ความคิดเห็นที่ 1 ขอเกริ่นคำจำกัดความของคำว่า "บริษัทย่อย" และ "บริษัทร่วม" ก่อนนะครับ ปกติส่วนใหญ่บริษัทแม่มีบริษัทลูก ซึ่งเรียกตามเปอร์เซนต์ที่ถือหุ้น คือ.. 1.บริษัทย่อย คือบริษัทลูกที่บริษัทแม่ถือหุ้นมากกว่า 50 % หรือมีอำนาจในการบริหารอย่างมีนัยสำคัญ ในงบการเงินจะคิดรวมยอดขายและกำไรของบริษัทย่อยไปด้วย (ซึ่งก็คือช่อง งบการเงินรวม และอีกช่องจะเป็นงบเฉพาะบริษัท ซึ่งคืองบของบริษัทแม่อย่างเดียว) 2.บริษัทร่วม คือบริษัทย่อยที่บริษัทแม่ถือหุ้นประมาณ 25- 49 % และอาจมีส่วนบริหารบ้าง ในงบการเงินจะแสดงเงินลงทุนในบริษัทย่อยนี้ 2 วิธี คือ 2.1 วิธีราคาทุน (ที่คุณนัมถามนั่นละครับ) ซึ่งเป็นวิธีแสดงราคา"ทุน" ของเงินลงทุนนั้น คือเป็นราคาที่บริษัทแม่จ่ายไปครั้งแรก ที่ซื้อหรือร่วมหุ้น บริษัทย่อยนั้น... 2.2 วิธีส่วนได้ส่วนเสีย เป็นวิธีแสดงเงินลงทุนในบริษัทย่อย ณ.ปัจจุบัน  คือ เนื่องจากบริษัทดำเนินกิจการผ่านไป ย่อมมีผลกำไรขาดทุน ซึ่งทำให้เกิดกำไร-ขาดทุนสะสม ดังนั้นจึงต้องแสดงส่วนกำไร-ขาดทุนสะสมนั้น (ตามสัดส่วนที่ถือหุ้น) ในงบการเงินของบริษัทแม่ ดังนั้นจะพบว่า ส่วนใหญ่หากกิจการบริษัทย่อยมีผลกำไรสะสม เงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียจะสูงกว่าวิธีราคาทุนเสมอ แต่กลับกันหากบริษัทย่อยขาดทุนสะสม จะทำให้วิธีทุนราคาสูงกว่า.....วิธีที่เราดู ควรเป็น วิธีส่วนได้เสียมากกว่า --------------------------------------------------------- และเนื้อหาของกระทู้นี้ผทจะขอพูดถึง "งบการเงินซึ่งแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย" ครับ ขอเตรียมข้อมูลสักครู่ครับ ... Ref : www.intania82.com  K.Pood จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 12:21:13

ความคิดเห็นที่ 2 Study case ของผมในวันนี้คือ PB นะครับ PB มี บริษัท เพรซิเดนท์ไรซ์โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นอยู่ 37.52 % ซึ่ง PB จะมีฐานะเป็น "บริษัทร่วมของ" PR ปล. (ไม่ได้เชียร์หุ้น และผมก็ไม่มีหุ้น แต่เป็นหุ้นที่ผมใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของครับ) จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 12:31:35

ความคิดเห็นที่ 3 และนโยบายการจ่ายปันผลของ PR กำหนดไว้อย่างนี้ครับ จากคุณ : ย้ำอีกครั้งว่าผมไม่มีหุ้น (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 12:34:13

ความคิดเห็นที่ 4 ตามความเข้าใจของผม โดยดูงบดุลของ PR จะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ 1. งบการเงินซึ่งแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย 2. งบการเงินเฉพาะกิจการ (ซึ่งก็คือตัว PR นั่นเอง) ซึ่งหากเรามาดูที่ งบดุล ก็จะพบว่า "ทุกรายการ" ของทั้งสองส่วนนั้น "เหมือนกัน" หมด ยกเว้นช่อง เงินลงทุนในบริษัทร่วม ซึ่งตามความเข้าใจของผม หากเราดูที่ช่อง งบการเงินเฉพาะกิจการ นั่นจะหมายความว่า เราจะพิจารณาเฉพาะเงินก้อนที่เราลงทุนไป แต่เราจะไม่คิดถึงการเติบโต/ขาดทุน ของเงินก้อนนั้น ทำให้ก้อนเงินมีค่าคงที่ที่ 425,170 ........... ผมเข้าใจถูกไหมครับ ในทางกลับกัน หากเรามาดูที่ช่อง เงินลงทุนตามส่วนได้เสีย จะพบว่าเงินลงทุนนั้นมี "การเปลี่ยนแปลง" ไปตามผลของไตรมาสนั้นๆ ซึ่งจากข้อมูล ณ Q3/52  บริษัทมีเงินลงทุนในบริษัทร่วม 842,869 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน และก็เพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับ "เงินก้อนที่ลงทุนไป" .......... ผมเข้าใจถูกไหมครับ ในส่วนของรายการอื่น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นการดำเนินกิจการของ PR อย่างเดียว ที่จะมีเปลี่ยนแปลง ก็คือช่อง "เงินลงทุนในบริษัทร่วม" เท่านั้น เพราะว่า PR ไม่มีบริษัทลูกอื่นอีก  ......... ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 12:44:25

ความคิดเห็นที่ 5 ข้อมูลประกอบ คห. 4 ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 12:45:08

ความคิดเห็นที่ 6 ต่อมา มาดูที่ งบกำไรขาดทุน ซึ่งช่องที่ผมสงสัยมีอยู่สองช่อง ( hi light สีเหลืองกับสีเขียว ) นั่นคือช่อง เงินปันผลจากบริษัทร่วม และ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ตามที่ผมเข้าใจ เงินปันผลจากบริษัทร่วม (ซึ่งมาจาก PB) เอามาลงไว้ในงบการเงินเฉพาะกิจการ อันนี้ถูกต้องแล้ว เพราะถือว่าเป็น "รายได้" ที่ทาง PR ต้องได้ ในแง่ผู้ถือหุ้น และที่ไม่เอาไปลงในช่อง "ส่วนได้ส่วนเสีย" เพราะว่ามันไม่ใช่ "เงินลงทุน" ... ผมเข้าใจถูกไหมครับ แต่ที่ผมงงก็คือช่อง ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม  <---- ช่องนี้มันหมายความว่าอะไรครับ เงิน 141,085 นี่มันเป็นเงินอะไร  งง มันคือเงินก้อนแรกที่ PR ลงทุนไปแล้วมันงอกเงยขึ้นมา  มันไม่ใช่เงินปันผลใช่ไหมครับ ? งงครับ  ใครก็ได้ช่วยอธิบายให้ผมฟังที  ขอบคุณมากครับ (มีต่อ.........) จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 12:55:43

ความคิดเห็นที่ 7 ต่อไปเป็นในส่วนของ "งบกระแสเงินสด" ซึ่งหากเทียบกับ งบดุล และ งบกำไรขาดทุนแล้ว งบกระแสเงินสด ทำความเข้าใจได้ยากจริงๆครับ (งงมาก)   งั้นมาดูกันดีกว่า ................ งบกระแสเงินสด concept หลักคือ เราต้องสามารถ "กระทบ" ยอดเงินสด ต้นงวด(ใหม่) ให้ตรงกับเงินสดปลายงวด(เก่า) ให้ได้ ซึ่งในส่วนแรกที่จะขอพูดถึงก็คือ "กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน" ตามความเข้าใจของผม ก่อนที่จะไปดูถึงกิจกรรมดำเนินงาน ส่วนมากแล้วงบนี้จะต้องมีการ "ปรับ" กำไร "พิเศษ" ที่มาจากทางอื่นเสียก่อน (ตามกรอบสีแดง) หลังจากนั้นจึงค่อยมาดูในส่วนของกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งมันจะไปอ้างอิงกับตัวงบดุลอีกทีหนึ่ง .... ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : มีต่อ.... (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:10:44

ความคิดเห็นที่ 8 มานั่งรออาจารย์ lecture ขอบคุณครับ จากคุณ : ก้นเหวอยู่ไหน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:10:56

ความคิดเห็นที่ 9 ลงข้อมูลให้ครบก่อนครับ อันนี้เป็นกระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน และ กิจกรรมจัดหาเงิน ตามลำดับ ที่ผมงงก็คือ ทำไมตัวเลข (สีม่วง) ทั้งสองฝั่งมันมีค่า "เท่ากัน" หรือเพราะว่าเรามองตรงส่วนนี้รวมเป็นกิจการของ PR หมดแล้ว (ไม่เหมือนในส่วนของ กิจกรรมดำเนินงาน ที่วิธีส่วนได้ส่วนเสียจะต้องมีการปรับไปตามผลการดำเนินงานของ PB ) จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:18:18

ความคิดเห็นที่ 10 ช่วยดูให้หน่อยนะครับว่าผมเข้าใจถูกต้องไหม ? 1. จากงบกิจการ - กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กำไรสุทธิ 194743 เงินปันผล -90655        <-------------- ตรงนี้ต้องหักออกไปก่อน เพื่อต้องการกระทบเงินสดที่มาจาก "กิจกรรมดำเนินการ" จริงๆ เงินปันผลที่ถูกหักออกไป -90655 จะไปโผล่ที่ - กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน เงินปันผลจากบริษัทร่วม 48451   (คือได้เงินมา 48451)   ยังขาดอีก 42204 นั่นคือ "ยังไม่ได้รับ" ซึ่งข้อมูลจะบอกไว้ที่ บรรทัดสุดท้ายของรูป คห.9 เงินปันผลค้างรับ  42204   หากรวมแล้วก็จะครบ 90655 พอดี นั่นคือ ... ในส่วนของกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน มีการ "ตัด" รายได้ปันผลออกไป แล้วให้ไปรับรู้รายได้ใน กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน .... ผมเข้าใจถูกไหมครับ จากคุณ : มีต่อ.... (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:30:16

ความคิดเห็นที่ 11 ปาดดดดดดดดดดดดด ชิดขวา จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:32:14

ความคิดเห็นที่ 12 ที่ผมงงอีกจุดนึงก็คือ หากมาดูที่ งบการเงินตามวิธีส่วนได้ส่วนเสีย - กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กำไรสุทธิจะมีค่าเป็น 245173 (ซึ่งผมเข้าใจว่า รวมกับเงินที่ลงทุนใน PB ด้วย ... ผมเข้าใจถูกไหมครับ ) ในส่วนนี้จะมี "ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม" -141085 ตัวเลขติดลบ แสดงว่าต้องไปกระทบกับรายการใดรายการหนึ่ง แต่ผมหามันไม่เจอ อีกทั้ง ทำไมมันไม่มีในส่วนของ "เงินปันผลจากบริษัทร่วม" ด้วยล่ะครับ  ผมงง และที่งงเป็นสองเด้งก็คือ  ทำไมสุดท้ายแล้ว กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน ของทั้ง งบตามวิธีส่วยได้ส่วนเสีย และ งบเฉพาะกิจการ ถึงได้มีค่า "เท่ากัน"  ที่ค่า 147970 ล่ะครับ   มันเท่ากันได้ด้วยเหรอครับ  ช่วยอธิบายผมที ขอบคุณมากครับ กระทู้อาจดูเครียดไปสักหน่อย  ขอโทษที่ทำให้ต้องเครียดในยามวันหยุดเช่นวันนี้นะครับ รอฟังนะครับ .................... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 13:40:14

ความคิดเห็นที่ 13 โอ้ว... กระทู้สาระประจำวันหยุด ดีจังเลย ขอบคุณครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 14:02:47

ความคิดเห็นที่ 14 แหะๆ คำถามย้าวยาว มันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำความเข้าใจคำถาม อธิบายขัดตาทัพไว้ก่อนแล้วกันว่า ศัพท์ใช้กับงบการเงินมีเรียกกัน คือ 1. งบการเงินเดี่ยว(หรือเฉพาะกิจการ) 2. งบการเิงินรวม ส่วนงบการเงินที่แสดงตามวิธีส่วนได้เสีย มันก็เป็นงบการเงินเดี่ยวแบบหนึ่งซึ่งแสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย ตอบกำปั้นทุบดินเลย  (คือจะบอกว่ามันไม่ใช่งบการเงินรวมนะ) วิธีส่วนได้เสียคืออะไร   ก่อนอื่นทำความเข้าใจกับวิธีราคาทุนก่อน วิธีราคาทุน คือ ยังไม่บันทึกผลงานของบริษัทร่วมไม่ว่าจะกำไรเท่าไหร่ก็ตาม จะรับรู้รายได้ก็ต่อเมื่อมีเงินปันผลรับเข้ามา  ก็บันทึกเป็นรายได้ตามจำนวนเงินที่ได้รับ  ส่วนเงินลงทุนเท่าเดิมตลอด ซื้อมาเท่าไหร่ก็เท่านั้นไปเรื่อยๆ ส่วนวิธีส่วนได้เสีย คือ รับรู้ผลงานตามที่เกิดขึ้นตามสัดส่วนที่เราถือหุ้นอยู่ ถ้าบริษัทร่วมมีกำไร 100 บาท เราถือหุ้นอยู่ 40%  เราก็บันทึกเป็นรายได้ 40 บาท  ถ้าขาดทุน 100 บาท เราก็บันทึกขาดทุน 40 บาทเหมือนกัน ความแตกต่างสำคัญมันอยู่แค่นี้ล่ะครับ ในรูป คห.6  แบบซ้ายมือสุด คือ มีเงินปันผลเป็นรายได้ตามที่ได้รับมา ส่วนแบบส่วนได้เสียคือ รับรู้กำไรตามสัดส่วน  (โดยไม่ได้สนใจว่าบริษัทร่วมจะจ่ายเงินปันผลมาให้หรือเปล่า แต่รับรู้กำไรเลยตามสัดส่วน) ทีนี้พอเอามาทำงบกระแสเงินสด  กำไรที่รับรู้ตามวิธีส่วนได้เสียจะถูกหักออกไป เพราะยังไม่ได้รับเงินเข้ามาจริงๆ ส่วนเงินปันผลรับ เขาถือเป็นกิจกรรมลงทุน เวลาได้รับเงินมาเขาก็ต้องเอาไปใส่ไว้ในกิจกรรมลงทุนครับ แค่นั้นเองไม่มีอะไรมาก จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 14:31:47

ความคิดเห็นที่ 15 PR-PB(ผมถืออยู่ ) น้ำมัน เเป้ง น้ำตาล ปรับราคาขึ้นกำไรคงไม่หรูหลอกในปีหน้า แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 15:06:05 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 14:52:56 จากคุณ : lex999 เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 14:52:19

ความคิดเห็นที่ 16 สวัสดีครับคุณ TingTing ขอบคุณมากเลยครับ เข้าใจแล้ว สรุปแล้ว มันก็คืองบการเงินเดี่ยว เพียงแต่ "เลือก" ว่าจะแสดงในรูปแบบไหน สินะครับ ^^ "ในรูป คห.6  แบบซ้ายมือสุด คือ มีเงินปันผลเป็นรายได้ตามที่ได้รับมา ส่วนแบบส่วนได้เสียคือ รับรู้กำไรตามสัดส่วน  (โดยไม่ได้สนใจว่าบริษัทร่วมจะจ่ายเงินปันผลมาให้หรือเปล่า แต่รับรู้กำไรเลยตามสัดส่วน)" เข้าใจแล้วครับ คำถาม  แล้วอย่างนี้ เวลาเราดูผลประกอบการ เราควรดู "แบบไหน" ดีกว่าครับ หรือว่าจริงๆแล้ว ดูแบบไหนก็ได้ !? "ทีนี้พอเอามาทำงบกระแสเงินสด  กำไรที่รับรู้ตามวิธีส่วนได้เสียจะถูกหักออกไป เพราะยังไม่ได้รับเงินเข้ามาจริงๆ ส่วนเงินปันผลรับ เขาถือเป็นกิจกรรมลงทุน เวลาได้รับเงินมาเขาก็ต้องเอาไปใส่ไว้ในกิจกรรมลงทุนครับ" เรื่องเงินปันผลรับ ผมเข้าใจแล้วครับ แต่ส่วนเรื่อง "กำไรที่รับรู้ตามวิธีส่วนได้เสียจะถูกหักออกไป เพราะยังไม่ได้รับเงินเข้ามาจริงๆ"   ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ   กำไรถูกหักออกไป เพราะยังไม่ได้รับเงินเข้ามา คำถาม แล้วเงินมันจะเข้ามาตอนไหนครับ ? ขอบคุณมากๆครับผม จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 14:58:16

ความคิดเห็นที่ 17 ผมไม่เก่งบัญชีครับ แต่ก็คิดตามครับ ได้ลับรอยหยักในหัวดี ขอแชร์ตามนี้ครับ #4 ผมก็คิดเหมือนกัน เงินลงทุนในบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย เพิ่มขึ้นเพราะ PR ได้ลงทุนเพิ่มกับ PB #6 ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม มาจากเงินที่ PR นำไปลงทุนร่วมกับ PB เมื่อกำไรก็แบ่งกันครับ PB ก็มี 1,568,000 บาท #7 เงินปันผลจากบริษัทร่วมเกิดจากการลงทุนจึงไปโผล่ที่กระแสเงินสดจากการลงทุนซึ่งจะกระทบกับ ตัวเงินปันผลรับกับเงินปันผลค้างรับ ส่วนเงินกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม ผมคิดว่ามันก็ไปกระทบกับกำไรสุทธิก่อนภาษีครับ **นั่งคิดตั้งนาน คิดไปทำงานไป คำตอบมาก่อนซะแล้ว...คิคิ แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 15:22:54 จากคุณ : เราชอบคนรักกัน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:03:14

ความคิดเห็นที่ 18 มานั่งคิดๆดู  ผมว่าผมดูแบบงบการเงินเฉพาะกิจการ อย่างเดียวดีกว่า โดยคิดว่าเงินปันผลก็ได้รับมาจากการเป็นผู้ถือหุ้น PB พอ  ง่ายดี ไม่ปวดหัวด้วย อิอิ ขอบคุณ คุณ TingTing มากๆครับ  หายงงแล้ว สมองโปร่งเลยครับ เรื่องนี้จบครับ -------------------------------------------- มีเรื่องใหม่แทน  นั่นคือเรื่อง "ค่าเสื่อมราคา" ค่าเสื่อมราคาตามที่ผมเข้าใจก็คือ ค่าเสื่อม (มูลค่าลดลงตามกาลเวลา) ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรหรือแม้กระทั่ง "ที่ดิน" !? ผมดูงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ของหุ้นเกือบทุกตัวที่ผมถือ ส่วนใหญ่จะมี "ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย" ซึ่งค่านี้จะถูกตัดไปในทุกๆรอบไตรมาส ผมงงว่า  หากเราไปดูที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน กรณีหากมีการซื้ออาคาร/อุปกรณ์  ตรงนี้เราก็ถือว่าเป็นรายจ่าย ผมงงว่าทำไมต้องมาเพิ่มเงิน ตรงส่วนของกิจกรรมดำเนินงานอีก  งงครับ ช่วยอธิบายที  เพราะผมเข้าใจว่าซื้อเครื่องจักรมา ถูกต้องแล้วว่าต้องมีค่าเสื่อมราคา ซึ่งค่าเสื่อมราคาตามความเข้าใจของผม มันต้องเป็น "รายจ่าย" แต่ทำไมในกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานมันถึงเป็น "รายรับ" ล่ะครับ   แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 15:46:34 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:30:01

ความคิดเห็นที่ 19 อ่า งงคำถามในคห 18 ค่าเสื่อมราคามันนำมาบวกกลับในงบกระแสเงินสดไม่ใช่หรือคะ จากคุณ : Samsara เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:39:04

ความคิดเห็นที่ 20 แล้วเงินสดที่จ่ายเป็นค่าเสื่อมราคา จ่ายออกในรูปแบบไหนครับ??  เป็นเอกสารอ้างอิงที่บริษัทฯทำขึ้นเองเหรอครับ ใครเป็นผู้รับเงินส่วนนี้ไป?? จากคุณ : เราชอบคนรักกัน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:42:36

ความคิดเห็นที่ 21 ถึงคุณ Samsara   ขอบคุณมากที่ทัก  ผมเขียนผิดเองครับ สรุปอีกที ... เราซื้อเครื่องจักรมา  เราต้องจ่ายเงินไป เครื่องจักรเมื่อเราใช้งานไป มันต้องมีการเสื่อมสภาพ ดังนั้นเราจึงต้องคิดค่าเสื่อมราคา (โดยการหักลดมูลค่าของมันลงไปเรื่อยๆ) แต่ผมงงว่า ทำไมเราไปบวกเพิ่มในกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานน่ะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:48:48

ความคิดเห็นที่ 22 จริงๆ ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกันค่ะ กำลังศึกษาอยู่  มีตัวอย่างคัดมาจากหนังสือแกะเงื่อนงบการเงินของดร ภาพร เอกอรรถพรค่ะ "ค่าเสื่อมราคาถือเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีที่ไม่เป็นเงินสด (บริษัทอาจจ่ายเงินซื้อสินทรัพย์เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่บริษัทยังคงบันทึกค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายในงวดนี้) ในเมื่อค่าเสื่อมราคารวมอยู่ในการคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิ บริษัทจึงจำต้องดึงค่าเสื่อมราคาออกจากกำไรขาดทุนสุทธิ แต่ค่าเสื่อมราคาเคยทำให้ "กำไร (ขาดทุน) สุทธิ" ที่แสดงในงบกำไรขาดทุนมีจำนวนลดลง ดังนั้นการ "ดึง" ค่าเสื่อมราคาออกจาก "กำไร (ขาดทุน) สุทธิ" จึงทำให้บริษัทต้องนำค่าเสื่อมราคานั้นมา "บวกกลับ" ตัวอย่าง บริษัทมีรายได้ 10 บาท ค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสด 5 บาทและค่าเสื่อมราคา 2 บาท เมื่อบริษัทนำรายได้ไปลบกับค่าใช้จ่าย "กำไร (ขาดทุน) สุทธิ" ที่แสดงในงบกำไรขาดทุนจะเท่ากับ 3 บาท ในการจัดทำงบกระแสเงินสด บริษัทต้องปรับค่าเสื่อมราคาออกจาก "กำไร (ขาดทุน) สุทธิ" นั่นหมายความว่า บริษัทต้องนำค่าเสื่อมราคา (ที่ไม่เป็นเงินสด) จำนวน 2 บาท บวกกลับเข้าไปใน "กำไร (ขาดทุน) สุทธิ" (3+2=5) เพื่อให้ได้ "กำไรขาดทุนสุทธิที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่ไม่เป็นเงินสด" จำนวน 5 บาท (ซึ่งเท่ากับการนำรายได้ 10 บาทไปลบค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินสด 5 บาท) ดังนั้นในการหากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เราจึงเห็นบริษัทนำ "ค่าใช้จ่ายหรือรายการขาดทุนที่ไม่เป็นเงินสด (Non cash expenses and losses)" มาบวกกลับเข้าไปใน "กำไร (ขาดทุน) สุทธิ" การบวกกลับนี้ทำให้กำไรสุทธิที่ปรับแล้ว (รู้จักกันในนามของ "กำไรสุทธิที่เป็นเงินสด" มีจำนวนสูงกว่ากำไรสุทธิตามเกณฑ์คงค้าง...." จากคุณ : Samsara เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 15:53:49

ความคิดเห็นที่ 23 ถามต่อเรื่องค่าเสื่อมครับ วิธีคิดค่าเสื่อมราคาของแต่ละบริษัทและแต่ละชนิดของสินทรัพย์เป็นวิธีคิดแบบเดียวกันหรือไม่ครับ เพราะดูและค่าเสื่อมก็มีผลกับผลประกอบการพอควรหากมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมากค่าเสื่อมก็มากตาม ทำให้มีค่าใช้จ่ายมากตาม ทำให้ผลกำไรทางบัญชีลดลง เหมือนกำไรจริงๆส่วนหนึ่งกลับไปเป็นเงินสดกลับเข้ามาที่บริษัทฯโดยที่ไม่ต้องแบ่งให้กับผู้ถือหุ้น และในงบกำไรขาดทุนส่วนค่าเสื่อมที่หักออกไปอยู่ในหมวดไหนครับ?? จากคุณ : เราชอบคนรักกัน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:03:50

ความคิดเห็นที่ 24 ตอบ#16 คำถาม question  แล้วอย่างนี้ เวลาเราดูผลประกอบการ เราควรดู "แบบไหน" ดีกว่าครับ หรือว่าจริงๆแล้ว ดูแบบไหนก็ได้ !? *** ผมว่าก็มีประโยชน์ทั้งสองอย่าง  แบบราคาทุนมันเป็นเนื้อเป็นน้ำ  เห็นชัดเจนว่าบริษัทเอาเงินไปลงทุน แล้วได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นเงินสด (คือเงินปันผล)เท่าไหร่ แต่วิธีส่วนได้เสีย ก็ทำให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นว่า บริษัทที่ลงทุนไปมีกำไรขาดทุนมากน้อยแค่ไหน  เพราะถ้าดูแต่เงินปันผลอย่างเดียวอาจจะถูกหลอกได้ ถ้าบริษัทร่วมมีกำไรมาก แต่ไม่จ่ายปันผลหรือจ่ายน้อย ถ้าใช้วิธีราคาทุนเราก็จะมองไม่เห็นว่าเงินลงทุนตัวนี้มีค่าขนาดไหน แต่ถ้าใช้ส่วนได้เสียอย่างเดียวก็อาจจะโดนหลอกได้ ถ้าบริษัทนั้นขาดทุนแล้วเอากำไรสะสมมาจ่ายปันผล เราก็นึกว่ามีกำไร ------------------- กำไรถูกหักออกไป เพราะยังไม่ได้รับเงินเข้ามา คำถาม question แล้วเงินมันจะเข้ามาตอนไหนครับ ? *** เงินมันก็เข้ามาในรูปเงินปันผลครับ  หรือไม่ก็ตอนขายเงินลงทุนออกไป งบกระแสเงินสดมีประโยชน์ตรงที่ทำให้เห็นว่าจริงๆ แล้วที่โชว์ว่ากำไร มันเป็นกำไรที่เป็นเงินจริงๆ หรือเป็นแค่กำไรทางบัญชี   ซึ่งตรงนี้ก็ตอบคำถามข้อค่าเสื่อมได้ ในงบกำไรขาดทุนไม่ได้เอาเครื่องจักรทั้งก้อนไปลงเป็นค่าใช้จ่าย แต่แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายไปตามงวด   แต่ในงบกระแสเงินสด การเอาเงินไปซื้อเครื่องจักรมันทำให้เงินสดลดลง ก็เอาทั้งก้อนไปหักออก เป็นเงินจ่ายออกไป ตัวอย่าง สมมุติว่าบริษัทซื้อเครื่องจักรมา 200 บาท อายุการใช้งาน 10 ปี ในงบกำไรขาดทุนจะมีค่าเืสื่อมราคา 20 บาท ไปทุกๆ ปี (จนครบ 10 ปี) สมมุติว่ามีกำไรสุทธิ 90 บาทไปทุกๆ ปี ในงบกระแสเงินสด ปีที่หนึ่ง เราจะหาว่ากำไรสุทธิที่เป็นเงินเข้ามาจริงๆ เท่าไหร่ ก็เอากำไรบวกค่าเสื่อมกลับเข้าไป เป็นเงินสดจากการดำเนินงาน (+110 บาท) และมีเงินสดจ่ายในกิจกรรมลงทุน 200 บาท  (เท่ากับมีเงินสดรับ 110 บาท จ่าย 200 บาท  สุทธิแล้วติดลบ 90 บาท) ปีที่สอง และปีต่อๆ ไป มีกำไรสุทธิ 90 บาท บวกค่าเสื่อม 20 บาท  เท่ากับ 110 บาท  ไม่มีการลงทุน สุทธิแล้วก็จะมีเงินเพิ่มเข้ามา 110 บาท ถ้าให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ งบกระแสเงินสดก็เหมือนกับทำงบกำไรขาดทุนในแบบเกณฑ์เงินสด  (เงินรับมาแล้วถึงจะถือเป็นรายได้  จ่ายไปเท่าไหร่ก็ถือเป็นรายจ่ายทั้งก้อน) จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:19:48

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณ คุณ  Samsara อีกครั้งครับ   อ่านจากอาจารย์คนเดียวกันเลยครับ ดร.ภาพร  แกเขียนหนังสือ ใช้คำได้เข้าใจง่ายดีนะครับ ขนาดคนไม่มีพื้นฐานด้านบัญชีอย่างผม อ่านแล้ว ยังพอรู้เรื่องเลย  ยกเว้น ค่าเสื่อมราคา   (สงสัยเล่มนั้น ผมยังไม่ได้อ่าน) อ่าน คห.22 จบปุ๊ป  เข้าใจขึ้นอีกเยอะเลยครับ เข้าใจแล้วว่าทำไมในงบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานถึงต้อง "เพิ่ม" ค่าเสื่อมราคาลงไป คำถามครับ  แล้วมันจะต้องบวกเพิ่มไปถึงเมื่อไหร่   แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับว่า เครื่องจักร/อุปกรณ์ที่บริษัทนั้นซื้อมา  ค่าเสื่อมราคาจะลดเสร็จ ถึงเมื่อไหร่ น่ะครับ พูดง่ายๆก็คือ  ต้องบวกไปเท่าไหร่ (ในกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน) กว่ามันจะครบน่ะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:24:08

ความคิดเห็นที่ 26 วิธีคิดค่าเสื่อมอยู่ในนโยบายการบัญชีครับ  วิธีคิดก็มีหลายแบบ ต่างบริษัทก็ต่างกันได้จริงๆ และอาจจะทำให้ถูกหลอกได้เหมือนกัน   เวลาเปรียบเทียบงบต่างบริษัทก็ควรดูด้วยเหมือนกันว่าใช้วิธีเดียวกันหรือเปล่า  ถ้าต่างวิธีกันแล้วมีสินทรัพย์มากก็ทำให้เปรียบเทียบกันได้ยากครับ **แล้วค่าเสื่อมลงเยอะๆ เพื่อให้กำไรลดลงจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินปันผลใช่ไหม? ก็มีมาตรฐานในการคิดครับ คือคิดตามอายุการใช้งานของสินทรัพย์   มองในอีกแง่หนึ่งก็คือ เป็นสำรองเก็บไว้ เวลาเครื่องจักรเก่าหมดสภาพก็ต้องไปซื้อมาใช้ใหม่  ถ้าไม่คิดค่าใช้จ่ายเผื่อไว้ก็เหมือนหลอกตัวเองว่ามีกำไรเยอะ **แล้วค่าเสื่อมไปลงไว้ตรงไหนในงบกำไรขาดทุน? แล้วแต่ประเภทสินทรัพย์ครับ  ถ้าเป็นเครื่องจักรผลิตสินค้า มันก็ไปรวมอยู่ในต้นทุนขาย  ถ้าเป็นอุปกรณ์สำนักงานมันก็จะไปรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการบริหาร จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:29:33

ความคิดเห็นที่ 27 เราชอบกระทู้นี้มากเลยนะ เพราะว่าเป็นประโยชน์มากๆ เราก็ได้เรียนรู้ไปด้วย  อยากให้คุณคนจนตั้งกระทู้แบบนี้บ่อยๆ นะคะ ส่วนเรื่องค่าเสื่อม คห 23 เราเข้าใจว่าแต่ละบริษัทอาจจะมีนโยบายการตัดค่าเสื่อมต่างกัน แต่ว่าต้องใช้วิธีการคิดค่าเสื่อมแบบเดียวกันสำหรับสินทรัพย์ทุกประเภท  แตกต่างกันตรงอายุการใช้งานของสินทรัพย์ เช่นอาคารสำนักงาน 20 ปี  อุปกรณ์สำนักงาน 5 ปี   ในงบกำไรขาดทุนนี่ ค่าเสื่อมจะถูกรวมอยู่ในต้นทุนขาย หรือไม่ก็ค่าใช้จ่ายในการขาย/บริหารค่ะ ผิดถูกอย่างไรให้คุณ TingTing หรือผู้รู้ท่านอื่นมาอธิบายนะคะ จากคุณ : Samsara เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:34:41

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ #25 ดูนโยบายการบัญชีในหมายเหตุประกอบงบฯ ครับ ว่าเขาจะตัดค่าเสื่อมกี่ปี กี่เปอร์เซ็นต์ แต่จะเอาแบบเป๊ะๆ เลยคิดได้เองเลยคงไม่ได้ คือของเก่าไป ก็มีของใหม่มา  เขาก็มีซื้อสินทรัพย์วนเีวียนกันไปเรื่อยๆ ทุกๆ ปี ตัวเลขมันก็รวมๆ กันอยู่ เขาไม่ได้แยกไว้ให้เห็น เราคำนวณเองไม่ได้ ได้แต่ประมาณเอาครับ จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:35:37

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากๆครับทั้งคุณ TingTing  และคุณ Samsara  ช่วยผมได้เยอะเลย ตอนนี้คำถามเริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆ  ผมขอตัวไปเตรียมข้อมูลที่จะถามต่อไปก่อนนะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:36:40

ความคิดเห็นที่ 30 อ้าวคุณ TingTing มาตอบก่อน ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : Samsara เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:39:52

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่ถนัดสายนี้อย่างแรง อ่านแล้วงง 555+ ยอมแพ้คับ ไปเปนนักเกร็งกำไลต่อดีก่า จากคุณ : มึนตึน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:44:48

ความคิดเห็นที่ 32 ในงบกำไรขาดทุนไม่ได้เอาเครื่องจักรทั้งก้อนไปลงเป็นค่าใช้จ่าย แต่แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายไปตามงวด   แต่ในงบกระแสเงินสด การเอาเงินไปซื้อเครื่องจักรมันทำให้เงินสดลดลง ก็เอาทั้งก้อนไปหักออก เป็นเงินจ่ายออกไป ตัวอย่าง สมมุติว่าบริษัทซื้อเครื่องจักรมา 200 บาท อายุการใช้งาน 10 ปี ในงบกำไรขาดทุนจะมีค่าเืสื่อมราคา 20 บาท ไปทุกๆ ปี (จนครบ 10 ปี) สมมุติว่ามีกำไรสุทธิ 90 บาทไปทุกๆ ปี ในงบกระแสเงินสด ปีที่หนึ่ง เราจะหาว่ากำไรสุทธิที่เป็นเงินเข้ามาจริงๆ เท่าไหร่ ก็เอากำไรบวกค่าเสื่อมกลับเข้าไป เป็นเงินสดจากการดำเนินงาน (+110 บาท) และมีเงินสดจ่ายในกิจกรรมลงทุน 200 บาท  (เท่ากับมีเงินสดรับ 110 บาท จ่าย 200 บาท  สุทธิแล้วติดลบ 90 บาท) ปีที่สอง และปีต่อๆ ไป มีกำไรสุทธิ 90 บาท บวกค่าเสื่อม 20 บาท  เท่ากับ 110 บาท  ไม่มีการลงทุน สุทธิแล้วก็จะมีเงินเพิ่มเข้ามา 110 บาท -------------------------------------------------------------------------- ขอผมอธิบายตามความเข้าใจของผมนะครับ จากกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน สำหรับงวด Q3 บริษัทจ่ายเงินซื้ออาคารและอุปกรณ์จำนวน 97111 บาท เงินจ่าย 97111 บาทนี้ เป็นเงินจ่าย "นับรวม" จนถึงวันที่ 30 กันยาใช่ไหมครับ ? แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าบริษัทเขา "เริ่ม" จ่ายเงินซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ เข้าใจที่ผมถามป่าวครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:47:43

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณคุณ คนจนที่อยากรวย / Samsara / Tingting ครับ ได้เยอะเลยครับ จากคุณ : เราชอบคนรักกัน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:49:03

ความคิดเห็นที่ 34 ต่อเนื่องเลยนะครับ หากมาดูที่งบจากกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งจะมีค่าเสื่อมราคาปรากฎอยู่ ตามภาพคือ 44467 บาท ผมอยากทราบว่า ค่าเสื่อมราคานี้ เป็นค่าเสื่อมราคาจากไหนครับ ใช่เป็นค่าเสื่อมจาก การซื้ออุปกรณ์ตาม คห32 ที่ผมกล่าวไปหรือเปล่า และหากดูเทียบกับปี 2551 ก็จะพบว่า มีการคิดค่าเสื่อมราคาอยู่ นั่นคือบริษัททยอยจ่ายมานานแล้วใช่ไหมครับ  ? ผมอยากรู้ว่า ค่าเสื่อมที่จ่ายอยู่ตอนนี้ กับเงินที่ซื้ออาคาร/อุปกรณ์ไป ณสิ้น q3 นั้น  มัน "อันเดียวกัน" หรือเปล่าครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:52:40

ความคิดเห็นที่ 35 อ้างอิงจาก คห.26 **แล้วค่าเสื่อมไปลงไว้ตรงไหนในงบกำไรขาดทุน? แล้วแต่ประเภทสินทรัพย์ครับ  ถ้าเป็นเครื่องจักรผลิตสินค้า มันก็ไปรวมอยู่ในต้นทุนขาย  ถ้าเป็นอุปกรณ์สำนักงานมันก็จะไปรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายในการบริหาร นั่นหมายความว่า หากเป็นเครื่องจักร  ค่าเสื่อมจะถูกคำนวณให้อยู่รวมกับ "ต้นทุนขาย" โดยที่เราไม่สามารถทราบจำนวนเงินได้เลยใช่ไหมครับ ? จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 16:56:22

ความคิดเห็นที่ 36 ถึงคุณมึนตึน 555 งงอะดิครับ  ผมเองก่อนหน้านั้นก็งงมาก เพราะเกิดมาไม่เคยเรียนบัญชีเลย ตอนเล่นหุ้นใหม่ๆ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า q1 q2 q3 มันต่างกันยังไง เลยซื้อหนังสือมาอ่าน  เวลาผ่านไปเลยพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ก็พอดูงบการเงินคร่าวๆได้  กำลังขับเคี่ยวกับงบกระแสเงินสดอยู่ (ยอมรับว่ายากที่สุด) กระทู้นี้ทำให้ผมเข้าใจได้มากขึ้นเยอะเลย ดีครับ  ขอบคุณมากๆ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 17:07:40

ความคิดเห็นที่ 37 #35 ผมคิดว่ามันก็ต้องมาดูในงบกระแสเงินสดไงครับว่ามันแฝงอยู่เท่าไหร่ ต้องดูคู่กันไป จากคุณ : เราชอบคนรักกัน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 17:13:48

ความคิดเห็นที่ 38 #34 เงินจ่าย 97111 บาทนี้ เป็นเงินจ่าย "นับรวม" จนถึงวันที่ 30 กันยาใช่ไหมครับ ? แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าบริษัทเขา "เริ่ม" จ่ายเงินซื้อตั้งแต่เมื่อไหร่ **** ดูที่หัวงบครับ ว่าเป็นงบสำหรับงวดไหน สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ปปปป   (ก็คือระหว่าง 1 มค - 30 กย) จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 17:58:33

ความคิดเห็นที่ 39 #35 หากมาดูที่งบจากกิจกรรมดำเนินงาน ซึ่งจะมีค่าเสื่อมราคาปรากฎอยู่ ตามภาพคือ 44467 บาท ผมอยากทราบว่า ค่าเสื่อมราคานี้ เป็นค่าเสื่อมราคาจากไหนครับ **** ค่าเสื่อมราคาจากอาคารและอุปกรณ์ ที่มีทั้งหมดครับ ไม่ใช่เฉพาะตัวที่เพิ่งซื้อมา   และถ้าเป็นค่าตัดจำหน่ายก็หมายถึง บริษัทมีสินทรัพย์อย่างอื่นด้วยที่จะตัดจ่ายเป็นงวดๆ ไม่ได้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทั้งก้อนในปีที่ได้มา เช่น ไปทำสัญญาเช่าที่ดิน 30 ปี  แต่จ่ายเงินทั้งก้อนในปีแรกปีเดียว  แบบนี้ก็จะตัดจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายไป 30 ปี เพิ่มเติม :- อะไรที่มันลงท้ายด้วยคำว่า "สุทธิ" นี่แปลว่ามันจะต้องมีอะไรมาหัก เช่น ขายสุทธิ  แปลว่า ขายหักส่วนลด,  ลูกหนี้สุทธิ แปลว่า ลูกหนี้หักค่าเผื่อหนี้สูญ ที่ดิน อาคารสุทธิ  แปลว่า หักค่าเสื่อมสะสม ฯลฯ ถ้าเขามีรายละเอียดว่าหักอะไร  เขาจะใส่ไว้ในหมายเหตุประกอบงบฯ  (ตัวเลขข้างหน้านั่นแหละครับ) แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 52 18:04:58 จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 17:59:46

ความคิดเห็นที่ 40 หากเป็นเครื่องจักร  ค่าเสื่อมจะถูกคำนวณให้อยู่รวมกับ "ต้นทุนขาย" โดยที่เราไม่สามารถทราบจำนวนเงินได้เลยใช่ไหมครับ ? ***** ใช่ครับ  ถ้าเขาไม่ได้ทำ "งบต้นทุนขาย" มาให้ดู เราก็จะไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ ในนี้มันมีหลายอย่าง ทั้งค่าเสื่อมราคา ค่าแรงคนงาน ค่าวัตถุดิบ ค่าไฟฟ้าในการผลิต ฯลฯ (แล้วทำไมเขาไม่ทำให้ดู --- ส่วนหนึ่งเขาก็ไม่อยากเปิดเผยมาก เดี๋ยวจะเสียเปรียบคู่แข่ง ถ้าอยากรู้จริงๆ อาจจะต้องลองไปขอโดยตรงจากบริษัท หรือขอเอาจากมาร์ ให้เขาไปขอจากนักวิเคราะห์ของเขาอีกที (เขาน่าจะมีตัวเลขคร่าวๆ) จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 18:02:02

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณคุณ TingTing มากๆครับ  ซาบซึ้งในน้ำใจครับ (ถึงขั้นทำรูปด้วย สุดยอดแห่งความทุ่มเท) วันนี้ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการเงินเยอะมากๆ ต้องขอบคุณอีกครั้ง เนื้อหาหนักๆได้จบลงไปแล้ว  แต่กระทู้นี้ยังไม่จบง่ายๆ  อิอิ --------------------------------------------------------------------- คุณ TingTing จบสายบัญชีมาหรือเปล่าครับ หรือว่าศึกษาเอง แล้วคุณ TingTing ได้ลงทุนในหุ้นด้วยหรือเปล่าครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่า หากนับบัญชีที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท นำความรู้ มาลงทุนในหุ้น ........... จะเป็นอย่างไร ? ผมว่าน่าจะเป็นวิธีที่เยี่ยมยอดไปเลยนะครับ อยากทราบมุมมองครับ ? จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 18:19:05

ความคิดเห็นที่ 42 คุณคนจนฯ ครับ ผมว่าคุณคงเรียนผิดสายมาแน่ๆเลย... น่าจะเรียนบัญชีเนอะ.. หรืออย่างน้อยก็การเงินหรือเศรษฐศาสตร์ แต่ถ้ารู้ว่าจะมาเล่นหุ้นแบบนี้... และวิเคราะห์จากงบการเงินแบบนี้... ต้องเรียนบัญชีสถานเดียว...ไม่เป็นไร... เอาอีกปริญญาก็ได้ หรือเรียนรู้โดยไม่ต้องรับปริญญาก็ได้.. ปริญญาค่าคือกระดาษ.. ถ้าคนที่รับไม่รู้จักนำไปใช้... จริงแม๊ะ.... ผมเคยบอกคุณคนจนฯ ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ผมจบมาทางด้านนี้ และผมไม่เชื่อ งบการเงินของบริษัทแทบจะทุกบริษัทในตลาดหุ้นว่าจะเสนอข้อเท็จจริง แม้จะ มีผู้สอบบัญชีเซ็นรับรองแล้วก็ตาม มันมีอะไรซ่อนอยู่เยอะ.. ผมเคยรู้ เคยทำ มากับมือ แต่เขียนออกมาไม่ได้ ขาเหยียบเข้าคุกแน่... ทุกอย่างที่คุณสงสัย ผมว่าผมอธิบายได้ แต่ไม่ใช่เขียนอธิบายในกระทู้อย่างนี้ ต้องอธิบายกันแบบ ตัวต่อตัว หรือแบบในชั้นเรียน (ผมเคยเป็นครูด้วย) ในกระทู้ผมจำเป็นต้อง ขอบาย..ครับ  แต่ถ้าอยากรู้จริงๆ ต้องถามเป็นส่วนตัว และถ้าจะให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง ต้องแบบเจอตัว จะกี่คนก็ได้ มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกครับ.... ปัญหาหลักคือ ผมอยู่ ต่างจังหวัดครับ..... โชคดีครับ จากคุณ : SkyNight เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 18:38:28

ความคิดเห็นที่ 43 หวัดดีครับ คุณ SkyNight ผมกำลังคิดอยู่ ว่าอยากเรียนต่อในสายบัญชีไม่ก็เศรษฐศาสตร์ แต่ว่า .... เอาเป็นความรู้จากนอกห้องเรียนก็น่าจะเพียงพอ  แล้วมั้ง !? อิอิ ส่วนเรื่อง "อีกด้านหนึ่งของงานบัญชี" ผมขอไม่ออกความเห็นละกันครับ - -" ลงทุนเท่าที่รู้นี่ล่ะครับ ส่วนว่ามันจะซ่อนเงื่อนอย่างไร ผมขอถือว่า ทุกคนรับรู้เท่ากันกับผม นั่นคือ ผ่านผลประกอบการที่ออกมาเหมือนๆกัน จะโดนหลอก ก็โดนหลอกเหมือนกันครับ  ฮาาาาาาาาาา จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 19:11:48

ความคิดเห็นที่ 44 มาแอบอ่าน.. จากคุณ : สินธร เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 19:35:30

ความคิดเห็นที่ 45 ผมว่า เท่าที่คุณใฝ่รู้พยายามศึกษาจนได้ระดับนี้ ก็น่าพอใจแล้วหละครับ.. บางส่วนที่ลึกกว่านี้ รู้ไปก็ไลฟ์บอย.. รู้มากจะยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ.... เอาเป็นว่า เท่าที่เป็นอยู่นี้ คุณคนจนฯ เล่นหุ้นได้อย่างสบายใจแบบกึ่ง VI ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงทำให้ Panic กันหมดแบบ 19 กย. ละก็.. ไม่น่าเป็นห่วงครับ...  ผมเองนักบัญชีแท้ๆ ยังเจ็บหนักมาแล้ว แต่ก็ตัดเป็นหนี้สูญ ไปหมดแล้ว ผมถือว่า ตอนนี้ผมมีเงินเท่านี้ ไม่เคยมีมากกว่านี้ และจะพยายาม ทำให้มันงอกเงยแบบช้าๆ ไม่จำเป็นต้องหวือหวา แต่ก็ต้องไม่เจ็บตัวแบบเดิม อีกแล้ว ทุกตัวที่ลง ต้องเซฟพอสมควร ไม่งั้นคัททันที และเจ็บแล้วต้องจำ ตัวไหนทำกับเราไว้ยังไง ไม่ต้องหันไปดูเลย  หุ้นมีตั้งหลายร้อยตัวเลือกเอา แค่ 5-6 ตัวมาเล่นไม่ได้เลยเชียวหรือ.. มีบริษัทดีๆที่เพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นเจ้า ของหลายบริษัท แต่ผมก็ไม่เล่น เพราะมันดีเกินไป เล่นเป็น VI ได้อย่างเดียว ซึ่งต้องได้ราคาต่ำมากๆ และถือไว้เยอะถึงจะคุ้ม ผมไม่มีโอกาสอย่างนั้น จึงขอเล่นตามสบายและตามใจตัวเองดีกว่า.... จากคุณ : SkyNight เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 19:47:01

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณคุณ SkyNight นะครับ ที่แบ่งปันประสบการณ์ให้ได้รับรู้ ผมเป็นกำลังใจให้นะครับ  คุณมีประสบการณ์มาก ความเจ็บช้ำจะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น ส่วนตัวผม นับวันยิ่งชัดเจนในแนวทางของผมแล้วล่ะครับ ผมคงหนีห่างจากการลงทุนแนว VI ไม่ได้เสียแล้ว นี่ก็กำลังหาจังหวะขายหุ้นในพอร์ทบางตัว เพื่อรอการซื้อหุ้นตัวใหม่ ที่ตอนนี้ผมกำลังตามศึกษามันอยู่ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 20:02:38

ความคิดเห็นที่ 47 เก็บไว้ใน bookmark แล้วครับ เอาเก็บไว้อ่านหลายๆ รอบ จาร์ย วิด วะ จน เขียนมาอีกนะคับ ติดตามอ่าน ตล้อด ตล้อด ตล้อด (อิอิ) จากคุณ : เด็ดดาดฟ้า (jarunkung) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 22:05:56

ความคิดเห็นที่ 48 แอบอ่าน จากคุณ : โตขึ้นจะเป็นเซียน เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 22:51:46

ความคิดเห็นที่ 49 กลับมาอ่านอีกที โอ้โห ทำไมมันยาวเหยียดขนาดนี่หว่า ปวดตาเลย >< ขอบคุณทุกๆความเห็นมากนะครับ  ไว้มีโอกาสงามๆจะมาตั้งกระทู้ถามใหม่ อิอิ จากคุณ : นอนล่ะครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 52 22:56:19

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ ขอบคุณคุณ ting ting, คุณ samsara, คุณเราชอบคนรักกัน, คุณ skynight ที่เข้ามาตอบให้ประโยชน์กับเจ้าของกระทู้และผู้ติดตามอื่นๆ อยากแจกกิฟต์ทุกท่านแต่บังเอิญกิฟต์หมด  เลยขอขอบคุณไว้ ณ ตรงนี้แล้วกันนะคะ จากคุณ : time zone เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 08:08:26

ความคิดเห็นที่ 51 เพิ่งเข้ามาอ่านอีกที เลยมีประเด็นของคุณ SkyNight ให้ไปคิดต่อ เราคิดว่าประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกัน จริงๆ ที่บ้านก็เตือนเรามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนี้ หรือเรื่องที่เป็นสีดำๆ ของตลาดหุ้น  ส่วนตัวเราคิดว่าเพราะอย่างนี้ จึงทำให้ผู้ใหญ่ที่ท่านลงทุนมานาน ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลของผู้บริหารมาก และถึงแม้อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แต่ครั้นจะให้เล่นหุ้นโดยปราศจากอาวุธอะไรเลย มันก็คงไม่ต่างกับคนตาบอดเดินอยู่บนซุปเปอร์ไฮเวย์ จะโดนรถทับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้   ก็เป็นกำลังใจให้คุณคนจนศึกษาต่อไป(เป็นเพื่อนเรา)นะคะ จากคุณ : Samsara เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 11:14:34

ความคิดเห็นที่ 52 เพิ่งกลับมารายงานตัวครับ ตอบส่งท้ายอีกนิดนึง  ผมจบบัญชีมาครับ แล้วต่อโทบัญชี(แต่หนักไปทางเรียนการเงินมากกว่า) เลยได้เปรียบคนอื่นนิดหน่อย  นิดหน่อยจริงๆ เพราะเรียนมาเป็นสิบปีแล้ว เพิ่งจะได้ใช้ประโยชน์ก็ตอนนี้แหละครับ เพิ่งมาลงทุนได้ปีเดียว  ตอนนี้กำลังหาหนทางของตัวเองอยู่ครับ  ศึกษาทั้งเทคนิค ทั้งพื้นฐาน จริงๆ แล้วผมว่าทุกอาชีพได้เปรียบกันไปคนละอย่างแหละครับ   วิศวะก็ได้เปรียบรู้เรื่องก่อสร้าง หมอก็รู้เรื่องยา เรื่องโรงพยาบาล  เกษตรก็รู้เรื่องธุรกิจเกษตรมากกว่าผม  บัญชีดูงบเป็นแต่ไม่รู้ธุรกิจ ถ้าสงสัยอีก หรือท่านใดมีคำถามเรื่องดูงบ ก็ตั้งกระทู้ถามได้เรื่อยๆ ครับผมชอบ  ได้ทบทวนไปด้วย  รู้สึกว่าได้ทำประโยชน์ด้วย ปล. งบการเงินเป็นเรื่องเกี่ยวกับการประมาณการซะเยอะ เชื่อมากไม่ได้   แต่ในนั้นก็มีความจริงซ่อนอยู่ถ้ารู้จักหา  อย่างงบ SECC มันส่ออาการตั้งแต่ปี 2549 แล้ว  ถ้าใครดูงบเป็นจะรู้ว่าไม่ควรเข้าไปยุ่ง   (ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าผู้สอบเขาเซ็นผ่านออกมาได้ยังไง) จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 11:42:30

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณ คุณ TingTing มากครับ เอาไว้หากมีโอกาส จะขอรบกวนช่วยแบ่งปันความรู้ให้ผมและเพื่อนๆอีกนะครับ จริงๆแล้วการวิเคราะห์งบการเงินบริษัท ผมก็ว่ามันสนุกดีนะครับ เอาไว้มีเวลาเหมาะเจาะเมื่อไหร่  เราคงได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอีกนะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 52 11:51:26