ความคิดเห็นที่ 1 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:01:12

ความคิดเห็นที่ 2 เฉลยแบบทดสอบ http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=konjon&date=01-11-2009&group=2&gblog=47 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:01:42

ความคิดเห็นที่ 3 ขอรวบรวมกระทู้ทั้งหมด เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านย้อนหลังนะครับ จุดเริ่มต้นของกระทู้ DVD http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8670672/I8670672.html DVD ฉบับปฐมฤกษ์ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8673388/I8673388.html DVD 2 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8679464/I8679464.html DVD 3 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8683468/I8683468.html DVD 4 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8687431/I8687431.html DVD 5 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8691402/I8691402.html DVD 6 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8695092/I8695092.html DVD 7 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8702098/I8702098.html DVD 8 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8704706/I8704706.html จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:02:26

ความคิดเห็นที่ 4 หยุดโพสต์ไปหลายวัน หวังว่าคงจะไม่ถามช้าไปหน่อยนะครับ เมื่อคืนวันพฤหัสที่แล้ว  ผมเปิดดูช้าไปหน่อย เลยได้ดูแค่ตอนที่  คุณอินวิสซิเบิ้ลแฮนด์บอกว่า สอนหนังสือเป็นงานที่ชอบ   ใครที่ดูทั้งรายการทราบไหมว่า คุณมือล่องหนเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนไหนครับ  ?? นับถือคุณมือล่องหนมากๆที่บอกว่า เป็นการสอนฟรี  และไม่ได้ตั้งเป้าหมายการลงทุนเป็นจำนวนตัวเลข (น่าจะเข้าข่ายวีไอโวหาร  ) แต่จริงๆแล้ว  เป้าหมายกว้างๆคือ   มีเงินพอเพียงกับการดำรงชีพ และสามารถนำมาทำกิจกรรมเพื่อสังคม ทำเพื่อตัวเอง  เป็นได้แค่คนเก่ง แต่ทำเพื่อคนอื่น  ถึงจะเป็นยอดคน ซึ่งผมเองก็ทำไม่ได้  จึงนับถือคนที่ทำได้มากๆๆๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 08:17:38 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:16:07

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีปีใหม่สมาชิกห้องDVDทุกคนครับ ปีใหม่นี้ของให้ร่ำรวย เงินทองกองข้างหน้าให้คว้าตามใจอยากเลยครับ ps.  กราบสวัสดีปีใหม่พี่เอนโด ผู้ใหญ่ที่เคารพรักครับ จากคุณ : เย่หยงเทียน เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:24:08

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีปีใหม่ (ล่วงหน้า) ครับคุณ endophine คุณคเชนทร์บอกว่า ทุกวันนี้แบ่งเวลาออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการลงทุนในหุ้น ส่วนที่สองคือตอบแทนสังคมโดยการเป็นคุณครูที่โรงเรียนเพลินพัฒนา ซึ่งเป็นโรงเรียนในเครือของ se-ed น่ะครับ http://www.plearnpattana.com/cms/index.php?option=com_frontpage&Itemid=24 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:26:00

ความคิดเห็นที่ 7 มาแปะชื่อทักทายทุกท่าน ไปทำงานก่อนนะครับ จากคุณ : Idiopathic เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:26:16

ความคิดเห็นที่ 8 คณะกรรมการบริหารโรงเรียนเพลินพัฒนา จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:30:55

ความคิดเห็นที่ 9 กำลังนั่งอ่านกระทู้ตะแกรงร่อนของคุณวิบูลย์อยู่ครับ อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:36:51

ความคิดเห็นที่ 10 สวัสดีครับพี่ ๆ ทุกท่าน ผมเพิ่งเคยเห็นคุณ IH วันนี้แหละ อิอิ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 08:38:20 จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:36:51

ความคิดเห็นที่ 11 อรุณสวัสดิ์ครับ ทุกท่าน จากคุณ : Landscape (ภูมิทัศน์) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:37:30

ความคิดเห็นที่ 12 พูดถึงกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ผมให้ความสำคัญกับตัวนี้ค่อนข้างมาก   หลังจากที่ได้อ่านบทความที่คุณฉัตรชัยแห่งเวบทีวีไอเขียนถึงเรื่อง ความสำคัญของกระแสเงินสด นักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าตลาดหุ้นไม่เกินห้าปี อาจจะไม่รู้จักหุ้นที่ชื่อ  "ROYNET" เป็นบริษัทที่ขายบัตรเล่นอินเตอร์เนตรุ่นบุกเบิก สมัยที่ความเร็ว  56 K  ถือว่าทันสมัยมากๆ รอยเนท  เดินตามไอเนทเข้าตลาดหุ้น แต่โดนไล่ตะเพิดออกไปจากตลาด เพราะความขี้โกงของเจ้าของ กล้าใช้คำนี้เลยว่า  ขี้โกง ใครอยากอ่านข้อมูลเพิ่มเติม ให้พิมพ์คำว่ารอยเนท  ในกู่เกิ้ล เจ้าของรอยเนท  เข้าข่ายขี้โกงเอาดื้อๆ คือเล่นกันถึงขั้นตกแต่งบัญชี ประเด็นที่ผมนึกไปถึงเรื่องกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก็คือ มีอยู่ไตรมาสหรือสองไตรมาส รอยเนทแจ้งผลประกอบการออกมาดีมาก นักลงทุนรายย่อย เห็นงบแล้วน้ำลายไหล แต่สุดท้ายน้ำลายก็กลายเป็นน้ำตาแทน ประเด็นที่สำคัญคือ บริษัทเอาบัตรพรีเพดเล่นเนต  ไปฝากขายตามร้านค้า แล้วก็ลงเป็นรายได้   ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า  ขายได้จริงหรือเปล่า   ผมพยายามตามงบการเงินเก่าๆของรอยเนทก็หาไม่เจอ ไม่งั้นก็อาจจะหาได้ว่า บริษัทกำไรมากแบบมีเงื่อนงำ   คือกำไรดี  แต่ไม่มีกระเสเงินสดจากการดำเนินงานเลย เพราะมีแต่ลูกหนี้เทียมเต็มไปหมด (ร้านค้าที่เอาบัตรไปฝากขาย) ถ้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าของรอยเนทอาจจะโกงได้สามรูปแบบ แบบแกะรอยได้และแกะรอยไม่ได้จากงบการเงินคือ ๑ รายได้ดี  กำไรดี แต่ไม่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเลย เพราะมีแต่ลูกหนี้เทียมเต็มไปหมด ๒  รายได้ดี  กำไรดี  และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี โดยการกู้เงินเข้าใส่ในบัญชีบริษัท และลงบัญชีว่าขายเงินสด หรือเก็บหนี้ได้แล้ว ๓  โกงดื้อๆ  ด้วยการตกแต่งบัญชีซึ่งไม่เคยมีอยู่จริง แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ก็เข้าข่าย   ถ้าเจ้าของบริษัทจะโกงซะอย่าง ใครก็จับไม่ได้  จนกว่าขยะใต้พรมจะส่งกลิ่นออกมา เจ้าของบริษัทที่ขี้โกง จึงเป็นคนพวกเดียวในตลาดหุ้นที่น่ากลัวที่สุด เพราะทำให้ทั้งหุ้นดีๆ หุ้นเน่าๆ  และราคาหุ้นดีๆ  ราคาหุ้นเน่าๆ ส่วนเจ้ามือในตลาดหุ้นที่ไม่ใช้เจ้าของหรือร่วมมือกับเจ้าของ ในความเห็นของผม ไม่น่าเกลัว  เพราะเขาจะทำได้แค่ ราคาหุ้นดีๆ  กับราคาหุ้นเน่าๆ  เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 12:28:19 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 08:56:19 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 08:46:27 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:43:07

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านครับ ขอบคุณคุณเย่หยงเทียนที่เข้ามาทักทายครับ ขอบคุณคุณคนจนที่อยากรวย  ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม บางคนอาจจะไม่รู้ว่า อีกช่องทางหนึ่งที่คุณมือล่องหน   ได้ให้บริการแก่สาธารณะมาอย่างยาวนานก็คือ การตอบคำถามด้านปัจจัยพื้นฐานของหุ้น   ผ่านทางเวบนี้มาสามหรือสี่ปีแล้ว http://bbznet.pukpik.com/scripts3/board.php?user=greenbull&board=8&order=numtopic สอนให้คนพยายามรู้วิธีจับปลาเอง   ย่อมดีกว่ายื่นปลาให้โดยไม่ต้องจับ จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:52:47

ความคิดเห็นที่ 14 ROYNET PICNIC SECC พอกันเลยครับ เล่นแร่แปรธาตุกับตัวเลขทางบัญชี Picnic ก็เรื่องการลงบัญชีถังบรรจุแก๊ส Seccก็เรื่องการนำเข้ารถลม ไม่มีตัวตน จากคุณ : เย่หยงเทียน เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:56:24

ความคิดเห็นที่ 15 ดังนั้นงบกระแสเงินสดcash flowจึงสำคัญอย่างยิ่งในยุคนี้ ใครดูแต่งบดุลกับงบกำไรขาดทุน อาจถูกหลอกได้ครับ จากคุณ : เย่หยงเทียน เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 08:59:30

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ endophine ครับ รบกวนถามหนึ่งคำถาม จากความเห็นที่ 12 ครับ ๒  รายได้ดี  กำไรดี  และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี โดยการกู้เงินเข้าใส่ในบัญชีบริษัท และลงบัญชีว่าขายเงินสด หรือเก็บหนี้ได้แล้ว  ---> อันนี้พอเข้าใจครับ ๓  โกงดื้อๆ  ด้วยการตกแต่งบัญชีซึ่งไม่เคยมีอยู่จริง ---> อันนี้สุดแท้แต่เวรกรรมครับ -------------------------------------------------------------------- ๑ รายได้ดี  กำไรดี แต่ไม่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเลย เพราะมีแต่ลูกหนี้เทียมเต็มไปหมด คำว่า "ไม่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเลย"  คุณ endophine ตีความอย่างไรครับ กระแสเงินสดรวมติดลบ ? กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานติดลบ ? ตามที่ผมเข้าใจ งบกระแสเงินสดจะดี อย่างน้อยสุดท้ายแล้ว งบสิ้นงวด บริษัทควรต้องมีเงินสด (แต่เราก็ต้องดูว่าเงินสดนั้น มาจากแหล่งใด) ในกรณีที่ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานดี (เป็นบวก) สิ่งหนึ่งที่ทำให้มีค่าเป็นบวกได้ นั่นก็คือ บริษัท "มีลูกหนี้เพิ่มขึ้น" เมื่อลูกหนี้เพิ่มขึ้น ... สิ่งที่ตามมาก็คือความเสี่ยงในการตามเก็บเงินของลูกหนี้ เหมือนดังเหตุการณ์ที่คุณ endophine ยกมา ใช่ไหมครับ แต่สำหรับ ผมมองแยกเป็นรายบริษัท หากบริษัทไหนมีความสามารถในการตามเก็บลูกหนี้ได้ดี และมีลูกหนี้มาก ผมมองว่า "ดี" เพราะสุดท้ายแล้ว  ลูกหนี้ที่เรียกเก็บได้  ก็คือ "กำไร" ผมเข้าใจอย่างนี้น่ะครับ T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:01:44

ความคิดเห็นที่ 17 จะว่าไปแล้ว บางทีก็อดจะตำหนิ   กรรมการตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งนำหุ้นบางตัวเข้าตลาดไม่ได้ จะเป็นเพราะบุคลากรไม่พอ เลยไม่มีเวลาลงไปสัมผัสความเป็นจริงของกิจการ ดูแต่ตัวเลขที่เขาตกแต่งเข้ามา  เพื่ออยากจะเข้าตลาดให้ได้ อย่าง รอยเนท ถ้าตอนนั้น  ไปถามตามร้านค้าบัตรเติมเงินไม่ว่าที่ไหน จะรู้เลยว่า  บัตรเติมเงินของรอยเนทขายได้น้อยมาก ที่ขายดีจริงๆในตอนนั้นคือ  KSC  ??? ไดโดม่อง ถ้าไปดูตามห้าง  แม้ในวันอาทิตย์ต้นเดือน ไม่เคยมีคนนั่งเต็มร้าน   ซึ่งตรงข้ามกับเอ็มเคราวหน้ามือกับหลังเท้า ไปๆมาๆ  คงจะต้องสรุปว่า ธรรมาภิบาลของเจ้าของบริษัทสำคัญที่สุด เจ้าของไม่ขี้โกง   ต่อให้เจ้ามือในตลาดหุ้นขี้โกง   ก็ไม่เห็นจะน่ากลัว   เพราะเจ้ามือทำให้บริษัทเจ๊งไม่ได้ จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:08:01

ความคิดเห็นที่ 18 ต้องยอมรับกับคุณคนจนที่อยากรวยตามตรง ทุกวันนี้ ผมยังดูงบการเงินไม่ค่อยออกเท่าไร รู้แต่หลักการคร่าวๆเท่านั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดี น่าจะมาจาก "ลูกหนี้ที่ดี" ตามเก็บเงินได้อย่างสม่ำเสมอตามรอบบัญชี น่าจะสรุปได้ว่า บริษัทดีๆ จะต้องมีลูกหนี้ดีๆ   ที่ร่วมทางกันเดินอย่างสร้างสรรค์ กับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท  ?? จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:16:12

ความคิดเห็นที่ 19 ขออนุณาตแจมนะครับ คุณ คนจนที่อยากรวย ที่พี่ เอ็นโด ยกตัวอย่างน่าจะหมายถึง บริษัทเอาบัตรไปฝาก ขายตามร้าน แต่ลงเป็นลูกหนี้ทั้งที่ยังไม่มีการขายเกิดขึ้นจริงอ่ะครับ  ซึ่งในจุดนี้งบ กระแสเงินสดสามารถบอกได้ว่าที่กำไรเยอะ ๆ ในงบกำไรขาดทุนอ่ะ ทำให้มีเงินสด เข้ามาตามด้วยหรือเปล่า  เป็นจุดให้เราสังเกตได้อ่ะครับว่าบริษัทตุกติกในตัวเลขกับ ผู้ลงทุนอย่างเราหรือเปล่า ส่วนกรณีที่คุณ คนจนที่อยากรวย ยกตัวอย่างมาน่าจะต้องไปดูรายละเอียด เพิ่มใน รายงานประจำปี ว่ากำไรเยอะแต่ลูกหนี้เยอะเนี้ย ที่ผ่านมาบริษัทมี ความสามารถในการเก็บเงินจากลูกหนี้ยังไง และตอนนี้บริษัทมีลูกหนี้แต่ละ ประเภทเท่าไหร่บ้างอ่ะครับ แต่ถ้าเข้าของบริษัทตกแต่งเองก็เอวังอยู่ดี ถ้าโชว์โง่ขออภัยด้วยครับ _/|\_ จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:20:06

ความคิดเห็นที่ 20 คุณน้ำเต้าฮวยฯ ชี้แจงได้ตามที่ผมคิดไว้ครับ คือแค่ฝากขาย  ดันลงบัญชีว่าขายได้แล้ว เป้าหมายหลักจริงๆ  ของการกระทำแบบนั้นก็คือ ต้องการล้วงเอาเงินจากกระเป๋านักลงทุนรายย่อย เวลาดูงบการเงิน  ผมมักจะดูหมายเหตุประกอบงบการเงิน ก่อนงบดุลกับงบกำไรขาดทุน บางทีเราอาจจะเห็นเงื่อนงำสำคัญที่ซ่อนอยู่ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน แต่บางทีก็ดูไม่ออก  เพราะแม้แต่ผู้ตรวจสอบบัญชีก็ยังดูไม่ออก ดูอย่าง SECC   เป็นไปได้ไง ที่ผู้ตรวจสอบบัญชี ปล่อยให้มีรถเป็นสินค้าคงเหลือ ทั้งๆที่ถ้าตรวจสอบจากกรมศุลกากร  ก็จะรู้ความจริงว่า   บริษัทไม่ได้นำเข้ารถยนต์ที่อ้างไว้ในบัญชีเลย เงินทองมันไม่เข้าใครออกใคร แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 09:31:35 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:27:33

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับคุณ น้ำเต้าฮวย 5 บาท  แสดงความคิดเห็นได้ ไม่มีใครผิดหรือถูกหรอกครับ สำหรับผม เวลาผมดูผลประกอบการ(รายไตรมาส) งบดุล จำพวกลูกหนี้ สิ่งที่ผมจะต้องดูประกอบด้วยเสมอ นั่นก็คือ "หมายเหตุงบการเงิน" ซึ่งเขาจะแจงไว้ชัดเจนครับว่าลูกหนี้ที่มีอยู่นั้น แยกเป็นประเภทใดได้บ้าง ไม่ต้องรอ annual report หรอกครับ ... หากรอ คิดว่าคงไม่ทันการ  หุหุ อย่าง case ด้านล่างนี้จะพบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่สามารถเรียกเก็บได้ภายใน 3 เดือน ผมในฐานะผู้ถือหุ้น ก็เบาใจไปได้เยอะครับ ^_^ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 09:29:43 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:27:47

ความคิดเห็นที่ 22 อ้าวเหรอครับ คือผมเพิ่งมาสนใจ VI อ่ะครับ 2 เดือนที่ผ่านมาเองเลยโหลดแต่ Annual Report เท่าที่มีของบริษัทที่สนใจมาอ่าน ยังไม่เคยเข้าไปอ่านในงบการเงิน รายไตรมาสเลยครับ  ถ้าจะซื้อหุ้นตัวไหนคงต้องเอามาอ่านเพิ่มแล้วล่ะ ตอนนี้หุ้นที่ ผ่านตระกรงร่อนไม่ค่อยเหลือ MOS เลยคงต้องรอไปก่อน T T จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:42:50

ความคิดเห็นที่ 23 ในชีวิตจริง ปฏิบัติให้ได้แบบนี้ ยากจริงๆครับ T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:43:04

ความคิดเห็นที่ 24 แก้ไขครับ โพสซ้ำ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 09:45:46 จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:45:22

ความคิดเห็นที่ 25 ถึงคุณน้ำเต้าฮวย 5 บาท แนะนำให้อ่านแบบ 56-1 อีกฉบับด้วยนะครับ  ... ขุมทรัพย์ดีๆเลยนะนั่น ^^ http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/cgi-bin/find56.php?lang=t&ref_id=&content_id=1 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:45:50

ความคิดเห็นที่ 26 จริง ๆ แล้วผมก็อ่านทั้ง รายงานประจำปี กับ  56 -1 แหละครับคุณ คนจนที่อยากรวย แต่รายละเอียดข้างในค่อนข้างคล้ายกันมากเลย แต่ผมก็อ่านทั้ง 2 ตัวแหละ ครับ เพราะหากตั้งใจมาทางนี้และยังไงก็ต้องมีเวลาให้บริษัทที่เราสนใจ จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:55:29

ความคิดเห็นที่ 27 ดีครับ มีคนเคยบอกผมว่า แบบ 56-1 เนี่ย เหมือนนิยายเลย อ่านเพลิน ที่สำคัญ หากเรายิ่งอ่านหลายอุตสาหกรรมมากเท่าไหร่ สิ่งที่ได้ก็คือ "มุมมอง" ของอุตสาหกรรมนั้นๆ ทำนองว่า อ่านเอาความรู้ของตัวอุตสากหรรมก็ยังได้เลยครับ อิอิ จากคุณ : ผมชอบ print มาอ่านเล่น (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 09:58:50

ความคิดเห็นที่ 28 สวัสดีค่ะน้าคลายเครียด  พี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ทุกคนค่ะ จากคุณ : หวานใจกัปตัน เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 10:31:22

ความคิดเห็นที่ 29 หวัดดีครับ ทุกท่านเข้ามาหาความรู้ครับ จากคุณ : ahcmos เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 10:32:01

ความคิดเห็นที่ 30 หวัดดีคุณหวานใจกัปตัน , คุณ ahcmos และหวัดดีทุกๆคนที่กำลัง(แอบ)อ่านอยู่ด้วยครับ อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 10:37:35

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณทุก คคห. ครับ ได้รับประโยชน์มากมายจากกระทู้นี้ จากคุณ : Doncaster เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 10:52:41

ความคิดเห็นที่ 32 สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านครับ จากคุณ : เล่นรอบ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:21:48

ความคิดเห็นที่ 33 หวัดดีครับพี่เล่นรอบ ^^   ถือโอกาสนี้สวัสดีปีใหม่เลยละกันครับ แวะมาแบ่งปันความรู้ให้นักลงทุนหน้าอ่อน หน้าใหม่ บ่อยๆนะครับ ^^ ปล. แต่ก่อนผมเคยสงสัยว่าเขากำหนดการขยับราคาหุ้น (ช่อง) อย่างไร ตอนนี้ ได้คำตอบแล้วครับ อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:26:45

ความคิดเห็นที่ 34 สวัสดีตอนเช้า...........ครับทุกท่าน จากคุณ : เด็กเลี้ยงไม้ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:30:41

ความคิดเห็นที่ 35 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:39:02

ความคิดเห็นที่ 36 จะพยายามนะครับคุณวิบูลย์ T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:43:21

ความคิดเห็นที่ 37 มีความเห็นกันอย่างไรบ้างครับ ? จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 11:48:21

ความคิดเห็นที่ 38 มุมมองของหุ้นที่ออก warrant และเหตุผลในการซื้อหุ้นคืนของเจ้าของบริษัท ในมุมมองของ VI ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 12:00:38

ความคิดเห็นที่ 39 ไม่ค่อยมีความรู้เรื่อง  margin of safety แต่ถ้าเป็น intrinsic  value ในความเห็นของผมก็คือ "ราคาหุ้นที่  เงินที่อำนาจซื้อนำสูงสุดในหุ้นตัวนั้น จะซื้อ  ไม่ว่าด้วยวัตถุประสงค์อะไรก็ตาม" ราคาหุ้นเซเว่นตอนนี้  ก็ยังเป็นมูลค่าที่แท้จริงของคนบางคน ?? แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 12:04:35 แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 12:04:14 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 12:03:15

ความคิดเห็นที่ 40 ผมไม่ปฎิเสธนะครับ ว่าการลงทุนในหุ้น"ยอดเยี่ยม" ในระยะยาวแล้ว ย่อมสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าลงทุนในหุ้น"ถูก" อย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือ การลงทุนแนว"ยอดเยี่ยม" จำเป็นต้องอาศัยความรู้ในเชิงธุรกิจหลายอย่าง ซึ่งค่อนข้างยาก และต้องอาศัยประสบการณ์ค่อนข้างมาก และหากเราคาดการณ์ผิด ก็มีโอกาสจะเจ็บตัวหนัก เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มักเทรดกันบนความคาดหวังที่พีอีสูงๆ สำหรับนลท.ที่ยังขาดความรู้และประสบการณ์ ( ดังเช่นตัวผมเองเอง ) การลงทุนในหุ้นถูก... ในระยะสั้น น่าจะมีข้อได้เปรียบในแง่ก็อย่างน้อยที่ การลงทุนแนวนี้มีโอกาสสร้างความเสียหายให้กับพอร์ต ( downside risk ) ค่อนข้างต่ำ เพราะหุ้นไม่ได้ถูกเทรดบนความคาดหวังใดๆ อยู่แล้ว ( ผมมองว่าความเสียหายมากสุดที่อาจเกิดจากการลงทุนในหุ้นถูก คือเราไปเจอหุ้น"ถูกเรื้อรัง" ทำให้เสียโอกาสทำกำไรจากเงินก้อนนั้น ) แล้วหลังจากที่เราได้สั่งสมประสบการณ์ในการมองธุรกิจมาแล้วระยะหนึ่ง ค่อยขยับขยายไปลงทุนในหุ้น"ยอดเยี่ยม"ต่อไป จากคุณ : Idiopathic เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 12:32:42

ความคิดเห็นที่ 41 ข้อ 1 ยอมรับว่ายังครับ T^T ข้อ 2 เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆผมไม่มีใครเล่นหุ้นเลย แต่ผมก็โหลดงบการเงินมาดูบ้างครับ (แต่ยังไม่บ่อยมาก) ข้อ 3 อืม ... ประมาณนั้นครับ อิอิ ข้อ 4 อันนี้ถูกต้องนะค๊าบบบบ (ผมชอบเดินสำรวจตลาด) ข้อ 5 บางทีก็กลัวมากกว่ากล้านะครับ เวลาข่าวร้ายมา ... จิตผมยังไม่แข็งน่ะ T^T ข้อ 6 ซื้อหุ้นตัวเดิมนั่นล่ะครับ ^_^ ข้อ 7 ผมเริ่มเป็นคนบ้าแล้วครับ  ตั้งกระทู้พล่ามเองคนเดียว  >< แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 13:10:11 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:05:22

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ ^ ไม่บ้าหรอกครับ เค้าเรียกอัดอั้น อยากระบายความรู้ อิอิ จากคุณ : เด็กเลี้ยงไม้ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:32:54

ความคิดเห็นที่ 43 สวัสดีครับทุกท่าน มาเช็คชื่อ ติดตามความรู้ครับ หุ้นหลายตัว อาจจะพลิกจากขาลงมาเป็นขาขึ้น kloomjai วันนี้ พลิกจากทำงานกลางคืนมาทำงานกลางวัน กระทู้ ตะแกรงร่อนหุ้น นี่ผมก็ติดตามอ่านอยู่บ้าง คงต้องยอมรับว่า ยาวมาก และได้อะไรเยอะมาก สำหรับมือใหม่อย่าง kloomjai ถือเป็นห้องเรียนเลย จากคุณ : ขอบคุณทุกกล่องความรู้ครับ (kloomjai) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:39:50

ความคิดเห็นที่ 44 พี่คนจนกำลังไล่อ่านกระทู้ในตำนานของ thaivi อยู่หรอครับ ผมเคยนั่งอ่านพวก concept มาำัพักใหญ่เหมือนกัน ที่สับสน และงงสุดๆก็คงเป็นพวกการคำำนวน DCF อะไรพวกนั้น ว่างๆช่วยสินหน่อยนะครับ ^^" ชอบคำว่า..concept ที่ฟังดูดีแต่จับต้องไม่ได้ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:41:28

ความคิดเห็นที่ 45 หวัดดีครับ kloomjai   กระทู้ของคุณวิบูลย์ยาวมากกกกกกกกกกกกกกกก จริงๆครับ ผมเคยอ่านผ่านๆตอนสมัยเริ่มเป็น VI ใหม่ๆ  แต่อ่านไปได้ไม่กี่หน้า ก็ต้องถอดใจ เพราะแรงบันดาลใจ ณ ตอนนั้นมันยังไม่มากครับ T^T ตอนนี้ เริ่มใหม่ จะพยายามตามอ่านเก็บความรู้ไปเรื่อยๆ  ไม่มากหรอก แค่ 142 หน้าเอง T_T (กระทู้นี้มีอายุจะครบ 7 ปีแล้วนะครับ) ------------------------------------------------------------------------------ ปล. อ่านความเห็นนี้แล้วเกิดคำถามขึ้นมาหนึ่งคำ นั่นคือ Predict cashflow จากคุณ : มันคืออะไรน้อ ? (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:43:44

ความคิดเห็นที่ 46 ใจเย็นนะครับน้องมิ่งกลิ้ง ตอนนี้เรากำลังทำวีไอโวหาร ให้กลายเป็นวีไอบัญชี/แท้ อยู่ ขอเวลาสักครู่ ........................... มันจะเร็วขึ้น หากมีพี่ๆใจดี มาช่วยชี้แนะน้องๆอย่างพวกเราๆน่ะครับ T^T ผมก็รออยู่เหมือนกันเน้อ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:46:56

ความคิดเห็นที่ 47 สรุปว่ามีศัพท์ใหม่บัญญัติซะแล้ว วีไอโวหาร อิอิ จากคุณ : เทคนิคัลโวหารมีมั้ย ^^ (มิ่งกลิ้ง) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:50:50

ความคิดเห็นที่ 48 การหา Intrinsic Value มีสามวิธี แต่ตอนนี้ผมยังไม่รู้สักวิธีเลยครับ ขออ่านกระทู้คุณวิบูลย์ไปเรื่อยๆละกันนะครับ  คำตอบคงมีในกระทู้ แต่จะเป็นหน้าไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน - -" ผมอ่านความเห็นไหน แล้วอยากเก็บไว้อ่านอีก ก็จะ capture มาแปะไว้ที่นี่ หวังว่าคงไม่ว่า/เกะกะ ลูกตาเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ นะครับ T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:53:39

ความคิดเห็นที่ 49 ทุกวันนี้ผมเล่น/ลงทุนในหุ้นหลากหลายรูปแบบ ทั้งเก็งกำไรสั้นๆ,เล่นรอบระยะกลางถึงยาว ซื้อลงทุนแบบไม่มีกรอปเวลาในการขาย แต่สิ่งที่ต้องทำคือทุกสิ้นไตรมาศ ผมต้องอ่านงบการเงินที่มีอยู่ลิสต์ประมาณ 350 ตัว เพื่อเป็นการจัดเดรดหุ้นที่จะเล่นหรือลงทุน ใครเป็นแบบผมมั่ง จากคุณ : เล่นรอบ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 13:58:24

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ มายกมือบอกว่า "ไม่เป็น" ครับพี่      350 ตัว  ผมตายก่อนพอดี T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:01:06

ความคิดเห็นที่ 51 แต่ไอเดียเรื่องการอ่านงบการเงินเพื่อ "จัดเกรดหุ้น" นี่เข้าท่ามากเลยครับพี่เล่นรอบ มันเหมาะมากๆสำหรับคนถือหุ้นหลายตัว จริงๆแล้วมันก็เหมาะกับทุกคนนั่นล่ะครับ ไม่ว่าจะถือหุ้นกี่ตัวก็ตาม - -" จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:02:49

ความคิดเห็นที่ 52 ความเห็นนี้ ขยายความ คห.48 ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:11:10

ความคิดเห็นที่ 53 ผมมองว่าไม่ว่าจะเก็งกำไรหรือลงทุนหรือเล่นรอบ ถ้าไม่รู้พื้นฐานหุ้นถือว่าอันตรายและเสียเปรียบอย่างมาก ในแง่ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า โดยเฉพาะมือใหม่ที่ยังไม่เข้าใจธุรกิจที่จะลงทุนอย่างถ่องแท้ คอยลอกการบ้านจากพี่ๆ แล้วได้กำไรในบางครั้งแล้วคิดว่าใช้วิธีนี้ก็ดีไม่ต้องเหนื่อยหาหุ้น แต่ถ้าพลาดมาอาจขาดทุนมากมายได้เช่นกัน หุ้นหลายตัวเช่น snc,uec,ums,kye,team ทำเอา vi มือใหม่ขาดทุนได้มากมายเช่นกัน ดังนั้นจะลอกการบ้านใครต้องระวังให้ดีเดี๋ยวเจอคำตอบลวงแล้วจะแย่ พี่ๆ ที่เก่งๆหลายคน ลงทุนหุ้นระยะกลางเท่านั้นในหุ้น รับเหมา,สร้างบ้าน,เรือ,โรงกลั่น และอื่นๆ หุ้นเหล่านี้ผมมองว่าไม่เหมาะกับ vi มือใหม่ครับ จากคุณ : เล่นรอบ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:22:32

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณครับพี่เล่นรอบ " หุ้นรับเหมา,สร้างบ้าน,เรือ,โรงกลั่น และอื่นๆ หุ้นเหล่านี้ผมมองว่าไม่เหมาะกับ vi มือใหม่ครับ " ผมไม่แตะเลยครับ เหตุผลเดียวเลย เพราะผมไม่รู้จักธุรกิจเหล่านั้นดีพอครับ หุ้นของผม มีแต่ตัวบ้่านๆครับ T^T ปล.  ไอ้ และอื่นๆ เนี่ย  .......... กำกวมนะครับพี่  อิอิ  (แซวเล่นนะครับ) จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:28:23

ความคิดเห็นที่ 55 ขอเพิ่มเติมนิดหน่อย จริงๆแล้ว ก่อนหน้านั้น เมื่อหลายเดือนก่อนหน้า หุ้นที่ผมตะแกรงร่อนโดยใช้หลัก "ตัวเลขสำคัญทางการเงิน" เช่น ROA ROE EPS P/E etc... ก็พบว่า หุ้นที่ติดโผมากเป็นอันดับต้นๆก็คือ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และผมก็เคยซื้อไปด้วยเหตุผลที่ว่า "ตัวเลขทางการเงิน" นั้นอยู่ในเกณฑ์ดี เคยได้กำไรมาบ้าง  ... แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เพราะมุมมองของผมเปลี่ยนไป ผมมองว่าหุ้นกลุ่มนี้ ต้องนับหนึ่งใหม่  และพฤติกรรมของการ "ซื้อซ้ำ" นั้น เกิดขึ้นได้ยากกว่าหุ้นอีกหลายๆกลุ่ม  ผมเลยเลิกดู อีกทั้งหุ้นกลุ่มนี้ ดร. บอกว่าเป็นหุ้นแนว อ้วน-ผอม  ไม่ใช่หุ้น "สูง" ส่วนหุ้นรับเหมานั้น ก็ใช่เหตุผลเดียวกัน สิ่งที่ทำได้อย่างเดียว นั่นก็คือ ต้องพยายามหักห้ามใจ เวลาที่เห็นมันวิ่งๆๆๆๆๆ บวกที 3 4 5 6 7 8 9 10%   ส่วนหุ้นกลุ่มเรือ , โรงกลั่น ---> เป็นหุ้นกลุ่มวัฎจักร ผมไม่เล่นอยู่แล้วครับ ซึ่งผมอาจคิดผิด  แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้คิดตอนที่จะซื้อ(มั้ง)  แหะแหะ จากคุณ : แชร์ความเห็นน่ะครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:39:16

ความคิดเห็นที่ 56 โอ้แม่เจ้าคุณพี่ เล่นรอบ อ่านงบทุกไตรมาศ 350ตัว ปีนึงก็ 1400 สุดยอดเลยครับ ผมแค่อ่านหนังสือชี้ชวน กับ 56-1 2-3 ตัวก็จะแย่แล้ว สงสัยต้อง print มาอ่านท่าจะเหมาะกว่าอ่านใน com (เครื่อง print ตัวเสียซะได้ T_T) จากคุณ : เด็กเลี้ยงไม้ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:43:15

ความคิดเห็นที่ 57 ของผมแอบ print ที่บริษัทครับ  กระดาษฟรี หมึกฟรี  ฮาาาาาาาาาาาาา จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:44:24

ความคิดเห็นที่ 58 ผมสัญญาว่าจะไม่เป็นลิงครับ T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 14:57:13

ความคิดเห็นที่ 59 ตอนนี้ผมใช้วิธีนี้หามูลค่าที่แท้จริงอ่ะครับ  แต่จะใช้วิธีตามหนังสือเล่มนี้ วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ และการตีความงบการเงิน เป็นตระแกรงร่อนหุ้นเชิงปริมาณ ถ้าผ่านค่อยมา ร่อนเชิงคุณภาพอีกที   แล้วก็กำลังศึกษาจากหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง ของคุณ สุมาอี้  แต่ค่า WACC ที่ผมใช้ลอกปู่ วอร์แรน มาเลยอ่ะครับ เอาอัตราดอก เบี้ยของพันธบัตรระยะยาวมาเลย 7 % กับ Terminal value ใช้ 1 %  ถ้ามันไม่ เหมาะรบกวนเพื่อน ๆ พี่ ๆ ช่วยแนะนำหน่อยครับ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 15:05:50 จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 15:05:28

ความคิดเห็นที่ 60 อยากได้หนังสือ ของพี่ นริศ บ้างจังหาไม่ได้สักที ตอนนี้คงได้แค่คอยติดตาม ผลประกอบการ และมั่นใจในผู้บริหาร ปล.คุณคนจน ใช้ซะคุ้มเชียวนะครับ จากคุณ : เด็กเลี้ยงไม้ เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 15:11:01

ความคิดเห็นที่ 61 เวรกรรมรูปเล็กเกิน  คห 55 คุณ คนจนที่อยากรวย ตอนนี้ผมมองหุ้นวัฐจักรอยู่ เหมือนกัน  เพราะผมเห็นว่าตอนนี้เป็นช่วงเริ่มวัฐจักรใหม่ของเศรษฐกิจรอบใหม่ เลยคิดว่าตอนนี้ถ้าได้ราคาที่มี MOS มาก ๆ จนได้ longterm return % ก็น่าสนนะ ครับ เพราะหุ้นวัฐจักรเนี้ยพอเข้ารอบของมันก็เหมือนเสือติดปีกเลย  ถ้า MOS เยอะ ก็น่าตีแตกเหมือนกันนะครับ (ไม่รู้จะโดนตีหัวแตกแทนหรือเปล่า ฮาาาาาา ความ เห็นส่วนตัวนะครับ โปรดพิจารณา) จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 15:11:01

ความคิดเห็นที่ 62 คุณน้ำเต้าฮวย 10 บาท ครับ ภาพจาก คห. 59 นี้  เอามาจาก blog  blog หนึ่งใช่ไหมครับ ผมเคยเข้าไปอ่านแล้ว แต่ว่าคนเขียนเขายังเขียนไม่จบนี่ครับ ? ผมก็เลย งง เลย ไปต่อไม่ถูก T^T DCF ผมยังไม่มีความรู้เลยครับ หนังสือ วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง ของคุณ สุมาอี้   ... เป็นอย่างไรบ้างครับ คนไม่มีพื้นฐานอย่างผม อ่านแล้่ว พอทำความเข้าใจได้เองบ้างไหมครับ ? >< จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 15:11:56

ความคิดเห็นที่ 63 ใช่ครับคุณ คนจนที่อยากรวย ตอนแรกผมก็งงเหมือนกันเหมือนเค้าเขียนค้างไว้อยู่ แต่ผมอาศัยเอาตัวเลขมาลงใน excel แล้วหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก TVI จนหาที่มา ที่ไปของตัวเลขและตัวแปรแต่ละตัวอ่ะครับ ส่วนหนังสือ วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง เป็นหนังสืออ่านง่ายครับเหมาะสำหรับพวก ที่ไม่มีพิ้นฐานอย่างผมเหมียนกัลล์  เนื้อหาจะบอกที่มาที่ไปของการคำนวณต่าง ๆ ROA, ROE, PE, PBV, PEG, DISCOUNT RATE,WACC  และสอนการวัดมูลค่าหุ้นทั้ง - วัดมูลค่าจาก PE - วัดมูลค่าจาก เงินปันผล - DCF ข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี และยกตัวอย่างจริงการใช้วิธีต่าง ๆ หามูลค่าหุ้นในตลาดประมาณนี้อ่ะครับ อ่านไปรอบเดียวเอง สรุปแล้วเป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ สำหรับความเห็นผมนะครับ แต่วิธีการต่าง ๆ ในหนังสือเป็นแค่ศาสตร์ ที่ใคร ๆ ก็สามารถศึกษาได้เท่ากัน แต่ศิลป์ในการ วิเคราะห์ธุรกิจหรือบริษัท เพื่อหาค่าตัวแปรต่าง ๆ มาใส่ในสมการ นี่น่ะสิ ปัญหาใหญ่ T T จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 15:36:00

ความคิดเห็นที่ 64 แวะมาทักทาย..สวัสดี DVD... ใกล้ปีใหม่แล้ว ยุ่งกับของขวัญและงานรื่นเริงมากเลยค่ะ ขอให้มีความสุขทุกท่านนะคะ จากคุณ : ฟองเต้าหู้ในน้ำซุป เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 15:48:13

ความคิดเห็นที่ 65 เป็นกำลังใจให้คุณวิบูลย์ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 16:32:43

ความคิดเห็นที่ 66 พลังทั้ง 5  (อ่านเอาไว้เป็นแนวคิด) แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 16:52:34 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 16:44:54

ความคิดเห็นที่ 67 คห. 66  ผมคิดว่า น้ำตาลมิตรผล กับ แบรนด์ อ่ะครับแต่ไม่ได้หาเหตุผลลงลึกนะครับเพราะเห็นว่าไม่ได้เข้าตลาด  เอาเวลาไปศึกษาหุ้นในตลาดก่อนอ่ะครับ แหะ ๆ จากคุณ : น้ำเต้าฮวย 5 บาท เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 16:50:32

ความคิดเห็นที่ 68 กระทู้คุณวิบูลย์อ่านเพลินจริงๆ  แต่วันนี้พึ่งอ่านได้แค่ 9 หน้าเอง  เฮือกกกกกกกกก จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 16:54:33

ความคิดเห็นที่ 69 อยากเจอหุ้นพลังทั้งห้า(หรือมากกว่านั้นบ้างครับ ...มีไหมพลังทั้งห้า ที่ราคายังไม่ไปไหน ^^"(ยังมี MOS สูงอยู่) จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 17:03:32

ความคิดเห็นที่ 70  VIB007  Posted: Tue Sep 30, 2003 11:52 am ---------------------------------------------------------------------------- ขอเล่าชีวิตของขหนำน้อยบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าเอาแต่ในตำรามาพูดหลอกคนอื่น ถามเรื่องชื่อหุ้นก็ไม่ตอบ มันซื้อหุ้นจริงๆหรือเปล่า(ว่ะ) เมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ด้วยความเขลาเบาปัญญาไม่รู้จักการลงทุน เป็นแต่ซื้อหุ้นให้ขาดทุน เลยประชดชีวิตเอาเงินไปสร้างบ้านหลังโตจนหมดเนื้อหมดตัวแถมเป็นหนี้เงินกู้บ้านอีกหลายล้านบาท ปีแรกผ่านไปด้วยความรันทด เงินในกระเป๋าหมด ต้องแบกหน้าไปขอยืมเงินคนอื่น ทั้งหนี้เครดิตการ์ดใช้รูดของแต่งบ้าน หนี้เงินกู้ต้องจ่ายทุกเดือน คิดว่าตายแล้ว ทำไมชีวิตมันลำบากเช่นนี้ อยู่บ้านหลังโตแต่ไม่มีความมั่นคงในชีวิตเลย กลัวไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ กลังตกงาน กลัวฯลฯ ผมกัดฟันจนจ่ายหนี้เครดิตการ์ดหลายแสนบาทจนหมด บอกตัวเองว่าเป็นอย่างนี้ไม่ได้แล้ว เราขาดความรู้ทางการเงินเป็นอย่างมาก ถ้าเราไม่มีความรู้เรื่องการเงินสำหรับชีวิตประจำวัน ชีวิตเราลำบากแน่ ผมเริ่มซื้อหนังสือมาอ่าน ทดลองทำด้วยตัวเองในเรื่อง Personal Financial Planner ผมจดรายการค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ตั้งงบประมาณของตัวเองและครอบครัว ตัดรายการที่ไม่จำเป็นออก ช่วยกันเก็บหอมรอมริบกับภรรยาสองคน จนเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งได้หลายแสนบาท ดีใจมากสำหรับคนที่กำลังจะล้มละลาย ตั้งใจว่าจะไม่ใช้เงินก้อนนี้จนกว่าเกษียณ วันหนึ่งเพื่อนเอาหนังสือมาให้หนึ่งเล่มเป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบ Warren Buffet ผมต้องขอเอ่ยชื่อเพื่อนท่านนั้นไว้ ณ ที่นี้ด้วย คือ ท่านทันตแพทย์ ประพันธ์ เพื่อนของคุณเจ๋งนั่นเอง ผมยังไม่ได้อ่านทันที ทิ้งไว้หลายอาทิตย์กว่าจะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะขยาดกับหุ้นมาเยอะ พออ่านจบผมพบว่าเราน่าจะลองทำดู อ่าน นสพ เห็นบทสัมถาษณ์ ดร. นิเวศน์ ก็ประทับใจว่ามีคนเคยทำสำเร็จ เลยลองศึกษาแล้วซื้อหุ้นลองดูเริ่มต้นด้วยเงินไม่กี่แสนบาท ใช้หลักการตามหนังสือที่อ่านมา จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมบอกได้เลยครับว่า ผมเริ่มต้นแบบคนกำลังล้มละลาย เก็บหอมรอมริบ เริ่มลงทุนด้วยเงินไม่กี่แสนบาท วันนี้ผมสามารถจ่ายค่าบ้านทั้งหมดได้แล้วถ้าอยากจะทำ ชีวิตผมเปลี่ยนไป มีความสงบ มั่นคงอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ผมลงทุนด้วยเงินทั้งหมดที่ผมมีอยู่ และเงินของผมทำงานให้ผมหนักมาก ผมไม่รู้สึกเลยว่าการลงทุนของผมเป็นความเสี่ยง ผมอยากจะบอกอาจารย์นิเวศน์เหมือนกันว่า สำหรับผม Stock are Forever เหมือนกัน พูดไปเหมือนโม้ หรือโมษณาชวนเชื่อ แต่ผมขอบอกว่าไม่ได้ให้ใครมาเชื่อ แต่อยากให้ลองด้วยตัวเอง อย่ามาถามผมว่าผมถือหุ้นอะไรบ้างเพราะถึงแม้คุณจะซื้อตาม เวลาขายผมคงไม่มากระซิบบอกคุณแน่ ผมกำลังชี้ให้ดูพระจันทร์ที่กำลังส่องสว่างอยู่กลางฟ้าครับ อย่ามามัวแต่ดูนิ้วชี้ของผมอยู่เลย ลองศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจด้วยตัวเองเถอะครับ เอาธุรกิจที่เราเข้าใจที่สุด ไม่ต้องเยอะ เริ่มต้นสัก 3-4 บริษัทก็เพียงพอแล้ว มีปัญหาเกี่ยวกับหลักการลงทุนถามพี่ๆเพื่อนๆแถวนี้ได้ครับ ผมคิดว่าทุกคนคงยินดีตอบโดยไม่หวังผลตอบแทน ผมเคยอ่านเจอ Peter Lynch บอกว่าคนเรานี่ก็แปลก สมมุติท่านทำงานอยู่ในโรงงานปิโตรเคมี ซึ่งท่านน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจนี้มากที่สุด กลับไม่ลงทุนในหุ้นบริษัทปิโตรเคมี ดันไปลงทุนในหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ท่านเข้าใจน้อยกว่า (แต่กำลังบูม) เป็นต้น ลองคิดใหม่ทำใหม่เถอะครับ ผมขอแนะนำมือใหม่ดังนี้ 1) ให้เลิกดูราคาหุ้นในทุกสื่อเป็นเวลาสักสองอาทิตย์ ว่าท่านทำได้มั๊ย 2) ให้เลิกถามชาวบ้านว่าซื้อหุ้นอะไรดี 3) ให้ถามตัวเองว่าชีวิตนี้ในอีกสิบปีข้างหน้าต้องการอะไร แต่อย่าข้ามขั้นตอนคุณต้องตอบคำถามข้อ 3 ให้ได้ก่อน (บางทีมันอาจใช้เวลาหลายวัน ได้โปรดอย่าคุยกับคนอื่นแม้แต่กับพ่อแม่พี่น้องสามีถรรยา ฯลฯ โปรดคิดเองคนเดียวให้ออก) หลังจากได้คำตอบแล้วว่าท่านต้องการอะไรในอีกสิบปีข้างหน้าแล้ว ให้ทำดังนี้ 4) ถามตัวเองว่าเราเข้าใจธุรกิจอะไรอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณทำงานแบงค์ก็น่าจะเป็นแบงค์ 5) ไปดูรายชื่อแบงค์ในตลาดหลักทรัพย์ว่ามีแบงค์อะไรบ้าง 6) คุณคิดว่าใครเจ๋งที่สุดในธุรกิจแบงค์ตอนนี้ 7) Download Form56-1 ของแบงค์นั้นมาดู ท่านจะได้ไอเดียว่าอุตสาหกรรมแบงค์เป็นอย่างไร มันทำงานอย่างไร 8) ศึกษาอุตสาหกรรมแบงค์อย่างลึกซึ้ง จนท่านคิดว่าท่านเข้าใจอุตสาหกรรมแบงค์ในเมืองไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง 9) เลือกแบงค์ที่ท่านคิดว่ามีอนาคตสักสองสามแบงค์ แบงค์ที่ท่านเป็นเจ้าของไปได้อีกหลายปี สามารถนอนตายตาหลับถ้ายังถือหุ้นแบงค์นี้อยู่ว่างั้นเถอะ Download Form56-1 ของแบงค์เหล่านั้นมาดูอีกที 10) ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ให้ดูราคาหุ้นเลยนะครับ เอาล่ะ มาถึงขั้นตอนนี้ หลายท่านคงถอดใจเลิกลงทุนตามแนว VI ไป แต่นั่นคือวิธีการทำ Qualitative Analysis ซึ่งอาจจะใช้เวลามากกว่า 70% ของการลงทุน ถ้าท่านไม่เข้าใจธุรกิจ ท่านจะลงทุนอย่างมั่นใจได้อย่างไร จากนี้ไปคือการทำ Quantitative Analysis ซึ่งท่านจะต้องมีความรู้ทางบัญชีบ้างถ้าท่านต้องการเช็ค Financial Strength ของบริษัทเหล่านั้นจริงๆ ของอย่างนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน ทดลองทำด้วยตัวเองครับ สำหรับมือใหม่คงดูลำบาก จะใช้ตัวเลขง่ายๆอย่างที่พี่ประจวบแนะนำ สำหรับผมมันเหมือนขับรถมองกระจกหลังอย่างเดียว แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ถึงตอนนี้มันต้องเลือกแล้วล่ะ ว่าจะใช้ไม่ใช้ 11) ให้เลือกแบงค์ที่สายตาคุณคิดว่าดีที่สุดในด้านต่างๆ 12) ตอนนี้ไปเปิดดูราคาหุ้นได้แล้วครับ ถ้าเอาง่ายๆก็เอาตาม ดร.นิเวศน์แล้วกันว่าอยู่ใน Range นี้หรือเปล่า P/E<10 P/B<2 D/Y>3% (รู้สึกแบงค์จะไม่จ่ายปันผลนะครับช่วงนี้ แต่อย่าให้ความสำคัญกับปันผลมากจนเราลืมอย่างอื่นไป) 13) ค่อยๆลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่เยอะครับ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น 14) ถือหุ้นนั้นไว้สามปี ให้ดูผลประกอบการบริษัทครับ อย่าสนใจราคาหุ้นมาก ถ้าผลประกอบการดี ราคาลดลงให้ซื้อเพิ่มทีละน้อย 15) หลังจากสามปี ท่านจะพบมหัศจรรย์แห่งชีวิตอย่างที่ท่านอาจารย์นิเวศน์ว่าไว้ครับ แต่ผมก็ยังอยากจะบอกว่า VI เป็นเรื่องของความคิด 90% เป็นวิธีการแค่ 10% สิ่งสำคัญคือท่านต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับความโลภและความกลัวในตลาดหุ้นครับ ขอให้โชคดีทุกท่านครับ ปล. อย่ามาถามผมนะครับว่าผมถือหุ้นอะไร ผมไม่ตอบครับ เป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลครับ ขอบอก ให้ถามตัวเองครับว่าอยากถือหุ้นอะไรแล้วทำการบ้านครับ โชคดีอีกทีครับ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 23:18:26 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 18:06:50

ความคิดเห็นที่ 71 หลักปฏิบัติสำหรับ Value Investor 1) รู้จักบริษัทของคุณดีแค่ไหน 2) ผุ้บริหารไว้ใจได้แค่ไหน 3) ราคาเป็นสิ่งสุดท้ายที่ Value Investorจะดู ขณะที่นักลงทุนแนวอื่นจะดูราคาก่อน 4) ถือหุ้นให้นานที่สุด เพื่อให้บริษัทที่ถืออยู่แสดงศักยภาพในระยะยาว จากคุณ : เห็นด้วยหรือไม่ครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 19:05:27

ความคิดเห็นที่ 72 หลักการนี้ น่าสนใจครับ EPV  (ขอ post ไว้ก่อน)  ใครรู้ช่วยอธิบายทีครับ จากคุณ : ขอบคุณล่วงหน้าครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 19:48:53

ความคิดเห็นที่ 73  VIB007 : Posted: Sun Oct 12, 2003 9:14 pm --------------------------------------------------------------------- ขอบคุณพี่Chatchaiครับที่ช่วยแก้ไขข่าวให้ถูกต้อง ผมก็ลักจำเขามา ถูกบ้างผิดบ้าง ก็ขออภัยทุกท่านด้วยนะครับ ที่พี่Chatchai พูดเรื่องGrowth ทำลายมูลค่า ด้วยการไปลงทุนในธุรกิจที่มีผลตอบแทนของเงินลงทุนต่ำกว่าเดิม ผมเห็นด้วย 1,000% ครับ ดังนั้นหน้าที่อีกอย่างของ VI ก็คือ การตรวจสอบการตัดสินใจของผู้บริหารบริษัท ในการดำเนินธุรกิจว่าการขยายกิจการของบริษัท จะเพิ่มมูลค่าของกิจการได้จริงหรือไม่ และ อย่าหลงเชื่อผู้บริหารที่คิดขยายกิจการ อย่างไม่ลืมหูลืมตา เพราะบางครั้ง Growth ก็ทำลายมูลค่าได้อย่างมากเหมือนกัน การขยายกิจการด้วยการเทคโอเวอร์หรือลงทุนใหม่ ในกิจการที่ไม่เกี่ยวกับ Core Business ของบริษัท แล้วก็ทำให้บริษัทแม่แย่ลง คุณน้า Peter Lynch ของผม แกเรียกขบวนการนี้ว่า "Diworsification" ครับ แสบดี จริงๆ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 23:18:04 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 21:50:27

ความคิดเห็นที่ 74  VIB007 : Posted: Tue Oct 21, 2003 3:53 pm ------------------------------------------------------------------------- อ้อ เรื่อง DCA กับ Brand ผมขอแยกแบบนี้แล้วกันครับ บริษัทที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง (Strong Brand) อาจจะไม่มี Durable Competitive Advantage (DCA) ก็ได้ครับ นักลงทุนต้องแยกสองสิ่งนี้ให้ออกครับ ขอยกตัวอย่างธุรกิจค้าปลีกน้ำมันแล้วกันครับ บางบริษัทมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เช่น บริษัทตราเสือ บริษัทตราหอย แต่ถามว่าบริษัทเหล่านี้มี DCA หรือเปล่า ขอตอบว่าไม่มีครับ เพราะธุรกิจน้ำมันเป็นธุรกิจแบบ Commodity ครับ เติมน้ำมันยี่ห้ออะไรรถก็วิ่งได้เหมือนกัน (ถ้าไม่ใช่ปั๊มโนเนมจริงๆ ที่มีน้ำมันปลอม) ธุรกิจแบบนี้จะสู้กันด้วยราคาครับ ดังนั้นในธุรกิจแบบ Commodity ใครเป็น Cost Leadership คนนั้นชนะครับ เจ๊ทรู้จุดอ่อนตรงนี้ดี เลยไม่สู้ด้วยน้ำมัน แต่สู้ด้วยมินิมาร์ตและห้องน้ำแทน เอาอีกตัวอย่างก็ได้ครับ ในอเมริกา GM มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ทุกคนรู้จักหมด ตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงถึงคนแก่ แต่ถามว่าบริษัท GM มี DCA หรือเปล่า ขอตอบว่าไม่มีครับ เพราะในอเมริกา ธุรกิจรถยนต์เป็นธุรกิจแบบ Commodity ครับ สู้กันด้วยราคา แม้แต่ Mercedes-Benz ในอเมริกา ยังถูก Lexus ตีกระจุย ในอเมริกา เขาถือกันว่า Mercedes-Benz ไม่มี DCA ครับ (อาจจะต่างจากเมืองไทย) ดังนั้นผมสรุปเลยว่า บริษัทที่มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียง อาจจะไม่มีความสามารถทางการแข่งขันที่ทนทานก็ได้ครับ เราต้องแยกให้ออกครับ จะแยกออกได้ เราต้องเข้าใจธุรกิจนั้นครับ ส่วนบริษัทที่ Buffet เลือกลงทุนระยะยาว อาจจะไม่ใช่บริษัทที่มีแบรนด์ก็ได้ครับ เช่น ในธุรกิจประกันซึ่งเป็นธุรกิจแบบ Commodity Buffet ถือหุ้น GEICO เพราะบริษัทนี้ มีต้นทุนดำเนินงานที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมประกัน และธุรกิจแบบ Monopoly ถ้าไม่ถูกควบคุมราคาก็น่าสนใจครับ แต่ Monopoly ส่วนใหญ่จะถูกรัฐบาลควบคุมราคา เช่น ทางด่วน เป็น Monopoly ก็จริง แต่จะขึ้นราคาที ยุ่งยากวุ่นวายมาก ต้องส่งเรื่องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แถมหนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวไปทั่วเมือง อย่างนี้ อาจารย์ Buffet คงไม่สนใจเท่าไหร่ หวังว่าคงตอบถูกคำถามนะครับ แล้วพี่ๆเพื่อนๆเข้าใจธุรกิจที่ตัวเองลงทุนอยู่หรือเปล่า ผมมีเรื่องจะเล่าอีกเรื่องหนึ่ง อาจารย์ Buffet บอกว่า เวลาคนเราไปจ่ายตลาด จะซื้อของสักอย่างในซุปเปอร์มาร์เก็ต จะดูแล้วดูอีก ว่าสินค้านั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง มีอะไรกี่เปอร์เซนต์ ใส่สารกันบูดหรือเปล่าครับ ฯลฯ แถมเทียบราคาแล้วราคาอีก ว่ายี่ห้อไหนถูกหรือคุ้มค่าที่สุด ยิ่งถ้ามี SUPER SALE ยิ่งดี เรียกว่ายิ่งถูกยิ่งดี ใช่ไหมครับ แต่กับการซื้อหุ้น เรากลับทำตรงกันข้าม เราจ่ายเงินเป็นแสนเป็นล้านซื้อหุ้น แต่กลับทำความเข้าใจในหุ้นของบริษัทนั้น น้อยกว่าที่เราใช้ซื้อซีอิ้วสักขวดซะอีก แถมเวลาราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้น เรากลับต้องการซื้อมันมากขึ้น (กลัวตกรถไฟไปเที่ยวดอยสุเทพ อิ อิ) เรียกว่าราคายิ่งสูงขึ้น ยิ่งดี ใช่ไหมครับ ผมจะไม่สรุปเรื่องนี้ละครับ แต่ให้ไปคิดเอาเอง ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แล้วพี่ๆเพื่อนๆว่า ที่อาจารย์ Buffet บอกนั้น เป็นความจริงกับตัวเองหรือเปล่าครับ อิ อิ แก้ไขเมื่อ 29 ธ.ค. 52 23:17:47 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 22:52:35

ความคิดเห็นที่ 75 VIB007 : Posted: Thu Oct 30, 2003 1:39 pm ----------------------------------------------------------------------- พอดีในหนังสือหลายเล่ม เขียนถึงคุณสมบัติที่ดีของ VI ผมขอเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ คุณสมบัติที่สำคัญของ Value Investor มีดังนี้ 1) Patience มีความอดทนเป็นเลิศ ข้อนี้ไม่ต้องพูดมากเลยครับ ชัดเจนและจริงจัง ใครจะสามารถรอจนตลาดตกสุดๆกว่าจะชักกระบี่ได้ หรือใครจะสามารถรอจนหุ้นที่ถืออยู่แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ อาจารย์ Buffet ทำได้ครับ แกรออยู่สามปีหลังจากยุบ Buffet Partnership กว่าจะเริ่มเข้าตลาดใหม่อีกครั้ง แกถือหุ้น Coco-Cola อยู่สิบปี กว่าราคาจะวิ่งไปเป็นสิบๆเท่า ปีแรกที่ถือราคาขึ้นไปไม่กี่สิบเปอร์เซนต์เองครับ ส่วนหุ้น Well-Fargo ไม่ต้องพูดถึง ราคาหลังจากซื้อมาปีแรก ลดลงไปถึง 50% เป็นพี่ปรัชญาจะทนไหวไหมครับ หลังจากนั้นสิบปี ราคาขึ้นไปเป็นสิบเท่าเหมือนกันครับ อมิตพุทธ นี่ยังไม่นับรวมความอดทน ที่ต้องเห็นราคาหุ้นตัวอื่นแซงหน้าไปในระยะสั้น เช่น ตอนหุ้นดอตคอมแซงเบริคชายน์ ไปไม่เห็นฝุ่นตอนปลาย 90 2) Knowledge ต้องมีความรู้ อันนี้ก็ชัดเจนอีกเช่นกัน ไม่มีความรู้เรื่องบัญชี ก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารหมกเม็ดหรือเปล่า ฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร ถือแล้วถือได้นานแค่ไหน มูลค่ากิจการที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่ คำถามเหล่านี้ ต้องตอบด้วยความรู้ครับ อาจจะไม่ต้องได้ดีกรีดอกเตอร์ทางบัญชีนะครับ เอาความรู้แค่พอหากินได้ก็พอครับ 3) Attitute ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อตลาดหุ้น คนอื่นเขามองเห็นตลาดหุ้นเป็นแหล่งพนัน แต่เรามองเห็นเป็นแหล่งลงทุนระยะยาว คนอื่นเห็นราคาหุ้นวิ่งๆก็รีบเข้าไปซื้อ กลัวตกรถไฟไปเที่ยวดอยสุเทพ เรากลับต้องระวังตัว คนอื่นตื่นกลัว เทขายหุ้นยอดเยี่ยมในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ เรากลับซื้อด้วยความยินดี ที่ได้ของถูก (ไม่น่าแปลกที่คนหาว่าบ้า อิ อิ) ยิ่งเรามีทัศนคติที่ถูกต้องเท่าไหร่ เราก็จะมีความคมเหนือคนอื่นเท่านั้นครับ (Peter Lynch เรียกว่า มี "Edge" กว่าชาวบ้านครับ) Buffet บอกว่า ถ้าเราคิดว่าการซื้อหุ้นเหมือนการซื้อกิจการ เราก็นำหน้าคนกว่า 90% ของตลาดแล้วครับ 4) Diligent มีความขยัน อันนี้หมายถึง การขยันทำการบ้านนะครับ ขยันอ่าน ขยันศึกษาบริษัท ขยันถาม ขยันฯลฯ ถ้าไม่ขยันทำการบ้าน ก็จะกลายเป็น "นักลงทุนประเภท ข." ไปนะครับ ระวังตัวกันด้วยนะครับ หัวข้อนี้ ผมยกให้พี่ปรัชญาเป็นกระบี่มือหนึ่ง เพราะได้ข่าวมาว่า พี่ขยันในการศึกษาข้อมูลบริษัทมากๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด ใช่มั๊ยครับ พี่ปรัชญา อิ อิ ถ้าเอาสี่ข้อข้างบนมาเรียงใหม่ก็จะเป็น Knowledge-Attitiute-Patience-Diligent ย่อใหม่เป็น KAPD อ่านว่า แคปดี เลียนแบบ CAPM แคปเอ็มของคุณMon ในเรื่อง EMT ไงครับ ยังจำกันได้ไหมครับ เอาล่ะครับ จริงๆยังมีคุณสมบัติที่ดีของ VI อีกมาก แต่ผมคิดว่าสามสี่ข้อนี้แหละครับ น่าจะสำคัญที่สุด แล้วพี่ๆเพื่อนๆละครับ มีคุณสมบัติ VI ติดตัวครบถ้วนกระบวนความกันหรือยังครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 23:17:07

ความคิดเห็นที่ 76  VIB007 : Posted: Fri Oct 31, 2003 5:36 pm ---------------------------------------------------------------------- " _ลูกอีสาน wrote: พูดถึงเรื่องนี้มีข้อสังเกตุว่า.. ดร.เคยบอกว่า ท่านลงหุ้น>>เต็มร้อย คือเงินอยู่ในหุ้น 100% ข้อดีคือ ลดความผันผวน เหมาะกับสภาวะตลาดกระทิง แต่ข้อด้อย คืออาจจะไม่เหมาะกับภาวะตลาดขาลง... Buffet >>ส่วนใหญ่ลงในหุ้น แต่บางครั้งก็เก็บเงินสด เพราะราคาหุ้นในตลาดสูงเกินไป ข้อดีคือเหมาะกับสภาวะตลาดขาลง แต่เีสียโอกาสในภาวะตลาดขาขึ้น ปัญหาคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดจะขึ้นหรือลง?... ไม่ทราบว่าลูกศิษย์บัฟเฟท์ อย่างคุณวิบูลย์มีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไรครับ " ---------------------------------------------------------- เรื่องนี้นะครับ คุณลูกอีสาน อาจารย์ Buffet เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งครับว่า "สิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของมนุษย์คือการมีความอดทน เมื่อเรามีเงินสดอยู่ในมือ เราส่วนใหญ่ก็จะนำเงินดังกล่าวไปซื้อหุ้นทันที เรามีความอดทนไม่พอที่จะรอ ดังนั้นเมื่อโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาถึง เรากลับคว้าไว้ไม่ได้ เพราะเราไม่มีเงินสำรองเพียงพอ การซื้อหุ้นเพียงเพราะ เรามีเงินสดอยู่ในมือ แล้วอดใจไว้ไม่ได้ เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย" ไม่ทราบว่าจะโดนใจพวกเราหรือเปล่า ส่วนตัวผม เคยรู้สึกเหมือนกับที่อาจารย์Buffet บอกมาหละครับ เมื่อผมมีเงินเก็บ ผมก็อดไม่ได้ที่มีเงิน ผมก็เอาเงินไปซื้อหุ้นทันที จนหมดกระเป๋า ปรากฎว่า ราคาหุ้นมันร่วงลงไปอีกครับ ผมก็มานั่งคิด ถ้าผมพอมีเงินเหลือ ผมก็น่าจะซื้อหุ้นนั้นเพิ่ม ผมทำไม่ได้ครับ เพราะเงินหมด หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมก็จะกันเงินสำรองส่วนหนึ่ง ไว้สำหรับเวลาหุ้นร่วง ผมจะได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทที่ยอดเยี่ยม หรือ ซื้อหุ้นที่ดีๆอื่นๆในราคาที่น่าพอใจ ผมก็รู้สึกดีขึ้นนะครับ เพราะตอนผมเงินหมด ผมก็ไม่อยากให้ราคาหุ้นร่วง เพราะผมไม่มีเงินซื้อแล้ว แต่ถ้าผมมีเงินสำรอง ผมก็ยินดีที่ราคาหุ้นจะต่ำลงมาอีก แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีกจนได้นะครับ ไม่จบแค่นั้น เงินสำรองที่ผมถืออยู่ มันไม่ได้งอกเงยขึ้นมาครับ เวลาที่ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น บางทีผมก็มานั่งนึก ผมน่าจะซื้อหุ้นตัวนั้นให้มากกว่านั้นสักนิด ก็จะดี เพราะเงินผมมันก็จะงอกเงยมากกว่านี้ คิดไปคิดมา ก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่ผมสรุปของผมออกมาว่า ทำตามอาจารย์Buffet ดีกว่า เพราะหุ้นขึ้นก็ Happy เพราะพอร์ตเราก็โตขึ้น หุ้นลงก็ Happy เพราะเรามีเงินซื้อเพิ่ม ถ้าไม่มีเงินสำรองเลย เราคงกลุ้มใจเวลาหุ้นตกแรงๆ ท่านอื่นๆอาจจะมีความคิดเห็นต่างจากผมนะครับ แต่เท่าที่ทดลองมา เวลามีเงิน อาจจะต้องอดทนมากกว่าตอนไม่มีเงินครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 23:26:03

ความคิดเห็นที่ 77 นั่งบ้า post อยู่คนเดียววุ้ย  มีความสุขจริงๆ อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 29 ธ.ค. 52 23:26:58

ความคิดเห็นที่ 78  VIB007 : Posted: Mon Nov 03, 2003 12:35 pm -------------------------------------------------------------------------- " Mon money wrote: คุณวิบูลย์ครับ คงไม่ต้องห่วงเรื่องชี้นำหรอกครับ ตอนนี้ไม่มีใครสนแนวVIชั่วคราวแล้วละ web เงียบยังกับป่าช้าเลย ตอนนี้Mr.Market กำลังควบคุมสถานการณ์อยู่ Mr.VIทั้งหลายนั่งตบยุงได้ครับ " -------------------------------------------------------------------------- คุณมนครับ ผมตบจนไม่มียุงให้ตบแล้วครับ มิน่า ช่วงนี้ไม่มีคนโพสคุยด้วยเลย พี่ปรัชญาก็หายไปแล้ว พี่เจ๋งก็ประกาศว่าเล่นเก็งกำไร อิ อิ ตอนนี้ ผมแทบจะทนแรงกดดันรอบข้าง ไม่ไหวแล้ว ญาติมาบอกว่าเขาได้ไปแล้วหลายล้าน วันนึงได้เป็นแสน แถมบอกหุ้นเด็ดให้ซื้อ ผมก็ดีใจกับเขาด้วย แต่ไม่ได้ซื้อตาม พอวันรุ่งขึ้น มันขึ้นจาก 12 บาทเป็น 19 บาทหน้าตาเฉย ผมก็โดนซิครับ หาว่าเอาแต่หลักการ มันกินได้หรือเปล่า เงินนะเอาไปซื้อขนมกินได้ไม่อดตายน่ะ(โว๊ย) ผมก็คอตก แล้วบอกอ้อมแอ้มว่า ผมเก็งกำไรไม่เป็นครับ อาจารย์ไม่ได้สอน แล้วไม่มีเวลาเฝ้าราคา ผมถนัดเอามือซุกกระเป๋า แล้วให้เงินทำงานแทนผมมากกว่า(ครับ) ถึงวันนี้ พอร์ตผมมีกำไรไม่ขาดทุน บริษัทผมมีผลประกอบการที่ดี ผมก็พอใจแล้วครับ ผมชี้ให้ดูครับ ว่าหุ้นที่บอกมี P/E เท่าไหร่ P/E =56 ครับ ห้าสิบหกครับ ขอย้ำไม่ได้พิมพ์ผิด ผมบอกว่า ผมซื้อไม่ลงครับ ถ้าพรุ่งนี้มันจะขึ้นไปอีก ผมก็ซื้อไม่ลง เพราะผมคิดแบบท่าน ดร.นิเวศน์นะครับ ถ้าไม่กล้าถือห้าปี ห้านาทีก็ไม่ถือ นักเก็งกำไรไม่เข้าใจหรอกครับ สำหรับนักเก็งกำไร ถ้ามีโอกาสแค่หนึ่งนาทีก็ต้องเอา นาทีต่อไปว่ากันใหม่ มีเรื่องเล่าเรื่องนึง วันก่อนที่ไปกินบุฟเฟต์ญี่ปุ่น มีท่านนึงบอกว่า มีหุ้นตัวหนึ่งน่าถือลงทุนระยะกลาง ก็มีคนถามว่าระยะกลางนี่นานแค่ไหน ท่านก็ตอบว่า ...........สามอาทิตย์ แป่ว......วววววววววววววววว จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 00:31:15

ความคิดเห็นที่ 79  VIB007 : Posted: Thu Nov 06, 2003 5:20 pm ---------------------------------------------------------------------------- " ไม่ทราบว่า ผู้ลงทุนแบบ VI ควรชะลอการตัดสินใจ ลงทุน หลังจากการประกาศผลประกอบการ Q3ก่อน ใช่หรือไม่ ครับ หรือ หากตอนนี้ วิเคราะห์หุ้นบางตัว แล้ว Ok ก็ซื้อได้เลย ขอความคิดเห็น หรือคำแนะนำด้วยครับ " ---------------------------------------------------------------------------- คำถามของคุณsupachail เป็นคำถามที่ผมตอบยากมากเลยครับ เพราะผมลงทุนปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้นเอง และผมจะรอจนบริษัทที่ผมหมายตาไว้ ถูกเทขายด้วยราคาที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วผมจะเก็บเข้าพอร์ต ปีนี้ผมก็ซื้อไปอีกหนึ่งบริษัท โดยที่แทบไม่ได้ขายบริษัทที่ถืออยู่เลย เหตุผลก็คือ ผมคิดว่าผมจะซื้อกลับที่ราคาเดิมไม่ได้ครับ และผมไม่สามารถทำนายว่า ราคาจะขึ้นหรือลงได้ ผิดกับเพื่อนผม ที่เป็น"สาวก"ของ EMT มันหาว่าผมบ้า มันบอกว่า ทำไมไม่ขายออกแล้วไปรับในราคาที่ถูกกว่า ผมบอกว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ราคาจะขึ้นหรือจะลง ตูอยู่เฉยๆ รอให้ราคาขึ้นไปตามผลประกอบการง่ายกว่า(ว่ะ) ไม่ต้องเดาตลาดให้เมื่อยตุ้ม มีบ้างครับ ในช่วงลงทุนแรกๆ ผมขายออกไปเพื่อรอซื้อในราคาที่ผมคิดว่าจะต่ำลง แต่ราคาก็ไม่เคยกลับไปที่เดิมอีกเลย ผมก็เลยต้องซื้อหุ้นตัวเดิมในราคาที่แพงขึ้น โง่ไปเลย อาจารย์ Philip Fisher บอกว่า ให้ซื้อหุ้นเมื่อผลประกอบการรายไตรมาศ ของบริษัทที่ยอดเยี่ยมนั้น ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาด และเราคิดว่าเป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราว เช่น การออกผลิตภัณท์ใหม่ ที่จะต้องใช้เงินลงทุนและงบการตลาดเยอะ ในไตรมาศนั้นๆ จะทำให้ผลประกอบการหรือกำไรจะลดลง นักเก็งกำไร หรือ Short-term Investor จะเทขายหุ้นออกมา เพราะคิดว่าบริษัทมีกำไรไม่ดี แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาวและรู้จักบริษัทดี เราจะพบว่ากำไรที่ลดลง เป็นเพราะการออกผลิตภัณท์ใหม่ ที่จะสร้างกำไรให้บริษัทในอนาคต ก็เป็นโอกาสของเราที่จะเข้าไปเก็บหุ้นตัวนั้นเข้าพอร์ต แต่ถ้าเป็นนักเกร็งทั้งหลาย กลับชอบแบบตรงข้ามครับ ยิ่งกำไรต่อหุ้นเยอะๆยิ่งดี ยิ่งปั่นกันง่าย ยิ่งใกล้วันประกาศผลมากเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่ง"เกร็ง"กันมากเท่านั้นครับ ลุ้นกันมากกว่าฟุตบอลพรีเมียรลีกอีกครับ ส่วนผม เฉยๆครับ ผมสนใจผลประกอบการระยะยาว มากกว่าผลประกอบการระยะสั้นครับ ผมสนใจ Longterm Underlying Business มากกว่า Quaterly Earning ครับ อาจารย์Buffet บอกว่า คนที่อยากจะขายหุ้นตัวนั้นออกไป จะชอบให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงๆ แต่ถ้าเราไม่คิดขายหุ้นตัวนั้นออกไป เราจะไปสนใจราคาทำไม ยิ่งราคาต่ำเราก็ยิ่งเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นได้ ในราคาที่ถูกครับ ท่านอื่นๆอาจจะมีข้อคิดเห็นที่ดีกว่าผมนะครับ เพราะผมบอกคุณsupachail ไม่ได้ ว่าจะรอหรือไม่รอประกาศ Q3 ดี แล้วแต่ว่าคุณsupachail จะลงทุนแบบไหนครับ Long-term, Short-term, หรือ Very-Short-term ผมตอบแทนไม่ได้จริงๆ ขออภัย จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 00:51:29

ความคิดเห็นที่ 80 VIB007 : Posted: Fri Nov 07, 2003 10:57 am -------------------------------------------------------------------------- เห็นด้วยกับพี่Chathcai และพี่เจ๋งครับ ว่าเราอย่าไปซีเรียส เครียด กับผลตอบแทนของพอร์ตของเราเลย เราไม่ใช่กองทุนที่จะต้องแสดงผลงาน เป็นกี่เปอร์เซนต์ ขนะดัชนีหรือเปล่า ให้คนอื่นรับรู้เพื่อให้คนมาสนใจลงทุน ไม่งั้นกองทุนก็เจ๊ง ถ้าคนขนเงินไปลงกองอื่นหมด ผมบอกให้ก็ได้ครับ กองทุนที่ทำผลตอบแทนสูงๆ ชนะดัชนีได้น่ะ เขาก็เล่นรอบเหมือนกันครับ ขายตัวนั้น ซื้อตัวนี้ และถือเป็นสิบเป็นร้อยตัว ใช้หลัก EMT ไม่ค่อยมีใครถือน้อยตัวและถือยาวสักเท่าไหร่หรอกครับ เราทำอย่างเขา เหนื่อยตาย เพื่อนผมเป็นผู้จัดการกองทุน แต่ก่อนอารมณ์ดีมาก ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ตอนนี้เจอกัน สูบบุหรี่มวนต่อมวนเลยครับ กินเหล้าแทนน้ำ ผมเลยถามว่า เฮ้ย ทำไมต้องทำร้ายตัวเองขนาดนี้(ว่ะ) เขาบอกว่า มันเครียดว่ะ วันนี้ตูทำเงินกองทุนหายไปหลายร้อยล้าน พรุ่งนี้ต้องเอาคืน ผมก็เลยคิดว่า นี่เอ็งบริหารกองทุน หรือเล่นพนันว่ะเนี่ย อาจารย์ Buffet บอกไว้ว่า พวกกองทุนน่ะ ทำผลตอบแทนชนะดัชนีได้ แต่ก็ทำในสิ่งที่แย่ที่สุด ก็คือขายบริษัทที่ดีๆออกไป เพื่อทำให้กองทุนของตัวเองดูดีตอนปิดงบ เพียงเพราะราคาไม่ขยับเท่านั้นเอง ผมว่าท่าจะจริงนะครับ เพราะบางทีเราจะเห็นบริษัทดีๆถูกเทขาย ตอนปลายปี เพียงเพื่อจะทำให้ผลตอบแทนกองทุนดูดี ไม่มีหุ้นขาดทุนหรือกำไรน้อยอยู่ในพอร์ต จริงมั๊ยครับ ท่านผู้บริหารกองทุนทั้งหลาย ผมไม่เคยพูดนะครับ ว่าการลงทุนแนวซื้อน้อยๆตัวถือนานๆแบบของผม จะสามารถทำผลตอบแทนได้สูงที่สุด เพียงแต่ผมคิดว่า มันเป็นวิธีการลงทุนที่ง่ายเหมือน ซื้อหุ้นแล้วเอามือซุกกระเป๋าได้เลยครับ แล้วบริษัทและผู้บริหารจะดำเนินการต่อเอง เราก็เหมือนมีคนทำงานแทนเราเอง เรียกว่าใช้คนอื่นทำงานแทนครับ ผมไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ ไม่ต้องดูราคาหุ้น ตลาดปิดไปสามปี ผมก็เฉยๆ วันๆผมก็ทำงานประจำได้ ไม่กังวล กลางคืนผมก็นอนหลับสบาย ตื่นมาผมก็นั่งจิบน้ำชา อ่านข่าวดีๆของบริษัทผม มีความสุขดีครับ จิตใจไม่ร้อนรน ไม่ดิ้นพล่านเหมือนนักเกร็งทั้งหลาย หุ้นขึ้นผมก็ดีใจ หุ้นลงผมยิ่งดีใจใหญ่ เพราะจะมีคนขายบริษัทดีๆให้ผมถูกๆ การลงทุนที่ผมทำอยู่ มันทำให้ผมรู้จักคำว่า "เพียงพอ" ครับ คนอื่นได้มาก ก็ดีใจกับเขาด้วย ไม่ได้อิจฉาใคร ถือว่าเขาใช้เวลา ใช้พลังงานในการตามหุ้นมากกว่าเรา เขาขาดทุน เราก็สงสาร ก็พยายามอธิบายให้ฟังถึงแนวทางลงทุนที่ไม่ขาดทุน เขาจะทำตาม ไม่ทำตาม ผมก็บังคับเขาไมได้ อันดับแรก สำหรับมือใหม่ ผมว่าเราต้องตั้งเป้าหมายของเราก่อนครับ ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต บางคนอยากรวยท่าเดียว ไม่สนใจอย่างอื่นเลย ก็กำเงินเข้าตลาด พลาดท่าเงินมลายหายไป หรือได้เงินมา ก็"โลภ" ไม่รู้จักพอ อยากได้มากกว่าเดิม สุดท้ายก็หมด พี่ชายผมเป็นนักเก็งกำไรเต็มตัว แต่เขาบอกผมว่า สิ่งแรกที่นักเก็งกำไรต้องทำคือ "ไม่โลภ" เขาทำเงินมากมายจากตลาดหุ้นในรอบนี้ครับ เขาบอกว่าคนเราต้องรู้จักควบคุมตัวเอง และ"กล้าได้" ก็ต้อง "กล้าเสีย" เขาบอกผมว่า วิธีลงทุนของผมไม่ผิดหรอกครับ แต่ละคนมีสไตล์ของตัวเอง แต่สำหรับเขา เขาบอกว่าเขาทนไม่ได้ครับ ที่เห็นหุ้นตัวอื่นวิ่งเอาๆ แต่ตัวที่เราถือราคานิ่งเหมือนแช่แป้ง ผมก็หัวเราะ บอก เออจริง บางคนทนไม่ได้จริงๆ ผมอยากจะบอกว่า ในเวปนี้ถึงแม้จะเป็น Value Investor เหมือนกัน แต่ละคนก็มีสไตล์ไม่เหมือนกันครับ และผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครถูกใครผิด หรือวิธีของใครจะดีกว่าใคร พี่ฉัครชัย ลงทุนด้วยงบการเงินล้วนๆ ถือเพียงหนึ่งหรือสองตัว พี่ปรัชญา ลงทุนในวอร์แรนต์ พี่พี ลงทุนในหุ้นสองร้อยตัว ได้รับ Annual Report ปีละสองร้อยเล่ม คุณมน เก็บก้นบุหรี่สูบอย่างมีความสุข คุณธันวา ลงทุนในกิจการที่ตัวเองเข้าใจอย่างลึกซึ้ง พี่เจ๋ง ทนไม่ไหว ลงไปหัดเก็งกำไร อิ อิ ผมว่าทุกท่านมีวิธีการที่แตกต่างกัน และไม่ได้ถือหุ้นตัวเดียวกัน แต่ผมว่าสิ่งที่เหมือนกันก็คือ เราลงทุนในธุรกิจที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าของธุรกิจนั้น อาจารย์ Graham บอกไว้ว่า "ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย แต่มูลค่าคือสิ่งที่คุณจะได้รับ" การหามูลค่าของแต่ละท่านก็ไม่เหมือนกัน ผมว่าไม่มีวิธีไหน Perfect หรอกครับ เราอย่าไปยึดติดกับ"วิธีการ"เลยครับ สิ่งที่สำคัญน่าจะเป็น"หลักการ"มากกว่า เพราะในตลาด "สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน" ครับ ผมบ่นมามากพอแล้ว บางท่านอาจจะรำคาญ แต่อยากบอกคนที่อยากจะเป็นนักลงทุนใหม่ๆไว้ว่า 1) หาเป้าหมายชีวิตของตัวเองให้เจอ 2) ค้นหาสไตล์การลงทุนของตัวเอง 3) ไม่ออกนอกเส้นทางที่เราตั้งเป้าหมายไว้ 4) ไม่โลภ 5) อย่าเครียด 6) ทำจิตใจให้สงบแล้วจะพบความสุขที่เยือกเย็น (คำพูดท่านพุทธทาสภิกขุ) โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 00:57:12

ความคิดเห็นที่ 81 . จากคุณ : ถึงหน้า 17 แล้ว จดไว้ก่อน (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 01:03:26

ความคิดเห็นที่ 82 นี่ สรุปมาแล้วใช่ไหมครับ คุณคนรวยฯ งั้น kloomjai มา อ่านสรุป ใน DVD ก็แล้วกันนะ อิอิ จากคุณ : อรุณสวัสดิ์ครับ (kloomjai) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 06:32:31

ความคิดเห็นที่ 83 Daily VI Discussion (DVD 10) กระทู้การลงทุนแนวเน้นคุณค่า ประจำวันที่ 30/12/09 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 08:14:46

ความคิดเห็นที่ 84  VIB007 : Posted: Sun Nov 09, 2003 11:32 am --------------------------------------------------------------------------- " +++unlog wrote: คุณวิบูลย์ คุณลงทุนในหุ้น 100 % จริงหรือครับ อยากทราบด้วยนะครับว่า มีใครทำแบบคุณวิบูลย์บ้าง ครับ????? " ------------------------------------------------------------------------ คุณ+++ ผมลงทุนในหุ้น 100% ครับ แต่ก่อนเคยคิดว่า เล่นหุ้นต้องเสี่ยง ต้องเฝ้าราคา ต้องดูหน้าจอ แต่ตอนนี้ คิดได้ว่า เล่นหุ้นไม่เสี่ยง ไม่ต้องเฝ้าราคา ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ ผมคิดว่า การลงทุนของผม เหมือนผมเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ผมเป็นเจ้าของบริษัท มีคนบริหารบริษัทของผมแทนผม บริษัทผมเติบโตด้วยยอดขายและกำไร ไม่ได้โตด้วยการปั่นราคาหุ้น ดังนั้นผมก็ไม่เดือดร้อน ถ้าราคาหุ้นผมไม่ขยับ แต่บริษัทผมมีผลประกอบการที่ดีขึ้นทุกปี สักวันชาวบ้านก็จะรู้เองว่า บริษัทของผม "เจ๋ง" แต่ไหน ผมวันวันก็อ่านข่าวหนังสือพิมพ์อย่างเดียว ไม่ต้องไปเฝ้าราคาหุ้นให้เมื่อยตุ้ม แต่ตอนนี้ ผมหาบริษัทลงทุน"ยาก"มากเลยครับ อาจเป็นเพราะคนเข้ามาซื้อของในตลาดเยอะ จนราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น จนไม่คุ้มที่จะลงทุน แล้วได้ผลตอบแทนระยะยาวสักเท่าไหร่ ผิดกับปีที่แล้ว ที่ผมกลุ้มใจมาก ไม่รู้จะซื้อตัวไหนดี มันมีให้เลือกเยอะไปหมด บริษัทดีๆถูกๆเต็มกระดานเลยครับ เฮ้อ.....เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปี ตลาดช่างเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ ผมคิดว่า คนเราทุกคนอยากเป็นเจ้าของกิจการ อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่มากกว่า 90% ของบริษัทที่ตั้งใหม่ ต้องเลิกกิจการไปภายในหนึ่งถึงสองปี ผมว่าวิธีที่ง่ายกว่า ก็คือลงทุนในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นี่ละครับ ซื้อหุ้นปั๊บ เราได้เป็นเจ้าของกิจการที่ยอดเยี่ยมทันที ไม่ต้องเหนื่อยแลกเช็ค ไม่ต้องเหนื่อยขายของเอง ไม่ต้องเหนื่อยบริหารคน มีมืออาชีพจัดการให้เราเสร็จสรรพ ผลตอบแทนการลงทุนอาจจะน้อยกว่า ที่เราจะเป็นเจ้าของธุรกิจเอง แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มาแล้วคุ้มครับ ถ้าวันหนึ่ง เงินปันผลจากการลงทุน มากกว่ารายได้จากงานประจำ เราก็สามารถเกษียณจากงานได้ครับ พี่Chatchai เป็นตังอย่างที่ดี ที่เกษียณได้ก่อนใครเพื่อนในรุ่น ก็มาจากการลงทุนนี่หละครับ แต่ช่วงแรๆพี่เขาอาจจะเก็งกำไรบ้าง แต่หลังๆก็เห็นว่าชีวิตไม่ค่อยมีความสุข เกร็งกำไรแล้วมันร้อนรน เลยหันมาใช้วิธีเก็บก้นบุหรี่สูบดีกว่า ลงทุนด้วยพื้นฐาน แล้วปล่อยให้ราคามันไปของมันเอง ถ้าเราคิดว่าบริษัทที่เราถืออยู่ดีจริง สักวันมันก็จะดีจริงๆละครับ ลองเลือกบริษัทดีๆสัก 2-3 บริษัท ที่ราคาไม่แพง แล้วลองถือไว้ยาวๆดูนะครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตการลงทุน มันง่ายกว่าที่เราคิด อาจารย์ Fisher บอกเอาไว้ว่า "Stock well bought should not be sold" "หุ้นที่ซื้อมาอย่างดี เราไม่ควรขายออกไป" ผมสนับสนุนข้อความนี้เต็มที่ เพราะมีบางบริษัทผมขายออกไป แล้วยังเสียใจจนทุกวันนี้ เพราะซื้อกลับมาที่ราคาเดิมไม่ได้ แต่อย่าคิดว่า อะไรๆมันจะง่ายไปหมดนะครับ ถ้าเลือกบริษัทที่ไม่เข้าท่า ระยะยาวอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดก็ได้ครับ อาจารย์ Buffet บอกไว้ครับว่า "การลงทุนในหุ้น ไม่ยากอย่างที่คุณคิด แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คุณเห็น" จริงไม่จริง ถามคุณMon Money ดูก็ได้ครับ สวัสดีครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 13:47:25

ความคิดเห็นที่ 85 VIB007 : Posted: Sat Nov 15, 2003 9:27 pm   ------------------------------------------------------------------------- " Num wrote: ผมเห็นพวกพี่ๆชอบมองหาบริษัทที่มีค่า ROE สูงๆอยากทราบ ว่ามันดีกว่าค่า ROA อย่างไรครับ ทำไมเราถึงไม่ใช้ ROA ครับ หรือถ้าจะเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของทั้ง 2 ตัวยิ่งดีครับ " -------------------------------------------------------------------------- ROE เป็นตัวบอกว่า ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นเท่าไหร่ เหมือนเอาเงินไปฝากแบงค์แล้ว แบงค์ให้ผลตอบแทนเราเป็นดอกเบี้ย แต่นี่เราเอาเงินไปให้ผู้บริหารบริษัท แล้เขาทำกำไรให้เราได้เท่าไหร่ ROE เป็นตัวบอกความสามารถของบริษัทครับ โดยเฉพาะความสามารถของผู้บริหาร บางอุตสาหกรรมมี ROE ต่ำ แต่บริษัทที่เยี่ยมๆอาจจะทำให้ ROE สูงได้ เช่น อุตสาหกรรมการบินพาณิชย์ บริษัทส่วนใหญ่จะมี ROE ต่ำเพราะต้องลงทุนสูง เครื่องบินลำนึงหลายพันล้านบาท ค่าบำรุงรักษามหาศาล ไหนต้องจ้างกัปตันแพงๆ แถมคู่แข่งก็เยอะ ตัดราคากันเป็นว่าเล่น ทำบริษัทให้อยู่รอดได้ก็เก่งแล้ว ปรากฏว่า มีบริษัท Southwest Airline ที่อเมริกาครับ ทำกำไรได้ตลอด แถม ROE สูงกว่าชาวบ้านเยอะ ถ้าผู้บริหารเก่งๆก็สามารถทำได้ครับ แต่นานๆมีที หน้าที่นักลงทุนอย่างเราก็คือ หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ไม่มีอนาคตเหล่านี้หละครับ ยกเว้นจะมีบริษัทอย่าง Southwest Airline ถึงจะยอมควักตังค์ไปลงทุน ข้อดีอีกอย่างของ ROE ก็คือ การที่บอกเราว่า การเพิ่มกำไรของบริษัทนั้น จะต้องเพิ่มส่วนผู้ถือหุ้นหรือเพิ่มเงินทุนเท่าไหร่ เช่น บริษัท ก มี ROE =10% หมายความว่า เดิมบริษัท ก มีกำไร 100 ล้านบาท จากส่วนผู้ถือหุ้น 1000 ล้านบาท ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มกำไรเป็น 200 ล้านบาท ก็จะต้องเพิ่มเงินลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นอีกพันล้านเป็น 2000 ล้านบาท เพราะบริษัทนี้ทำ ROE ได้ 10% ขณะเดียวกัน บริษัท ข มี ROE =20% หมายความว่า เดิมบริษัท ข มีกำไร 100 ล้านบาท จากส่วนผู้ถือหุ้น 500 ล้านบาท ถ้าบริษัทต้องการเพิ่มกำไรเป็น 200 ล้านบาท ก็จะต้องเพิ่มเงินลงทุนในส่วนผู้ถือหุ้นอีก 500ล้านเป็น 1000 ล้านบาท เพราะบริษัทนี้ทำ ROE ได้ 20% บริษัท ข เพิ่มเงินลงทุนน้อยกว่าบริษัท ก แต่ได้กำไรเท่ากัน ถ้าเป็นเราเราชอบให้มีการเพิ่มทุนเยอะๆบ่อยๆหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ต้องเลือกบริษัทที่มี ROE ต่ำๆ ถ้าไม่ชอบการแจกวอร์แรนต์ ไม่ชอบการเพิ่มทุน ก็ต้องเลือกบริษัท ROE สูงๆ เพราะไม่ต้องเพิ่มการลงทุนมากก็เพิ่มกำไรได้เท่ากัน ผมว่า ROE สำคัญกว่าที่เราคิดครับ แต่ต้องดูนะครับ ว่า กำไรในงบบัญชีของบริษัทนั้นมีคุณภาพแค่ไหน ระวังพวกจะเล่นแต่งบัญชี ให้กำไรเยอะ ROEก็สูงได้ครับ ถ้าให้ดู ต้องดูย้อนหลังหลายๆปี ถ้า ROE สูงสม่ำเสมอ ก็ใช่เลย ถ้าสูงบ้างต่ำบ้าง ก็ต้องระวังว่าจะเป็นธุรกิจแบบ Cyclical ถามว่าทำไม่ไม่ใช่ ROA ก็เพราะ ROA รวมส่วน Current Liability เข้ามาด้วย ซึ่งส่วนนี้จะตัดกับ Current Asset อยู่แล้ว ทำให้ไม่ได้ภาพที่แท้จริงของเงินผู้ถือหุ้น ถ้าให้ดี ใช้ ROTC ดีกว่า ก็คือ Return on Total Capital = NIAT/(Longterm Debt + Equity) เพื่อตัดปัญหาบริษัทที่มีหนี้เยอะแล้วทำให้ ROE สูงหลอกคนดู ถ้าใช้ ROTC ละก็จับได้คาหนังคาเขาเลยละครับ แต่ก่อนจบ ก็อย่างที่พี่ Chatchai เคยแสดงไว้ให้ดูกันละครับ ว่าการดูแค่ ROE อย่างเดียว ไม่ได้บอกว่า บริษัทนั้นน่าลงทุนนะครับ ต้องดูหลายๆอย่างประกอบกัน บัญชีก็แต่งกันได้ ROE ก็หลอกกันได้ (โดยใช้เงินกู้เยอะๆ) ก็ค่อยๆดูไปครับ ค่อยๆศึกษา ค่อยๆฝึกลงทุน ไม่มีใครเกิดมาแล้วลงทุนเป็นเลยหรอกครับ เพราะฉนั้น ผมคิดอยู่เสมอว่า ไม่มีใครแก่เกินเรียน แล้วไม่มีวันสาย ถ้าเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ อย่างสุภาษิตจีนบอกไว้ครับว่า "ต้นไม้หนึ่งต้นใช้เวลายี่สิบปีกว่าจะโตจนได้ร่มเงา ดังนั้นเวลาที่ดีที่สุดที่จะปลูกมัน ก็คือ...... วันนี้" แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 52 13:56:56 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 52 13:54:21