ความคิดเห็นที่ 1 ใช่แล้ว ไม่ขายไม่ขาดทุน แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกำไร แต่ละคนหลากหลายความคิดไม่มีผิดและถูกหรอก บางทีคุณอาจจะทำถูกก็ได้ เพราะไม่มีใครรู้อนาคต แต่อยากฝากไว้ว่า "น้ำเชึี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง" แค่นี้ จากคุณ : สถานการณ์ (เย็นไว้เปี๊ยก) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:08:45

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่ขายไม่ขาดทุน แ้ล้วซื้อทำไม ถ้าไม่คิดจะขาย ตลก จิงๆ จากคุณ : kamung6 เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:09:11

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ใช่เซียน แต่เราคิดว่าความหมายนี้ ไม่น่าจะมีถูกหรือผิดนะคะ คงดูที่ความเหมาะสมของคนที่เลือกใช้มากกว่าอะค่ะ รอเซียนมาอธิบายดีกว่านะคะ รออยู่เหมือนกันค่ะ V V จากคุณ : prettykai เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:09:26

ความคิดเห็นที่ 4 "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน"  เป็นประโยคที่ดิ้นได้ ไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อมหลายอย่าง คนนึงพูด อาจถูก ... ในขณะที่หลายคนพูด อาจจะผิด ... จากคุณ : แต่เรื่องจริงคือขาดทุนไปแล้ว (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:16:23

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ผิดไม่ถูกหรอกค่ะ แต่ละคนมองทิศทางของหุ้นแต่ละตัวไม่เหมือนกัน คุณมองว่าลง เค้าอาจเห็นสัญญาณว่ามันจะขึ้น คุณเห็นว่าขึ้นเค้าอาจมองกลับกัน เราลงทุนแบบถือยาวอะค่ะ ก็ไม่หวั่นไหวเท่าไหร่เวลาหุ้นตก  ก็คิดว่าไม่ขายไม่ขาดทุนเหมือนกัน อิอิ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:16:48

ความคิดเห็นที่ 6 ระบบเทรด ที่ผมใช้ มา 3 ปีหลังนี้ ทำให้ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ขายขาดทุน ทุกครั้งที่ผมขาย คือกำไร เท่านั้น และผมกำไรทุกปี (ไม่ใช่มูลค่าปอด แต่เป็นส่วนต่างราคาหุ้นที่ซื้อกับขาย) สรุปว่ามันแล้วแต่คน แล้วแต่บริบทตามระบบเทรดครับ อย่างไรก็ดี ระบบเทรด ตามความโลภความกลัว เพราะราคาหุ้น มีผลกระทบต่อจิตใจ มักจะมีค่าเท่ากับ ตีตั๋วออกจากตลาดในระยะยาว(บางคนสั้นด้วยซ้ำ) จากคุณ : DARINGYOUSENDMEHOME เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:30:16

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่ผิด ไม่ถูกครับ ถ้าลงทุนในระยะยาว ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ยังใช้ได้เสมอ ถ้าเพิ่งเข้ามาเล่นหุ้นช่วงนี้ ไม่ใช่เล่นหุ้นตอน SET 1700 จุด นะครับ  ถือไว้ ไม่เกิน 1 ปี ยังไงก็น่าจะได้กำไร แน่นอน แต่ในแง่ จิตวิทยา คนส่วนใหญ่มักจะทนไม่ได้ที่จะเห็นพอร์ตตัวเองแดงมากขึ้นเรื่อยๆ และคนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น มักจะมือคัน ทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เช่นกัน จากคุณ : เป็ก (SOMBOON9) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:30:58

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเองคนนึงก็ยังไม่ขาย เลยยังไม่ขาดทุน อิอิ จากคุณ : purached เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:32:59

ความคิดเห็นที่ 9 คงลงทุนแนวVIมั้งครับ มั่นใจในหุ้นที่เลือก แต่ผมทนไม่ไหว ถ้าตัวเลขติดลบ ไม่ซื้อ ไม่ขาดทุน ดีกว่า จากคุณ : อมยิ้มไม่หวาน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:37:05

ความคิดเห็นที่ 10 เติมนิสนึง ในตลาดหุ้น เป็นแหล่งรวมคนที่หลากหลาย เป็นความโกลาหล 100 พ่อ 1000 แม่ เป็นตลาดของความโลภ ความกลัว ของเหยื่อ ของผู้ถูกล่าส่วนต่างทุน เป็นตลาด ของ ผู้ล่า ที่ใช้กลยุทธ กำกับความโลภความกลัว เก็บส่วนต่างทุนมารับประทาน ความสามารถในการตัดสินใจ ของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน การควบคุมอารมณ์ พื้นฐานการตัดสินใจ ในแต่ละครั้ง ถูกหล่อหลอมมาจากการขัดเกลาทางสังคม ของแต่ละคน ในอดีต เราไม่ได้มี อดีต ร่วมกันกับเค้า เราไม่สามารถรู้ได้หรอก ว่า ภายใต้สภาวะกดดันต่างๆ เค้าจะตัดสินใจอย่างไร และทำไม บางอย่างที่เรา เห็นชัดๆ ว่ามันผิด แต่ในมุมมองของเค้า มันอาจจะ ไม่ผิดก็ได้ และเมื่อเวลาผ่านไป ขึ้นอยู่กับจับตรงไหน มาเปรียบเทียบ บางที เค้าอาจจะถูกในที่สุด และเราเป็นฝ่ายผิดแทน หุหุ (ตรงนั้น ถ้าเค้าเชื่อเรา และตัดสินใจตาม ปรากฎว่า สุดท้ายเค้าถูก เราอีกที่ต้องซวย เพราะคำว่า รู้งี้...-*-)  ผมรู้แต่ว่า ในตลาดหุ้น คนขาดทุน มีมากกว่า คนกำไร และคนกำไร ก็มีแต่กำไรเพิ่ม เรามีอะไร ที่จะเป็นคนหยิบมือที่ได้กำไรนั้น ต้องตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน ถึงจะมีกำไรอย่างถาวร และมีความสุขใจในการเทรดหุ้นครับ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 20:47:03 จากคุณ : DARINGYOUSENDMEHOME เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:44:17

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เซียนนะ  แต่ผมว่า ไม่ใช่ทางที่ดี ตัดขาดทุนน่าจะช่วยได้มากกว่าครับ สมุติ คุณตัดขาดทุนที่ 4% คุณตัด หุ้นลงไป 10% เท่ากับเซฟไป 6% รอหุ้นขึ้น 5% คุณกำไลละ แต่ท่าไม่ขายไม่ขาดทุน ถึงเวลาลงไป 10% ต้องมารอให้หุ้นขึ้นอีก 11% ถึงจะกลับมากำไล มันน่าเศร้ายิ่งนัก จากคุณ : AIScript เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:45:56

ความคิดเห็นที่ 12 ดู ptt ดิ ถ้าผมไม่คัตที่ 240 นะอาทิตย์ก่อน ป่านนี้ดูไม่จืดเลย แต่ราคาปัจจุบันน่า เก็บและนะ รออีกหน่อย จากคุณ : palm_ins (palm_ins) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:47:29

ความคิดเห็นที่ 13 เล่นเอาปันผล...ดีกว่าฝากแบงค์... ไม่ขายไม่ขาดทุนก็ถูกเหมือนกัน.. คนในตลาดหุ้นหุ้น...หากคิดเหมือนกันหมด... เราจะเล่นกับใครล่ะ.. จากคุณ : ข้างบูรพา เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 20:51:17

ความคิดเห็นที่ 14 ถูกเป็นที่สุด มันแค่ขาดทุนทางบัญชี สามารถกลับมาเป็นกำไรทางบัญชีได้เหมือนกัน จากคุณ : meiqing (meiqing_a) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:07:24

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่ขาย ไม่ขาดทุน แต่จะขาดใจ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 21:11:05 จากคุณ : scbsetนี้เป็นฉะไหน (มิ่งกลิ้ง) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:10:55

ความคิดเห็นที่ 16 ถูกหรือผิดไม่รู้ แต่ที่ผมผ่านตลาดมาได้ช่วงที่ลงจาก 900 จุด มา 380 จุด โดยไม่เสียหายและพอร์ตกลับยังโตกว่าตอนดัชนี 900จุด ในวันนี้ได้ เพราะไม่เชื่อประโยคนี้ ตอนนั้นผมเล่น TTA ช่วงราคา 70 บาท หากผมไม่ขาย ตอนนี้ก็ยังโดนขังอยู่เลยเพราะราคาหุ้นยังไม่กลับไปครึ่งนึงของตอนนั้นด้วยซ้ำ แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 21:15:37 จากคุณ : คนรักน้ำมัน เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:14:26

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วแต่หุ้นครับ จากคุณ : Danny Boy เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:15:55

ความคิดเห็นที่ 18 มันเป็นการหลอกตัวเองครับ จริงๆ ถ้าหุ้นที่คุณถือมันตก นั่นคือคุณขาดทุนแล้ว ไม่ใช่ยังไม่ขาย แล้วไม่ขาดทุน เพียงแต่คุณรอหุ้นที่คุณตกกลับมา + แล้วกำไรเท่านั้นเอง ช่วงที่คุณขายมากกว่าทุน เท่ากับคุณมีช่วงกำไรมากกว่าขาดทุน เท่านั้นเอง แต่ทางที่ดีถ้ารู้มาจะตก SAP ดีกว่าตั้งเยอะ เพราะว่ากินกำไรขาลงเหนาะๆ จะอุ้มของในขณะที่มันราคาตกทำไม สู้ขายออกไป แล้วซื้อราคาต่ำกว่าดีกว่าเยอะ แถมเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ช่วงที่ถือเงินสดด้วย เพราะฉะนั้น ผมสรุปตามความคิดของผมเองตามประโยคแรกครับ "มันเป็นการหลอกตัวเอง" แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 22:27:11 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 22:23:38 แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 21:23:55 จากคุณ : Laganus เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:23:30

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ แร๊งงงง อย่าอินมากค่ะอย่าอิน อิอิ จากคุณ : prettykai เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:33:05

ความคิดเห็นที่ 20 plan your trade, trade your plan ครับ ุถ้าไม่มี plan ล่วงหน้าว่าจะขาดทุนระดับนี้ คำพูดที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" ผิด 100% ครับ ย้ำผิด 100% คนที่ขาดทุนหนักๆ เค้าก็เริ่มจากการคิดแบบนี้แหละครับ จากคุณ : smokerfield เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:35:03

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเล่นสั้น มันคือ ประโยคปลอบใจ แต่ถ้าเล่นยาว หรือ แนว VI คงไม่ต้องพูดประโยคนี้ จากคุณ : รอเวลา เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:39:35

ความคิดเห็นที่ 22 ผมเคย zap cut loss เพื่อหวังว่าลงต่ำกว่านี้ จะได้ซื้อกลับมาใหม่ อย่างน้อยช่วยลดขาดทุน (ทางบัญชี) แต่ขายไปแล้ว กลายเป็นขายหมู อีกวันราคาพุ่ง ///////////////////// เลยลองคิดใหม่ ถือไว้จะเป็นไรไป เพราะทุนก็มีเหลือเฟือ ขายไปก็ใช่ว่าจะเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นทันที ขณะที่ทุนเย็นก็ยังค้างสต็อคบานเบอะ ขณะที่เปลี่ยนใจกำเงินนั้นไปเล่นที่อื่น หันกลับมา อ้าว ตัวนี้มันเด้งสูงขึ้นไปแล้ว รู้งี้ถือยาวหน่อยดีกว่า ทำไมคราวนี้ต้องมาซื้อคืนในราคาที่สูงกว่า เป็นงั้นไป ดังนั้น ถ้าทุนเหลือเฟือ เกินพอ ผมยอมปล่อยส่วนน้อยนั้นติดดอย หลับตาให้ส่วนนั้นไปสักพัก เอาเวลาสมองมาคิดกับทุนที่ยังเหลืออยู่ดีกว่า จากคุณ : kriengchai เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:41:41

ความคิดเห็นที่ 23 อยู่ที่เรามอง และเทรนของตลาดว่าอยู่ในภาวะไหน ถ้าเรามองเทรนออกว่า อยู่ที่ขาขึ้น ไม่ขายไม่ขาดทุน น่าจะมีโอกาสดีที่จะรอได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะขายได้กำไร ถ้าเรามองเทรนว่า เป็นขาลงชัดๆ  ไม่ขายไม่ขาดทุน ก็คงผิดหลักการที่ควรเป็น.. แต่ทั้งนี้  ก็อยู่ที่เรามีเป้าหมายในการลงทุนอย่างไรด้วยครับผม จากคุณ : kunjoja เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:52:06

ความคิดเห็นที่ 24 "ผิด" ... เพราะมันไม่มี ประโยคนี้ ในนิยาม การลงทุน ... คำว่า "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" เกิดมาจากกลุ่มนักลงทุนรายย่อย ที่เล่นเก็งกำไร แล้วผิดพลาด ออกไม่ทัน จึงคิดประโยคนี้ มาปลอบใจ ตัวเอง ... ทำไมถึงคิดว่า เป็นเพียงแค่ "คำปลอบใจ" เพราะ....... 1. นักวิเคราะห์เทคนิค มองเห็นสัญญาณกลับตัว จึงเข้าซื้อ ดังนั้นหากซื้อแล้ว ขาดทุน เขาจะไม่ขาย จนกว่า จะมีสัญญาณขาย ... กฎข้อที่ 1. ของการเล่นเทคนิคคือ จงเชื่อสิ่งที่สัญญาณทางเทคนิคบอกไว้  ... ฉะนั้น นักเทคนิค จึงไม่รู้จัก ประโยค ๆ นี้ 2. นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ซื้อหุ้น โดยอ้างอิงจาก มูลค่าที่แท้จริง ดังนั้น เมื่อซื้อแล้ว หุ้นลง จึงมีแต่ ความดีใจที่จะได้ซื้อเพิ่ม ในราคาที่ถูกกว่าเดิม และตราบใดที่ พื้นฐานของหุ้นตัวนั้น ยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็จะยังไม่ขายออกมา .... กฎข้อที่ 1.  ของนักปัจจัย คือ จงมองหาหุ้นที่มีอนาคตสดใส และ ลงทุนในราคาที่เหมาะสม ดังนั้น เขาจึงซื้อหุ้นเข้ามา ในราคา ที่เขาคิดว่า เป็นราคาเหมาะสม และราคาหุ้นยิ่งลง เขาจึงยิ่งซื้อ เพราะเขาไม่ได้มองที่ มูลค่าพอร์ต แต่เขามองถึง มูลค่าที่แท้จริง ของหุ้น .... ...ประโยคข้างต้น เป็นการวัดที่ มูลค่าพอร์ต ดังนั้น คนกลุ่มนี้ จึงไม่รู้จักกับ ประโยคข้างต้นเช่นกัน 3. นักเก็งกำไร ระยะสั้น ... พวกเขา เป็น เสือปืนไว เข้าเร็ว ออกเร็ว ทันต่อสถานการณ์ ข่าวสาร มีการตัดสินใจที่รวดเร็ว เด็ดขาด ชอบความตื่นเต้น ท้าทาย ใจนักเลง กฎข้อที่ 1. ของนักเก็งกำไร คือ หากนิ้วไหนเน่า จงตัดนิ้วนั้นซะ อย่าให้ลุกลามจนต้องตัดแขน เมื่อพวกเขาซื้อหุ้น แล้วเกิดผิดพลาด เขาจะมีจุด stop loss ของตนเอง และเขาจะยินยอมที่จะขาดทุนในระดับที่พวกเขารับได้ เขารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ และยินดีที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่อ โอกาสมาถึง ดังนั้น คนกลุ่มนี้ จึงไม่รู้จัก ประโยคข้างต้น เช่นกัน สรุปแล้ว คนกลุ่มที่ จะรู้จักกับประโยคข้างต้น คือ .... นักลงทุนฝึกหัด หรือ ที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า "แมงเม่า" เพราะ คนกลุ่มนี้ ไม่มีความชำนาญ ทางด้านใด เป็นพิเศษ และขาดความสามารถในการตัดสินใจ อย่างเด็ดขาด เมื่อเขาซื้อหุ้นแล้ว เกิดข้อผิดพลาด เขามักจะลังเล ที่จะ ตัดสินใจกระทำการขั้นต่อไป ระยะเวลาการลงทุน ของคนกลุ่มนี้ ไม่มีกำหนดแน่นอน ผันแปรตามสภาวะตลาด และ อารมณ์ ของนักลงทุน เนื่องจาก ว่า ไม่ใช่ผู้ชำนาญ ทางด้านใด ด้านหนึ่ง เป็นพิเศษ เมื่อเขาเข้าซื้อหุ้น จึงมักจะ หมกมุ่น อยู่กับการวิ่งขึ้นลง ของราคา เมื่อสมาธิ ไปจดจ่อ อยู่ที่ การเคลื่อนไหว ของหุ้น สมองจึงจดจำ ความเคลื่อนไหว ส่วนนึง โดยเลือกที่จะจดจำ เฉพาะแง่บวก หรือ ด้านที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุน ...เมื่อเกิดข้อผิดพลาดในการลงทุน จึงมักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า "เดี๋ยวหุ้นต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้" และเมื่อหุ้นไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคิด จึงจิตตก และพยายามถามหาถึงสาเหตุ ที่เป็นไป เมื่อได้สาเหตุแล้ว ........................ มันก็สายไปเสียแล้ว ที่จะตัดสินใจ เมื่อทำการตัดสินใจไม่ได้ .... จึงต้องยอมรับสภาพ นักลงทุนระยะยาว (ยาวแค่ราคาหุ้น จะเอื้ออำนวย) ดังนั้น .... คนกลุ่มนี้ จะรู้จักกับ ประโยคข้างต้น เป็นอย่างดี ... ยิ่งถ้าเคยมีประสบการณ์ การกอดหุ้นขาดทุน จนพลิกฟื้นมาเป็นกำไรได้ จะยิ่งส่งเสริม ความเชื่อมั่น ต่อ แนวคิดนี้ แต่หากมีประสบการณ์ที่ไม่ดี .... หุ้นที่เคยกอดขาดทุน ราคาไม่ฟื้้นขึ้นมา ก็จะ โทษตัวเองว่า "เป็นเพราะ เราเลือกกอดหุ้นผิดตัว นั่นเอง" แต่ยังคงเชื่อมั่นในความคิดนี้ เพราะ หุ้นตัวอื่น ๆ ราคา ดีดกลับขึ้นมาได้ .... เมื่อรู้ตัวว่า คุณอยู่ในกลุ่มนี้ จงรีบทำการเลือกกลุ่ม ต้นสังกัด โดยด่วน ... อย่า ... ซื้อหุ้น โดยดูเทคนิค วันถัดมาหากราคาหุ้นขึ้น ... ขายหุ้น โดยเก็งกำไร และหากราคาหุ้นลง ... นอนปลอบใจตัวเอง โดยใช้ พื้นฐานของหุ้น ........ มันไม่มีหรอก คำว่า "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" .....แต่มันคือ  การขาดทุน โดย ผู้ลงทุน เลือกที่จะ ไม่ยอมรับรู้มัน เท่านั้นเอง..... แก้ไขเมื่อ 24 พ.ย. 52 21:57:26 จากคุณ : อาหนิว เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:52:37

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าปีหน้าคุณคิดว่า Set จะขึ้นไปเกิน 1000 จุด แล้ววันนี้ คุณมีหุ้น กลุ่มพลังงาน แล้วมีเงินเย็นถือยาวได้ถึงปีหน้า โดยไม่ตกใจขายถึงแม้ว่ามันจะลงจากราคานี้ไปอีก 5-15%  แต่หนักแน่นในสิ่งที่คิดไว้ ลงไม่ขายขึ้นไม่ขาย จนกว่าไปถึงเป้าหมาย "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" ก็ไม่ได้เป็นการลงทุนที่ผิดอะไร จากคุณ : ไชโป๊ผัดไข่ เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 21:58:26

ความคิดเห็นที่ 26 ผมว่าแม้แต่VIก็ไม่สามารถใช้คำว่าไม่ขายไม่ขาดทุนได้ในทุกกรณี ถ้าVIรู้ราคาที่แท้จริง และรู้พื้นฐาน สามารถใช้คำนี้ได้ถ้ายังเห็นว่าในระยะยาวผลประกอบการจะดีขึ้น แต่ในกรณีที่พื้นฐานเปลี่ยนVIก็ต้องcutlossเหมือนกัน จากคุณ : drypoint เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:02:16

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ขาย ไม่ขาดทุน ครับ  ผมยืนยัน นั่งยัน นอนยัน แต่ มัน จะ ไม่ เหลือ อะไร เลย อิอิ... จากคุณ : HaPPy Leo เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:06:45

ความคิดเห็นที่ 28 "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" แน่นอนคับ เชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่ตอนเข้าคับ เข้าตอนราคาถูกแล้วมันขึ้น ก้อชาย"ไม่ขาดทุน" แต่ถ้าซื้อแล้วมีถูกกว่า ก้อถือคำนี้ได้คับ ไว้ปลอบใจ (ตัวเอง) แต่ถ้าขึ้นแล้วไม่ขาย ดิ่งลงเหวแบบไม่ฟื้น *N-PARK // LIVE // etc. ไม่ขายยังไงก้อขาดทุนคับ (ด้านเวลา............................ และเงิน) จากคุณ : mai24166 (mai_ph) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:13:31

ความคิดเห็นที่ 29 ต่างคนต่างความคิด   ถ้าคิดเหมือนกันจะมีทางเลือกสองทางไว้ให้ใคร เราก็เป็นคนนึงที่ใช้ทั้งสองวิธีการ ตัวไหนที่มันอืดจนรอไม่ไหว ก็คัทไป  ถ้าพอร์ตโดยรวมแล้วยังมีกำไร แต่ถ้าเป็นหุ้นดี  จะลงไปเท่าไหร่  ก็ปล่อยมัน  ตราบใดที่ยังไม่ขายก็ไม่ขาดทุน  ตามนั้น  มันก็มีหุ้นที่ทำราคาสูงแล้ว  เค้าก็เวียนกลับมาทำราคาอีกรอบ  ถ้าหุ้นพื่นฐานดี ไม่ต้องกลัวอะไร  อย่างน้องปู  หรือน้องตู้เย็นที่ จขกท.ยกตัวอย่างมา  ถ้าเงินเย็นถือยาว  ก็เก็บไว้กินปันผลได้ ลองมาดูอีกสักห้าปี ราคาไม่เกิน 300 อาจไม่ได้เห็น นอกจากจะเกิดวิกฤตอีกรอบ   ใครใคร่คัท คัท  ใครใคร่เก็บ เก็บ จากคุณ : chalan เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:13:41

ความคิดเห็นที่ 30 1.เลือกหุ้นถูกตัว หรือไม่ ถ้าถูก 2.จังหวะซื้อถูก หรือไม่ ถ้าผิด 3.จังหวะขายล่ะ จะยอมผิดหรือไม่ ? ถ้ายอมผิดอีก รับผลขาดทุน ถ้าไม่ยอมผิดอีก "ไม่ขายไม่ขาดทุน" แต่ต้องดูหุ้นข้อ 1 อีกครั้งว่า PE เท่าไร ปันผลเท่าไร ? แล้วดูว่าคุ้มกับการฝากเงินที่หุ้นนั้นไหม ได้เงินปันผลมากกว่า ดอกเบี้ยเงินกู้หรือไม่ ? เพราะเราซื้อหุ้นเปรียบเหมือนเจ้าของยืมเงินเรา ควรเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ดีกว่า ลองพิจารณาดูเองนะครับ จากคุณ : supalachin เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:15:30

ความคิดเห็นที่ 31 ขึ้นอยู่กับระบบการเทรดครับ ไม่ขายไม่ขาดทุน ของ VI อย่าง บัฟเฟต หรือ เกรแฮม จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสภาพของบริษัท มันไม่เปลี่ยนครับ ถ้าเปลี่ยนถึงขาดทุนก็ควรจะขาย ไม่ขายไม่ขาดทุน แบบ ลินซ์ คือเรากระจายพอร์ตมากพอที่จะทำให้การขาดทุน ตัวใดๆ ไม่มีผลกระทบ ต่อพอร์ตโดยรวมเท่าไหร่ แต่มุ่งหวังการ Turn Around ของหุ้นส่วนใหญ่ของพอร์ต เพื่อชดเชยการขาดทุนส่วนน้อย มากกว่าครับ แต่ถ้าเล่นแบบ VS ไม่ขายไม่ขาดทุนก็เหมือนกับเอาเนื้อวิ่งไปชนปังตอครับ ^^ จากคุณ : Chaotic System เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:20:32

ความคิดเห็นที่ 32 พวก VI ตั้งแต่แรกที่ซื้อ เค้าไม่คิดจะขายอยู่แล้วนี่ แต่ถ้าพื้นฐานเปลี่ยน ยังไงเค้าก็ต้องขาย ไม่มีเก็บหุ้นเน่าไว้หรอก ดังนั้น ผมคิดว่าเป็นคำปลอบใจของพวก VS มากกว่า จากคุณ : DON'T CARE NEVER DIE เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:33:30

ความคิดเห็นที่ 33 กล่อมกันแทบจะลากไส้ออกมาเลยทีเดียว ป้าสรุปให้สั้น ไม่ขายไม่ขาดทุนคะ จากคุณ : St.Paul เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:34:47

ความคิดเห็นที่ 34 พอดีเห็นกระทู้หุ้น BBC ข้างล่าง เลยขอเสริมนิดหน่อย ... ผมเชื่อว่า นักลงทุนที่ เคยนอนกอดหุ้น BBC จนทุกวันนี้เก็บกระดาษ เอาไว้ จะรู้ซึ้งถึง ความหมาย ของ ประโยคนี้ เป็นอย่างดี ....ผมว่า ไม่ต้องเถียงกันหรอกครับ ผมถามแค่ว่า ณ วันนี้ PTT อยู่ที่ 220 ถ้าคุณรู้ว่า อาทิตย์หน้า ราคาจะไปที่ 200 แล้วต่อจากนั้น จะวิ่งไปที่ 250 ผมถามว่า คุณถือหุ้นอยู่ 1000 หุ้นที่ทุน 230 พรุ่งนี้ ราคาเปิด 220 คุณจะขายขาดทุนมั๊ย ??? คำตอบคือ .... ขายทุกคน ... ถูกมั๊ยครับ เพราะฉะนั้น เข้าใจแล้วใช่มั๊ยว่า ทำไมผมถึงบอกว่า เป็นเพียง "คำปลอบใจ" หวังว่า คงไม่มีใครบอกว่า "ไม่ขาย" นะครับ ...อย่าคิดมาก ใช้แค่ sense พื้นฐาน ในการตอบก็พอ ..... แต่ในความเป็นจริง คือ ไม่มีใครรู้อนาคต ดังนั้น ... ในเมื่อคุณไม่ใช่ ผู้สันทัดกรณี ทางด้านใด ด้านหนึ่ง "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" คือ หนึ่งวิธี หนึ่งกลยุทธ์ ที่จะช่วยให้คุณลดการขาดทุนลงได้นั้นเอง ... ผมก็ใช้นะ วิธีนี้ แม้ว่า จะรู้ว่า มัน "ผิด" ในบางกรณี ที่คิดว่า จำเป็นจริง ๆ เช่น หุ้นขาดสภาพคล่อง หรือ ภาวะแพนิค ซึ่งยอมรับว่า บางตัว ก็ขายไม่ทัน ก็จำต้องยอมปล่อยไป เพื่อหาจังหวะ รีบาวด์ต่อไป จากคุณ : อาหนิว เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:40:22

ความคิดเห็นที่ 35 ไว้ถ้าเจอกับตัวเองซักตัว ที่ไม่ขายไม่ขาดทุน แล้วบริษัทล้มหายตายจากไป โดยที่ไม่เฉียดกลับมาที่เดิมอีกเลย วันนั้นคงจะตอบได้คับว่าไม่ขายไม่ขาดทุนจริงหรือไม่ *v* จากคุณ : Archez เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:42:18

ความคิดเห็นที่ 36 "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน" ขึ้นอยุ่กับระบบ หรือสไตล์การลงทุนด้วย บางครั้งอาจใช้ได้กับการลงทุนแบบ VI ที่วางแผนมาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนต่อปี ไม่ใช่การเก็งว่าจะซื้อต่ำไปขายสูง แต่แม้กระนั้น VI ก็ต้องรู้จักขายเหมือนกัน เมื่อกิจการไปไม่ใหว ไม่ไช่ทู่ซี้ถือต่อ ัสังเกตุให้ดีจะพบว่า ไม่ว่าจะลงทุนไสตล์ใหน ทุกระบบมี Exit & Stop ทั้งนั้นเพียงแต่จะพูดว่าอย่างไรเท่านั้นเอง ที่เป็นอย่างนี้ เพราะจริงๆแล้วคนเราเจ๊งหุ้นจนไม่สามารถกลับมาทำกำไรได้ ไม่ไช่เพราะซื้อผิดตัว หรือ ขาดทุนบ่อยๆ แต่เป็นเพราะ "ขาดทุนหนักเกินไป" เมื่อพอร์ทเราลดลงมาก เราก็ยิ่งเอาคืนยาก หายไป 20% ต้องทำ 33% เพื่อเท่าทุน หาย 50% ต้องทำ 100% แล้วจะทำได้เหรอ? ในเมื่อ 30% ต่อปีเรื่อยๆ ยังทำยากเลย เมื่อธรรมชาิติของตัวเลขมันเป็นอย่างนี้ ทุกคนจึงต้องมี Exit และ Stop เอาไว้คุมความเสี่ยงไม่ให้เกิด Drawdown หนักเกินไป มันจะทำให้เสียเปรียบเยอะ บัฟเฟตแนว VI เองไม่ไช่ว่าไม่เคยขายหุ้นขาดทุน.. ยิ่งเป็นนักเก็งกำไร ต้องยิ่งตัดขาดทุนให้ดี ไม่งั้นมันจะทำให้เราต้องจ่ายเยอะขึ้นเรื่อยๆเวลาเราเล่นเสีย พอได้กำไรมาจะไม่คุ้มเอา จากคุณ : modxyz เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:46:33

ความคิดเห็นที่ 37 เซทลงนิดเดียวออกอาการแล้ว เดี๋ยวเจ้ารู้หมดดิ   อิอิ ของพ้มคติปจ.ตัว  -ไม่ขาดทุนไม่ขายอะ จากคุณ : เล่นหุ้นกลัวเจ๊ง (สี่คูณสอง) เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 22:47:51

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดส่วนตัว คิดว่าเป็นแค่วลีเสมือนเหตุผลสวยๆที่ทำให้คนติดหุ้นรู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าตัวเองคิดไม่ผิดแค่นั้นครับ กับเป็นวลีที่ทำให้เราเสียโอกาสดีๆมากมายในอนาคตครับ(ในกรณีที่เรารู้ทั้งรู้ว่าทิศทางหลักคือลง แต่ยกเว้นในกรณีที่sidewayครับ) สรุปคือ ไม่ขายไม่ขาดทุนครับ ไว้กำไรค่อยขายก็ได้ ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า..ฮิๆ จากคุณ : Pogio เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 52 23:18:25

ความคิดเห็นที่ 39 อาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ จากคุณ : นางสเตนเลส เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:07:03

ความคิดเห็นที่ 40 ถูกหรือไม่ เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องตัดสิน เพราะไม่มีใครรู้อนาคต ถูกอาจกลายเป็นผิด ผิดก็อาจกลายเป็นถูก จากคุณ : ตะวันทะยานฟ้า เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:14:52

ความคิดเห็นที่ 41 เหมือนเล่นเกมแพ้แล้วขอเล่นใหม่ จากคุณ : babypex เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:14:53

ความคิดเห็นที่ 42 อยากเล่นหรืออยากรอครับ จากคุณ : thanatd เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 00:25:21

ความคิดเห็นที่ 43 เพราะว่าเราไม่รู้อนาคต บางทีจังหวะที่คิดว่าจะ Cut loss ดันกลายเป็นจุดต่ำสุดไปซะงั้น เท่ากับโดนไป 2 เด้ง อิอิ เพราะฉนั้นถ้าใครเงินเย็นจะไม่ขายผมว่าก็คงไม่แปลก จากคุณ : -MO- เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 01:00:22

ความคิดเห็นที่ 44 เป็นประโยคที่ผมเคยทำตาม หลังจากนั้นผมได้รู้ว่าเป็นประโยคที่ห่วยมากในขาลง จากคุณ : Mccain เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 01:07:04

ความคิดเห็นที่ 45 ก็ถูกของเขาแล้วนี่ครับ "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน  แต่ถ้าขาย คงหมดกัน" จากคุณ : powermast เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 10:10:05

ความคิดเห็นที่ 46 ....ปัญหา คือ หุ้น ลง จะทำอย่างไร ... เวลาราคาหุ้นลดลง มันทำให้มูลค่าทรัพย์สินหรือพอร์ตหุ้นของเรามีค่าลดลง ตาม ยกตัวอย่างง่ายๆ หุ้นตัวหนึ่งประกาศปั่นผลและขึ้น XDในวันพรุ่งนี้ จะทำอย่างไร            1.ถือไว้เอาปันผล(ไม่ขายไม่ขาดทุน)            2. ขายทั้งหมดไม่เอาปันผล รอซื้อในราคาส่วนลดพรุ่งนี้             3. ขายออกบางส่วน เอาไว้ซื้อคืนลดต้นทุนพรุ่งนี้ สิ่งที่ผมทำแล้วผิดพลาดคือข้อ 1 มูลค่าพอร์ตลดลงเท่ากับเงินปันผลที่ได้สรุปสุทธิไม่ได้อะไรแถมอาจขาดทุนพอร์ตอีก ถ้าทำอย่างข้อ 2 ก็ไม่ได้อะไรเลยและจะลงทุนไปเพื่ออะไรรอโอกาสหน้าทั้งๆที่โอกาสเพิ่งจะผ่านไปแต่เราไม่คว้าไว้                           3 สิ่งที่ควรทำคือ shot again port ถือเอาปั่นผล(เป็น fix income) และขายออกบางส่วนเพื่อเอาส่วนต่างราคามูลค่าที่ลดลงในวันขึ้นXDได้ส่วนลด เป็นการลดต้นทุนหุ้นที่เหลือได้เยอะพอควร สิ่งที่อยากจะแนะนำคือ balance เงินสดและเงินลงทุนในหุ้นให้เหมาะสม เมื่อหุ้นลง ก็ขาย ครับเป็นช่องๆไป อย่าขายทั้งหมดหากมันลงอีก ก็ขายอีก ถือเงินสดไว้ เพื่อซื้อคืนไว้ลดต้นทุนลง และประกันความเสี่ยงให้หุ้นที่เหลือด้วย อย่างถือแช่ไว้เฉย ๆ หากหุ้นดีดกลับหุ้นที่เหลือก็สามารถเพิ่มมูลค่าของพอร์ตเราได้ ผมจึงอยากให้คนมีหุ้นอยู่ ติดดอย นานๆ ลองshot again port ดูนะครับแล้วจะเห็นความลับอะไรบางอย่าง ที่พวกกองทุนใหญ่ๆใช้กัน ใครเล่น option เป็นก็จะป้องกันความเสี่ยงมูลค่าพอร์ตลงได้เยอะ แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 52 11:26:38 จากคุณ : วิญญาณเทวดา เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 11:22:19

ความคิดเห็นที่ 47 กระทู้ดี ครับ กระตุ้นการคิด และ ให้ข้อคิดที่ดีมากในหลายความเห็น ประบมือให้ครับ กีปหมด .. จากคุณ : :::GANTZ::: เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 52 16:27:24

ความคิดเห็นที่ 48 สรุปอีกที ไม่ขายไม่ขาดทุน จากคุณ : St.Paul เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 52 03:04:44