวน 16.72% สินค้าโภคภัณฑ์ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.10% และมีความผันผวน 15.86% อสังหาริมทรัพย์โลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.51% มีความผันผวน 20.19% หุ้นตลาดเกิดใหม่โลกให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 15.37% มีความผันผวน 25.21% ส่วนตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.61% มีความผันผวน 29.11% ตัวอย่าง : ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.61% ในช่วงปี 1999-ก.ค.2009 ที่ค่าความเสี่ยง 1 S.D. เท่ากับ 29.11% นั่นหมายความว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่จะผันผวนอยู่ในช่วง -22.50 - 35.72% “ถ้าจัดพอร์ตโดยการลงทุนแบบผสมผสานในสินทรัพย์หลากหลายประเภท อัตราผลตอบแทนที่ได้รับคือค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มสินทรัพย์ที่ลงทุนนั่นเอง” จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 23:06:45

ความคิดเห็นที่ 3 @ผสมผสานช่วยลดความเสี่ยงได้จริง ตระกูลจิตร แนะนำว่า สินทรัพย์แต่ละประเภทจะมีความสัมพันธ์ที่มากน้อยแตกต่างกันออกไป ซึ่งเรียกว่า “ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation)” ซึ่งจะมีค่าตั้งแต่ 1 ถึง -1 โดย “ค่าบวก” หมายถึงสินทรัพย์มีความสัมพันธ์ต่อกันในเชิงบวกคือเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าค่าเป็น “0” หมายถึงไม่มีความสัมพันธ์กัน และถ้าเป็น “ค่าลบ” หมายถึงสินทรัพย์มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม ในกรณีที่นักลงทุนต้องการผสมผสานสินทรัพย์เพื่อช่วยลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองจึงควรเลือกสินทรัพย์ที่มีค่าสหสัมพันธ์ต่อกันต่ำหรือไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหากเลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ต่อกันสูงและมีการเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้วก็จะไม่ได้ประโยชน์ในแง่ของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองแต่ประการใด ถ้าใช้ข้อมูลเดียวกันของกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วงปี 1999-ก.ค.2009 โดยลองผสมผสานการลงทุนในลักษณะของ “Passively Diversified Portfolio” ที่เน้นลงทุนโดยอิงกลุ่มสินทรัพย์แต่ละประเภทตามสัดส่วนการลงทุนดังนี้ ในหุ้น 50% ตราสารหนี้ 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 15% และอสังหาริมทรัพย์ 5% โดยมีการปรับน้ำหนักการลงทุนให้อยู่ในระดับที่กำหนดทุกเดือน จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.82% ซึ่งเป็นผลตอบแทนถ่วงน้ำหนักของผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละประเภท “อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจจะสงสัยว่าความเสี่ยงของการลงทุนแบบผสมผสานคือค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของค่าความเสี่ยงของแต่ละสินทรัพย์หรือไม่ ซึ่งหากใช่จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาในช่วง 10 ปี (1999-ก.ค.2009) ค่าความเสี่ยงที่ได้จะต้องเป็น 14.56% แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วการลงทุนแบบผสมผสานช่วยให้ความเสี่ยงลดลงจริงเหลือเพียง 11.52% เท่านั้น นี่คือข้อดีของการลงทุนแบบผสมผสานที่นักลงทุนจะได้รับทันที” จากการลงทุนในแบบ “Passively Diversified Portfolio” ตามตัวอย่างนี้ จะทำให้ผลตอบแทนในปี 1999 อยู่อันดับ 4 ให้ผลตอบแทน 15.29% ปี 2000 อันดับ 6 ให้ผลตอบแทนติดลบ 6.65% ปี 2001 อันดับ7 ให้ผลตอบแทนติดลบ 7.37% ปี 2002 อันดับ 7 ให้ผลตอบแทนติดลบ 0.53% ปี 2003 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทน 26.46% ปี 2004 อันดับ 4 ให้ผลตอบแทน 14.81% ปี 2005 อันดับ 6 ให้ผลตอบแทน 9.43% ปี 2006 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทน 15.82% ปี 2007 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทน 14.01% ปี 2008 อันดับ 4 ให้ผลตอบแทนติดลบ 28.62% และปี 2009 (ก.ค.) อันดับ 4 ให้ผลตอบแทน 15.94% จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 23:07:05

ความคิดเห็นที่ 4 @ แนะกระจายการลงทุนรับเศรษฐกิจฟื้น "บุญชัย เกียรติธนาวิทย์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต บอกว่า วิกฤติเศรษฐกิจทำให้นักลงทุนทั่วโลกเทขายหุ้นและตราสารอื่นๆ ในตลาดทั่วโลกเพื่อนำเงินไปลงทุนในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความปลอดภัย ซึ่งวิกฤติรอบนี้เงินไหลไปลงทุนในพันธบัตรสหรัฐ จนมีบางช่วงให้ผลตอบแทนเข้าใกล้ศูนย์แม้ได้ผลตอบแทนต่ำมากแต่ยังมีผู้ลงทุนเพราะคิดว่าปลอดภัยไว้ก่อน กลับเข้าไปหาเงินสกุลหลักของโลกคือดอลลาร์สหรัฐจนแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้น ในแง่ของการบริหารเงินลงทุนนั้นหากมองตามความเป็นจริง การลงทุนตอนนี้ไม่มีอะไรที่บอกได้อย่างฟันธงว่าทั้งปลอดภัยและได้ผลตอบแทนพอใจ เพราะทางเลือกที่สบายใจตอนนี้ ผลตอบแทนก็ต่ำมาก ความไม่แน่นอนในอนาคต คือ หากเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้น สินทรัพย์ที่มั่นคงปลอดภัย มีแนวโน้มด้อยค่าจากเงินเฟ้อ "ถ้านักลงทุนมีมุมมองว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเราก็พอมีทางเลือก สามารถพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น เพื่อโอกาสที่จะชดเชยเงินเฟ้อได้ และจากสภาพที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยมากๆ ที่อยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน มองอีกมุมหนึ่งการผ่องถ่ายการลงทุนบางส่วนมาจากสินทรัพย์ปลอดภัยจึงมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในช่วงนี้ค่อนข้างต่ำ เพื่อแสวงหาช่องทางอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่มีโอกาสด้านผลตอบแทนมากขึ้นในการบริหารเงินลงทุน" ด้านตระกูลจิตร มองว่า หากจะพูดถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าพันธบัตรรัฐบาลหรือสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ สินทรัพย์หลักในโลกการลงทุน ที่เห็นว่ามีแนวโน้มดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น หุ้นทั้งหุ้นในประเทศและต่างประเทศ ปัจจัยหนุนหลัก คือ การฟื้นตัวของผลประกอบการตามเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีตราสารหนี้เน้นตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในสกุลเงินหลายสกุลเงินโดยเฉพาะสกุลเงินของประเทศกำลังพัฒนา  โอกาสของการลงทุนจะอยู่ที่ผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากค่าเงินที่แข็งค่า ขณะเดียวกัน สินค้าโภคภัณฑ์ก็น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ตามวัฏจักรเศรษฐกิจฟื้นตัว และเป็นหมวดการลงทุนที่ช่วยลดผลกระทบจากเงินเฟ้อ  รวมถึงทองคำเป็นหมวดการลงทุนที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อ และลดผลกระทบจากความเสี่ยงของค่าเงินดอลลาร์ที่อาจจะอ่อนตัวลง "แต่ระหว่างทางของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้เนื่องจากยังมีปัจจัยเปราะบาง การลงทุนเหล่านี้ย่อมมีการผันผวนขึ้นลง แต่แนวโน้มระยะยาวยังมีโอกาสดี การลงทุนแต่ละหมวดสินทรัพย์ข้างต้น แม้อาจจะมีความผันผวนขึ้นลงระหว่างทางดังได้กล่าวแล้ว แต่การปรับตัวขึ้นลงอาจจะไม่พร้อมกัน หรือไม่ใช่ทางเดียวกัน การลงทุนผสมหลายๆ หมวดสินทรัพย์ ที่มีการเคลื่อนไหวขึ้นลง ไม่ไปในทางเดียวกันทั้งหมด จะช่วยคานกันเอง และมีโอกาสลดความผันผวนโดยรวมของเงินลงทุนได้ อีกประเด็นที่สำคัญสำหรับการลงทุนในวัฏจักรการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้ คือ ต้องให้ความใส่ใจกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาด เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่หลายปัจจัย ต้องมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด" จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 23:07:26

ความคิดเห็นที่ 5 @ กองทุนผสมผสานของธนชาต ตระกูลจิตร บอกว่า จากมุมมองดังกล่าวบริษัทจึงมีแนวคิดในการจัดตั้ง “กองทุนเปิดธนชาต Multi Asset Portfolio (T-MAP)” ซึ่งเป็นกองทุนต่างประเทศกองทุนใหม่ในรูปแบบของ Fund of Funds ที่จะเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศหลาย ๆ กองทุน กรอบการลงทุนจะเกี่ยวข้องกับประเภทสินทรัพย์ (Asset Classes) หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ เพราะกลุ่มสินทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนดีในแต่ละช่วงเวลา ยากที่จะคาดการณ์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ นอกจากนี้การลงทุนลักษณะนี้เป็นการเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากกลุ่มสินทรัพย์ที่หลากหลาย และช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนให้กับนักลงทุนอีกด้วย โดยกองทุนต่างประเทศที่กองทุนจะพิจารณาลงทุนเหล่านี้จะผสมผสานทั้งกองทุนที่เป็น “Active Funds” และ “Passive Funds” เพราะ Active Funds อาจจะเข้าไปลงทุนในบางตลาดได้ไม่ได้ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์อีกทั้ง Active Fund ยังไม่สามารถจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในทุกภาวะตลาด ในขณะที่ Passive Fund เป็นการลงทุนที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ที่ค่อนข้างหลากหลายได้ในต้นทุนที่ต่ำและยังสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ง่ายและสะดวกด้วย โดยกองทุน TMAP จะผสมผสานระหว่าง Active Fund ประมาณ 75% และ Passive Fund ประมาณ 25% ในแต่ละกลุ่มสินทรัพย์ในลักษณะของ “Actively Diversified Portfolio” กรอบการลงทุนของกองทุน T-MAP ในเบื้องต้นจะกระจายการลงทุนไปในหุ้น 50% ตราสารหนี้ 30% สินค้าโภคภัณฑ์ 15% อสังหาริมทรัพย์โลก 5% โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวการลงทุนในหุ้น +/- 20% หรือในช่วง 30-70% ตราสารหนี้ +/- 20% หรือในช่วง 10-50% สินค้าโภคภัณฑ์ +/- 10% หรือในช่วง 5-25% อสังหาริมทรัพย์โลก +/- 5% หรือในช่วง 0-10% และเงินสดในช่วง 0-55% ซึ่งหากลงทุนตามสัดส่วนนี้จากข้อมูลในอดีตพบว่าจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนเฉลี่ยขึ้นเป็น 9.73% ในขณะที่ค่าความผันผวนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 15.24% เรียกว่าเป็นการลงทุนผสมผสานที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในลักษณะของ “Passively Diversified Portfolio” หากลงทุนตามกรอบการลงทุนของกองทุน T-MAP ในแบบ “Actively Diversified Portfolio” ตามตัวอย่างนี้ จะทำให้ผลตอบแทนในปี 1999 อยู่อันดับ 2 ให้ผลตอบแทน 15.29% ปี 2000 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทนติดลบ 4.37% ปี 2001 อันดับ 7 ให้ผลตอบแทนติดลบ 7.48% ปี 2002 อันดับ 7 ให้ผลตอบแทนติดลบ 3.42% ปี 2003 อันดับ 4 ให้ผลตอบแทน 36.81% ปี2004 อันดับ 3 ให้ผลตอบแทน 16.47% ปี 2005 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทน 12.93% ปี 2006 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทน 17.26% ปี 2007 อันดับ 5 ให้ผลตอบแทน 16.70% ปี 2008 อันดับ 4 ให้ผลตอบแทนติดลบ 30.23% และปี 2009 (ก.ค.) อันดับ 3 ให้ผลตอบแทน 21.16% “จุดเด่นของกองทุน T-MAP ว่า แนวคิดการกระจายการลงทุนของ T-MAP จะเน้นการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพิ่มโอกาสและช่องทางสร้างผลตอบแทน ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนน้ำหนักตามสภาพเศรษฐกิจและตลาดทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนนั้น กองทุนจะพิจารณาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นได้จากการลงทุนในต่างประเทศตามความเหมาะสม และสภาวการณ์ในแต่ละขณะตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน” การลงทุนแบบผสมผสานในกลุ่มสินทรัพย์ที่หลากหลายในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวเช่นนี้  แม้จะไม่ใช่ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดกับคุณ แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดกับคุณเช่นเดียวกัน จึงถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่กำลังมองหาทางเลือกการลงทุนอยู่ไม่มากก็น้อย จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 23:07:45