ความคิดเห็นที่ 1 มันไม่ได้หอมหวลหรอกค่ะมันชวนเวียนหัวมากกว่า จริงๆตามเมืองใหญ่ๆโดยเฉพาะกรุงเทพ หรือเมืองที่มีมหาวิทยาลัย (มีเภสัชกรเยอะ) มีร้านยาเกินดีมานด์ด้วยซ้ำ เเล้วกฎหมายเดี๋ยวนี้เข้มงวด   ต้องมีเภสัชกรเเบบประจำจริงๆ ถ้าตรวจสามครั้งไม่เจอเภสัช ก็โดนปิดร้าน เเล้วร้านเล็กๆบางทีเค้าจ้างไม่ไหวค่ะ หาตัวเภสัชกรมาประจำยากด้วย เพราะเค้าไปทำงานโรงพยาบาล   ดีเทลยา  โรงงาน  หรืออื่นๆอีก ตัวเภสัชเองก็ใช่ว่าจะอยากอยู่ร้านยา เพราะอุดอู้ขาดอิสระ ไปทำอย่างอื่น ทำงานน้อยกว่า ง่ายกว่า รายได้ดีกว่า ความเสี่ยงต่ำกว่า  เครียดน้อยกว่าด้วย ในกรุงเทพ การเเข่งขันสูง มาร์จินยาไม่เยอะเลยค่ะ เเต่ในบางเมืองกำไรดีจริงๆ โดยเฉพาะเมืองที่ฝรั่งอยู่ เช่นพัทยา  ภูเก็ต ก่อนหน้านี้เคยได้ข่าวว่าเซเว่นจะเปิดร้านยา เเต่เห็นตอนนี้ชะงักไป  เพราะหาเภสัชไม่ได้ ตอนนี้ก็ได้ข่าวว่า คลินิกผิวหนังที่เป็นเชน คนรู้จักกันดี  ประสบความสำเร็จ เค้าจะเเตกไลน์มาเปิดร้านยาค่ะ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 14:37:21

ความคิดเห็นที่ 2 อ้อเข้าใจเลยครับคุณ RoseTiara เภสัชกรนี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ จากคุณ : ตี๋แกงป่า เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 15:20:10

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้า เจ้าของร้าน ไม่ใช่เภสัช แล้วต้องจ้างเภสัชมาเป็นผู้ปฏิบัติการ ร้านที่ไม่ใช่ chain store อยู่ลำบากมากๆๆ ครับ ไม่คุ้มกับ margin ที่ได้เลย จากคุณ : เด็กฟาร์ เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 15:44:49

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเภสัชไม่อยู่เวลาสาธารณสุขมาตรวจร้านคงซวยมั้งครับ จากคุณ : netaddict เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 15:58:33

ความคิดเห็นที่ 5 ร้านยาเดี๋ยวนี้ ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนค่ะ แข่งขันสูงมาก กำไรก็น้อย เดี๋ยวนี้ห้างใหญ่ๆ หลายที่ก็เริ่มเปิดร้านยาของตัวเอง ที่เห็นล่าสุด ก็บิ๊กซี เปิด pure drug พวกนี้มีหลายสาขา อำนาจต่อรองเยอะ ทุนถูก เลยขายถูก ผู้บริโภคมีทางเลือกเยอะ ร้านไหนถูก ก็ไปร้านนั้น ร้านเล็กๆทุนแพง ขายสู้เค้าไม่ไหวหรอกค่ะ แถมเดี๋ยวนี้ มีบัตรทอง คนส่วนนึงก็เลือกไปโรงพยาบาลแทน ยาจัดที่พอมีกำไรหน่อย ก็ขายยากขึ้นมากๆ ตอนนี้เภสัชถ้ามีทางเลือก ก็หันไปทำอย่างอื่นดีกว่าค่ะ จากคุณ : โป๊ะโกะน้อย เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 17:32:54

ความคิดเห็นที่ 6 รับประกันไม่เคยมีมาตรวจ แถวข้างบ้านผม (ชลบุรี) เปิดมาเป็น 10 ปี ยังเป็นตาแปะคนเดิมขายตั้งแต่เช้ายันเย็น (ขายน้ำเก็กฮวย หวยล็อตเตอรี่ด้วย) มีแตป้ายเภสัชแขวนอยู่ (แต่เภสัชย้ายกลับบ้านที่เชียงใหม่แล้วสัก 2 ปีที่แล้ว) กำไรมากขนาดส่งลูก 3 คนเรียน MBA เมืองนอก แต่ลูกแกก็ไม่ทำร้านยานะ ทำบ. ส่งออกแทน จากคุณ : Mushroom Man เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 18:13:56

ความคิดเห็นที่ 7 พี่ชายเพื่อน สองคนทำร้านยา บอกว่ากำไรดีมากมาย ทำเลดีด้วยอ่ะ จากคุณ : ฉันมันตัวเปล่า เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 19:01:33

ความคิดเห็นที่ 8 ขาลงแล้วครับ  วันนี้อาจพออยู่ได้ อนาคตโดนกินเรียบเหมือนโชวห่วย จากคุณ : ปูไร้กระดอง เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 19:31:27

ความคิดเห็นที่ 9 ยังมีการเข้าใจผิดกันในหมู่ประชาชนนะคะ ร้านขายยาตอนนี้มีอยู่หลายประเภท ประเภทเเรกก็อย่างที่คุณ Mushroom Man พูด คือเป็นร้าน ขย2  พวกนี้เปิดมานาน ตั้งเเต่ในยุคที่เภสัชกรเเละร้านยาขาดเเคลน เลยมีกฎหมายให้เปิดได้   มายกเลิกไม่นานนี้เองค่ะ เเต่ก็ไม่ได้ให้ปิดร้านไปหรอกค่ะ เเต่บอนไซไว้ เเล้วถ้าเจ้าของตายก็ปิดไปเลย โอนให้ลูกไม่ได้ค่ะ มันจึงจะค่อยๆสูญพันธ์ไป พวกนี้จะขายยาไม่ได้หลายๆประเภท   จะขายได้เฉพาะยาที่เรียกว่า  OTC เเต่ในความเป็นจริงก็เเอบขาย ผู้บริโภคที่ฉลาดก็ควรหลักเลี่ยงที่จะไปซื้อ ดูไม่ยากหรอกค่ะ ประเภทที่สอง ก็เป็น  ขายยาเเผนปัจจุบันที่มีเภสัช เเต่เป็นร้านรุ่นเก่า คือเปิดก่อนกฎหมายใหม่ เค้าจะอนุโลม ไม่ต้องมีเภสัชตลอดเวลา เเต่ก็ต้องมีเภสัชกรประจำร้าน ซึ่งนานๆจะมาที ประเภทสุดท้าย  ใหม่สุด เปิดทีหลัง ตอนนี้จะต้องมีเภสัชกร  Full time  ไปเจอสามครั้งไม่มีเภสัชปิดร้านเลย ที่กรุงเทพค่อนข้างเข้มงวดนะคะ ประชาชนถ้าไปพบว่าไม่มีเภสัชกรก็เเจ้งได้ค่ะ ที่สาธารณสุขจังหวัด เเล้วก็เลือกเข้าเฉพาะร้านที่มีเภสัชกรประจำ ดูง่ายๆค่ะ จะมีใบประกอบโรคศิลป์ติดอยู่   ก็ดูรูปว่าใช่รึเปล่า จริงๆกฎหมายให้เเปะหน้าร้านเป็นรูปใหญ่พอประมาณด้วยค่ะ บอกเวลาปฎิบัติการ  (เฉพาะร้านรุ่นใหม่นะคะ เเต่ไม่ซีเรียสมาก) ขอให้ตัวอยู่ก็พอเเล้ว เเล้วก็มีร้านยาอีกประเภท  อันนี้ดีที่สุด   คือจะมีป้ายติดว่าร้านยาคุณภาพ คือผ่านเกณฑ์มาเเล้ว (เเต่หลังจากนั้นจะรักษามาตรฐานได้รึเปล่าก็อีกเรื่องนะคะ) ในกทม.  อัตราการปิดร้านยาโดยเจ้าของเอง ปีนึงเป็นร้อยร้านนะคะ เพราะสู้  เชนสโตร์ กับร้านใหญ่ หรือยี่ปั๊วไม่ค่อยได้ เเหะๆเเล้วจะบอกว่าร้านเล็กทุนไม่สูงที่ปิดไปเนี่ย เภสัชกรเปิดเองเยอะทีเดียวค่ะ คือส่วนใหญ่ มีเเต่วิชาความรู้ เเต่ไม่มีประสบการณ์ทางธุรกิจ ไม่มีตึกเป็นของตัวเอง การมาเปิดร้านยา  ถ้าทำตามวิชาการ จะอยู่ไม่ค่อยได้ค่ะ เพราะคนไข้ไทยมีเยอะนะคะที่ค่อนข้างดื้อ   เเต่รู้อะไรผิดๆ จะตามใจตัวเองเเต่ไม่ถูกตามหลักการรักษา เอาง่ายก็อย่างเรื่องการกินยาฆ่าเชื้อน่ะค่ะ ถ้าไม่ยอมตามใจคนไข้ก็อยู่ยากค่ะ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 19:42:09

ความคิดเห็นที่ 10 จริงๆ   วันก่อนไปหาหมอ ห้องยายังว่าคนไข้ดิ้ออยู่เลย จากคุณ : ไม่รู้เป็นไร เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 20:02:14

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่ายังมีร้านที่เปิดขายยามากมาย และ ไม่มีเภสัชกรประจำร้านเลย ตามใต้คอนโดฯ ตามหมู่บ้านเล็กๆ ตามซอกตามซอย เข้าใจว่าสาธารณสุข ไม่มีบุคคลากรเพียงพอ ก็ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ จากคุณ : PICCANINNY'S DAD เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 20:57:40

ความคิดเห็นที่ 12 ที่ขายอยู่เป็นยาสามัญประจำบ้านหรือเปล่าคะ ยาแดง ยาเหลือง พาราฯทิงเจอร์ฯ จากคุณ : อนิลฑิตาแห่งอำมฤตาลัย (เด็กเกาะสมุย) เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 21:36:32

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้ก็จะมีเรื่องร้านยาคุณภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงมาตรฐานให้ดีขึ้น ขย2 จะค่อยๆ หายไปครับ สธ.ตรวจเข้มขึ้นคับ แต่เป็นพักๆ จากคุณ : 000 เขียนเมื่อ : 16 ม.ค. 53 21:53:08

ความคิดเห็นที่ 14 มาร์จินไม่สูงจริงเหรอครับ คุณโรส วันก่อนผมไปซื้อ amoxy ให้น้องสาว ยังตกใจกับราคาเลย แม่เจ้า ขายเม็ดละ 5 บาท จากคุณ : Idiopathic เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 13:36:15

ความคิดเห็นที่ 15 คนมักจะคิดอย่างนี้เเหละค่ะ คือ คิดว่าซื้อยามาเม็ดละเท่าไหร่ เเล้วขายเม็ดละเท่าไหร่ เค้าลืมไปว่าอย่างน้อยที่สุด จ้างเภสัชขั้นต่ำสามหมื่น ไม่รวมโอที  เเละค่าลูกจ้าง ค่าตึก  ค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก เเต่ว่ายาจัดชุดน่ะ  บางตัวกำไรหลายๆร้อยๆ %  จริงๆ (พวกนี้เเกะกระป๋องเเล้วมักจะคืนไม่ได้เเล้ว) เเต่พวกนี้ไม่ใช่ยอดขายหลัก ในร้านยา พวกยาเรียกหาที่เป็นยี่ห้อ กำไร  ประมาณ10- 20-30% จากต้นทุน เเต่เป็นยอดขายหลักของร้าน ถ่วงน้ำหนักเยอะ ยิ่งพวกนมผงเเทบไม่มีกำไรมีไว้เพื่อเรียกลูกค้าเท่านั้น พอคละกันเเล้ว  หักค่าใช้จ่าย   net profit margin จึงไม่ได้สูง คนที่ได้เปรียบสำหรับคนที่เปิดร้านยา คือคนที่เปิดมานานยึดหัวหาดในทำเลที่ดี มีสายป่านยาว(พวกยี่ปั๊ว ) พวกนี้จะได้เปรียบเรื่องต้นทุนมาก รวมทั้งมีฐานลูกค้า เเละเมื่อก่อนมีการเเข่งขันต่ำ   ความเข้มงวดของกฏหมายต่ำ รวมทั้งไม่ได้ถือจรรยาบรรณอะไรมาก ไม่ได้มองว่าร้านยาคือการประกอบเวชกรรมอย่างหนึ่ง เเต่มองเป็นเเค่การประกอบการค้า พวกนี้รวยเละค่ะ เเต่สมัยนี้ยากเเล้ว เพราะเภสัชจบเยอะมากๆ ม. เอกชนก็เปิดกันเพียบ ปกติคนไข้มักจะติดร้านยาด้วยนะคะ เเล้วร้านรุ่นเก่าๆ ที่ไม่ใช่เภสัชเปิด พวกนี้ขายทุกอย่าง เเล้วกล้าใช้วิชามาร เพื่อให้หายเร็วๆ (เช่น เป็นอะไรเเอบจ่ายเสตียรอยด์ ) ขายยาทำเเท้ง ยานอนหลับ พวกนี้คนไข้ติดมากๆค่ะ เเต่เท่าที่สัมผัส   เภสัชส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกล้าทำอย่างนี้ (มีส่วนน้อยที่ทำ) เนื่องจากโดนสอนมา   เเล้วไม่ต้องทำอย่างนั้นก็มีกิน อีกอย่างโดนยึดใบประกอบโรคศิลป์นี่ก็หมดทางทำกิน หรือโดนประจานลงหนังสือของ อย. ก็ขายขี้หน้าเพื่อนร่วมรุ่นเลย (มีนะคะไม่ใช่ไม่มี   เเต่น้อยกว่าพวกร้านรุ่นเก่าๆ) เเต่ถ้าได้อย่างเพชรรัตย์ หรือพวกร้านยาหนึ่ง ยาดีอะไรพวกนี้ก็นั่งนับเงินอย่างเดียวเลยค่ะ เหมือนเคยได้ยินข่าวจากเพื่อนว่า ร้านเพชรรัตน์เคยจะเซ้ง เเต่เค้าเซ้งเป็นหลักร้อยล้านค่ะ  -_-" เพราะยอดขายต่อวันก็เป็นล้านเเล้ว ตอนนี้คงเปลี่ยนใจไม่เซ้งเเล้วมั้งคะ ตอนนั้นเราว่าเค้าคงเบื่ออุดอู้ เพราะร้านยาใหญ่ๆเป็นอะไรที่ทิ้งยากเลยค่ะ เพราะการทุจริตในร้านมันง่าย คุมสต๊อกได้ยาก เเล้วไอเท็มยาจุกจิก เเละต้องใช้วิชาความรู้เฉพาะด้าน รวมทั้งประสบการณ์ด้วยค่ะ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 14:58:24

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้ามั่นใจว่าทำเลดี  อันนี้ก็เยี่ยมค่ะ เปิดเลย เเต่อย่าลืมเรื่องหาเภสัชกรประจำร้านนะคะ ถ้าเภสัชลาออก เค้าให้เวลาหา  เดือนนึงนะคะ ถ้าหาคนมาเเทนไม่ได้ก็ปิดร้านค่ะ สำหรับร้านรุ่นใหม่ที่จะเปิดปัจจุบันนะคะ แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 53 15:03:39 จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 15:03:02

ความคิดเห็นที่ 17 ขออนุญาต จขกท ขอนอกเรื่องนิดน๊า เรื่องเซ้งร้านยา ไม่มีข้อมูล แต่เพิ่งโดนเภสัชที่เป็นเจ้าของร้านยามาขอเช่าร้านเรา แล้วโกงมิเตอร์ไฟโดยให้ช่างมาแก้มิเตอร์ เพิ่งจับได้หลังจากผ่านไปหลายเดือน ขอให้แกออก แต่กว่าจะยอมออก หืดจับเลยอะ ก็สง่สัยอยู่เหมือนกันว่าจะขายยาได้ไง เพราะกระทั่งศีลขั้นพื้นฐาน ยังจงใจละเมิดเลย จะโดนสั่งลบกระทู้นี้มั๊ยเนี่ย จากคุณ : mumu_i เขียนเมื่อ : 17 ม.ค. 53 20:53:41