ความคิดเห็นที่ 1 คำถามคือ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้จริงหรือ จากการที่ผมประมวลจากข้อมูลต่างๆแล้ว เห็นว่าไม่ ตลาดเพียงตกใจมากไปหน่อย (แต่ไม่ใช่เรื่องที่เราจะประนามว่าตลาดผิด ตลาดถูกเสมอครับ ถึงจะไม่มีเหตุผลก็ถูกเสมอ ต้องยอม ซึ่งในช่วงที่ตลาดต้องการ Correction)  เหตุผลที่ผมจะยกมาซึ่งบางข้อก็เคยยกไปหลายรอบแล้ว 1.  ปัจจัยที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางมีสองตัวหลัก ได้แก่ อัตราการว่างงานที่เบี่ยงเบนจากอัตราการว่างงานธรรมชาติ (Natural Rate of Unemployment) และอัตราเงินเฟ้อ   ในส่วนของการว่างงานธรรมชาติจะใช้ NAIRU ที่คำนวนโดยหน่วยงาน CBO ของสหรัฐ (รบกวน Search Google เอง) หลักการนี้เรียกว่า Taylor Rule โดยเวอร์ชั่นหนึ่งของสมการเป็นดังนี้ (สมการและค่าสัมประสิทธิ์มาจาก Fed เอง) จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:38:07

ความคิดเห็นที่ 2 วาดกราฟ Fed Fund Rate ตามทฤษฎีได้ดังนี้ ซึ่งจะเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังติดลบอยู่ แต่ในทางปฏิบัติทำไม่ได้เลยอยู่ในช่วง 0-0.25%   อย่าว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเลย แค่ให้มันลบน้อยๆ ลงนี่ก็ใช้เวลาเป็นปีแล้ว กราฟข้างต้นอยู่ใน website ของ Fed สาขา San Fancisco http://www.frbsf.org/publications/economics/letter/2009/el2009-17.html จากการคำนวนของ Krugman อัตราดอกเบี้ยของ Fed ในสิ้นปีต่างๆในทางทฤษฎีจะเป็นดังนี้   End 2009: -6.3% End 2010: -5.4% End 2011: -3.3% End 2012: -0.6% จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:39:14

ความคิดเห็นที่ 3 จะเห็นได้ว่า ในทางทฤษฎี อีกนานทีเดียวกว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยได้ คำถามต่อไปคือ จริงๆแล้ว Fed ทำตามทฤษฎีหรือเปล่า? ผมลองเอา Fed Fund Rate และ Rate ตาม Taylor Rule มาวาดกราฟ ได้คำตอบออกมาแบบไม่ต้องสงสัยเลยดังนี้ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 52 23:40:49 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:40:20

ความคิดเห็นที่ 4 2. ในการที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยนั้น ต้องคำนึงถึงภาระของหนี้สาธารณะที่มีมากอยู่แล้วและที่ก่อขึ้นมาเพื่อแก้วิกฤติ หากขึ้นเร็วเกินไป ภาระหนี้จะพุ่งขึ้นจนน่ากลัวเหมือนช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 ซึ่งในช่วงนั้น US$ อ่อนค่าลงตลอดจากความกังวลเรื่องหนี้ เหตุการณจะกลับไปซ้ำอีกหรือไม่ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:41:26

ความคิดเห็นที่ 5 3. มีความเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ในหมู่นักเศรษฐศาสตร์  ประธาน Fed Benanke บอกเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า Second Stimulus Package นั้นเร็วเกินที่จะพูดถึง (ตัวนี้เป็นสัญญาณที่เราต้องจับ แต่ผมก็พลาดข่าวนี้เหมือนกัน) เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณในงบกระตุ้น 787 พันล้าน US$ นั้นยังมีค้างอยู่มาก   แต่ Goldman Sachs และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนมองว่า ผลสูงสุดจาก First Package มันได้ผ่านไปแล้ว หลังจากนี้ผลจะน้อยลง  หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นได้ด้วยตัวเองจะอันตรายมาก ดังนั้นควรจะต้องมีอีก Package นึงได้แล้ว จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:44:39

ความคิดเห็นที่ 6 ข้อสรุป : Fed ไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้หรอก แต่ตลาดมีปฎิกิริยาตอบสนองที่เร็ว+มากเกินไป น่าจะกลับสู่สภาวะเดิมได้ในไม่กี่วัน แต่ในช่วงที่ยังตระหนกอยู่ก็อย่าฝืนนะครับ เพราะว่าตลาดถูกเสมอ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:45:40

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่มีความรู้พอจะสนทนา ขออ่านอย่างเดียวแล้วกันครับ ... จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:53:22

ความคิดเห็นที่ 8 ผม .............. เหมือนคุณหมึกสดเด๊ะ เลยครับ จากคุณ : ข้อมูลแน่นปึ๊ก เยี่ยมเลยครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:04:09

ความคิดเห็นที่ 9 ผมตีความอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ ว่างงานลด-->เศรษฐกิจดี-->ดอกเบี้ยเพิ่ม -->ดอลแข็ง-->บาทอ่อน-->หรั่งขาย จากคุณ : ก้นเหวอยู่ไหน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:10:54

ความคิดเห็นที่ 10 สงสัยผมจะง่วงนอนแน่เลย กราฟ#3 ก็อยู่ใน #2 นั่นแหละ   เอาเป็นว่า Fed มักจะทำคามทฤษฎีก็แล้วกันครับ กลางเดือนพฤศจิกายน หนี้สาธารณของสหรัฐพุ่งเป็น 12 ล้านล้าน US$ สูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ มีการประมาณกันว่าจะขึ้นไปถึง 14 ล้านล้าน US$ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตัวเลข Public Debt แบบ Realtime ไม่รู้เค้าทำยังไง แต่ไม่ใช่ Joke เพราะในข่าวก็รายงานตัวเลขนี้ http://zfacts.com/p/461.html จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:15:07

ความคิดเห็นที่ 11 หวังว่า ภายในวันพรุ่งนี้เค้าจะหายตกใจกันครับ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:16:26

ความคิดเห็นที่ 12 ปิดท้ายด้วยกราฟหน้าตาน่ากลัว คุณก้นเหว : เศรษฐกิจดี-->ดอกเบี้ยเพิ่ม ไม่เชิงครับ ลองกลับไปดูสมการ Taylor Rule ใหม่ดีๆนะครับ เน้นตรงตัวแปรทางขวามือซึ่งจริงๆมีแค่ 2 ตัว -->ดอลแข็ง-->บาทอ่อน-->หรั่งขาย  ผมว่า ต่างชาติขายหุ้น แล้วแลกเงินกลับจึงทำให้บาทอ่อนครับ  ขายแต่ไม่แลกเงินก็ไม่อ่อน จริงๆ แล้ว สำนักเศรษฐกิจการคลังเคยศึกษาแล้วบอกว่า การขึ้นของ Dow Jones นั้น มีผลมากกว่าต่างชาติขาย งงมั้ยครับ (หนังสืออยู่ที่ทำงาน วันหลังจะเอามา post ให้) แต่ Dow Jones ขึ้นน้อยดังนั้นให้ระวังต่างชาติขายไว้ เนื่องจากมันเป็นเงินร้อน แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 52 00:47:38 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:45:56

ความคิดเห็นที่ 13 กราฟมาซิจ๊ะ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:46:32

ความคิดเห็นที่ 14 คนเรานี่ประหลาด อะไรๆก็ไม่ดีไปหมด ดอกเบี้ยขึ้นแปลว่า ศก เริ่มร้อนแรงต้องควบคุม นั่นไม่ใช่ผลดีหรอกรึ.... มองข้ามความผันผวนในช่วงแรกๆแล้วมองยาวขึ้น การลงทุนจะง่ายขึ้นครับ ส่วนบทความนี้ผมเห็นด้วยครับ ว่ายังขึ้นไม่ได้ง่ายๆ ขอบคุณสำหรับบทความครับ จากคุณ : galadinner เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 00:46:55

ความคิดเห็นที่ 15 มนุษย์ค้างคืน เอ๊ย มนุษย์ค้างคาว เขาคุยกัน .. แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 52 11:16:15 จากคุณ : อนิลฑิตาแห่งอำมฤตาลัย (เด็กเกาะสมุย) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 08:19:35

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณท่าน ช่างเป็นข่าวดี ^O^ จากคุณ : เหมันต์ใบไม้ผลิ เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 09:41:41

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณมากครับ คุณกระต่าย จากคุณ : อาปี้คุง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 10:14:31

ความคิดเห็นที่ 18 ตามติด ครับ จากคุณ : tam220t เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 12:48:02

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ จากคุณ : GARMANIC เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 15:14:39

ความคิดเห็นที่ 20 มันแย่กว่าที่คิดครับ บ่ายๆแก่ แล้ว US$ rebound นิดเดียวเมื่อเช้า บ่ายดำดิ่งลงไปอีก พรุ่งนี้ SET น่าจะไม่สวย ดูจากเพื่อนบ้านแถวนี้แล้ว จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 16:31:03

ความคิดเห็นที่ 21 กราฟทอง ช่วงเข้าสู่ตลาด New York Comex ขึ้นแล้วค่ะ เด็กเกาะ  ไม่ได้ใช้สัมผัสที่หก เพียงอย่างเดียวนะคะ ใช้ experiance ด้วยค่ะ คอยดูแล้วกันว่ายังไงทองก็จะยืนได้ ไม่ล้มลุกคลุกคลาน ป.ล. ข่าวในทีวี บอกว่าการส่งข้อมูลของหวย Online ใช้ SET Security ด้วยค่ะ จากคุณ : อนิลฑิตาแห่งอำมฤตาลัย (เด็กเกาะสมุย) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 52 20:35:42

ความคิดเห็นที่ 22 copyมาฝาก........ ด้านกูรูฟันด์โฟลว์ วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ บอกว่า ปีหน้าต้องจับตา "สี่ปัจจัย" ที่จะมีผลต่อการลงทุน หนึ่ง.สภาพคล่อง สอง.มูลค่าหุ้น (ถูก-แพง) สาม.กำไรบริษัทจดทะเบียน (ฟื้นได้แค่ไหน) และ สี่.เม็ดเงินต่างชาติที่จะไหลเข้า ข้อนี้ "สำคัญที่สุด" กูรูฟันด์โฟลว์ เชื่อว่า ไตรมาสแรกปี 2553 น่าจะเป็นช่วง "ดีที่สุด" สำหรับการลงทุน หลังจากนั้นธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะหยุดใส่เม็ดเงินเข้าระบบในเดือนมีนาคมปีหน้า อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐและยุโรปจะขึ้นมาอยู่ที่ 3-4% ในเดือนธันวาคมปีนี้ ทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรมาสู่หุ้นและทองคำ และศูนย์วิจัยทิสโก้คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยไตรมาส 1 ปี 2553 จะโตที่สุดในรอบปีที่ประมาณ 5% "คาดการณ์ว่าปีนี้ น่าจะเกิด January Effect หรืออาจจะเลื่อนออกไปเกิดในเดือนกุมภาพันธ์เป็นอย่างช้า แต่พอถึงไตรมาสสอง จะเกิดปรากฏการณ์เงินสกุลดอลลาร์เมื่อเทียบกับยูโรและเยนจะแข็งค่าขึ้น เนื่องจากตอนนี้เงินเยนแข็งค่าเกินความจริง น่าจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าหุ้นไทยน้อยลง" ประกอบกับคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมปี 2553 ส่วนของไทยคาดว่าจะขึ้นใน "ต้นไตรมาสสอง" ตลาดหุ้นก็จะตอบสนองด้วยการ “แตะเบรก” ทันที แต่ถ้าเกิดอีกกรณีถ้าเฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเลยตลอดทั้งปีก็แปลว่า "เศรษฐกิจแย่กว่าที่คิด" ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนรุนแรงจากเม็ดเงินที่ไหลเข้าออก มีโอกาสจะได้เห็นจุดสูงสุดและต่ำสุดบวกลบ 400 จุด ซึ่งกว้างกว่าปีนี้ที่บวกลบ 350 จุด “ปีหน้า SET Index จะมีอัพไซด์ที่จำกัด เพราะปีนี้ขึ้นมาเยอะแล้ว จุดสูงสุดน่าจะอยู่ที่ 815 จุด” คำแนะนำในการลงทุน วิศิษฐ์ บอกขอให้เลือกหุ้นที่คาดว่าจะมี Earning Growth สูงๆ จะ Out Perform ตลาดมากกว่าหุ้นที่ราคายังต่ำอยู่ พอไตรมาสสองเปลี่ยนมาลงทุนหุ้น Defensive ไตรมาสสามมาลงตราสารหนี้ "ธีมการลงทุนปีหน้า ให้ลงหุ้นกลุ่มแบงก์ในไตรมาสแรกถึงสอง กลุ่มพลังงานยกเว้นปิโตรเคมีและพวก Soft Commodity อย่างสินค้าเกษตร แต่ต้องดูบริษัทที่ไม่ไปทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าราคาถูกๆ จะเสียโอกาสได้" กูรูฟันด์โฟลว์ แนะนำ จากคุณ : huron เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 09:43:20

ความคิดเห็นที่ 23 ตอนนี้ตลาดดูเหมือนจะ "คิดได้" แล้วครับ โชดดีจริงๆที่มีวันหยุดเพิ่ม จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 09:58:16

ความคิดเห็นที่ 24 คุณเด็กเกาะ ทอง rebound น่ะตาม คคห. 6 ครับ ไม่ใช่ว่ามันมีอภินิหารอะไร ผมเตือนคนเล่น Futures เพราะมัน Serious มาก คนที่ Long วันศุกร์ ถ้าวานนี้ตลาดเปิด คุณหมดตัวแล้ว ตามที่แจ้งไปหลายรอบแล้ว ผมไม่เคยแนะให้คน ซื้อ Physical Gold หรือ ETF ขายเลย ผมจะหยุดตอบความเห็นคุณแล้วครับ มาเล่นกับเด็กนี่ทำผมผมเสียสมาธิไปมาก จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 10:11:45

ความคิดเห็นที่ 25 ลนลานขนาดนี้ ยังจะมาคุย (ปกติผมไม่เคยเคยทำแบบนี้นะครับ แต่ผมเบื่อมาก) ผมเตือนคนเล่น Gold Futures หนึ่งวันก่อนทองลงแรง ว่าคนจะเข้าอย่าเข้า คนในให้ออก ทองลงแรงหนึ่งวัน ผมบอก Fed ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยหรอก เดี๋ยวคงกลับสู่สภาวะปกติ ผมก็พยายามจะทำประโยชน์แก่พันทิพนะ เดี๋ยวรำคาญ เลิกเล่นเลยดีมั้ย ^^ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 10:22:52

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ Huron ผมมองในทางเทคนิคของ SET และอีกหลายๆตลาดหุ้นนะครับ ปีนี้ผมหวังว่าจะมี Jan Effect ครับ ตอนนี้ ก็ทยอย Long SET50 Futures ไปบางแล้วครับ ผมไม่เคยเชื่อ Target ของ Broke ถ้าคุณติดตามนานๆก็น่าจะไม่เชื่อเหมือนผม จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:01:34

ความคิดเห็นที่ 27 วันนี้เข้าซื้อ Physical gold ดีมั๊ยคะ หรือควรจะรออีกหน่อย จากคุณ : I Promise เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:05:58

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณคุณ crazy rabbit มากครับ เข้ามาให้ความรู้บ่อยๆนะครับ จากคุณ : view2306 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:35:16

ความคิดเห็นที่ 29 หลังจากค่าเงิน US$ แข็งขึ้นเร็วตอนนี้ rebound และกลับมา sideway อยู่ในกรอบสามเหลี่ยมน่าจะ break ภายใน 1-2 ชั่วโมงนี้ ถ้า break ลงหุ้นตก สองวันก่อนตอน US$ แข็ง เห็นออกมาดีใจกัน ผมงงมาก แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไม่ได้ตอบสนองต่อ Shock ในวันศุกร์เท่าไหร่ แสดงว่า Fund Flow ยังไม่เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ Shock ของค่าเงินรอบนี้น่าจะเกิดผลอยู่ในตลาด Bond , Commodity บางตัว และ FOREX เองเป็นส่วนใหญ่ สำหรับคุณ I Promise ถ้าเป็นผมนะจะรอขึ้นอีก 20 เหรียญ เพื่อความมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ Rebound หลอกๆ สำหรับ Gold Futures ตอนนี้ไม่มีความเห็นจริงๆครับ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 12:05:17 แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 11:53:59 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 11:48:55

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณค่ะ เข้ามาอ่านกระทู้คุณ Crazy Rabbit ทุกครั้งที่เห็นเลยค่ะ ^^ จากคุณ : I Promise เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 12:00:00

ความคิดเห็นที่ 31 แจ๋วไปเลย จากคุณ : หมาร่าหมาหรอด (C.BUN) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 12:01:07

ความคิดเห็นที่ 32 ผมสงสัยกราฟในความเห็นที่ 3 ก็เอาข้อมูลตรงนั้นไป regress แล้ว ก็เอาที่ผลที่ได้จากสมการมาแปะคืน มันก็ต้องออกมาคล้ายๆ กันหรือเปล่าครับ ผมดูแล้วสงสัยว่าสรุปได้จริงหรือว่า Fed ทำตามสมการ(ทฤษฎี) ที่กล่าวมา ดูแล้วเป็นทฤษฎีทำขึ้นมาตามของเก่าที่เคยมีมามากกว่า หรือเปล่า?? จากคุณ : Toey84 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 12:55:44

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ จากคุณ : theclassic2003 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 13:56:37

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ Toey84 ถูกต้องแล้วครับ คนคิดนี่เค้าแค่หาวิธีที่จะ Generalize กลไกดอกเบี้ยของ Fed โดยที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับ การว่างงานและเงินเฟ้อ เป็นความรู้ทั่วไปทางทฤษฎี เค้าแค่ทำออกมาให้เป็นสมการโดยอาศัยพฤติกรรมของ Fed ในอดีต   หากมันประมาณค่าปรากฏการณ์ในอดีตอดีตได้เที่ยงตรงแล้ว ก็น่าจะใช้เป็นแนวทางสำหรับในอนาคตได้เช่นกัน จนกว่า Fed จะเปลี่ยนมุข หรือมีทฤษฎีอะไรที่ใช้ได้ดีกว่า ว่าแต่ว่า วันนี้ US$ sideway นานมากๆ แต่ก็น่าจะ break บ่ายนี้ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 14:13:17

ความคิดเห็นที่ 35 คุณ Crazy Rabbit เผอิญค่าประมาณ มันคือค่าประเมินในช่วงที่ใช้เป็น Sample นะสิครับ ถ้าประเมินนอกช่วงนี่มันหลุดไปไกลเลยนะครับ ปี 2009 หลุดไปติดลบ 6.3% ทั้งๆที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมว่าสมการอธิบายอดีตได้ แต่เอาไปใช้ประเมินอนาคตไม่ได้ ผมว่าถ้าจะให้ถูกต้องทำ regress ถึงสัก 2005 แล้วช่วงหลังจากนั้น เอามาประเมินว่าสมการทำนายอนาคต(นอกช่วง) ได้หรือเปล่า โดยดูว่าสมการ อธิบาย 2005-2008 ได้หรือไม่ ว่าแล้วก็ช่างมันเถอะครับ รอลุ้น Jan effect เหมือนกัน :D แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 15:19:37 จากคุณ : Toey84 เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 15:19:14

ความคิดเห็นที่ 36 ถูกครับ พวก MLR นี่เราไม่ได้ใช่ Forecast เราใช้ประมาณค่าในช่วง แต่ผมปล่าวทำนะครับ John Taylor เป็นนักเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Stanford เค้าทำ และขนาด Paul Krungman ยังเอามาอ้างบ่อยๆ  ใน web ของ fed ยังมี http://www.frbsf.org/publications/economics/letter/2009/el2009-17.html การที่ติดลบแปลว่า ใน Fed ยังต้องรอให้เงินเฟ้อ และอัตราการจ้างงานขึ้นมาถึงค่าหนึ่งจึงจะขึ้นดอกเบี้ยได้ ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นเร็วๆนี้ครับ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 15:54:40 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 15:50:01

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ ประเด็นน่าสนใจดีขอเสริมนิดหนึ่งนะครับ ^^" 1. จริงอย่างที่คุณว่าครับ Fed ใช้ Taylor rule ในการประกอบการทำนโยบาย ซึ่งผมเคยได้ยินกรรมการ Fed บางท่านก้อยืนยันแบบนั้นเหมือนกัน (แต่จำไม่ได้ล่ะ ว่าอ่านจากไหน ^^" ) ประเด็นนี้ค่อนข้างเอกฉันท์ เพราะจาก Taylor rule ก้อค่อนข่างแน่ชัดว่า Fed คงไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปอีกพักใหญ่ๆ 2. อย่างไรก้อดี Risk ต่อตลาด คือ Tightening monetary policy ครับ ซึ่งไมได้หมายความว่า ต้องเป็น Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างเดียว การ tightening policy หมายถึงการ unwind QE ต่างๆ ที่รัฐบาลใช้ในช่วงที่ผ่านมาก้อได้ครับ เห็นด้วยกับที่คุณบอกว่า ถ้า Fed ขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ balance sheet ของตัวเองแย่ลงไปอีก ซึ่งผมคิดว่า เค้าก้อทราบดีครับ เพราะฉะนั้น ก่อนจะขึ้นดอกเบี้ย เค้าต้อง unwind position พวกนี้ให้มากที่สุดครับ ไม่เพียง monetary policy เท่านั้นครับ รวมถึง fiscal policy ต่างๆ ด้วย แต่ไม่ใช่ว่า ผมจะเห็นด้วยกับ risk ดังกล่าวนะครับ ผมก้อมองว่า risk ดังกล่าวต่ำมาก เพราะ รัฐบาลสหรัฐฯ คงไม่ tightening policy ตัวเองในช่วงที่ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่หรอกครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 15:51:18

ความคิดเห็นที่ 38 3.ซึ่งกระทู้นี้ไม่ได้ว่าไว้ (แต่ผมว่า คุณ Crazy rabbit ทราบดีอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่อาจจะประเมินว่าความเสี่ยงดังกล่าวมีน้อย เลยไม่ได้พูดถึง) ซึ่งผมอยากจะขอเสริมดังนี้ครับ โอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย ก่อนกำหนด ก้อเป็นไปได้นะครับ (ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย) ถ้า.. 3.1 potential output ต่ำกว่าความเป็นจริง มีงานหลายชิ้นนะครับ ที่ชี้ว่า หลัง crisis potential output จะต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะฉะนั้น Taylor rule ที่ได้ (ซึ่งผมเข้าใจว่า base on some kind of historical-base potential output measure) อาจต่ำกว่าความเป็นจริงครับ แต่อันนี้ก้ออีกล่ะ อาจจะวัดกันยาก และคงไม่ได้เปลี่ยนกันช่วงข้ามคืน แต่อยากให้ keep in mind ไว้ครับ เพราะตลาดอาจ react ถูกก้อได้ เพียงแต่มันไมได้ปรากฏไปใน Taylor rule 3.2 Dollar อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ทุกคนเชื่อว่า Dollar มีทิศทางอ่อนค่าลง ซึ่งถ้า อ่อนค่าลงมากๆ อาจเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย เพื่อพะยุงค่าเงินของตนเอง 3.3 inflation พุ่งสูง อันนี้เป็นไปได้นะครับ ถ้าเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ inflation พุ่งสูงผิดปกติ ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น น้ำมันพุ่งสูงผิดปกติ จากอะไรก้อแล้วแต่ เหตุการณ์ทำนองนี้ อาจทำให้ Fed ต้อง response ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยก้อได้ครับ อย่างไรก้อดี ผมย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าผมก้อประเมิน risk พวกนี้ไว้ต่ำเหมือนกัน เพียงแต่อยากเขียนเพื่อให้กระทู้ดีดีนี้ รอบด้านยิ่งขึ้นครับ :) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 16:01:49

ความคิดเห็นที่ 39 สุดท้าย ขอเสริมอีกอย่างว่า เป็นไปได้นะครับ ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ย แต่ไม่ได้หมายความว่า Fed ต้องการที่จะ tightening policy กล่าวคือ มีบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า 0% rate มันต่ำเกินไป และเหมาะกับในภาวะวิกฤตเท่านั้น ถ้าคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบันพ้นวิกฤตมาแล้ว เป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยบ้าง เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ กล่าวคือ เงินเฟ้อต่ำ growth ต่ำ แต่ไมได้หมายความว่า Fed จะต้องคงดอกเบี้ยไว้ใกล้ 0 ครับ จริงไหม อาจจะเป็นสัก  1-2 % ก้อได้ นิครับ ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีดีอีกครั้งครับ :) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 16:04:54

ความคิดเห็นที่ 40 ครับ การดำเนินนโยบายของ Fed ในอดีตต้องคำนึงถึง Output Gap เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เวลาเอามาทำเป็น Taylor Rule ตัวที่ใกล้เคียงสุดก็คือ Cyclical Unemployment (Actual - NAIRU) นั่นเอง แต่มันก็ไม่ใช่เป๊ะ จะเห็นได้ว่าถ้าการว่างงานสูงกว่า อัตราการว่างงานธรรมชาติ ซึ่งเราอาจจะเรียกมันเป็น Potential ก็ได้ แสดงว่ามี Output Gap Fed ก็ต้องทำให้ดอกเบี้ยต่ำๆ ถ้าในระยะยาว NAIRU สูงกว่าแต่ก่อน จะให้กลับไปเหมือนเดิมคงไม่อยู่ในสมการนี้ครับ แต่ Case นี้ จะทำให้อัตราดอกเบี้ยตาม Taylor Rule สูงกว่าความเป็นจริง  Fed ต้องการต่ำกว่านี้ แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 16:48:36 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 16:47:48

ความคิดเห็นที่ 41 คืนนี้มีข่าวไม่ดีเยอะเลย ถึง Fed จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่เงินเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นต่างๆ แล้วครับ หลังจากนิ่งๆ ใน shock เมื่อวันศุกร์ เริ่มจากยุโรป สหรัฐ รวมทั้งตลาดโภคภัณฑ์ กลับเข้าสู้ตลาด Bond แล้วครับ ในวันศุกร์ Bond ตกนะครับ วันนี้ Bond ขึ้น เพราะ Driver ต่างกัน ทั้งสองวันดอลลาร์แข็งเหมือนกัน ขอให้ทุกท่านโชคดี แก้ไขเมื่อ 08 ธ.ค. 52 21:58:32 จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 21:57:32

ความคิดเห็นที่ 42 แหม พอดีเลยครับ สำหรับรูปใน คห 40 ว่าจะเอามาหากินเหมือนกัน อิอิ แสดงว่าคุณอ่าน Chapter 4 ใน WEO เล่มนี้แล้วใช่ไหมครับ (สำหรับท่านที่ไม่เข้าใจว่า เมิงคุยเรื่องไรกันเนี่ย ^^" แฮะๆ ลองอ่าน WEO เล่มล่าสุดดูก่อนนะครับ ที่นี่ครับ http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2009/02/index.htm ) เอาง่ายๆ เลยนะครับ ถ้าใช้ สมการที่คุณโพสใน คห.1 จะเห็นว่า Output gap ที่ใช้ของ CBO กับ Output gap ที่ใช้วิธีของ Bernes 2009 (เส้นสีแดงใน คห.40 สำหรับคนที่ไม่ทราบ) ห่างกันพอสมควรเลยเห็นไหมครับ ซึ่งถ้าคูณกลับไปด้วย coefficient ที่ใช้ในสมการ คห.1 (1.95) จะเห็นว่า FFR ที่คำนวณได้จาก Taylor rule จะห่างกันเกือบ 4% เลยทีเดียว! (ผมเฉลี่ยๆ คร่าวๆ ว่า ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นไป เส้นสีเหลืองกับเส้นสีแดงห่างกันประมาณ 2% เมื่อคูณกับ Coef จะได้ราวๆ 4%) 4% เชียวนะครับ ถ้าเชื่อว่า วิธีของ Bernes ถูก นั่นแปลว่า ถ้าปัจจุบัน Taylor rule บอกว่า FFR ต้องติดลบต่ำกว่า 4% (let's say 3%) นั่นแปลว่า Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยแล้วนะครับ ตอนนี้ :) ในภาวะวิกฤต Taylor rule มีจุดอ่อนเยอะครับ และผมเชื่อว่า Fed ให้น้ำหนัก Taylor rule น้อยกว่าในภาวะปกติครับ :) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 52 23:17:14

ความคิดเห็นที่ 43 ขอขอบคุณทั้งคุณ Crazy Rabbit และ m_ple ที่มาสนทนากันให้ เม่าน้อยๆ ตาดำๆ นั่งฟังแป๋วแหว๋ว ยอมรับว่ากระทู้ย่อยยากมากมาย ไว้จะมาอ่านซ้ำอีกรอบดีกว่า .. จากคุณ : teeranet เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 05:44:59

ความคิดเห็นที่ 44 ผมเปิดแว๊บๆน่ะครับ ตอนแรกผมยังไม่เห็นกราฟเหลืองนั่นด้วยซ้ำ ปกติผมใช้ Multiple Strategy น่ะครับ ก็จะใช้ทั้ง Finance และ Economics + ไสยศาสตร์ คือ Technical Analysis ดังนั้นผมจะไม่เก่งอะไรซักอย่างครับ ^^ จากคุณ : Crazy Rabbit เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 52 23:28:51

ความคิดเห็นที่ 45 Thanks a lot ka จากคุณ : kor_kor เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 14:21:13

ความคิดเห็นที่ 46 .. จากคุณ : DarkEnemy เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 52 12:27:12