เปิดสูตรลงทุนปี 53 โดยนักวิเคราะห์
|
|
เอามาฝากกันวันหยุด
โพสต์ทูเดย์ วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ปีหน้าลงทุนหุ้นจะเป็นวิกฤตหรือโอกาสขึ้นอยู่กับจังหวะเลือกซื้อหุ้น นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยในงานสัมมนาเจาะลึกเศรษฐกิจ...วิกฤตหรือโอกาสการลงทุนว่า ปีหน้าประเมินมูลค่าดัชนีเหมาะสมจะอยู่ที่ระดับ 650 จุด แต่เชื่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบกว้างๆ ระหว่าง 600-850 จุด แต่กรอบส่วนใหญ่น่าจะอยู่ในช่วง 670-780 จุด
ดังนั้น จะเป็นวิกฤตหรือโอกาสสำหรับผู้ลงทุนขึ้นอยู่กับจังหวะที่เข้าไปลงทุนว่าขณะ นั้นดัชนีอยู่ที่ระดับใด โดยแนะนำนักลงทุนให้จัดสรรการลงทุนให้ดี หากดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 600 จุด แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในหุ้นเป็น 60% ที่เหลือเป็นการลงทุนในหุ้นกู้ เงินฝาก เป็นต้น
หากดัชนีอยู่ที่ระดับ 650 จุด ให้ลงทุนในหุ้น 50% ดัชนีระดับ 750 จุด ลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 30% และหากดัชนีขึ้นไปที่ระดับ 800 จุด ให้ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นลงเหลือ 20% และเมื่อขึ้นถึงระดับ 850 จุด ให้ลดลงเหลือ 10% และให้ถือครองเงินสดทั้งหมด หากดัชนีขึ้นไปแตะระดับ 900 จุด แล้วเมื่อปรับตัวลดลงค่อยเข้าไปช้อนซื้อ
หุ้นปีหน้ามีความผันผวนไม่น้อยกว่าปีนี้ เพราะจากสถิติ 20 ปีย้อนหลัง มีเพียง 3 ปีเท่านั้นที่ระดับดัชนีต่ำสุดและสูงสุดห่างกันไม่ถึง 200 จุด ส่วนใหญ่จะเหวี่ยงตัวเกิน และคาดว่าปีหน้าก็เช่นกัน น่าจะเกิน 200 จุดเช่นกัน นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนมี.ค. นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเกือบ 6 หมื่นล้านบาท แต่ยังน้อยเมื่อเทียบกับก่อนเกิดวิกฤตซับไพรม์ มียอดซื้อสุทธิในหุ้นไทยสูงถึง 2 แสนล้านบาท แต่ในปัจจุบันไทยมีปัจจัยในประเทศทั้งความไม่ชัดเจนเรื่องมาบตาพุด ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา ดังนั้นไม่ควรคาดหวังว่าเงินลงทุนต่างชาติจะกลับมาซื้อสุทธิในระดับเดิม แต่ขณะเดียวกันไม่ควรมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ KEST กล่าวว่า ในภาวะดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนของผู้ลงทุน ส่วนกลุ่มธุรกิจที่น่าเข้าไปลงทุนให้เลือกธุรกิจที่อยู่คู่กับเศรษฐกิจใน ประเทศ เพราะมองว่าปีหน้าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เช่น ธนาคารพาณิชย์ และการบริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ปรับขึ้นในกลางปีหน้า หรือยกเว้นแต่ว่าจะเห็นเศรษฐกิจทั่วโลกขยายตัวร้อนแรง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยาก
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา นักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมด้านพลังงานและปิโตรเคมี และผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีมาบตาพุดประเมินไว้ว่าหากโครงการของกลุ่มบริษัท ปตท. (PTT) ล่าช้าไป 6 เดือน จะกระทบกำไรปีหน้าเพียง 5% เพราะโครงการเก่ายังสร้างรายได้ได้ตามปกติ และรับรู้ไปในราคาหุ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานที่แนะนำให้ลงทุนสูงสุด คือ หุ้นบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เพราะมีศักยภาพในการทำกำไร วิกฤตช่วงนี้เป็นโอกาสให้ซื้อ ปี 2553 หากตัดโครงการมอนทาราออกไป คาดว่ากำไรยังมีโอกาสเติบโต 54% จากปีนี้ เพราะราคาก๊าซสูงตามราคาน้ำมันที่คาดว่าเฉลี่ยที่ 75-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากปีนี้เฉลี่ย 64-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
จากคุณ |
:
จิ้งจกเขียว
|
เขียนเมื่อ |
:
14 พ.ย. 52 10:47:10
|
|
|
|