ความคิดเห็นที่ 1 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:32:11

ความคิดเห็นที่ 2 ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:32:29

ความคิดเห็นที่ 3 ไปอ่านเจอความเห็นของคุณ kitty63 ... อ่านแล้วได้ข้อคิด/มีประโยชน์ ต่อแนวทางการลงทุน เลยนำมาให้อ่านกันครับ ----------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 11 จขกท  ใช้หลักการอะไรในการลงทุนครับ ? ดูพื้้นฐาน หรือเทคนิค ? หรือเล่นจากข่าวและคาดไปเอง ? ไม่ได้ซ้ำเติม  เพียงให้ต้องการกลับไปตรึกตรองเรื่องการลงทุนให้ดี ความมั่นใจไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะสำเร็จนะครับ   สำหรับหุ้นตัวนี้  วันจันทร์หน้าคุณคิดว่ามันจะวิ่งขึ้นไปเพราะอะไร ? เพราะมันลงมามากแล้วต้องรีบาวร์ ? งั้นพวกหุ้น GJS  Gsteel  live  IEC  MME   คงต้องวิ่งกลับทุกตัวไปยืนที่เดิมเหรอ   หากคุณดูประวัติหุ้น THL  มันถูก sp มาหลายรอบ แต่งตัวใหม่เข้ามาเทรดหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะมีแต่ความหวังให้กับรายย่อย แต่ผลประกอบการไม่เคยเป็นอย่างที่ผู้บริหารให้ความหวังสักที  หุ้นอย่างนี้หรือที่เราควรจะใช้เงินออมของครอบครัวมาลงทุน ?   สิ่งเหล่านี้ ทุกคนที่ลงทุนมานานย่อมผ่านมาแล้วทั้งนั้น ย่อมเคยพบสภาพนี้ทุกๆคน แต่ที่เขายังอยู่ในตลาดได้จนถึงตอนนี้เพราะเขาเรียนรู้ที่จะหาวิธีที่ทำให้หลีกเลี่ยงการตกไปอยู่ในสภาพนั้นอีก บางคนจำกัดการขาดทุนโดยมีจุด stoploss ก่อนที่จะเสียหายมากเกินกว่าที่จะยอมรับได้  บางคนพัฒนาตัวเองโดยศึกษาเรื่องพื้นฐานและลงทุนโดยลักษณะของ VI   บางคนก็เรียนรู้ทางเทคนิคและสร้างระบบการเทรดที่มั่นใจว่าสร้างผลตอบแทนที่ดีได้แน่นอน  ต่างคนก็ต้องพัฒนาเพื่อสร้างภูมิต้านทาน และเพื่อแสวงหากำไรจากเงินลงทุนที่เก็บออมไว้  แต่ทั้งหลายเหล่านี้ก็ต้องรู้จักพัฒนาตัวเองขึ้นมาทั้งสิ้น  หากเราคิดว่าจะเข้ามาลงทุนแข่งกับต่างชาติ ที่เข้ามาหาผลประโยชน์  แข่งกับกองทุนที่เขาต้องสร้างกำไรให้ผู้หน่วยลงทุน  แข่งกับผู้ลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการกำไร  แข่งกับพอร์ตโบรกเกอร์ที่เล่นเก็งกำไร   ทุกๆฝ่ายต่างมีหน้าที่หากำไรทั้งนั้น แล้วกำไรเหล่านั้นมาจากไหน ?  แล้วรายย่อยล่ะ ก็มีหลายกลุ่มทั้งพวกที่รู้พื้นฐานดี  พวกรู้เทคนิค  พวกนี้เขาอยู่ได้สบายเพราะเขาพัฒนาวิธีการสร้างภูมิต้านทาน และหาจังหวะทำกำไรได้ดีพอแล้ว  แต่สำหรับมือใหม่ หรือรายย่อยที่ไม่พัฒนาเหล่านั้น นั่นแหละคือรายได้ที่สำคัญของนักลงทุนทุกกลุ่มที่เขาต้องการ   ผมไม่อยากเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น อ่านแล้วมันไม่สบายใจเลยกับความเจ็บปวดของเขา แต่ก็เจอทุกๆวัน มันคงแก้ไขอะไรไม่ได้กับสภาพแบบนี้ เหมือนเห็นหมู วิ่งเข้าไปในกรงเสือ มันจะรอดออกมาไหม ?ได้แต่ปลง  หากท่านพิจารณาตัวเองดูแล้ว คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องรีบลงทุน ไม่มีกฎใดบังคับให้ต้องรีบลงทุน ตลาดหุ้นยังไม่เจ๊งไปก่อนในยุค generation ของท่านหรอกครับ ไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนดีกว่า ถามตัวเองว่าพร้อมแล้วเมื่อไหร่ ค่อยมาเจอกันครับ ดัชนีที่ปรับตัวลงมาแค่ 5-6% จาก high รอบนี้หลังจากวิ่งมา 100% ในเวลา 8-9 เดือน  ยังทำให้รายย่อยโอดครวนกันขนาดนี้  หาก set ลงไปต่ำกว่า 600 จุด จะเป็นอย่างไร ? มีวิธีรับมือหรือยัง หากตลาดมาถึงจุดนั้น... จากคุณ : kitty63   เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 07:22:07 Ref : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8797961/I8797961.html จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:38:01

ความคิดเห็นที่ 4 และอีกหนึ่งความเห็นของพี่ The Rounder จากคำถามของคุณ RoseTiara ที่ว่า " คุณเชื่อ คำกล่าวที่ว่า ซื้อหุ้นด้วยเหตุผลอะไร ขายด้วยเหตุผลนั้นรึเปล่า " เป็นคำตอบที่ผมชอบ เลยนำมาฝากให้อ่านอีกเช่นกันครับ (จริงๆแล้วผมก็ประทับใจความเห็นของพี่เขาเกือบทุกอันล่ะนะ) ^^ ------------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 28     คำกล่าวนี้ มันเป็น ปรัชญา ครับ ถ้าคุณไม่เชื่อมั่น ในเครื่องมือ หรือ หลักการ อันไหน คุณก็ย่อม ไม่ใช้ เครื่องมือ หรือ หลักการ อันนั้น ในการซื้อ และเมื่อคุณเชื่อมั่น จนใช้ในการซื้อ ก็ต้องยืนหยัด จนกว่า เครื่องมือ หรือ หลักการนั้น จะบอกว่า ให้ขาย ถ้าใช้แล้ว กำไร หรือ ได้ผลดี ความเชื่อมั่นก็เพิ่มขึ้น แต่ ถ้ามันขาดทุน บ่อยๆ  คุณก็จะหมดความเชื่อมั่น แล้วก็ไม่ใช้อีก  ก็เท่านั้นเอง --- อย่างเช่นว่า  ซื้อหุ้นเพราะพื้นฐานดี ถ้าพื้นฐานก็ยังดีไม่เปลี่ยน   เเต่เกิดเหตการณ์เหมือนช่วง subprime ที่ผ่านมา fund flow ไหลออกมโหฬาร....อย่างต่อเนื่อง การไม่ขายก็ถือว่าเสียโอกาส // ก็ไม่เห็นต้องขายนี่ครับ มีเงินก็ซื้อเพิ่ม เพราะหุ้นราคาถูกลง ไม่มีเงินซื้อเพิ่ม ก็รอรับปันผลไป ไม่ถือว่าเสียโอกาส เพราะ เขาไม่ได้เล่นรอบ --- เเล้วถ้าซื้อหุ้นเพราะเทคนิค เกิดไปเจอว่าเป็นเเบบ  secc   เทคนิคดีเเค่ไหน เราว่าเผ่นก่อนน่าจะดีกว่านะคะ // ถ้าคุณรู้ จนเผ่นได้ก่อน ก็คือรู้อินไซด์ คุณก็ไม่ใช้เทคนิค ในการซื้อ แล้วล่ะครับ ต่อให้ไม่รู้อินไซด์ แล้วซื้อด้วยเทคนิค เมื่อ คนภายในหรือเจ้าของ ขายหุ้นออกมา เตรียมเผ่นหนี มันก็ต้องส่งสัญญาน ทางเทคนิคอยู่ดี เพียงแต่ ช้ากว่าอินไซด์ เล็กน้อย --- รึว่าซื้อเพราะดูงบดี ตัวเลขอะไรก็ดีหมด ดู  business model  ก็ดี  หุ้นก็ถูก เเต่ไปพบทีหลังว่าผู้บริหารขี้โกง เราคงไม่อยากลงทุนบริษัทนี้เเล้วล่ะค่ะ // ถ้าเขาขี้โกง จริงๆ งบมันจะดูดี ไปได้สักกี่ไตรมาสครับ ที่เห็นบ่อยๆ ก็ตอนที่แต่งตัวเข้าตลาด งบจะดูดี ตอนก่อนเข้าตลาด เท่านั้น จากนั้น ถ้าเขาขี้โกง เช่น ตั้งบริษัทลูก รับงานช่วง จากบริษัทแม่ โดยคิดค่าสินค้า หรือ ค่าใช้จ่าย สูงเกินจริง ซึ่ง เป็นการไซฟอนเงิน / กำไร  ออกจากบริษัทแม่ ผลประกอบการ หรือ งบการเงิน ก็ ไม่มีทางออกมา ดูดี  ได้หรอกครับ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 22 ม.ค. 53 22:01:08 Ref : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8796808/I8796808.html จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:41:01

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีทุกๆท่านที่กำลัง(แอบ)อ่านกระทู้อยู่ ณ ตอนนี้นะครับ  ทักทายกันได้นะครับ ผมไม่กัดแน่นอน ฟันธง  อิอิ T^T จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:42:57

ความคิดเห็นที่ 6 5555 มาลงชื่อแอบอ่านเหมือนคอลั่มประจำวันครับ อ่านทุกวันครับ จากคุณ : ศรัทธาชาวสวน เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:55:47

ความคิดเห็นที่ 7 โดยส่วนตัว ยกความเห็นของคุณ kitty63 มาลง เพราะสะดุดกับประโยคนี้ครับ " ดัชนีที่ปรับตัวลงมาแค่ 5-6% จาก high รอบนี้หลังจากวิ่งมา 100% ในเวลา 8-9 เดือน  ยังทำให้รายย่อยโอดครวนกันขนาดนี้  หาก set ลงไปต่ำกว่า 600 จุด จะเป็นอย่างไร ? มีวิธีรับมือหรือยัง หากตลาดมาถึงจุดนั้น.. " ไม่ต้องไปที่ไหนไกล  วัดผลจากอารมณ์/ความรู้สึกที่บรรยายผ่านกระทู้สินธร ก็พอจะทราบได้บ้าง ค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณ kitty63 ที่ว่า ครั้งนี้ดัชนีปรับตัวลง(แค่) 5-6% แต่ทำไมอารมณ์ห้องสินธรเหมือน set index กำลังอยู่ในสภาพที่เลวร้าย(กว่านี้มากๆ) อนาคตจะเป็นอย่างไร ผมสารภาพว่าตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่เท่าที่คิดเอาเอง ส่วนหนึ่งที่กระทู้ออกมาในลักษณะนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากรายย่อยหน้าใหม่ ที่พึ่งเข้าตลาดมาเมื่อปลายปี หรือไม่ก็ต้นปี ซึ่งต้นทุนหุ้นถือว่ามีราคาที่สูง(ไปสักหน่อย) ด้วยเหตุผลเพราะคิดว่าดัชนีอาจจะไปได้ต่อ (อาจจะด้วยความหวังของ january effect หรืออะไรก็ตามแต่) จึงเข้าซื้อ เพราะกลัวตกรถ ฯลฯ . . . แล้วนี่ผมบ่นอะไรเนี่ย   หุหุ สำหรับผม  คงต้องมีสติให้มากขึ้น    ใจเย็นๆ และนิ่งเข้าไว้ ซึ่งผมคิดว่าผมทำได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะแล้วนะ   ผมไม่ค่อยจิตตกเท่าไหร่แล้ว แต่อนาคตก็ไม่แน่เหมือนกัน  ต้องรอดู อย่างไรก็ตาม ... ธุรกิจที่ผมลงทุน มันยังคงดำเนินกิจการตามปกติ และดูท่าว่าจะไปได้ดีเสียด้วยสิ  ... ฮา ... ขอบคุณที่ทนอ่านเรื่องไร้สาระของผมนะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 08:58:07

ความคิดเห็นที่ 8 สวัสดีครับ แอบอ่านเหมือนกัน อิอิ ดีครับ ทำให้ได้เห็นมุมมองของแต่ละคน ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องไร้สาระครับ พี่คนจนที่อยากรวย เป็นการแบ่งปันความคิดและประสบการ์ณมากกว่าครับ จากคุณ : parn 256 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:15:01

ความคิดเห็นที่ 9 หวัดดีคับ....พี่คน...ที่...รวย และสมาชิกทู๊กท่าน พึ่งได้มีโอกาสแวะเข้ามาทักทาย....ทั้งที่มีกระทู้นี้มานาน แระ  (เชยจังวุ้ย....ตรู)  เพาะปกติ ชม.เทรดผมไม่เคยเปิดทู้อื่นเรย....พอดีวันนี้ว่าง.... นั่งอ่านข่าวต่าง ๆ อยู่ เรยเปิดอ่านทู้ต่าง ๆ ดู   นะคับ ขอแสดงความยินดีด้วยคับ...ที่มีทู้ดี ๆ อย่างนี้  เป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน ใหม่ ๆ ที่เข้ามาหาความรู้ต่าง ๆ ก่อนการลงทุน หรือนำไปประกอบการลงทุน ด้วยความยินดียิ่ง จากคุณ : pattern me เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:16:05

ความคิดเห็นที่ 10 หวัดดีครับ คุณคนจนที่อยากรวย  (ตอนนี้คงรวยหลายเปอร์เซ็นต์ นะครับ) kitty63 ผมชอบเหมือนกัน คนคนนี้ เข้าท่า ดีนะ " ทุกๆฝ่ายต่างมีหน้าที่หากำไรทั้งนั้น แล้วกำไรเหล่านั้นมาจากไหน ?  " จากคุณ : ahcmos เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:23:54

ความคิดเห็นที่ 11 come and see จากคุณ : neetnoskub เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:37:05

ความคิดเห็นที่ 12 วันเสาร์ที่เงียบเหงา (แต่ไม่ง่อย  เอ้ย หงอย) ...ฮา... หวัดดีครับคุณศรัทธาชาวสวน  สักวัน ... ผมจะกลายเป็น columnist ที่อยากรวย     หวัดดีครับคุณ parn 256  ผมเป็นพวกไร้สาระที่เกือบจะไม่ไร้สาระน่ะครับ  แป่ว - -"  ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะครับ หวัดดีครับคุณ pattern me  ดีใจครับที่แวะมาทักทาย(แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาอ่านซ้ำหรือเปล่าน่ะซี้) ผมเอง สารภาพว่าเข้าไปอ่านกระทู้ tfex ทุกวันเลยครับ สนุกดี ... คนอ่านยังลุ้นแทนเลยครับ (เสียว) เห็ด เหิด แก้ปอด ห่อกลับบ้าน ฯลฯ   โอ้ย  งงครับงง  ผมไม่รู้เรื่อง  (แต่ก็ยังเข้าไปอ่านอยู่ดี)  อิอิ หวัดดีครับคุณ ahcmos  กำไรมีเพิ่ม มีลดครับ  บางตัวก็เพิ่ม บางตัวก็ลง  ก็ถัวๆกันไปครับ  - -" ขอบคุณที่แวะเข้ามาทักทายเป็นประจำนะครับ  ดีใจ ^_^ หวัดดีครับคุณ neetnoskub,  thank you for drop here to say hi หวัดดีคนอื่นที่กำลัง(แอบ)อ่านความเห็นนี้อยู่ด้วยเช่นกันนะครับ ผมรู้ ว่าคุณกำลังคิดอยู่ว่าจะทักผมดีหรือเปล่า  อิอิ แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 09:52:18 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:50:24

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดีค่า พี่คนรวยคนขยัน กะว่าจะแอบอ่านเงียบๆ ซะหน่อย คริ คริ จากคุณ : seam33 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 09:57:48

ความคิดเห็นที่ 14 หวัดดีครับน้อง seam33  ไม่ได้คุยกันนานนนนนนนนนนนนนนนเลย (ตั้งแต่ผมถอดเกราะนักรบแล้ว)  ยังจำ login ได้อยู่นะครับ ------------------------------------------------------------------------------- ว่าจะไม่ดราม่า แต่ขอสักหน่อย พอดีเมื่อวานพี่ TingTing ได้ post เกี่ยวกับกลอนเสริมกำลังใจไว้ที่กระทู้ DVD27 เห็นว่าดี เลยเอามาแปะใหม่อีกครั้ง  ........... เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน(รวมถึงคนที่แอบอ่านอย่างเดียวด้วย)ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:04:16

ความคิดเห็นที่ 15 ยังจำกันได้ด้วย น่ารักจริงๆค่ะ จากคุณ : seam33 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:07:54

ความคิดเห็นที่ 16 คลังกระทู้ DVD (กระทู้การลงทุนแนวเน้นคุณค่า) DVD 00 http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8670672/I8670672.html DVD 01 http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8673388/I8673388.html DVD 02 http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8679464/I8679464.html DVD 03 http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8683468/I8683468.html DVD 04 http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8687431/I8687431.html DVD 05 http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/12/I8691402/I8691402.html จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:12:18

ความคิดเห็นที่ 17  VIB007 : Posted: Fri Nov 11, 2005 3:08 pm Belffet wrote: งั้นวกมาที่เรื่องลงทุนอีกซักทีนะครับ เพื่อไม่ให้หลุด concept อยากเรียนถาม อ.วิบูลย์ สัญญาณตลาดหุ้นตกต่ำเราดูได้จากไหนบ้าง .. ดู"ดัชนี"ก็ได้นิครับ Belffet wrote: ผมเชื่อว่า ซักวันนึง เหตุการณ์ตลาดหุ้นตกต่ำอย่างหนักแบบ ปี40 จะวนกลับมาอีก เรามีวิธีคาดการณ์ก่อนอย่างไร และควรรับมือแบบไหน .. ความเห็นผมคือ ไม่มีความจำเป็นต้องคาดเดาตลาดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีนี้ ปีหน้า หรือปีไหนๆ Belffet wrote: แล้วการที่เราลงทุนกับตลาดหุ้นอย่างเดียวมันมีความเสี่ยงในตัวแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งตลาดเกิดพังทลายลง จะเป็นไปได้ไหมที่จะเกิดเหตุเช่นนั้นขึ้น แล้วเราในฐานะ VI มองเรื่องนี้อย่างไรกัน .. ผมชอบคำตอบแบบนี้ครับ "ถ้าเราคิดว่าเสี่ยง ก็เสี่ยง ถ้าเราคิดว่าไม่เสี่ยง ก็ไม่เสี่ยง" สำหรับผม ถ้าตลาดพังก็ดีซิครับ ผมจะได้ซื้อหุ้นถูกๆอีกรอบ ขอให้พังจริงๆเถอะน่า พังไม่กลัว กลัวไม่พัง Belffet wrote: ปล. บางครั้งผมมองว่าตัวเองถามอะไรโง่ๆออกไปเหมือนกันนะ แต่ในเมื่อมันสงสัยก็อยากจะถามน่ะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ .. ไม่มีใครโง่ที่ถามหรอกครับ ผมว่าคนไม่ถามจะโง่มากกว่า เราต้องคิดใหม่ทำใหม่ เด็กไทยไม่ชอบถามเพราะกลัวคนอื่นจะหาว่าโง่ ขณะที่เด็กฝรั่งชอบถาม สุดท้ายเวลาโตขึ้น เด็กไทยเลยโง่กว่าเด็กฝรั่งจริงๆ การศึกษาไทยต้องพัฒนากว่านี้ครับ สมัยเด็กๆ ตอนผมเรียนสาธิต เพื่อนนักเรียนในห้องชอบถามกันมาก พอย้ายมาเรียนโรงเรียนรัฐบาล ปรากฏว่าทั้งห้องเงียบกริบเวลาครูถาม ผมไม่เข้าใจ....เงียบทำติ่งอะไร(ว่ะ) ไม่รู้ก็ถามดิ ผมกับเพื่อนที่จากสาธิตเลยถามครูกันใหญ่ ปรากฏว่าพวกเพื่อนที่มาจากโรงเรียนรัฐบาลทั้งกทมและต่างจังหวัด หาว่าพวกผม "อยากเด่น" ผมถึงบางอ้อ.....เออ มิน่าเด็กไทยถึงไม่ทันโลก เขาไปถึงไหนแล้ว การศึกษาไทยยังย่ำอยู่กับที่ ผ่านมา 20 ปีผมก็ไม่เห็นว่าเด็กไทยจะพัฒนากว่าสมัยผมเป็นเด็ก แถมพัฒนาลงเพราะต้องไปแย่งกันเรียนพิเศษ แข่งกันเรียนเพื่อเข้ามหาลัย ไม่เห็นจะดีขึ้นตรงไหน ขอบ่นหน่อย Belffet wrote: ปล2 ขออนุญาตเรียก อาจารย์ ไปเลยละกัน.. ไม่อนุญาตครับ ฮ่า ฮ่า แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 10:43:05 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:41:28

ความคิดเห็นที่ 18 สุมาอี้ wrote: นั่งสรุปหลักการลงทุนที่ผมยึดถือมาให้อ่านกันแล้วครับ นึกได้แค่ 10 ข้อก่อน ที่จริงอยากเรียกว่า personal biases มากกว่า ไม่อยากเรียกว่าหลักการลงทุนเท่าไร 1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูลจนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังกำไร (กฎข้อนี้สำคัญมากห้ามผ่าฝืนเด็ดขาด) 2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการ BLASH การเทรดหุ้นทุกวันเปรียบเสมือนการกระโจนเข้าใส่เครื่องบดเนื้อ 3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายทิศทางเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายุเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุดแทนที่จะพยายามคาดเดาว่าพายุจะมาเมื่อไร 4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบันแต่จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาดว่าพรุ่งนี้กำไรของบริษัทจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี แต่หุ้นที่ขึ้นคือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีในวันนี้แต่กำลังจะดีขึ้นวันหน้าหรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก 5. หุ้นบูลชิพที่เติบโตช้า แม้ downside จะต่ำ -20% แต่ upside ก็ต่ำด้วย +20% หุ้นเติบโตสูงจึงน่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100% แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจเป็น 200% 500% 1000%...) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลายๆ ตัวแม้จะผันผวนมากกว่าแต่จะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็มไปด้วยหุ้นบูลชิพในระยะยาวๆ 6. อย่าให้ความสำคัญกับ dividend yield มากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายเงินปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอา retained earnings ไปลงทุนทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น 7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการเสี่ยงมากที่สุด อย่าเสียเวลาคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไรหุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัว market crash เพราะในระยะยาวๆ ไม่มีตลาดหุ้นไหนในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจุดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมโตต้องขึ้นเรื่อยๆ 8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเรื่องเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นมิได้ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวันมิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัวที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 1-2 ตัวที่คุณคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใน 20 ตัวนั้น คุณจะพบว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินออกเป็น 20 ส่วนเพื่อซื้อทั้ง 20 ตัว 10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จร้อยทั้งร้อยมีความคิดที่เป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยกที่ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังรุมกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้นและรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ   ขอให้โชคดีทุกคน จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:49:00

ความคิดเห็นที่ 19  Posted: Tue Feb 14, 2006 1:30 pm ------------------------------------------------------------------ Tiger wrote: พี่วิบูลย์ครับ ถ้าลงทุนในหุ้นแล้วหวัง 15 % ต่อปี วัดแค่ปีละครั้งก็พอ ปรากฏว่าหุ้นเราไม่วิ่งไปไหน เมื่อเทียบกับราคาซื้อ ซัก 2-3 ปี แต่ผลประกอบการก็ดีขึ้น ทีละนิดละหน่อยอย่างต่อเนื่อง เช่น SMK TCB เป็นต้น ได้ปันผลก็เป็น return เดียวที่คิดได้ นานวัน หลายปีเข้า มันก็ไม่เข้าเป้า ซะที เจออย่างงี้ คิดยังไงดีครับ --------------------------------------------------------------------------- ข้อหนึ่งที่ทำให้หลายท่านถอดใจจากการลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็คือ เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น แต่นักลงทุนไม่ว่าระดับไหนต้องมีปัญหานี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบัฟเฟต ปีเตอร์ ลินซ์ หรือใครก็ตาม เพราะเราไม่สามารถบังคับนายตลาดได้ ราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงก็เมื่อนายตลาดมาให้ราคานั่นหละครับ ปัญหาอยู่ที่.....เมื่อไหร่ ผมแนะนำอย่างนี้แล้วกันครับ หนึ่ง ตรวจสอบธุรกิจที่ถืออยู่ดูอีกครั้งว่ายังดีเหมือนเดิมหรือเปล่า สอง เช็คว่ามูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณได้ยังอยู่ที่เดิมไหม สาม ตรวจสอบว่าหุ้นยังมีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง สี่ ถ้าผ่านทั้งสามข้อก็น่าจะยังถือต่อไปได้ ถ้าทนไหวก็ขายเปลี่ยนตัวใหม่ก็ได้ครับ ไม่มีข้อห้ามว่าห้ามขายหุ้นนี่ครับ เราพอใจอย่างไรก็ทำตามนั้น ถ้าผิดพลาดขายหมูขึ้นมาจะได้โทษตัวเอง ไม่ต้องไปโทษใคร โชคดีครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:52:36

ความคิดเห็นที่ 20  VIB007 Posted: Wed Feb 15, 2006 11:31 am เรามักจะได้ยินคำพูดเกี่ยวกับการลงทุนอยู่บ่อยๆที่ว่า Buy Low, Sell High แต่ในความเป็นจริง นักลงทุนจำนวนมากมักจะทำตรงกันข้าม นั่นคือ Buy High, Sell Low อาจจะเพราะความกลัวหรือไม่ก็ตื่นตกใจเวลาหุ้นตกๆ เช่นเวลานี้เป็นต้น จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:54:42

ความคิดเห็นที่ 21 ความเห็นนี้อ่านแล้วโดนใจ  อยากให้ Gift พี่วิบูลย์เหลือเกิน   คนเราชอบอะไรที่ได้มาง่ายๆ สรุปรวมรัด ไม่ค่อยชอบออกแรงขวนขวาย ...  Posted: Sun May 07, 2006 12:23 pm ----------------------------------------------------------------- wutt wrote: ให้อ่านเองแล้วใครจะอ่านไหวเนี่ย 60 กว่าหน้า ไม่มีสรุปให้มือใหม่บ้างหรือ -------------------------------------------------------------------- สรุปให้ฟังก็ได้ คุณสมบัติข้อหนึ่งของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็คือ "ความอดทน" ถ้าไม่สามารถอดทนอ่านกระทู้นี้ได้ตลอด 60 หน้าแล้ว จะสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นได้หรือ เห็นตลาดวิ่งๆแต่หุ้นที่ซื้อไว้ไม่ไปไหน จะทำอย่างไร หรือหุ้นที่ซื้อมาลงเอาๆ...จะทำอย่างไร กลุ้มใจนอนไม่หลับหรือเปล่า จะขายก็ขาดทุน "ทำใจ"ไม่ได้ เก็บไว้ก็ไม่รู้จะลงไปถึงแค่ไหน หรือขายหุ้น(ขายหมู)ปั๊บ หุ้นวิ่งปุ๊ป จะทำอย่างไร ถ้าตอบคำถามข้างบนได้ก็ลองดูคำแสลงเหล่านี้ Margin of Safety Discount Cashflow NPV Intrinsic Value Replacement Cost EMT Discount Rate WACC .........etc ถ้ารู้จักคำต่างๆเหล่านี้หมดแล้วก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ครับ ไม่มีใครว่าอะไร .......อัตตาหิ อัตตโนนาโถ .......อัตตาหิ อัตตโนนาโถ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 10:59:34

ความคิดเห็นที่ 22  Mon money : Posted: Sat May 20, 2006 10:50 pm แวะมาดูครับ ไม่ได้มานานแล้ว คิดถึงมาก วันนี้มีเรื่องจะเล่าเป็นพิเศษ.... เช้านี้อากาศดีมาก ผมโชยเย็นๆ ผมนั่งดื่มกาแฟและนั่งคุยกับเพื่อนบ้านที่มาดูสินค้าที่บ้านผม อยู่ๆก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น...เป็นโทรศัพท์บ้าน...ภรรยาผมเรียกให้ไปรับสาย... "คุณมนครับ ผมร้อนใจมาก ผมถึงขนาดโทรไปสายด่วนสุขภาพจิตมาแล้ว" ชายผู้นี้ไม่ปล่อยเวลาให้ผมได้ตั้งตัวเลย "ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร ทราบเบอร์บ้านผมได้อย่างไร?" ผมถามสวนไป "ผมโทรถาม 1113 ผมอยู่นครสวรรค์ ที่ผมอยู่ล้อมรอบด้วยท้องนา ผมรบกวนหรือเปล่า ถ้าคุณมนไม่สะดวกก็จะไม่รบกวนครับ" เขาตอบแบบผิดหวังเล็กน้อย "ผมสะดวกครับ คุยได้ เพียงแต่ผมสงสัยว่าคุณเป็นใคร เชิญเลยครับ" ผมตอบแบบอึ้งๆเล็กน้อย เขามานะจริงๆ และคงเดือดร้อนจริงๆจึงพยายามมากขนาดนี้ "คือว่าผมมีเงินเก็บอยู่ล้านกว่าบาท และเอาไปซื้อหุ้น PTTจนหมด ตอนนี้ผมกลุ้มใจมากครับ..." เขารีบใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ . . . . . "แล้วอะไรมันทำให้คุณมีอาการเป็นไปได้มากขนาดนี้" ผมสงสัยจริงๆ "ก็ข่าวที่ว่าถ้าPTTแพ้คดีที่จะให้กลับไปเป็นการปิโตรเลียม เขาจะต้องออกจากตลาดและซื้อคืนแค่ 35 บาทนะครับ ผมรับไม่ได้ ผมซื้อมาตั้ง 256 บาท" เขารีบบอก "แล้วไอ้ข่าวที่ว่านี่ คุณไปได้ยินมาจากไหน" นี่ขนาดอยู่กลางท้องนานะนี่ ยังอุตสาห์ไปได้ข่าวมาอีก "นักวิเคราะห์เขาพูดกัน ออกTVครับ ผมจะทำอย่างไงดี ผมกลุ้มมาก ขนาดลูกสาวยังไปบ่นกับปู่เลยว่าพ่อไม่สนใจหนู" เออท่าจะเป็นเอามากจริงๆ "มีสองอย่างที่คุณต้องทำคือ คิดทบทวนตัวเองครับ ว่าคุณเหมาะกับการลงทุนในหุ้นไหม? สองตัดสินใจว่าจะขายเอาเงินไปฝากดีกว่าไหม? หรือซื้อกองทุนรวดี?" ผมแนะ "ผมเคยซื้อกองทุนครับ พอมันขึ้นสองสามวันผมก็ขาย แต่ขายยากครับ ขั้นตอนยุ่งยาก" เออดีวุ้ย ขนาดซื้อกองทุนยังเล่นสั้น แถมบ่นว่าขายยากอีก ผมแอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตลกร้ายจริงๆ . . . . "...คือว่าผมอยากรวยหุ้นกับเขาบ้าง เลยเอาเงินมาซื้อหุ้น...และคิดว่าเป็นหุ้นที่ชัวร์ที่สุดแล้วนะครับ...แต่ก็ไม่วาย" อ๋อ...อยากรวยหุ้นนั่นเอง "ผมว่าคุณเขาใจอะไรผิดแล้วละ...เออ...คือว่าการลงทุนนี่มันเป็นการออมชนิดหนึ่งนะครับ ไม่รวยเร็วหรอก...จริงๆแล้วรวยยาก ถ้าไม่ขยันอ่าน ขยันค้นคว้า...วิธีการของคุณมันไม่ถูกต้อง และหุ้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ..." ผมพยายามตอบให้เขาเข้าใจในหลักคิด "...ที่ผิดปกตินั้นคือคุณนั่นแหละ กำลังเป็นเอามากๆ...ถ้าไม่สบายใจขายทิ้งเถอะครับ จะได้กลับมาเป็นคนเดิม ลูกเมียก็ไม่เดือดร้อน" ผมรับประทานนิดๆไปพร้อมๆกับการแนะนำ "แล้วผมควรจะไปซื้อหุ้นอะไรดี?ครับ" เออ เอาเข้าไป "เอาอย่างนี้แล้วกัน...เอาเบอร์ตาวิบูลย์ไปแล้วโทรไปคุยเองนะครับ ก็เกี่ยวกับ PTTก็ต้องคนนั้นแหละ" ผมคิดว่าคงเอาตัวรอดยากเลยส่งต่อให้หมอใหญ่เพื่อนยาก... อิ อิ มีใครโทรหาบ่ เสี่ย? ----------จบครับ----------- ในนี้มีแต่งเติมบ้างเด้อ แต่ในBiz weekของจริง ว่างๆ หุ้นตกๆอย่างนี้ ผมกำลังหัดเขียนนิยายลึกลับอยู่ครับ ว่างๆจะเอามาแบ่งกันอ่านนะเพื่อนๆ แล้วเจอกันเมื่อชาติต้องการนะขอรับ แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 11:09:55 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 11:06:49 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:05:27

ความคิดเห็นที่ 23 สวัสดีครับทุกท่าน ปีนี้เป็นปีที่ยากสำหรับการเก็งกำไร แต่น่าจะเป็นปีที่ดีในการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง การทำกำไรในปีที่แล้วเพียงปีเดียวไม่สามารถบอกถึงความสำเร็จในการลงทุน/เก็งกำไรในหุ้น จากคุณ : เล่นรอบ เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:07:10

ความคิดเห็นที่ 24 หวัดดีครับพี่เล่นรอบ ไม่เห็น login มาพักใหญ่  ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะครับ ผมนึกว่าผมเป็นไอ้บ้า นั่ง post อะไรอยู่คนเดียวซะแล้ว  อิอิ เห็นด้วยครับ  ปีนี้จะเริ่มลงทุน/เล่นหุ้นยากขึ้น(มาก) ปีที่แล้วผมมองว่าร้อยละ 70%  คนที่ได้กำไรส่วนใหญ่มาจาก "ตลาดนำพา" ครับ รวมถึงตัวผมด้วย   แป่ว จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:12:37

ความคิดเห็นที่ 25  VIB007 : Posted: Mon Jul 31, 2006 10:20 am Oh+ wrote: สวัสดีครับ พี่วิบูลย์ ช่วงนี้กระทู้นี้ดูเงียบ ๆ จัง ไม่ค่อยเห็นคนมาโพสถามพี่เลย ผมเองต้องแวะเข้ากระทู้นี้เกือบทุกครั้ง ที่เข้ามาที่นี่ ชอบที่พี่เขียนตอบกระทู้ครับ หลัง ๆ ไม่ค่อยเห็น เลยแวะเข้ามาทักทาย และขอคำแนะนำหน่อยครับ หลังๆไม่ค่อยมีใครถาม ผมก็เลยไม่มี"โอกาส"ตอบ ผมแวะเวียนเข้ามาเรื่อยๆครับ ถ้าใครสนใจถามได้ ถ้าถามเหมือนยังไม่ได้อ่านตั้งแต่หน้าแรก ผมก็จะแนะนำให้ไปอ่านกระทู้นี้ตั้งแต่ต้นก่อน อาจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครถามก็ได้ เพราะกลัวถูกไล่ให้ไปอ่านตั้งแต่ต้น มีหลายท่านช่วยตอบอยู่เรื่อยๆนะครับ กระทู้นี้ ไม่ได้มีผมเพียงคนเดียว สาเหตุที่ผมอยากตอบกระทู้นี้กระทู้เดียวหลักๆ เพราะอยากให้เก็บไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนรุ่นหลังครับ เท่านั้นเอง ------------------------------------------------------------------------- Oh+ wrote: คือผมไม่ค่อยมั่นใจกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องหรือไม่ จึงพยายามมองดูความถูกต้องในความคิดด้วยราคาของหุ้นว่าเป็นไปตามที่ เราคาดการณ์ไว้หรือไม่และเมื่อมันไม่เป็นไปตามที่คิด มันก็เริ่มทำให้เราไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อเราไปซื้อหุ้นที่ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ ในกรณีแบบนี้พี่ใช้วิธีใดเป็นเครื่องยืนยันความมั่นใจให้กับตัวเองได้บ้างครับ คำแนะนำของผมก็คือ หนึ่ง ให้ความสนใจกับ"ราคาหุ้น"ให้น้อยลง บางครั้งราคาหุ้นของเราไม่ได้เป็นไปตามดัชนีตลาดหุ้น จะเห็นว่าราคาหุ้นเล็กบางครั้งไม่ขยับไปไหนเลย ขณะที่ดัชนีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้นไม่ได้หมายความว่าหุ้นที่เราลงทุนไม่ดีนะครับ สอง ให้สนใจในผลการดำเนินงานของบริษัทมากกว่าราคาหุ้น ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้หรือไม่ ถ้าเราซื้อหุ้นเพียงเพื่อราคาหุ้นจะขึ้นเท่านั้น เราอาจคิดผิด แต่ถ้าเราซื้อหุ้นด้วยความเชื่อที่ว่า ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการ ถ้าบริษัทยังมีผลประกอบการที่ดี ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง สาม มองไกลๆ ถ้าดูราคาหุ้นแค่เดือนสองเดือน อาจไม่สามารถบอกได้ว่าหุ้นนั้นดีไม่ดี ลองคิดว่าถ้าตลาดหุ้นปิดไปสักปีสองปี หุ้นของบริษัทที่เราลงทุนยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ข้อผิดพลาดของนักลงทุนส่วนใหญ่ก็คือ คิดว่าถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นแสดงว่าเป็นหุ้นไม่ดี ถ้าราคาหุ้นขึ้นเป็นหุ้นดี ซึ่งไม่ถูกต้องเสมอไป ราคาหุ้นในระยะสั้นเป็นเรื่องของดีมานด์ซัพพลาย คนอยากซื้อมากกว่าคนอยากขาย แต่ราคาหุ้นในระยะยาวจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ซึ่งบอกระยะเวลาที่แน่อนไม่ได้ ดังนั้นถ้าเรา"คิด"ว่าเราวิเคาระห์บริษัทถูกต้อง ราคาที่ซื้อน้อยกว่ามูลค่าที่แท้จริงและ ผลประกอบการบริษัทเป็นไปตามที่เราคาดหมาย ราคาหุ้นจะไม่ตามดัชนีบ้างในระยะสั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ถ้าผ่านไปสองสามปีแล้ว หุ้นนั้นยังไม่เป็นไปตามที่เรา"คิด" อาจจะต้อง"คิดใหม่ ทำใหม่" เราอาจจะ"คิดผิด"ก็ได้ เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ ไม่มีนักลงทุนคนไหน ไม่เคยทำพลาดครับ เพียงแต่เราเรียนรู้ที่จะไม่ทำพลาดซ้ำแบบเดิมอีก คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่ไม่เคยล้มเหลว แต่เป็นคนที่ลุกขึ้นสู้ใหม่ได้หลังจากแพ้ไปแล้วทุกครั้ง นั่นเป้นข้อแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่พ่ายแพ้ต่อโลก ------------------------------------------------------------------------- Oh+ wrote: อีกเรื่องครับ คือสงสัยว่า "ความคิดที่ไม่โลภมากมันเป็นยังงัยครับ ในเมื่อเราเข้ามาลงทุนเพื่อหวังให้ได้กำไรมาก ๆ" อยากรู้ว่าพี่คิดยังงัยครับ ผมเองไม่รู้ว่าถามไปแล้วพี่จะเข้าใจไหม ผมเขียนเองยังงง ๆ เลย   แต่ถ้าไม่เขียนก็ไม่ได้คุยด้วย   สรุปแล้วคือ คิดถึง อยากฟังแง่คิดดี ๆ จากพี่ครับ ขอบคุณครับ พอเข้าใจคำถามครับ "ความคิดที่ไม่โลภมากมันเป็นยังงัยครับ ในเมื่อเราเข้ามาลงทุนเพื่อหวังให้ได้กำไรมาก ๆ" "ความโลภ"คือความอยากได้อยากมี เห็นเขาได้กำไรหุ้นเยอะๆก็อยากได้บ้าง เห็นเขาขับรถหรูๆก็อยากมีบ้าง "ความพอเพียง"คือความรู้จักพอ เราได้กำไรพอประมาณก็เพียงพอแล้ว เรามีรถขับก็เพียงพอแล้ว (ไม่ต้องทนนั่งรถเมล์) ผมเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังแล้วกัน Quote: "บทความ Value Way  ฉบับวันที่ 28 กรกฏาคม 2549 มือใหม่ (3) นักลงทุนมือใหม่จำนวนมากไม่ใช่นักลงทุนอาชีพ หรือไม่ได้ลงทุนเต็มเวลา นั่นหมายความว่ามือใหม่เหล่านี้ต่างมีหน้าที่การงานทำเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว  การเข้ามาลงทุนในหุ้นเพื่อต้องการเรียนรู้การซื้อขายหุ้น มีหลายท่านต้องการ”รวย” และอีกหลายท่านอยากลองทำอะไรเสี่ยงๆดูบ้าง ชีวิตจะได้มีรสชาด ขณะเดียวกันมือใหม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ละทิ้งงานที่ทำอยู่มาเฝ้าหน้ากระดานหุ้นตามห้องค้าตลอดเวลา การซื้อขายหุ้นส่วนใหญ่มักทำการซื้อขายผ่านมาร์เกตติ้งของบริษัทโบรกเกอร์ หรือถ้ามีเวลาอาจซื้อขายผ่านอินเตอร์เนตด้วยตนเอง การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมีด้วยกันหลายแบบทั้งเก็งกำไร ลงทุน หรือซื้อขายตามข่าว นักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากต้องใช้เวลาสักพักถึงจะค้นหากลยุทธการลงทุนที่เหมาะกับตนเอง ขออนุญาตเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับนักลงทุนหุ้นมือใหม่สักสองสามตัวอย่าง เพื่อให้เป็นข้อมูลการตัดสินใจลงทุนของท่านที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า ควรลงทุนแบบใดในตลาดหุ้น ตัวอย่างที่หนึ่ง สมชายเป็นนักธุรกิจขนาดย่อม หรือเรียกกันด้วยคำทันสมัยว่า นักธุรกิจเอสเอ็มอี (SME) ขนาดธุรกิจของสมชายไม่ใหญ่นัก การดำเนินธุรกิจซื้อมาขายไปเป็นไปด้วยดี ทุกกิจกรรมของบริษัทต้องผ่านการอนุมัติจากสมชายทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ จ่ายเงิน หรือส่งของให้กับลูกค้า สมชายไปทำงานทุกวันตั้งแต่เช้ายันดึก เวลาทำงานของสมชายจะดูวุ่นวาย เพราะมีเรื่องของบริษัทใ้ห้่เขาตัดสินใจค่อนข้างมาก แต่สมชายก็ยินดีและสนุกกับงาน ธุรกิจของเขาทำเงินได้ดีมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจขนาดเล็กและไม่มีความจำเป็นต้องขยายงานในตอนนี้ จนเขาเหลือเงินเก็บจากการธุรกิจก้อนหนึ่งหลายล้านบาท เงินทั้งหมดฝากไว้ในแบงค์เพียงอย่างเดียว วันหนึ่งสมชายไปงานเลี้ยงรุ่น ได้เจอกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเรียนด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อนคนนี้เป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่ง เพื่อนบอกสมชายว่าเขาทำเงินจากตลาดหุ้นได้หลายสิบล้านบาทในช่วงที่ผ่านมาไม่กี่เดือน สมชายเห็นว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นทำไมเป็นเรื่องง่ายเสียเหลือเกิน ถ้าเขานำเงินเก็บที่มีมา”เล่นหุ้น”ละก็ คงทำให้เขาเป็น”เศรษฐิีร้อยล้าน”ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องอดทนเก็บเงินจากการทำธุรกิจของเขา ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายปีทีเดียวกว่าจะเก็บเงินได้เท่านี้ คิดได้ดังนี้ สมชายจึงไปเปิดพอร์ตซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์แห่งหนึ่งที่เพื่อนแนะนำ เนื่องด้วยการทำธุรกิจในปัจจุบันทำให้เขาต้องเดินทางไปพบลูกค้าในช่วงเวลาทำงานอยู่บ่อยๆ การซื้อขายผ่านอินเตอร์เนตตอนช่วงกลางวันคงไม่สะดวก เขาจึงตัดสินใจซื้อขายโดยใช้วิธีโทรศัพท์สั่งซื้อขายผ่านทางมาร์(เกตติ้ง)แทน ในช่วงเริ่มต้น สมชายยังกลัวความเสี่ยงจากการเล่นหุ้นอยู่บ้าง จึงนำเงินเก็บเพียงหลักแสนมา”ลอง”ซื้อขายหุ้นดูในเวลาที่ตลาดหุ้นเปิดทำการ กลยุทธการลงทุนของสมชายคือซื้อมาขายไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสมชายคือ”ราคาหุ้น” ถ้าซื้อมาราคาหุ้นขึ้นไป เขาจะขายทำกำไรอย่างรวดเร็ว ถ้าหุ้นที่ซื้อมาราคาลดลง เขาจะรออย่างใจเย็นจนกว่าราคาหุ้นกลับมาที่ราคาเดิมหรือสูงกว่า ปรากฏว่าในช่วงที่สมชายเข้าตลาดใหม่ๆ ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมชายทำกำไรจาตลาดหุ้นได้ทุกครั้งที่เขาทำการซื้อขาย ถึงแม้บางครั้งราคาหุ้นจะลดต่ำลง แต่ก็ดีดกลับมาสูงกว่าราคาที่เขาซื้อมาได้ทุกครั้ง เวลาผ่านไปสามเดือน ตอนนี้สมชายเริ่มมั่นใจใน”ฝีมือ”ของตนมากขึ้นเรื่อยๆ จากเงินลงทุนเพียงไม่กี่แสนบาท กำไรที่ได้มาตอนนี้นับได้ประมาณเท่าตัวของเงินลงทุน หรือหลายแสนบาท เขาคิดว่าถ้าเขานำเงินเก็บทั้งหมดมาซื้อหุ้นและทำกำไรได้เหมือนที่ผ่านมา จะทำให้เขามีเงินเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว ทำเช่นนี้สักระยะหนึ่ง ความฝันของการเป็น”เศรษฐีร้อยล้าน”คงเป็นจริงได้ในเวลาอันรวดเร็ว เขาเริ่มนำเงินเก็บทั้งหมดมาทำการซื้อขายหุ้น โดยการทุ่มสุดตัวกับหุ้นที่เขามั่นใจว่า ราคาหุ้นจะต้องสูงขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ โดยเฉพาะตอนนี้มี”ข่าววงใน”ว่าหุ้นตัวนี้ราคาจะกระโดดไปมากกว่านี้หลายเท่าตัว แต่โชคไม่เข้าข้างหลังจากซื้อหุ้นได้เพียงวันเดียว ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (หรือเฟด) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างผิดความคาดหมายของนักวิเคาระห์ ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นต่างตื่นตกใจกับข่าวที่เกิดขึ้น ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงต่ำเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างประเทศต่างเทขายหุ้นเอเซียอย่างหนัก สมชายกังวลเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยประสบกับภาวะตลาดหุ้นตกต่ำอย่างหนักเช่นนี้มาก่อน เขาได้แต่ภาวนาว่า ราคาหุ้นจะกลับไปเท่าเดิมในระยะเวลาอันสั้นเช่นเดิม แต่ราคาหุ้นกลับลดต่ำลงไปเรื่อยๆ ดัชนีหุ้นลดลงมากกว่าร้อยจุดในเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ ข่าวในหนังสือพิมพ์เต็มไปด้วยข่าวร้าย ทุกบทความเกี่ยวกับหุ้นกล่าวว่านี่เป็นจุดจบของตลาดหุ้นไทย และในปีนี้ตลาดหุ้นคงไม่สามารถกลับไปยืนที่จุดเดิมได้อีกแล้ว หลังจากประเมินสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว สมชายตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดออกจากพอร์ตทั้งๆที่ขาดทุน เพราะกลัวราคาหุ้นอาจลดต่ำลงไปอีก ปรากฏว่ากำไรที่ได้มาจากการซื้อขายหุ้นที่ผ่านมาทั้งหมดต้องคืนกลับตลาดหุ้นไป แถมด้วยเงินที่ขาดทุนจากการซื้อขายครั้งสุดท้ายอีกเกือบครึ่งของเงินเก็บทั้งหมด สมชายประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับตลาดหุ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา" ถ้าสมชายไม่โลภไม่อยากได้กำไรมากๆเหมือนเพื่อน เขาคงไม่สูญเงินไปมากขนาดนี้ "ความคิดที่ไม่โลภมากมันเป็นยังงัยครับ ในเมื่อเราเข้ามาลงทุนเพื่อหวังให้ได้กำไรมาก ๆ" ผมยังชอบคำถามนี้อยู่เลยหละครับ "ความโลภ"จะมากับ"ความกลัว" เมื่อไหร่ที่เรา"โลภ"และเหตุต่างๆไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ เราจะ"กลัว" แต่ถ้าเราลงทุนด้วย"ความรู้" เราจะไม่"กลัว" การได้กำไรมากๆนั้นขึ้นกับ"ผลตอบแทน"จากการลงทุนครับ ไม่ใช่ความโลภ ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นจะแปรตาม"ความรู้ความสามารถ"ของผู้ลงทุนครับ ในระยะยาว ความโลภทำให้เราออกห่างจากแนวทางที่เราเดิน แต่ความรู้ความสามารถที่เพิ่มขึ้นจากการลองผิดลองถูกจะช่วยให้เราเดินไปในแนวทางที่เรากำหนดได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ดังนั้นความคิดที่ไม่โลภก็คือความคิดที่ต้องการเรียนรู้ ยิ่งเราเรียนรู้มากขึ้นเท่าใด เราก็ยิ่งทำผลตอบแทนได้ดีขึ้นเท่านั้น "ความคิดที่ไม่โลภมากมันเป็นยังงัยครับ ในเมื่อเราเข้ามาลงทุนเพื่อหวังให้ได้กำไรมาก ๆ" ผมก็ยังชอบคำถามนี้อยู่ดี ไว้ว่างๆจะมาตอบอีกทีนะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:27:25

ความคิดเห็นที่ 26  VIB007 : Posted: Thu Aug 03, 2006 3:23 pm ------------------------------------------------------------------------ ลูกอิสาน wrote: พูดเรื่องลูกเดี๋ยวจะยาว พอดีช่วงนี้อยากถามความเห็นพี่สัก 2 ประเด็นครับ 1.มูลค่าของหุ้นเปลี่ยนตามกาลเวลา ? จำได้ว่าพี่เคยพูดถึงหุ้นตัวนึง และเกริ่นๆถึงราคาที่แท้จริงไว้ค่านึง  ต่อมาไม่นาน ราคาหุ้นก็ขยับปรับตัวขึ้นมาที่ราคานั้น และก็ยังปรับตัวเลยราคานั้นมาอีกมาก  แต่ผมก็เข้าใจว่าพี่ยังไม่ได้ขายหุ้นตัวนั้นออกไป อย่างนี้เป็นเพราะราคาหุ้น relative กับพื้นฐานของหุ้น (ที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอ) ใช่ไหมครับ ? ระดับน้องลูกอีสานยังมีคำถามอีกหรือครับเนี่ย คงเป็นพี่ทีต้องขอ"ความรู้"น้องมากกว่า เรื่องมูลค่าที่แท้จริงนั้น มันเป็นเรื่องของนามธรรมส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมูลค่าที่แท้จริงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นไปตามพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ เช่น หุ้นตัวหนึ่งมีมูลค่าที่คำนวณได้ประมาณ 10 บาท เราซื้อหุ้นนั้นมาที่ราคา 6 บาท ถือไปสักพักหนึ่งราคาขึ้นมาที่ 10 บาท นักลงทุนมีทางเลือกสองทาง หนึ่ง ถือหุ้นนั้นต่อไป สอง ขายทำกำไร ทีนี้คำถามมีอยู่ว่าจะเลือกทางไหน บางครั้งขายหุ้นไปแล้ว หุ้นขึ้นต่อ บางครั้งถือไว้ หุ้นราคาลงไปเรื่อยๆ สำหรับผม ผมไม่ค่อยได้สนใจ"ราคาหุ้น"มากนัก ผมสนใจที่"พื้นฐานกิจการ"มากกว่า ถ้าพื้นฐานกิจการยังไปได้ดี ราคายังไม่เกินมูลค่ามากๆ สุดท้ายมูลค่าที่แท้จริงก็สามารถปรับเพิ่มขึ้นไปได้ เช่น หุ้นตัวที่ว่า ราคา 10 บาท แต่พื้นฐานกิจการในปีที่สองดีขึ้น มูลค่ากิจการก็เปลี่ยนไปเป็น 13 บาทได้ ทำให้ราคาที่สูงขึ้นมานั้น ยังตามพื้นฐานกิจการไม่ทัน ถ้าเรามองปีเดียว ราคาก็อยู่ที่ 10 บาท แต่ถ้ามองไปมากกว่านั้น ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ มูลค่ากิจการเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามกาลเวลา ถ้าเรามองที่พื้นฐานกิจการบริษัทมากกว่า"ราคาหุ้น" ทางเลือกของเราก็คือ ขาย ถ้าพื้นฐานกิจการเปลี่ยน ถือต่อ ถ้าพื้นฐานกิจการดีขึ้นเรื่อยๆ หลักการนี้ช่วยให้ไม่ต้องกังวลกับราคาหุ้น ยิ่งถ้าหุ้นที่ว่า ราคาลงมาเรื่อยๆ แต่พื้นฐานดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นโอกาสดีที่จะเข้าซื้อ ดังนั้น ไม่ว่าตลาดจะขึ้น หรือจะลง เราก็ Happy หุ้นตัวที่ว่า ผมยังไม่ได้ขายเลยครับ สักหุ้นเดียว มีแต่ซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆ ในช่วงราคาลงแต่พื้นฐานกิจการดีขึ้น -------------------------------------------------------------------------- ลูกอิสาน wrote: 2.เวลาเป็นเพื่อนที่ดีจริงหรือเปล่า หากเราถือหุ้นตัวนึงที่คุณภาพดีมาก และกิจการก็มีความก้าวหน้าเสมอๆ ราคาหุ้นก็ตอบสนองไประดับหนึ่งแล้ว  แต่โครงการใหม่ๆ ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินงานอีกนาน กว่าที่จะรับรู้รายได้ อาจจะ 2-4 ปี เราควรจะรอคอยหรือไม่  พี่มีหลักเกณฑ์-หลักการณ์ในการเลือกที่จะรอหรือไม่รออย่างไรครับ หากเราเลือกที่จะรอ เราควรมีทัศนคติต่อเรื่องนี้อย่างไรครับ หวังว่าพี่เค้าเข้าใจในประเด็นที่สื่อนะครับ ? โครงการใหม่ในอีก 2-4 ปีข้างหน้านั้น ก็ขึ้นกับเราเองว่าจะรอได้นานขนาดนั้นหรือเปล่า บางบริษัทก็รอได้ แต่บางบริษัทก็ไม่รอเหมือนกัน ขึ้นกับบริษัทแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ถ้าตามหลักการก็ต้องดูว่า "ความเสี่ยงของกิจการหรือโครงการ"นั้นๆมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าแน่แบบแช่แป้ง และไม่มีอะไรที่ทำให้โครงการดังกล่าวเปลี่ยน รวมทั้งพื้นฐานบริษัทในช่วงเวลาที่รอคอยไม่เปลี่ยนแปลง ก็สามารถ"รอ"ได้ แต่ถ้ากิจการในช่วงเวลาที่รอคอยมี"ปัจจัยเสี่ยง"มากเหลือเกิน เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ที่ราคาขายขึ้นกับดีมานซัพพลาย ในช่วงการรอคอยโครงการใหม่ บริษัทอาจมีความสามารถในการทำกำไรลดลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะราคาขายผลิตภัณท์ลดลงเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นเช่นนี้การรอคอยโครงการที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับความเสี่ยงทางธุรกิจแล้วก็ไม่คุ้มที่จะรอเป็นต้น อย่างที่อาจารย์บัฟเฟตบอกไว้หละครับ "เวลาเป็นเพื่อนที่ดีของธุรกิจที่ดี แต่เป็นศัตรูของธรกิจที่แย่" ยังคงใช้ได้เสมอ ไม่ทราบผมตอบตรงประเด็นหรือเปล่า จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:37:32

ความคิดเห็นที่ 27 Posted: Tue Aug 08, 2006 9:59 am ----------------------------------------------------------------------- moo wrote: เรียนถามพี่วิบูลย์ครับว่า พี่ให้ความสำคัญ กับ การเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นของผู้บริหารอย่างไรครับ ขอบคุณมากครับ -------------------------------------------------------------------------- ให้ความสำคัญเล็กน้อย ถ้าหมายถึงการซื้อขายหุ้นของผู้บริหาร เพราะบางครั้งการที่เราให้ความสำคัญกับการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารมากเกินไป อาจทำให้เราได้รับสัญญานที่ผิดๆ เช่น ผมเคยเห็นผู้บริหารบริษัทที่ผมลงทุนอยู่ขายหุ้นออกมา แต่บริษัทนั้นก็ยังดำเนินกิจการไปได้ด้วยดีและดีกว่าเดิมมากด้วย ผู้บริหารนั้นคงขาย"ขาดทุนกำไร"ไปเยอะ บางครั้งเราไม่รู้ว่าเขาขายด้วยเหตุผลอะไร ถ้าเราเข้าใจธุรกิจและมองอนาคตได้ ก้ไม่ต้องกลัวอะไร ยกเว้นเราไม่เข้าใจธุรกิจและ ต้องอาศัยการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารเพื่อดู"อินไซค์"นั้นก็เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งผมไม่สนใจวิธีการนี้ครับ ยิ่งเราต้องการรู้ข้อมูลอินไซค์มากเท่าไหร่ แสดงว่าเราเข้าใจธุรกิจนั้นน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารจัดการ เช่น ซีอีโอ จะให้ความสำคัญมากกว่า เพราะผู้บริหารที่มีอำนาจดำเนินการ เป็นผู้ที่มีผลกระทบกับบริษัทมากที่สุด ถ้าผู้บริหารมีการเปลี่ยนแปลงต้องดูว่าคนใหม่มีความสามารถแค่ไหน ถ้าเป็นแบบเจ้าของสแตนเลส หรือเจ้าของสวนนอหนูมาเป็นผู้บริหารละก็ ตัวใครตัวมัน โอเคมั๊ยครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:44:18

ความคิดเห็นที่ 28  Posted: Thu Nov 09, 2006 4:56 pm ------------------------------------------------------------------------- poppo wrote: เรียนถามอ.วิบูลย์ครับ สมมุติว่าหุ้นบริษัทที่เราถืออยู่เป็นบริษัทที่มั่นคงแข็งแรงมีรายได้สม่ำเสมอ แต่ทำท่าไม่ค่อยโต เดิมP/E ประมาณ7-8 div~5-6% ต่อมามีข่าวว่าจะสามารถลงทุนสร้างโรงงานใหม่ที่จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 20% แล้วราคาก็วิ่งพรวดเดียวมาที่ P/E 11+ ในจังหวะเดียวกัน เราไปพบบริษัทใหม่ที่เล็กกว่า P/e ประมาณ 5-6% div มากกว่าและมีแนวโน้มเติบโตในปีหน้า เราควรปรับพอร์ตมาซื้อตัวใหม่ไหมครับ และการปรับพอร์ตแบบนี้จะผิดหลักการviไหมครับ ปล. ผมมีประสบการณ์ไม่ดีกับหุ้นPEสูงๆ เลยมักจะขายไปหาหุ้นPEต่ำเสมอเมื่อได้กำไรแล้ว --------------------------------------------------------------------------- อย่าเรียกอาจารย์เลยครับ ผมยังไม่แก่ อิ อิ เล่าประสบการณ์ให้ฟังแล้วกัน ผมถือหุ้นตัวเดิมมาสี่ห้าปี ราคาขึ้นมาก็หลายเท่าอยู่ วันดีคืนดีเกิดเหตุการณ์ไม่ดี โครงการต่างๆที่จะเกิดขึ้นถูกเลื่อนไปหมด ผลประกอบการที่ว่าจะดี กลับกลายเป็นธรรมดาๆไป เผลอๆผลประกอบการแย่ลงกว่าเดิม แต่ผมก็ตัดสินใจถือหุ้นเอาไว้ต่อ ปรากฏว่าพวกลากพอร์ตผมไม่ขยับไปไหนเลย ทำให้ปีนี้ ผมทำผลตอบแทนได้ไม่ดีสักเท่าไหร่ เรียกว่า แย่ที่สุดเท่าที่เคยลงทุนมา ก็เลยจะบอกว่า ถ้าเราขายหุ้นไปซื้อหุ้นตัวอื่น อาจทำผลตอบแทนได้ดีกว่า ยกตัวอย่าง ท่านประธานมน ปีนี้ฟาดไปหลายร้อยเปอร์เซนต์ เพราะท่านซื้อหุ้นไว้พอได้ราคาดีก็ย้ายไปตัวอื่นๆ ทำไปสักสองสามรอบ ตังค์ก็เพิ่มขึ้นมาหลายเลย แต่ทำอย่างนี้ต้องแน่ใจว่าหุ้นที่ซื้อมาใหม่มีโอกาสเติบโตมากกว่าหุ้นตัวเดิมนะ ไม่งั้นจะเป็นเหมือนท่านอะไรในเวปผมจำไม่ได้ที่มีสโลแกนว่า "ขายหมูไม่เป็นไร แต่อย่าไปซื้อควายกลับมา" ฮ่า ฮ่า ถ้ามั่นใจว่าหุ้นตัวใหม่ Under Value กว่าหุ้นตัวเก่า ก็ไม่แปลกหรอกครับที่จะเปลี่ยน เขาเรียกวิธีแบบนี้ว่า "ลงทุนแบบก้นบุหรี่" ครับ เหมือนเก็บก้นบุหรี่บนพื้นมาสูบสักปื้ดแล้วโยนทิ้งไป (ถ้าถือต่ออาจไหม้มือได้) จากนั้นก็เดินด้อมๆมองๆหาใหม่ ส่วนผม ไม่ชอบสูบบุหรี่ครับ กินแต่นม ผลตอบแทนเลยไปเรื่อยๆมากกว่า ไม่ค่อยหวือหวา ตามสไตล์"ช้าๆได้พร้าเล่มงาม" โชคดีครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 11:59:10

ความคิดเห็นที่ 29 วัสดีครับทุกท่าน ในเมื่อทุกคนคิดว่าปี52เป็นปีทอง แสดงว่าอยู่จุดยอดของกราฟสิ หากเป็นเช่นนั้นปีนี้ก็น่าจะไซด์ออกแต่จะออกข้างหรือดิ่งลงล่ะ แต่ทุกอย่างนั่นมาจากการที่คนประเมินเรื่องที่ผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นอนาคตก็Wait an do ช่วงนี้จะเห็นหลายคนเริ่มออกมาบ่น ผมว่าแค่ด่านแรกของปียังอย่างนี้ อนาคตคงฝ่าด่านต่อๆไปได้ลำบากนะ จากคุณ : มาบ่นหน่อย (ฮะ ว่าไงนะ) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 12:03:31

ความคิดเห็นที่ 30 ยินดีรับฟังคนขี้บ่นครับ  อิอิ   ว่าแต่ ....  ฮะ  ว่าไงนะ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 12:13:47

ความคิดเห็นที่ 31 แวะมาอ่านครับ... จากคุณ : kkkai525 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 12:21:03

ความคิดเห็นที่ 32 ถึงหน้า 64 แล้ว  เย่ๆๆ ขอพักกินข้าวก่อน อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 12:28:45

ความคิดเห็นที่ 33 มาทักทายก่อนไปเข้าเวรครับ จากคุณ : Idiopathic เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 12:29:49

ความคิดเห็นที่ 34 ตอนปีใหม่เห็นว่ามันง่ายจัง ตอนนี้รู้สึกว่ายากเหมือนกัน นะ ขอบคุณคับ รอบนี้ไม่ยอมแปลงร่างเป็น vi ครับ จากคุณ : WACHOVIA เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 12:34:59

ความคิดเห็นที่ 35 Posted: Wed Feb 14, 2007 2:36 pm ------------------------------------------------------------ ben888 wrote: สวัสดีพี่วิบูลย์และพี่ๆทุกคนครับ ผมติดตามกระทู้นี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ มีโอกาสโพสเป็นครั้งแรก ขอขอบคุณพี่ๆที่ช่วยแบ่งปันความรู้(ความรู้ที่พี่ๆให้อย่างน้อยก็บ่มเพาะให้ผมมีรากฐานความคิดแบบviซึ่งผมจะศึกษาเพิ่มต่อไป)ปัจจุบันผมยังเรียนอยู่ปี3ผมมีข้อสงสัยอยากให้พี่ๆแนะนำ ดังนี้ 1.พี่ๆคิดว่าถ้ามีโอกาสผมควรเรียนปริญญาโทบริหารธุกิจต่อหรือไม่(แต่ละคนก็มีความคิดและวิถีชีวิตต่างกัน ผมอยากถามความเห็นของพี่ๆ ซึ่งหน้าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆหลายคน และแม้ว่าความสำเร็จในการลงทุนอาจไม่ต้องใช้ความรู้สูงๆอะไรมากมายแต่ถ้ามีโอกาสผมควรเรียนมั๊ย) ถ้ามีโอกาสควรเรียนต่อเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ได้มุมมองที่กว้างขึ้น ----------------------------------------------------------- ben888 wrote: 2.อยากให้พี่ๆให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน (ผมอ่านหนังสือที่พี่ๆแนะนำไปประมาณ10เล่มแล้ว)โดยสิ่งที่ผมต้องการคือพวกพี่ๆคงเคยคิดว่าถ้าย้อนเวลาได้ฉันน่าจะทำไอ้นี่ ทำไอ้โน่น ถ้าทำเมื่อ5ปีที่แล้วนะป่านนี้สำเร็จไปแล้วฯลฯ ก็เลยอยากขอให้พี่ๆช่วยแนะนำรุ่นน้องจะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ และไม่ผิดพลาดซ้ำเหมือนพี่ๆ(หวังว่าพี่คงยินดีแนะนำ) กฏข้อที่หนึ่ง อย่าขาดทุน กฏข้อที่สอง อย่าลืมกฏข้อที่หนึ่ง ถ้าไม่ขาดทุนซะอย่าง เงินมันก็เติบโตขึ้นได้เอง -------------------------------------------------------------- ben888 wrote: 3.ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเอกสารนิดหน่อยคือ แบบ56-1และรายงานประจำปีมีความแตกต่างกันยังไง บริษัทต้อง เปิดเผยข้อมูลทั้ง2ฉบับต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่ รายงานประจำปีมักมีแต่เรื่องดีๆ และรูปสวยๆ แต่ แบบ56-1 ต้องถูกบังคับให้พูดเรื่องไม่ค่อยดีด้วย เช่น ความเสี่ยงในการทำธุรกิจ และอื่นๆ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:20:11

ความคิดเห็นที่ 36 ผมก็งงนะ  เวลาอ่านข่าวหรือข้อความนี่   บางทีคนก็ตีความไปคนละทางเลย อย่างเรื่องศาลปกครองกลางยกฟ้องเรื่อง30โครงการโรงงานในมาบตาพุด ผมมองว่าดีที่สามารถตรวจสอบเองได้เลย แต่คนส่วนมากกลับมองว่าไม่ดี มิน่ามันถึงมีตลาดได้  เพราะฝ่ายหนึ่งอยากขาย ส่วนอีกฝ่ายอยากซื้อ ด้วยเหตุผลของแต่ละฝ่าย ฝ่ายไหนมีมากกว่าก็ดึงราคาไปได้ ว่าแต่อยากรู้เหมือนกันครับว่าในนี้เห็นว่าเป็นผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน จากคุณ : นอกเรื่องนึดนะ (ฮะ ว่าไงนะ) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:24:56

ความคิดเห็นที่ 37  VIB007 : Posted: Thu Mar 22, 2007 1:53 pm ---------------------------------------------------------------- ผมชอบคำสอยของท่านสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)นะครับ ที่ว่า "บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า" น่าจะเข้ากับบรรยากาศมากที่สุด จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:25:58

ความคิดเห็นที่ 38 อันนี้ฮามาก  อ่านไปขำไป  กร๊ากกกกกกกกกกก    (แต่เจ้าของบทความเขาคงไม่มาฮากับผมด้วยแน่) ขออนุญาตเอามาลงนะครับ  เพราะเหตุการณ์มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว  นะๆๆๆๆ ----------------------------------------------------------------------------- Posted: Sun Apr 15, 2007 10:44 pm สวัสดีครับพี่ศิราบูลย์   ผมติดตามคอลัมน์ของพี่มานานแล้วครับ เห็นพี่ช่วยไขปัญหาหัวใจได้ดีเหลือเกิน    จึงตัดสินใจเขียนจดหมายมาปรึกษา คือผมเป็นคนบ้านนอกน่ะครับ แต่ก็อยากร่ำรวยมีฐานะกับเขาบ้าง อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเบี้ยน้อยๆ หอยนิดๆ เข้ามาแสวงโชคในเมืองกรุง เพราะเห็นคนอื่นๆ เขาร่ำรวยกันมาเยอะแยะแล้ว ครั้นมาเห็นแสงสีต่างๆ ก็หลงระเริงโดยเฉพาะสาวๆ คนเมืองล้วนแล้วแต่หน้าจิ้ม เอ๊ย หน้าตาจิ้มลิ้ม น่ารักน่าชังไปทุกคนเลยครับ แล้วในที่สุดผมก็ได้พบกับเธอ เธอชื่อ ป. ครับ ในความเห็นของผมเธอเป็นคนสวยมาก เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวก็เนี้ยบไม่มีที่ติ ผมถามเธอว่าต้องแต่งตัวสวยๆ งามๆ อย่างนี้ตลอดเวลาเลยหรือ เธอก็ตอบว่า จำเป็นจ้ะพี่เพราะหนูต้องขายหนังขายภาพยนตร์ ถ้าแต่งตัวไม่ดีเดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อถือ ตอนที่ผมเริ่มคบกับเธอเป็นช่วงปลายปี 47 อยู่ครับ ตอนนั้นเธอสวยฟู่ฟ่ามาก หลายๆ คนพยายามเตือนผมว่าให้ระวังเอาไว้เพราะถึงจะสวยก็สวยประหาร ชอบปล้นทรัพย์ป่วงทรัพย์ผู้ชายทุกคนที่ไปข้องแวะกับเธอ ผมฟังยังไงก็ไม่เชื่อกลับคิดไปว่าเพื่อนๆ คงอิจฉาที่ผมมีแฟนสวย แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เปี๊ยนไป๋ครับ คืนหนึ่งเธอ  แอ๋มาหาผม พูดจาล้งเล้งบอกว่าเอาเงินไปถลุงหมดแล้วอยากได้เงินอีก ผม  มากแต่ยังไม่ทันพูดอะไรเธอก็  แตก  แตนรดผมจนเลอะไปหมด   เธอช่างเหม็นจริงๆ แต่เอ๊ะ เหมือนผมได้กลิ่นเหม็นโอ่ๆ อย่างอื่นด้วยล่ะ ผมก้มลงสำรวจ   โอ้แม่เจ้า    เธอเอา XXX มาติดผมนั่นเอง มิน่าล่ะผมถึงรู้สึกแสบๆ คันๆ มาหลายวันแล้ว    ผมรีบไปคลีนิกนายแพทย์นพพรแต่คิวก็ยาวเหลือเกิน ยังไม่ทันได้รักษาก็ล้มหมอนนอนเสื่อเสียก่อน ระหว่างนั้นผมก็ยังตัดใจจากน้อง ป. ไม่ลง คงเป็นเพราะผมหวังอยู่ลึกๆ ว่าคนสวยอย่างเธอคงจะกลับตัวกลับใจใหม่เป็นสาวน้อยน่ารักของผมได้ ถึงผมจะหวังดีต่อเธอแต่เธอก็มักจะเทียวไปเทียวมาเพื่อสูบ(เงิน)ผมจนผมเหี่ยวแห้งซีดเซียวลงเรื่อยๆ มาถึงกลางปี 48 ผมจึงหลบหน้าไปไม่ขอพบกับเธออีก ชีวิตผมเศร้ามากเลยใช่มั้ยครับ    แต่ความซวยของผมก็ยังไม่สิ้นสุด คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ระหว่างที่พักเพื่อเลียแผลใจอยู่นั้น แม้ผมจะนอนงอม ผ่ายผอมอมโรค แต่ก็ยังมีสาวๆ น่ารักผ่านเข้ามาในชีวิตหลายคนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นน้อง อ. น้อง บ. น้อง ก. น้อง ร. หรือแม้กระทั่งน้อง น. ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่มีความรู้ทางการแพทย์สามารถรักษาผมให้หายเจ็บไข้ได้ แต่เพราะผมเป็นคนบ้านนอกจะให้รักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ก็ไม่ถนัดใจ ผมจึงไปเลือกเอายาผีบอกมารับประทาน และนั่นก็ทำให้ผมได้พบกับน้อง ป. น้อง ป. คนนี้ไม่เหมือนกับคนแรกนะครับเพราะเธอเป็นชาวเรือ ความสวยก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าน้อง ป. คนแรกเลยจนผมไม่อยากเชื่อว่าเธอจะมีเรือลำใหญ่ขนาดนี้ ผมรู้สึกซู่ซ่าทุกครั้งที่ได้เห็นเธอ คบกันได้ไม่นานเธอก็พาผมขึ้นเรือไปกับเธอด้วย มันช่างโรแมนติกจริงๆ ครับ ราวกับว่าเราสองคนเป็นแจ๊คกับโรสยังไงยังงั้น . . . . . เพียงไม่กี่วันผมก็ต้องตกใจตื่นกลางดึก โดยพบว่าน้อง ป. จับผมเทกองเอาไว้บนภูเขาน้ำแข็งแล้ว เมื่อสำรวจตัวเองก็พบว่าเธอรูด(ทรัพย์)ผมออกจนเกือบหมด นั่งอยู่บนนี้หนาวมากครับ ยังพอได้ยินเสียงน้อง ป. ตะโกนสำทับผมแว่วๆ ว่า ผมไม่สามารถเป็น แจ๊ค ดอว์สั้น ให้เธอได้ ทำเอาผมไม่รู้ว่าจะเสียใจรึดีใจดี (ฮี่ ฮี่ ฮี่   ) ตอนนั้นลำบากลำบนเหลือเกินครับ หนาวก็หนาว บางทีก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางมาจากภูเขาน้ำแข็งข้างเคียงคิดว่าคงถูกน้อง ป. รูด(ทรัพย์)เช่นเดียวกัน บางคนก็พลาดตกน้ำตกท่าโดนแมวน้ำโดนสิงโตทะเลแทะเป็นดินเนอร์ไปแล้ว ไหนจะฉลามวาฬที่ว่ายวนเวียนรอบภูเขาน้ำแข็งที่ผมอยู่อีกล่ะ น่ากลัวจริงๆ ครับ เวลาหิวก็อาศัยดูดๆ เลียๆ ภูเขาน้ำแข็งยังชีพไปวันๆ ทุลักทุเลเป็นที่สุด ผมลอยคออยู่หลายเดือนจนหมดเรี่ยวหมดแรงคิดว่าบทเรียนครั้งนี้จะจำไปจนตาย ไม่ยอมให้สาวๆ คนไหนจับผมไปรูด(ทรัพย์)อีก   วันหนึ่งผมก็มาฟื้นที่ฝั่งทะเลอ่าวไทยพอดี คิดว่าคงมีคนช่วยเอาไว้ ระหว่างที่ผมนอนพักฟื้นกำลังให้หัวใจดวงน้อยๆ ของผมจากการกระทำย่ำยีของสาวๆ ที่เคยหลงรักในอดีต ช่วงนั้นกลางปี 49 แล้วนะครับ ปรากฏว่าเป็นน้อง ป. คนแรกครับ โอ้แม่เจ้า เธอสืบหาผมเจอจนได้ สภาพเธอตอนนี้สะบักสะบอมทรุดโทรมประดุจกิ้งกือผ่านศึก นอกจากความเป็นกะลาสีขี้เมา   ของเธอจะไม่เปลี่ยนแล้วเธอยังใกล้จะไม่เต็มบาทเข้าไปทุกที อยู่ดีๆ ก็เข้ามาต่อยจนผมระบมไปหมด ในขณะนั้นเองสาวสวยอีกนางหนึ่งก็เข้ามาช่วยผมเอาไว้ เธอชื่อ ป. อีกแล้วครับ เป็นคนที่สามเข้าไปแล้ว ถึงแม้เธอจะช่วยผมเอาไว้ หรือจะสวยน่ารักขนาดไหนผมก็จะไม่ยอมใจง่ายให้เธอหรอก ช่วงนั้นเธอดูซึมๆ ไปจนผมเกือบใจอ่อนเลยได้แต่ต้องเตือนตัวเอง ลูกผู้ชายต้องหนักแน่นครับ    แต่นานวันเข้าผมก็เริ่มเห็นความดีของเธอมากขึ้น คือเธอเป็นแม่บ้านน่ะครับ ชื่อของเธอก็สมบูรณ์พร้อมไม่มีที่ติ ต่อมาไม่นานไม่รู้ว่าเธอได้สมบัติเจ้าคุณปู่มาหรือไง เพชรพลอยทองหยองเต็มตัวไปหมด ทำให้ผมอดกลั้นไว้ไม่ไหวตัดสินใจคบกับเธอเข้าจนได้ ตอนช่วงตุลาปีก่อนน่ะครับ เพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองผมก็สะดุ้งตื่นล่อนจ้อนนอนหนาวอยู่คนเดียวเพราะน้อง ป. คนที่สามก็ปอกลอกผมอีกจนหมด   ย้อนกลับไปคิดถึงสาวสวยทั้งสามคนที่ผ่านมาทำเอาผมน้ำลาย เอ๊ย น้ำตาแทบไหล แต่น้ำตาลูกผู้ชายจะให้ใครเห็นได้ไงครับ ระหว่างที่กำลังนอนหนาวผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ขณะที่ลอยคออยู่กลางอ่าวไทย ผมไปพบกับเธอเข้าพอดีครับ รู้สึกว่าเธอจะชื่อน้อง ป. เหมือนกัน ทำไมชะตาของผมจึงผูกพันกับสาวๆ ชื่อ ป. ก็ไม่รู้สิครับ แต่เธอสวยเหมือนเทพธิดา(ดอย)จริงๆ คงเป็นเธอที่ช่วยผมเอาไว้จนรอดตายขึ้นฝั่งมาได้ รู้สึกว่าเธอจะชอบผายลม เอ๊ย ขายลมด้วยนะครับ ผมเลยอยากถามพี่ศิราบูลย์ว่าผมจะคบกับเธอดีรึเปล่า ถ้าเธอมาปอกลอกผมอีกหัวใจดวงน้อยๆ ของผมคงต้องแหลกสลายแน่ๆ แล้วผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเลยว่าชื่อ ป. ของเธอ มาจากคำเต็มว่า "ปอเต๊กตึ๊ง" รึเปล่าน่ะครับ สุดท้ายนี้ ผมขอให้พี่ศิราบูลย์สุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืนอยู่คู่หนังสือลุงหนวดรายสัปดาห์ไปนานๆ นะครับ จาก คนรักน้อง ป. จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:38:19

ความคิดเห็นที่ 39  Posted: Fri Jul 20, 2007 ------------------------------------------------------ juntuma wrote: ผมมีวิธีจำกัดความเสี่ยงแบบนี้ครับ  สองข้อ  ง่าย ๆ 1.  งบการเงินย้อนหลังสามปีขึ้นไป   -กำไรต่อเนื่อง  เพิ่มทุกปียิ่งดี   - roa   roe  npm  yield  growth     สูตรก้อ  15  15  10  5  10  ตามลำดับ  ยิ่งสูงยิ่งดี   - อัตราส่วนกำไรสุทธิ  ต่อหนี้สินระยะยาว   - กระแสเงินสด  ถ้าเป็นแคชคอมปานี  ยิ่งแจ๋ว 2.  five  force  model  ไม่เคร่งครัดนัก   ตามสูตรผมสองข้อ  คัดมาแล้ว  ไม่มีโมเดิร์นเทรด แต่มีหุ้นยอดนิยมในเว็บนี้อยู่ตัวนึง  น่าจะเป็นหุ้นในดวงใจได้ พี่วิบูลย์  เห็นเป็นงัยบ้างครับ  ห้องใหญ่ไม่มีคนสนใจผมเลย ------------------------------------------------------------------- ผมไม่ได้ตอบเพราะเห็นพี่Chatchai  กับ คุณNaris ช่วยออกความคิดเห็นแล้ว เล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วกัน แต่ก่อนผมก็มี Criteria ในการเลือกหุ้นหลายๆข้ออย่างนี้หละ แต่พอหลังๆพบว่า การลงทุนมันเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเหมือนกัน บางครั้งในการลงทุนหนึ่งบวกหนึ่งอาจไม่เท่ากับสองก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดผมว่าคือหลักการของเรานะครับ ถ้าเรายึดมั่นในหลักการของเราตลอดเวลา ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสของตลาดหุ้น Criteria ในการเลือกหุ้นเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้มาก จิตใจสำคัญมากครับสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น บางคนเจอหุ้นที่ดี แต่ถือได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะไม่มีความอดทนพอ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:51:37

ความคิดเห็นที่ 40 แอบเข้ามาอ่านเหมือนเช่นทุกวันครับ กระทู้ DVD นี้มีอะไรให้คิดเยอะ ต้องขอบคุณ...คุณคนจนที่อยากรวยมากครับ :) จากคุณ : เป็นแฟนประจำ DVD ไปซะแล้ว (คนจับปลา) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:54:03

ความคิดเห็นที่ 41 chatchai : Posted: Sun Jul 22, 2007 8:06 pm --------------------------------------------------------------------------- lieu wrote: เราควรทำยังไงคะถึงจะวิเคราะห์บริษัทในอนาคตได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด -------------------------------------------------------------------------- หลักการง่ายๆของผมนะครับ เราก็เลือกบริษัทที่วิเคราะห์ง่ายๆซิครับ ถ้าเราเลือกวิเคราะห์บริษัทใหญ่ๆมีธุรกิจหลากหลาย  บริษัทร่วม  บริษัทย่อยมากมาย  โอกาสพลาดก็ย่อมมากครับ และบางธุรกิจ  ผลการดำเนินงานในงบกำไรขาดทุน  ไม่ได้แสดงถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัทเลย  เช่น  ธนาคาร  กำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับการตั้งสำรองว่ามากหรือน้อยแค่ไหน  ขึ้นอยู่กับกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยมากกว่า จากคุณ : เห็นด้วยนะครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 13:54:38

ความคิดเห็นที่ 43 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:10:18

ความคิดเห็นที่ 44 ตลาดแบบนี้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าน่าจะชอบและรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ซื้อหรือรอซื้อของถูก แต่หุ้นยอดนิยมใน thaivi หลายตัวเป็นหุ้นวัฏจักรและหลายๆตัวเป็นหุ้นที่มีการทำกำไรไม่แน่นอน ท่านใดที่คอยลอกการบ้านคนอื่นโดยไม่ศึกษาให้เข้าใจในกิจการที่จะลงทุนอย่างถ่องแท้ แต่คิดจะเป็น vi พันธ์ทางได้โปรดระวังด้วย ก่อนที่ซื้อหุ้นแต่ละตัว ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าซื้อเพราะอะไรครับ จากคุณ : เล่นรอบ เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:14:53

ความคิดเห็นที่ 45 ความเห็นข้างล่างนี้ผมถือว่าเป็นพวก "ขอปลากิน" ไม่ยอม "หาปลาเอง" ... ไม่แนะนำนะครับ มาขออะไรเขาดื้อๆโดยที่ตัวเราเองไม่ได้ทำการบ้านมาก่อน ภาษาผมเขาเรียกว่า "กินแรงชาวบ้าน"  ครับ  >< -------------------------------------------------------------------------- ผมมือใหม่ครับ เข้ามาเล่นหุ้นได้ไม่ถึง 2 เดือน และเป็นคนที่ไม่ค่อยได้อ่านงบ และ อ่านงบไม่เก่งพอ พร้อมทั้งมีเวลาไม่มากพอที่ไปนั่งกลั่นกรองข้อมูลเอง พร้อมทั้งตลาดหลักทรัพย์ ก็มีบริษัทอยู่มากเหลือเกิน    จึงอยากได้ข้อมูลที่กลั่นกรองในเบื้องต้นจากท่านๆทั้งหลาย เพื่อนำเอาข้อมูลมาศึกษาอย่างรวดเร็วไปก่อน ให้เกิดความเข้าใจพอที่จะลงทุน พร้อมทั้งเป็นการทุ่นเวลาได้อีกมาก    หากว่าท่านจะกรุณาช่วยจัดส่งข้อมูลให้ผมด้วยคร๊าบ ที่     xxxxxxxxx@gmail.com              ขอบพระคุณมากครับในความเสียสละของท่าน -  xxxxxx จากคุณ : นี่ผม serious ไปป่าวเนี่ย - -" (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:16:20

ความคิดเห็นที่ 46 ^ ^ ^ พี่วิบูลย์เขาตอบคุณ คห.45 ว่าอย่างนี้ครับ ถ้าไม่มีเวลา ผมแนะนำให้ไปซื้อกองทุนรวมจะดีกว่าครับ อย่าลงทุนเองเลย เสี่ยงมากๆ จบข่าว ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:20:37

ความคิดเห็นที่ 47 หลักการใดก็ตาม จะสำเร็จผลได้ สิ่งหนึ่งคือ เขาคนนั้นต้องมี "ความเชื่อ" หรือ "ศรัทธา" กับหลักการดังกล่าวเสียก่อน ดังเช่นความเห็นด้านล่างนี้ครับ   -------------------------------------------------------------------- สวัสดีค่ะ มารายงานตัวหลังจากนั่งอ่าน กระทู้นี้ทั้งหมด 69 หน้า มาประมาณ 1 เดือน แอบแสบตาเล็กน้อย แต่หลังจากที่อ่าน ก็ทำให้มีทัศนะคติต่อการลงทุนแบบหุ้น (แบบ VI) ดีขึ้นนะค่ะ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดเรื่องเล่นหุ้น เพราะเชื่อว่า มันคือการพนันอย่างหนึ่ง เพียงแต่เป็นของผู้มีอันจะกินมาเล่นกัน ดูดีโดยผ่านตลาดหลักทรัพย์ ตอนนี้ก็พยายามหาหนังสือมาอ่านก่อนค่ะ โดยเฉพาะเรื่องการหามูลค่าหุ้นที่แท้จริง อยู่ค่ะ เคยเรียนการวิเคราะห์การเงินสมัยเรียน MBA มาบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะให้เพื่อนที่เรียนบัญชีเป็นคนวิเคราะห์ (เราเป็นคนวิเคราะห์ภาพรวม พวก SWAT + 5 force model - ความจริงไม่ถูกกับพวกตัวเลขอย่างมาก) แต่ตอนนี้คงต้องไปปัดฝุ่นขนานใหญ่เลยล่ะ เพราะการวิเคราะห์เพื่อลงทุนในหุ้น นั้นมันละเอียดกว่าตอนทำ case study เยอะมากๆๆ ไว้มีข้อสงสัย จะมาถามค่ะ (คือจริงๆ ต้องการหาความรู้ก่อนที่เล่นอย่างจริงจัง แล้ว ก็ขอเก็บเงินไปพลางๆ ก่อนค่ะ) ตอนนี้สนใจอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ เพราะทำงานด้านนี้อยู่ (เลียนแบบคุณวิบูลย์ - ลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจ) สุดท้ายก็ขอขอบคุณผู้รู้ทุกท่านที่สละเวลามาถ่ายทอดความรู้ และ ผู้ถามทุกท่านที่ตั้งข้อสงสัย ทำให้ไม่พลาดรายละเอียดที่เราคิดว่า เข้าใจ แต่จริงๆ คือเข้าใจผิด ขอบคุณอีกครั้งค่ะ จากคุณ : ผมน่าจะมีเพื่อนเรียนบัญชีบ้าง (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:26:40

ความคิดเห็นที่ 48 แวะมาทักทายค่ะ   แอบอ่านมาหลายแผ่น DVD แล้ว แต่อ่านไม่ค่อยจบเลยแต่ละวัน ไม่ค่อยขยันอ่านแบบนี้ ไม่รู้เมื่อไหร่ จะเป็น VI ที่มีวินัยได้ -*- จากคุณ : สายลับ kano - -" เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:38:05

ความคิดเห็นที่ 49  Sun May 04, 2008 10:49 pm ------------------------------------------------------------ tingun wrote: 6. อยากทราบว่าข้อมูลในอดีต เช่น รู้ว่ายอดขายที่ผ่านมาโตตลอด  กำไรโตตลอด  พอบอกอะไรเราได้บ้างอะครับ หรือว่าเอาไว้ทำนายว่าในอนาคตบริษัทจะโตอีกรึเปล่าครับ (แต่ผมว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกันมากนะครับ)   คือ พี่วิบูลย์ให้ความสำคัญกับข้อมูลในอดีตมากน้อยแค่ไหนครับ ------------------------------------------------------------------------- พีอีก็คือค่าในอดีต รายได้และกำไรก็คือค่าในอดีต การลงทุนคือการมองไปข้างหน้า ดูข้อมูลในอดีตอย่างก็เหมือนขับรถมองแต่กระจกหลัง ไม่มองกระจกหน้า ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลในอดีตไม่สำคัญ อย่างน้อยก็บอกได้ว่าธุรกิจนี้เป็นอย่างไร แข็งแกร่งแค่ไหน หรือเป็นธุรกิจที่มีวัฏจักรอย่างไร แต่ถ้าเราเข้าใจในธุรกิจ มองธุรกิจไปข้างหน้าได้ สำคัญไม่แพ้กัน โชคดีครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:40:27

ความคิดเห็นที่ 50 สวัสดีครับ คุณ สายลับ kano - -" ผมว่าคุณรู้คำตอบของคำถามนั่นแล้วนะ ... เหลืออยู่แต่ว่า จะทำให้สำเร็จได้หรือเปล่าเท่านั้น เอาใจช่วย และขอบคุณที่แวะมาทักทายกันครับ ^^ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:42:24

ความคิดเห็นที่ 51 อ้าวๆๆๆ  พี่วิบูลย์มาค้านความเห็นผมเกี่ยวกับเรื่อง ... น่าจะดีถ้ามีเพื่อนเรียนบัญชี ในคห.47 ซะแล้ว  อิอิ  ขอบคุณครับพี่ -------------------------------------------------------------------------  Posted: Thu May 08, 2008 11:04 am -------------------------------------------------------------------------- pozaa wrote: ต้องขอบคุณอาจารย์ พี่ๆ ทุกๆ ท่านที่ให้ความรู้ในบอร์ดนี้มาตั้งแต่ปี 03 จนปัจจุบัน ไม่เคยขาด กว่าจะอ่านครบ 71 หน้าแทบแย่เลยค่ะ ใช้เวลานานมาก มีทั้งเนื้อหาที่เข้าใจและไม่เข้าใจเพียบ เพราะไม่ได้เรียนมาด้านนี้โดยตรง ไม่จำเป็นหรอกครับที่ต้องจบการเงินถึงจะลงทุนได้ นักบัญชีจบCPAเล่นหุ้นเจ๊งเยอะแยะไป เพราะหุ้นไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลข แต่จิตวิทยาการลงทุนสำคัญมากเหมือนกัน ในตลาดหุ้น EQ มีค่ากว่า IQ บัฟเฟตบอกว่า IQ ที่เกิน 120 ไม่จำเป็นในการลงทุน ----------------------------------------------------------------------------- pozaa wrote: ตั้งใจว่าอยากจะเป็น VI ที่ประสบความสำเร็จเหมือนพี่ๆ คะ เมื่อก่อนไม่เคยเล่นหุ้นเพราะคิดเหมือนหลายๆ ท่านที่ว่ามันเป็นการพนันชนิดหนึ่ง แต่พอได้อ่านกระทู้นี้ความคิดทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยคะ ได้เข้าใจจิตใจของนักลงทุนแบบ VI มากขึ้น ผมว่ามีอีกสัก 99% ของคนไทยที่คิดว่าหุ้คือการพนัน ดังัน้นถ้าสนใจลงทุนในตลาดหุ้นจริงๆก็อย่าไปพูดกับคนอื่น ยกเว้นพวกวีไอเหมือนกัน ไม่งั้นเขาจะหาว่าบ้า --------------------------------------------------------------------------- pozaa wrote: ตอนนี้กำลังนั่งอ่านหนังสือสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ คะ เลยไม่มีคำถามมาถาม "ไม่รู้จะถามอะไรจริงๆ นะคะ" อีกอย่างนึงก็ยังไม่มีเงินลงทุนมากพอ เพราะเรียนหนังสือไปด้วยทำงานส่งเสียตัวเองไปด้วย ก็มีเงินเก็บที่เหลือจากการทำงานนิดหน่อย ตั้งใจว่าเรียนจบเมื่อไหร่ เริ่มทำงานเต็มตัว คงจะมีเงินสักก้อนไปใช้ลงทุนหน่ะคะ เรียนหนังสือไปด้วย ทำงานไปด้วย เก่งจริงๆ ยิ่งเริ่มต้นเก็บเงินนำมาลงทุนเร็วเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบ ตอนนี้ก็ศึกษาหาความรู้ไปเรื่อยๆถูกแล้วครับ ----------------------------------------------------------------------------- pozaa wrote: ไม่ทราบว่ามีใครเริ่มต้นลงทุนพอร์ตสักหลักแสนบ้างหรือเปล่าคะ มันอาจจะดูน้อยไปนิดสำหรับหลายๆ คน แต่มันก็เยอะพอสมควรสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มต้นหน่ะคะ ไม่รู้จำนวนเงินขนาดนี้พอจะงอกเงยได้บ้างหรือเปล่า ขอให้พี่ๆ ทุกๆ ท่านโชคดีในการลงทุนนะคะ ผมก็เริ่มต้นหลักแสนเหมือนกัน เงินน้อยเงินมากไม่สำคัญ สำคัญที่เราทำตามหลักการหรือเปล่า เงินแสนกลายเป็นเงินล้านได้แน่นอน ยิ่งถ้ารู้จักหาเงิน รู้จักเก็บ นำมาลงทุนไปเรื่อยๆ เงินยิ่งงอกเงย อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา โชคดีครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 14:47:16

ความคิดเห็นที่ 52  Posted: Tue Jul 08, 2008 11:49 am ---------------------------------------------------------------------- cib-Z wrote: เพิ่งได้มาอ่านที่กระทู้นี้หลังจากที่สมัครมาตั้งนานแล้ว รู้สึกเสียดาย น่าจะมาอ่านตั้งแต่ก่อนหน้านี้ละ     ผมเพิ่งเริ่มสนใจการลงทุนมาไม่นานนี้เอง แต่เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นมาบ้างแล้วครับ (ไม่เกี่ยวกับ VI เท่าไร เป็นหนังสือหุ้นทั่วไปน่ะครับ) แต่อ่านไปเหมือนยังจับอะไรไม่ได้เลย จำอะไรก็ไม่ได้ แต่พอมาอ่านที่ TVI ทำให้พอมองภาพออกแล้วครับ (แม้จะยังไม่ชัดเจนเท่าไร   ) อย่างที่บอกว่าผมเริ่มสนใจมาไม่นานนี่เอง (ประมาณ 3 เดือนละ) แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่กล้าที่จะลองลงทุนดูเลย ผมเป็นประเภทถ้าไม่มีข้อมูล ให้อ่านหรือทำความเข้าใจจนมั่นใจซะก่อน ก็จะยังไม่ทำน่ะครับ มีคนบอกว่า ควรหัดทำไปพร้อมๆกับเรียนรู้ไปเลย (learning by doing) แต่ก็ไม่กล้าซะที เพราะผมรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มจากอะไรยังไง และเหมือนมันยังขาดอะไรซักอย่างน่ะครับ เริ่มจากใช้เงินน้อยๆลองดูก่อน อย่าพลีพลาม การลงทุนเหมือนการว่ายน้ำครับ ถ้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับการว่ายน้ำจนรู้หมด แต่ไม่เคยลงสระ ก็คงไม่รอดถ้าตกน้ำจริงๆ คนไม่สนใจศึกษาตำราว่ายน้ำ ก็ว่ายนำ้ได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ แต่คงไปแข่งขันกับมืออาชีพไม่ได้ ถ้าเริ่มต้นว่ายน้ำใหม่ๆ ไปว่ายในทะเลเลย ก็คงไม่รอดเช่นเดียวกัน ลงทุนต้องลองจริงครับถึงจะรู้ เริ่มจากเงินน้อยๆ จะได้ไม่เจ็บตัวมาก ไปเปิดบัญชีหุ้นได้เลย ----------------------------------------------------------------------- cib-Z wrote: ผมเป็นคนไม่มีพื้นฐานทางด้านการลงทุนและการเงินเลยซักนิดเดียว เรียนมาคนละทางกันเลย ซ้ำเมื่อก่อนยังขยาดซะอีก ตอนนี้รู้อย่างเดียวว่าอยากอ่านหนังสือให้มากกว่านี้น่ะครับ หัวจะได้ไม่กลวงซะที จะได้รู้ว่าควรจะเริ่มจากอะไร คนเราไม่จำเป็นต้องเรียนเฉพาะในห้องเรียนนี่ครับ นี่เป็นข้อจำกัดของเด็กไทยเลยหละ ที่ชอบคิดว่าต้องเรียนได้ปริญญาถึงจะเก่ง ความรู้มีเยอะแยะ หาเอาเองก็ได้ ไม่ต้องไปนั่งเรียนยังได้เลย แต่ถ้าลงทุนหน่อย ก็สมัครเรียนคอร์สอบรมทางการเงินซิครับ มีถมไป ถ้าผมแนะนำก็ที่ตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็อาจารย์มนตรี(เจ้าเก่า)ของที่นี่สอนเอง ------------------------------------------------------------------------- cib-Z wrote: สำหรับมือใหม่แล้วอยากให้พี่ๆ แนะนำหนังสืออะครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปนะครับ เป็นภาษาไทยยิ่งดีครับ กลัวอ่านภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง ก็ทราบนะครับว่าคงมีหลายๆท่านถามไปแล้ว ขอรบกวนหน่อยนะครับ (แล้วอย่างหนังสือ the new buffetology นี่ยังมีขายอยู่ไหมครับ ผมไม่เคยเห็นเลย) the new buffetology นี่คุณพรชัยแปลไปแล้ว และดร.สมจินต์ก็แปลออกมาอีกรอบหนึ่ง ผมยังเคยเห็นแถวซีเอ็ดนะ ลองสอบถามดู สั่งที่ซีเอ็ดได้ถ้าหาไม่มีในร้าน ว่าแต่ว่า ลองหาดูจริงๆหรือยัง เราหาไม่เจอเพราะเราไม่ได้ตั้งใจหาจริงๆจังๆ ส่วนหนังสือภาษาไทยก็ต้อง หนังสือของดร.นิเวศน์ทุกเล่ม หนังสือแปลของคุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ทุกเล่ม และหนังสือของ Fidelity Publishing ทุกเล่ม แค่นี้ก็อ่านไม่จบแล้ว ------------------------------------------------------------------- cib-Z wrote: สุดท้าย อยากจะขอบคุณพี่ๆ ทุกคน ครับที่ให้ความรู้ แม้จะอ่านไปได้แค่ 12 หน้า และยังเหลืออีกเยอะ !!! แต่ก็จะพยายามอ่านต่อครับ (แต่หลังๆอ่านแล้วเริ่มมึน คงต้องไปอ่านหนังสือเพิ่มเติมก่อนรึป่าวครับ) ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ อ่านจบแล้วช่วยบอกผมด้วยวาใช้เวลาเท่าไหร่นะครับ บางคนบอกผมสองอาทิตย์ บางคนบอกสองเดือน โชคดีครับ จากคุณ : ผมอ่านมาสองเดือนยังไม่จบเลย (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 15:12:53

ความคิดเห็นที่ 53 และความเห็นด้านล่างนี้คือจุดเริ่มต้นของพี่วิบูลย์ รวมถึงการรวมตัวผู้บุกเบิกเวป thaivi ครับ   --------------------------------------------------------------------------- cib-Z wrote: ขอบคุณมากนะครับ คุณVIB007นะครับ สำหรับคำแนะนำ ตอนนี้ผมก็ขวนขวายหาความรู้อย่างจริงจังอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่าเหมือนไม่มีหลักให้ยึด เลยอาจได้ความรู้แบบจะสะเสะปะไปบ้าง ไม่มีใครให้คุยด้วยครับ ไม่เกิดการแลกเปลี่ยนความคิด เพราะเพื่อนๆก็ไม่มีใครเล่นหุ้นหรือลงทุนอะไรกันเลย (คงเป็นเพราะเพิ่งเรียนจบด้วยรึป่าว...แต่ก็คงไม่เกี่ยวอีกใช่ไหมครับ) แต่มาที่นี่แล้วได้ไอเดียอีกมากมาย สำหรับเรื่องที่ว่าจะอ่านกระทู้นี้จบเมื่อไรเร็วช้าอย่างไร ก็ไม่ทราบครับ แต่จะอ่านไปเรื่อยๆจนจบแน่ๆ ไว้จบเมื่อไรจะมาบอกครับ ด้วยความยินดีครับ ช่วงแรกๆที่ผมเริ่มลงทุนแบบแวลูเมื่อหกเจ็ดปีก่อน ผมต้องคิดคนเดียว ทำคนเดียว ไม่มีใครเข้าใจวิธีนี้ ถามพี่หรือเพื่อนก็บอกว่าวิธีนี้ใช้กับตลาดหุ้นเมืองไทยไม่ได้ พวกเขาลองมาหมดแล้ว เจ๊งหมดแล้ว อย่าลองเลย เสียเวลา โชคดีที่ผมไม่เชื่อเพราะถือว่าตลาดหุ้นที่ไหนในโลกก็เหมือนกัน ผมลงทุนคนเดียวมาเป็นปีกว่าจะมาเจอเวปทีวีไอนี้ ตอนนั้นยังชื่อ www.Thaivalueinvestor.com อยู่เลย ที่รู้เพราะเพื่อนบอกและชวนมางานสัมมนาครั้งแรกของทีวีไอ เลยได้รู้จักคุณมนตรี พี่ไก่_ธันวาเป็นหลัก มีเจ้าจินนี่อีกคนตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ไหน เป็นจุดเริ่มต้นของกระทู้นี้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทีวีไอรุ่นแรกที่เข้าสัมมนาครั้งแรกที่ผมจำได้ (จำได้ไม่หมดอย่าน้อยใจนะ) มีผู้เข้าร่วมประมาณ 20 คนจัดที่ชั้นสี่หรือชั้นห้าของตลาดหลักทรัพย์ เป็นห้องประชุมเล็กๆ มีคุณมนและคุณธันวาเป็นวาทยากร พี่ไก่ธันวาพูดถึงการมีอิสรภาพทางการเงิน ส่วนคุณมนพูดถึงการลงทุนในหุ้นแบบวีไอ เรียกว่าเป็นการสัมนาเหมือนการประชุมกันมากกว่า มีพี่เจ๋ง โยโย และท่านอื่นๆ ใช้เวลาสามสี่ชั่วโมง จากนั้นการสัมนาก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ คนมาฟังเป็นร้อยๆคนขึ้นไป ที่เล่ามานี้ไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแต่อยากบอกว่า เวปนี้ช่วยให้นักลงุทนได้เจอคนที่มีความคิดคล้ายๆกัน เรียกว่ามาถูกที่แล้วละครับ เวปนี้แทบจะเปลี่ยนชีวิตผมเลยนะ ผมรู้จักเพื่อนๆหลายๆท่านที่นี่ รู้จักกับดร.นิเวศน์ ผู้ใหญ่หลายท่านจากที่นี่ ได้มีโอกาสเขียนหนังสือ เขียนคอลัมน์ ไปพูดออกงาน ออกทีวี สัมภาษณ์ต่างๆ (ถึงแม้บางครั้งจะเป็นตัวสำรองของคุณมนก็เถอะ เวลาเมียไม่อนุญาตให้ออกจากบ้านวันหยุด อิ อิ) ก็นับว่าคุ้มค่าชีวิตมากๆแล้ว จากคุณ : ด้วยความนับถือพี่วิบูลย์ครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 15:22:01

ความคิดเห็นที่ 54 ว้าโดนจับได้ซะแล้ว......สมาชิกใหม่รายงานตัวครับ ว่างๆจะมาแอบอีกนะ จากคุณ : toyti1010 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 15:22:34

ความคิดเห็นที่ 55 หวัดดีครับ คุณ toyti1010   โดนจับครั้งนี้ ไม่เสียค่าปรับครับ อิอิ ไว้(แอบ)แวะมาทักทายกันอีกนะครับ  ...ฮา... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 15:39:50

ความคิดเห็นที่ 56  Posted: Thu Jul 17, 2008 3:34 pm ------------------------------------------------------------------------- IWILLBEVI wrote: ผมจำได้ว่าเคยเข้ามาดุและติดตาม ข่าวคราวของเวป VI ในช่วงแรกตั้งแต่ปี2003 และชอบในแนวคิด และคำแนะนำของพี่ๆ น้องๆ ชาว VI ทุกคน ที่นี่เป็นสังคมแห่งความรู้จริงๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยได้เป็น VI จริงๆสักที แถมช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาก็ฝากเงินให้กับแฟนไปเล่นหุ้น เสียหายไปหลายล้านบาท ทุกวันนี้ไม่รู้สึกเสียดายเงิน แต่เสียดายเวลา ที่ผ่านไปที่ไม่สามารถสร้างความมั่งคั่ง และความมั่นคงให้กับครอบครัวได้ดีพอ ทั้งๆที่ผมมีความเข้าใจและทักษะในเรื่องของการวิเคราะห์ธุรกิจ อย่างดี  วันนี้ได้กลับเข้ามาดูเวป VI อีกครั้งก็รู้สึกชื่นใจที่เห็นการเติบโตของสังคมที่นี่ที่ช่วยเหลือแนะนำกันอย่างพี่น้อง ก็ไม่เป็นไรครับ พลาดแล้วก็เริ่มต้นใหม่ได้ ในช่วงวัย 40ปี แต่ผมมีเป้าหมายในการลงทุนครั้งนี้อย่างชัดเจน และมีวินัยกับตัวเองสูงขึ้น เพราะอยากให้ครอบครัวสบาย และมีอิสรภาพทางการเงินในช่วงวัย 50 ต้นๆ  ผมอยากขอคำแนะนำจากพี่ๆ น้องๆ ชาว VI  ช่วยแนะนำ สัดส่วนการลงทุน และ การจัด Port แนว VI ที่ช่วยให้ผมสามารถเข้าใกล้เป้าหมายดังกล่าวได้ดีขึ้น เพราะไม่อยากพลาดรอบสอง อายุปัจุบัน 40 ปี อยากเกษียณที่ 50 ปี และไปเป็นนักลงทุนเต็มตัว ต้องการReturn ที่ 10% แบบทบต้น ในตอนนี้ มีเงินลงทุนเต็มตัว ปราศจากหนี้สิน 10 ล้านบาท ต้องการ Return ที่ 15%-20% แบบทบต้น ผมเป็นคนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลางถึงสูง และมีความรู้ในเชิงวิเคราะห์ที่ดีระดับหนึ่ง แต่ความรู้จริงในเรื่อง VI ยังเป็นศูนย์  แต่ผมตั้งใจอย่างมากที่จะใช้ช่วงเวลาลงทุน 10 ปี จากนี้ไป ด้วยเงินลงทุน 10 ล้านบาทอย่างมีสติ ด้วยความรู้แนว VI อย่างแท้จริง ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ  ขอบคุณมากครับสำหรับทุกคำแนะนำ I-WILL-BE-VI ผมแนะนำให้นำเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนดูก่อน แทนที่จะนำเงินทั้งหมดที่มีมาลงในลาดหุ้นเลย ทดลองดูก่อนว่าหลักการที่เราใช้มันโอเคหรือเปล่า เรามาถูกทางหรือไม่ เคยมีนักลงทุนระดับพันล้านให้คำแนะนำไว้ว่า ปีแรกให้นำเงิน 10% มาลอง ถ้ากำไร ปีที่สองค่อยลง 30% ถ้ายังกำไรอยู่ ปีที่สามค่อยลง 50% ถ้าผ่านไปสามปีแล้วยังได้กำไรอยู่ ค่อยนำเงินทั้งหมดมาลง เพราะการที่เราได้กำไรใน 1-2 ปีแรกอาจะเป็นเพราะ"โชค"อย่างเดียวก็ได้ แต่เราอาจหลงตัวเองคิดว่าตนเองเป็น"เซียน"เหมือนผมตอนเริ่มต้น"เล่น"หุ้นใหม่ๆแล้วก็หมดตัว โชคดีที่เงินไม่เยอะในตอนแรก ถามว่าทุกวันนี้ผมได้กำไรทุกครั้งเลยหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่ามี"ขาดทุน"บ้างเพราะเราประมาทเกินไปหรือ"โลภ"เกินไป มองโลกเพียงด้านเดียวหรือมองอีกด้านน้อยไปหน่อย ผมพบว่าเราไม่ต้องทำผลตอบแทนปีละเป็นร้อยเปอร์เซนต์หรอก เพียงปีละ 20-30% ต่อปีอย่างสม่ำเสมอก็รวยได้ สิ่งสำคัญคือเรามี"ความสุข"ในสิ่งที่เราทำหรือเปล่า ถ้าทำได้ปีละ 100% แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความกังวลว่าหุ้นจะตกหรือเปล่า คงไม่สนุกแน่ ล่าสุดผมได้ยินเรื่องของคนมีเงินหลายสิบหลายร้อยบาท แต่นอนไม่หลับ เพราะกังวลและคิดมาก ทำให้ผมคิดได้่ว่าจริงๆแล้ว เงินก็คือแค่เงิน มีเงินมากแค่ไหน แต่ทำ"ใจ"ให้สงบไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ พุทธทาสท่านกล่าวเอาไว้ว่า "ความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่ต้องใช้เงิน ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง สักวันก็ต้องหายไปกลายเป็นความทุกข์" จริงไม่จริง ต้องไปลองพิจารณากันเอง จากคุณ : 1 ปีแรกนี่โชคนะ จำเอาไว้ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 15:44:23

ความคิดเห็นที่ 57 เอาล่ะเว้ยยยยยยยยยย  พี่วิบูลย์มีรูปแบบการตอบเหมือนที่ผมคิดไว้ในใจเลยครับ ปกติเวลามีคนมาตั้งกระทู้ถามคำถามในลักษณะแนวนี้ ผมชอบตอบเขาโดยการ "ถามกลับ" ถึง "เหตุผล" ในการซื้อหุ้นนั้น ผมจะรอให้เขาเค้นเอาคำตอบของเหตุผลของเขาออกมา เรียนรู้คำถาม จากคำตอบของตัวเองซ้อนทับอีกที ... ส่วนตัวคิดว่าได้ผล(ดีมาก)สำหรับคำถามประเภทนี้ครับ  อิอิ   ----------------------------------------------------------------------------- xxxxx wrote: กราบเรียนท่านพี่ๆ ที่เคารพครับ ผมเพิ่งเข้าตลาดมาได้สองเดือน ซื้อตัวแรก PTTAR จาก 25.25 ซื้อถัวมาเรื่อยๆ จนตอนนี้เหลือที่ 23.77 ราคาตลาดตอนนี้ 20.80 ผมขอปรึกษาแบบพี่ๆที่เก่ง VI จันทร์ที่จะถึงนี้ ผมจะทุ่มซื้อถัวให้ราคามันอัพเดท กับตลาด คาดว่าใช้เงินเกินล้าน พี่ๆว่าผมควรทำไหมครับ ตัวสอง ผมคือ LH ตัวนี้ทำกำไรให้ผมหลายตังค์แล้วครับ ผมไม่น่าหวาดระแวงขายทิ้งไปเยอะ ผมควรจะซื้อกลับได้ไหมครับ ตัวสาม KTB ขาดทุนบักโกรกเลย ควรขายทิ้งดีไหมครับ ตัวสี่ esso :ซื้อมาราคา 7.07 บาท ควรทำไงกับตัวนี้ดีครับ ปล.ถ้าคำถามแบบนี้ไม่ดี ลบทิ้งเลยนะครับ ผมเพิ่งสมัครเมื่อกี้ แนะนำผมด้วยครับ กราบขอบพระคุณพี่ๆ ทุกท่านครับ   ------------------------------------------------------------------ คำถามลักษณะนี้ผมมี "คำตอบเร็จรูป" ดังนี้ครับ "ผมขอถามกลับแล้วกันครับว่า มีเหตุผลอะไรในการซื้อหุ้นเหล่านี้แต่ละบริษัท และคิดว่าตั้งใจถือนานแค่ไหน" . . . . . . . . . ตกลงผ่านไปสองวันแล้ว ยังไม่มารายงานตัว นี่แค่คำถามแรกนะครับ ผมมีคำถามรออีกที่จะถามสำหรับข้างบนเป็นสิบครับ ผมมีข้อแนะนำแล้วกัน เอามาจากคำคมของคุณ"คัดท้าย"(สมาชิกเก่าที่ไม่รู้ไปอยู่ไหนอีกคน) "ซื้อห้นด้วยเหตุผลอะไร ก็ขายหุ้นด้วยเหตุผลนั้น" สั้นๆง่ายๆได้ใจความ แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 16:04:27 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 53 16:01:03 จากคุณ : คำตอบนี้ดีที่สุดเลยครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 15:59:31

ความคิดเห็นที่ 58  Posted: Tue Jul 29, 2008 9:30 pm ------------------------------------------------------------------ Amadeus wrote: พวกพี่ๆ ให้ Margin Of Safety กี่เปอร์เซ็นต์ครับ แล้วคำนวนอย่างไรครับ รบกวนแสดงตัวอย่างหน่อยได้ไหมครับ   สมมุติมูลค่าบริษัทเท่ากับ 100 บาท ราคาบนกระดาน 80 บาท แสดงว่ามี margin of safety  = 20% จบ จากคุณ : อืม ... ตอบได้สั้นดีครับ หุหุ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:02:47

ความคิดเห็นที่ 59 หนังสือเกี่ยวกับการหามูลค่าหุ้นภาษาไทยที่เห็นมีสามเล่ม เล่มแรก หามูลค่าหุ้นด้วยตนเองของคุณสุมาอี้ มีขายที่บีทูเอส เล่มสอง การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหลักสูตรโคลอมเบีย แปลโดยคุณพรชัย เล่มสุดท้าย วิถีเซียนหุ้นมูลค่าของผมกับคุณมน สองเล่มหลังมีขายที่ซีเอ็ด จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:05:43

ความคิดเห็นที่ 60 วันนี้วันทำงานแท้ๆ แต่นั่งอ่านกระทู้ตะแกรงร่อนของพี่วิบูลย์ตั้งแต่แปดโมงเช้่า สุดยอดจริงๆ ไอ้พนักงานดีเด่น   พักยกก่อน  ขึ้นหน้า 77 แล้ว   >< จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:13:52

ความคิดเห็นที่ 61 โอว...  ผมยังไม่ได้เริ่มอ่านเลยครับ  คุณคนจนฯ จากคุณ : เจ้าชายชาเย็น เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:36:27

ความคิดเห็นที่ 62  Posted: Thu Aug 21, 2008 5:33 pm   ---------------------------------------------------------------------- Aun18 wrote: มารายงานตัวครับ อ่านจบแล้ว 3 เดือน กับ 76 หน้า ต่อไปคงไปหาตำรา VI ต่างๆ ที่ทุกท่านแนะนำมาศึกษาเพิ่ม และกระทู้ดีๆ ในเวบนี้ ก็ยังมีอีกเยอะครับ   ผมก็อยากเลือกกิจการของผมเองได้เร็วๆ เหมือนกันแต่ไม่อยากใจร้อนเกินความรู้ ขอเก็บตังก่อนด้วย ^_^   ก็อยากจะขอบคุณทุกท่านที่ให้ความรู้เป็นวิทยาทานอย่างสูงครับ คุณวิบูลย์ คุณมน คุณ aye คุณ chatchai คุณลูกอิสาน และอีกหลายๆท่านขออภัยที่ไม่ได้กล่าวถึง ส่วนตอนนี้ถ้ามีคอร์สสอนอ่านงบก็จะสมัครอย่างไม่ลังเลเลยครับคุณมน   ผมหัวช้าหน่อยแต่ว่าซื้อหุ้นซื้อทางไปรษณีย์ยังทันเลยใช่ไหมครับ --------------------------------------------------------------------------- ด้วยความยินดีครับ เวลาสามเดือนถือว่าไม่มากเลยสำหรับการหาความรู้ แต่ก็ใช่ว่าความรู้จะสิ้นสุดอยู่แค่นี้ จนถึงทุกวันนี้ ผมและอีกหลายๆท่านก็ยังเสียเงินให้กับร้านหนังสือออย่างต่อเนื่อง มีคนเคยถาม ชาลี มังเกอร์ว่า "ทำอย่างไรถึงจะฉลาด" (How to get the wisdom?) ชาลีตอบว่า "ให้นั่งทับก้นตัวเอง" (You should sit on your ass) ชาลีบอกว่า "ถ้ามีคนไปสังเกตวอร์เรน บัฟเฟตว่าแต่ละวันทำอะไรบ้าง จะพบว่าเวลาส่วนใหญ่ของวอร์เรนจะใช้ไปในการนั่งทับก้นตัวเอง (ฮา)" ชาลีบอกว่าคนเราจะมีความรู้ได้จากการอ่านเป็นส่วนใหญ่ และต้องหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้บัฟเฟตยังคงอ่านศึกษาหาความรู้อยู่ไม่หยุด การลงทุนหลังๆของบัฟเฟตจะมีความลุ่มลึกมากขึ้นและเก่งมากขึ้นตามอายุ หวังวาพวกเราคงเป็นเช่นกัน นั่นคือมีความรู้มากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น การลงทุนให้ผลตอบแทนดีขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โชคดีครับ จากคุณ : ผมกำลังนั่งทับก้นตัวเองอยู่คับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:40:52

ความคิดเห็นที่ 63  Posted: Wed Sep 10, 2008 1:48 pm ----------------------------------------------------------------- osama wrote: ขอความรู้ต่ออีกนิด เนื่องจากไปซื้อหนังสือพิมพ์ธุรกิจ กับ อ่านบทความต่างๆในเวป โป๊ เอ้ย โป๊กเกอร์ ต่างๆ เห็นมีบทความหลายสำนักเตือนให้ระวังต้มยำกุ้งรอบ 2 เค้าว่าครั้งแรก set หลุดไปอยู่ที่ 300 กว่า ครั้งนี้ก็อาจจะได้เห็นอีกจากกราฟจะเห็นว่าคล้ายกันมาก  กราฟ..... อะไรไม่รู้ดูไม่เป็น เนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องนี้ครับ แต่ผมเข้าใจเอาเองว่ารอบแรกเกิดจากการโจมตีและประกาศลอยตัวค่าเงินบาท แต่ตอนนี้มันลอยตัวไปแล้วมันจะเกิดรอบ 2 ได้ไงอะครับ งง??? ------------------------------------------------------------------ ใครจะคิดอะไรก็คิดกันไป เราต้องคิดด้วยตัวเอง อย่าให้คนอื่นมาจูงจมูก เวลาตลาดหุ้นตกต่ำ คนมักจะคิดว่ามันจะตกต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเวลาหุ้นขึ้นๆ คนมักจะคิดว่ามันจะขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาตลาดหุ้นดีๆ เคยได้ยินมั๊ยครับที่โบรกหรือใครก็ตามชอบทำนายว่า ดัชนีจะไป 1,000 จุดอยู่เรื่อยๆ แล้วเป็นไงครับตอนนี้ เช่นเดียวกัน เวลาหุ้นตกๆมักจะมีคนมาบอกว่าหุ้นจะลดไปเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้องแปลกใจครับ ที่เขียนมานี่ไม่ได้หมายความว่าวิกฤติจะเกิดอีกไม่ได้ แต่ต้องหัดคิดด้วยตนเองก่อนที่จะ"เชื่อ"อะไรง่ายๆ ช่วยบอกชื่อคนที่เขียนวิเคาระห์เรื่องนี้ไว้ด้วยได้มั๊ยครับ ผมจะเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพราะเวลาวิเคาระห์ถูกก็ประโคมกันไป แต่ถ้าวิเคาระห์ผิดก็เงียบหาย ต้มยำกุ้งรอบที่แล้วเมื่อกรกฏาคม 2540 นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันเดียว มันสะสมมาเป็นเวลาหลายปี หลังจากไทยเปิดเสรีทางการเงินราวๆช่วง 30 ให้เงินไหลเข้าออกได้อย่างเสรี ตามกฏระเบียบของ WTO ตอนนั้นรัฐบาลประชาธิปัตย์นะครับ(ฮา) สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเงินดอลล่าร์ไหลเข้าท่วมประเทศไทย เพราะต้องการผลตอบแทนระดับสูงจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากๆระดับสองหลักของไทย คล้ายๆน้ำที่ไหลทะลักเข้าสู่เขื่อน แต่ที่แย่ก็คือเขื่อนหรืออัตราแลกเปลี่ยนของไทยคงที่ ไม่สามารถปรับระดับให้เหมาะกับน้ำที่ไหลมาได้ สุดท้ายเขื่อนก็แตก ต้องลอยตัวค่าเงินบาทตอนที่หมดหน้าตักแล้ว รอบสองนี่คงเกิดจากน้ำมือคนไทยด้วยกันเองนี่หละ ถ้าไม่เลิกทะเลาะกัน ไม่หันหน้าเข้าหากัน สุดท้ายก็กรุงแตก เหมือนเสียกรุงอยุธยาครั้งที่สอง ก็เพราะคนไทยไม่หันหน้าเข้าหากัน ทะเลาะกัน เมื่อไหร่มันจะเลิกจิกตีกันสักทีนะ ผมก็หวังว่าคนไทยจะเลิกทะเลาะกันเร็วๆนี้ จากคุณ : ใช้ได้กับทุกสถานการณ์จริงๆ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:48:55

ความคิดเห็นที่ 64 หวัดดีครับ คุณเจ้าชายชาเย็น  ยังไม่ได้อ่าน  ก็เริ่มอ่านตั้งแต่วันนี้เลยครับ จบข่าว ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:49:55

ความคิดเห็นที่ 65  Posted: Tue Sep 16, 2008 11:41 pm -------------------------------------------------------------- Aegis wrote: ก่อนไปมีคำถามครับ ปกติพวกพี่ให้น้ำหนักคำพูดของผู้บริหารแค่ไหนครับ จากที่ศึกษามาผู้บริหารคนนี้ก็ประวัติดี แล้วจากที่แกพูดก็ดูดี (แถมยังซื้อหุ้นตัวนี้ด้วย)แต่หลายๆอย่างก็เหมือนเป็นแค่การประคองราคาหุ้นครับ เลยอยากได้ไอเดียจากพี่ๆที่อยู่ตลาดมานานๆน่ะครับ ----------------------------------------------------------------------- ฟังหูไว้หู เลือกเอาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อย่าไปฟังคำพูดที่เลื่อนลอย เช่น โครงการในอนาคตที่ยังมองไม่เห็น ไม่มีผู้บริหารคนไหนพูดสิ่งไม่ดีของบริษัทตัวเอง ถ้าถามว่าคู่แข่งไม่ดีอะไรบ้าง ออกมาเป็นชุด อยากได้ข้อมูลของอีกบริษัท ต้องไปถามผู้บริหารของอีกบริษัทหนึ่งจะตรงมากๆ จากคุณ : ผมยังไม่เคยเจอผู้บริหารเลยครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:54:00

ความคิดเห็นที่ 66 Posted: Thu Sep 25, 2008 4:41 pm ----------------------------------------------------------------------- กาวตราช้าง wrote: ขอบคุณครับ พอดีไม่ชอบทำใจดูมันอะครับ   มันซ้ำใจทุกวันก็ไม่ไหวละ พอดีช่วงนี้มีแกรนเซล เลยต้องทำการบ้านหน่อย ------------------------------------------------------------------------ ก็บางครั้งต้องฝึกทนดูหุ้นราคาลดลงเหมือนกันนะ เพราะเราไม่รู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ที่ไหน ดูซิใครจะคิดว่าจาก 870 จุดจะเหลือ 600 จุดได้ในเวลาเพียง 3-4 เดือน เชื่อไหมเดือนมิถุนาที่ผ่านมา ตอน 720 จุด ผมเจอผู้บริหารของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง เธอบอกว่าหุ้นมาถึงเกือบจุดต่ำสุดแล้ว โอกาสขึ้นมากกว่าลง เวลาผ่านไป หุ้นลงมาตลอดเหลือ 600 จุด ใครถือหุ้นอยู่ไม่ได้ขาย ขาดทุนทุกคนละผมว่า อย่างน้อยก็ขาดทุนกำไรหละ อิ อิ ใครว่าไม่จริง เพราะรอบนี้ลงทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ลงถ้วนหน้า ต้องฝึกให้ชิน เวลาหุ้นลง บัฟเฟตบอก "ถ้าทนเห็นหุ้นตัวเองถืออยู่ลงมา 50% ไม่ได้ อย่ามาลงทุนในหุ้น" จากคุณ : เอาล่ะสิ โดนปู่บัฟขู่ซะแล้ว (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 16:57:45

ความคิดเห็นที่ 67 ตอนนี้อ่านกระทู้พี่โจฯ อยู่ครับ ไล่ๆ เป็น series ไป  (  เหมือนหนังซีรี่ยส์เลย ) ผมว่าของพี่โจฯ กับ พี่วิบูลย์  นี่ถ้าพิมพ์เป็นหนังสือออกมาคงขายดีแน่นอน ครับ  ผมเคย print บล็อกพี่โยฯ  มาอ่าน  พบว่าหนามากมาย   จากคุณ : เจ้าชายชาเย็น เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:03:09

ความคิดเห็นที่ 68 กระทู้นี้ต่อเนื่องจาก คห.66 ครับ   -------------------------------------------------------------------- Posted: Fri Sep 26, 2008 8:03 pm กาวตราช้าง wrote: ไม่คิดมากไงละพี่ ไอ้ที่มีก็เจ็งไปสิบกว่าเปอรเซ้งแล้ว อ้าว ไม่ได้ร้องเพลงนี้เหรอ "เกิดเป็นวีไอ ต้องมีใจอดทน กี่ครั้งกี่หน ทนเจ็บเอาไว้ (ตลาดหุ้น)จะคอยทำร้ายกันอีกนานถึงไหนนนนนน หรือวีไอเสียใจไม่เป็น" (ฮา) ---------------------------------------------------------------------- กาวตราช้าง wrote: แต่ข้อ"หุ้นตัวเองถืออยู่ลงมา 50%" ขอค้านหน่อยอะ แสดงว่าตอนซื้อMOSมันน้อยไปหรือปล่าว? เฮ้ย! เคยซื้อหุ้นป่าว ไอ้ที่เคยคิดว่าถูกน่ะ ยังมีถูกกว่า ไม่มีใครรู้จุดสูงสุดหรือต่ำสุดของหุ้นหรอก จนกว่ามันจะผ่านไปแล้ว ลองซื้อหุ้นดูดิ แล้วจะเข้าใจ แล้วคนพูดประโยคนั้นนะ บัฟเฟตนะ ไม่ใช่ผม -------------------------------------------------------------------------- กาวตราช้าง wrote: แล้วพี่วิบูลย์มีความคิดไงกะการถือหุ้นเต็มพอร์ดตลอดเวลา (ถามถูกคนเลยย)   ผมว่าทิดสะดีมัน:-)ๆอยู่น่า  เห็นนส.แปลพี่พรชัยหลายเล่ม เซียนหลายคน(ส่วนใหญ่)ก็ซื้อตอนวิกฏต      รวมทั้งอ.นิเวศด้วย แสดงว่าต้องพอร์ดว่างหรือน้อยมากก่อนวิกฏต   เอางี้นะ บัฟเฟตก็ไม่ได้ถือหุ้นเต็มพอร์ตตลอดเวลา เวลาเงินสดไหลเข้ากระเป๋า ไม่ว่าจะมาจากกการขายหุ้นตัวเก่า หรือปันผลหรือเงินจากธุรกิจลูก เขาจะรอจนกว่าจะมีโอกาสเจ๋งๆ ถึงจะควักเงินสดออกมาซื้อ เหมือนตอนนี้ที่ซื้อโกลแมนแซคนะ ถ้าเอาไปลงทุนหมด แล้วจะเอาตังค์ไหนซื้อหละ เวลาโอกาสดีๆมาเยือน บัฟเฟตบอกว่า ถ้าอยากเข้าป่า ก็ต้องมีกระสุนพร้อมในมือ เข้าใจยัง?? -------------------------------------------------------------------------- กาวตราช้าง wrote: เอาเท่านี้ก่อนอะ เดี๋ยวมันจะรกบอร์ด ขอบคุณครับ ไม่เป็นไร ถามมาเถอะ ตอบได้ก็ตอบ ตอบไม่ได้ก็แนะนำผู้รู้ให้ โอเค??? จากคุณ : อิอิ คห.นี้ แอบฮานะครับพี่ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:03:58

ความคิดเห็นที่ 69 เรียงลำดับ series  VI ในแง่ของความยาวของตัวหนังนะครับ yoyo < ลูกอีสาน < VIB007 เรียงลำดับ series  VI ในแง่ของความรู้ในการลงทุนแนวเน้นคุณค่า yoyo = ลูกอีสาน = VIB007 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:06:17

ความคิดเห็นที่ 70 Hall of Frame ครับ สำหรับ comment นี้       ------------------------------------------------------------------------- Posted: Mon Oct 06, 2008 8:19 pm Gondar wrote: ถามคุณ VIB007 หน่อยครับ ตามหลักการลงทุนในหุ้นเราจะต้องหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นแต่วิธีการได้มา ต้องเสียเวลามากต้องศึกษาพื้นฐานบริษัทจากหลายๆทางเช่น 56-1, รายงานประจำปี,ข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์,บทสัมภาษณ์ผู้บริหาร และยังต้อง ศึกษางบการเิงินย้อนหลังหลายปีกว่าเราจะรวบรวมข้อมูลได้ครบและวิเคราะห์ หามูลค่าออกมาเสียเวลาไปก็ไม่ใช่น้อยผมเลยสงสัยว่าเราจะมีหลักยังไงที่จะ เลือกหุ้นได้ถูกตัวคือได้หุ้นที่เราวิเคราะห์ออกมาแล้วราคาตลาดอยู่ต่ำกว่า มูลค่าที่แท้จริง ----------------------------------------------------------------------- เราเข้าใจธุุรกิจนั้นแค่ไหน การอ่านข้อมูลต่างๆนั้น ไม่ใช่แค่เอามาหามูลค่ากิจการอย่างเดียว แต่เป็นการทำให้เราเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจนั้นอย่างถ่องแท้ ทำไมต้องเข้าใจกิจการ เพราะการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น เหมือนกับการซื้อกิจการ เราซื้อกิจการ เราไม่ได้ซื้อหุ้น ถ้าเราจะซื้อกิจการอะไร แล้วเราไม่เข้าใจกิจการนั้นเลย ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สิ่งนั้นจะมีผลกับธุรกิจของเราหรือไม่ สุดท้ายเราก็ตื่นตระหนกไปกับเหล่าฝูงชนในตลาดหุ้น ยกตัวอย่างเช่นปัจจุบันนี้เป็นต้น ดัชนีลดลงจากต้นปีประมาณ 870 จุด เหลือเพียง 550 จุดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2551 ลดลงไปกว่า 300 จุดหรือ 37% ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หุ้นจำนวนมากถูกเทขายออกมาอย่างมาก บางตัวราคาลดลงกว่าครึ่งจากจุดสูงสุด ถ้าเราไม่เข้าใจธุรกิจของเราจริงๆ คงคิดว่าเหตุการณ์ซัพไพร์มคงมีผลกระทบห้นทั่วโลก ทำให้เราตกใจไปกับตลาดหุ้นไปด้วย แต่ถ้าเรามีความรู้ในธุรกิจของเรา วิเคาระห์ธุรกิจของเราได้อย่างละเอียด เราจะเข้าใจเองว่าบริษัทของเราได้รับผลกระทบหรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็น"วิกฤต" ถ้าไม่ใช่ก็เป็น"โอกาส" แต่คนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นก็คาดว่า"ราคาหุ้น"จะเพิ่มสูงขึ้น แต่จริงๆแล้วโลกอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ สิ่งที่ต่างๆที่ถามมาข้างบนว่าใช้เวลาเยอะนั้น จริงๆแล้วไม่เยอะหรอก ถ้าเราคิดว่ามันเป็น"ความสนุก"ที่ได้เรียนรู้ ถ้าเราคิดว่ามันเป็น"งานที่ต้องทำ"ก็คงเบื่อในเวลาไม่นาน เรายอมเสียเวลาหาความรู้ในตอนแรก ดีกว่าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน(ถาวร)ดีกว่า ------------------------------------------------------------------------ Gondar wrote: เท่าที่ผมลองอ่านหนังสือแนว vi ดูแล้วสับสนเพราะบ้างทีก็ให้ใช้พวก ratio roe roa สูงๆ แต่บ้างเล่มก็บอกในอดีตหุ้นที่ ratio พวกนี้ต่ำๆจะให้ผลตอบแทน ที่สูงกว่า คือ ดาวเด่นในวันนี้จะเป็นดาวร่วงในวันหน้าผมก็เลยสับสนไม่รู้จะ ใช้วิธีไหนในการกรองหุ้นแล้วนำมาศึกษาต่อช่วยแนะนำหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ ----------------------------------------------------------------------------- การลงทุนในหุ้นคือการลงทุนโดยมองไปข้างหน้า คนส่วนใหญ่ลงทุนโดยมองแต่กระจกหลัง ก็คือดูแต่ผลงานในอดีต แต่ความจริงราคาหุ้นจะขึ้นกับผลประกอบการในอนาคต ไม่ใช่ผลประกอบการในอดีต นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมแค่มีเรื่องเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น ราคาหุ้นถึงขึ้นหรือลงได้อย่างมากมาย เพราะคำคำเดียว "Expectation" หรือความคาดหวัง ถ้าเราเข้าใจธุรกิจที่จะลงทุน มองเห็นอนาคตของบริษัทได้ Ratio ต่างๆเป็นแค่ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเท่านั้นครับ ไม่มีสูตรสำเร็จในตลาดหุ้นหรอกครับ ลองศึกษาบริษัทที่จะลงทุนมากๆ ให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง มองอนาคตบริษัทให้ออกในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ถ้ามองไม่ออกก็หาบริษัทใหม่ศึกษา ดังคำพูดของท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์นะครับที่ว่า "หุ้นถ้าไม่ถือห้าปี ห้านาทีก็ไม่ถือ" ส่วนบัฟเฟตบอกว่า"ถ้าไม่คิดจะถือสิบปี สิบนาทีก็ไม่ถืิอ" โชคดีครับ จากคุณ : ชอบคห.นี้มากครับ สรุปได้ดีเลย (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:14:19

ความคิดเห็นที่ 71  โหหหหหหหหหหหหหหห     อยากรู้ว่าทำไมผมถึงร้อง โห    ...  คำตอบอยู่ด้านล่างนี้แล้วครับ an99 wrote: จะดีใจหรือเสียใจดี เล่นหุ้นมาเจอมา 2 ครั้งแล้ว และมีหุ้นอยู่เต็ม port 100% ทุกครั้ง ช่วยเล่าประสบการณ์ให้ฟังหน่อยครับ ว่าครั้งแรกเจออย่างไรและ"รอด"มาได้อย่างไร เป็นวิทยาทานให้รุ่นน้องๆนะครับ ส่วนผมรอบแรกตายคาสนามครับ BBL ซื้อ 110 ขาย 30 รอบสองกำลังเจออยู่ตอนนี้ ท่านอื่นๆแชร์ได้เลยนะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:20:42

ความคิดเห็นที่ 72 กระทู้ได้ดำเนินมาถึงช่วง subprime crisis แล้วครับ ... ----------------------------------------------------------------------  Posted: Wed Oct 29, 2008 ---------------------------------------------------------------------- osama wrote: หลังจากเริ่มซื้อหุ้น set 650 ตอนนั้นธนาคารมันยังไม่ล้มอะนะครับ ตอนนี้เหลือ 430 โดนศุกร์ 13 ฝันหวาน มา 2 รอบละครับ    เลือดท่วมจอมันเป็นงี้นี่เอง    ท่าทางจะแย่ซะแล้วครับ ติด - ไปแล้ว  23%  ตอนแรกก็ทำใจไว้แล้วว่าจะถือซัก 2-3 ปี  แต่ยิ่งดูยิ่งเศร้า ถ้ารู้เรื่องธนาคารเมืองนอกจะล้มซะหน่อยจะได้รอมาซื้อซักตอน 500 จะได้ไม่เจ็บเยอะ เซ้งตัวเองฟายจิงๆเลย โอ๊ะ โอ เข้ามาตอน 500 ก็เจ็บเหมือนกันนะ ตอนนี้มัน 300 แล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้บอกว่า ถือเงินสดไว้บ้างก็จะดี อย่าใส่หมดแม็คทีเดียว เอางี้สิ ถ้าเศร้าใจก็คิดว่าจะถือหุ้นนี้ไปอีกสัก 10 ปี คงสบายใจขึ้น เราคงไม่เลิกลงทุนในอีกสองสามปีข้างหน้าหรอกจริงมั๊ย จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:26:03

ความคิดเห็นที่ 73  Posted: Wed Oct 29, 2008 7:32 pm ----------------------------------------------------------------------- oilpaint wrote:   อืม ! ตอนนี้หมดกำลังใจแล้วล่ะค่ะ มีวิธีคิดอย่างไงบ้างค่ะ พี่วิบูลย์ ทั้งพอร์ตขาดทุน 41.56% ค่ะ ptt,pttep,cpall เหลือกระสุน 34.78 % ----------------------------------------------------------------------- จะหมดกำลังใจทำไมละครับ ชีวิตอยู่ได้ด้วย"กำลังใจ"นะ อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ลองตั้งสติ มองกลับด้าน ยังมีเงินสดเหลืออีกตั้ง 34.78 % ลองนั่งสมาธิ คิดถึงอนาคตของบริษัทที่ซื้อมาในอีกห้าปีข้างหน้า ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าคิดไม่ออกก็ต้องลองนั่งจินตนาการดู เช่น ในปี 2556 CPALL คนจะเลิกซื้อของใน 7-11 แล้วกลับไปซื้อของในร้านโชว์ห่วยแทนหรือไม่ พอเดินเข้าร้าน 7-11 เงียบเหมือนป่าช้าหาคนเข้าร้านไม่ได้หรือเปล่า หรือ PTT  PTTEP ในอีกห้าปีข้างหน้าคนจะเลิกใช้แก๊สใช้นำ้มัน เปลี่ยนมาใช้รถไฮโดรเจนกันทุกคันหรือไม่ หรือการไฟฟ้าจะใช้พลังงานนิวเคลียร์ผลิตไฟฟ้าแทนทั้งประเทศ ถ้าเป็นดังที่ว่าข้างต้น ขายหุ้นทั้งหมดไปตอนนี้ก็ถือว่าไม่สายเกินไป แต่ถ้าไม่ใช่ แสดงว่าบริษัทเหล่านี้ยังมี"ธุรกิจ"อยู่ อย่าลืมว่าเราซื้อหุ้นมาเพราะอะไร หลักการของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคือ "ซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ" แล้วเราทำอย่างนั้นหรือเปล่า หรือเราซื้อมาเพื่อคิดว่าจะขายหุ้นนั้นใน"ราคา"ที่สูงขึ้น แต่พอ"ราคาหุ้น"ตกลงเรากลับกลุ้มใจ คำแนะนำของผมคือ อย่าดู"ราคาหุ้น"อย่างเดียว ใหดูพื้นฐานของกิจการเป็นส่วนประกอบหลัก ตอนนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ต่างชาติขายหุ้นทุกราคาโดยไม่สนใจพื้นฐาน เพราะต้องการเงินไปอุดขาดทุนที่เมืองนอก มันไม่ได้เกิดขึ้นกับหุ้นไทยประเทศเดียว แต่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะสถาบันการเงินอเมริกาและยุโรปต่างลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก จึงขายทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร ทองคำ น้ำมัน สินค้าโภคภัณท์อื่นๆ เพื่อเอาเงินสดไปจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้น โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ที่นักลงทุนจะขายหุ้นโดยไม่สนใจราคา ี่เป็นบทพิสูจน์"ความไม่มีประสิทธิภาพของตลาด" ใครมีหุ้นอยู่ไม่ต้องตกใจ ให้ดูอนาคตของบริษัท ดูพื้นฐานกิจการว่ายังไปรอดในอีก 3-5 ปีข้างหน้าหรือไม่ ราคาหุ้นที่ลดลงช่วงนี้เป็นการลดราคาของหุ้นทั่วโลก สำคัญคือไม่มีใครรู้ว่ามันจะต่ำสุดเมื่อไหร่ ถูกแล้วยังมีถูกอีก ช่วงนี้งบการเงินสำคัญมากๆที่ต้องนำมาพิจารณาอย่างละเอียด บริษัทที่อยู่รอดได้ต้องมีงบการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่ล้มละลายไปเสียก่อน มีเงินสดในมือมาก มีหนี้น้อย ธุรกิจไม่ขาดทุน มีกระแสเงินสดเป็นบวก ช่วงนี้จะเลิกดูตลาดหุ้นไปบ้างก็ได้นะครับ ลองคิดเหมือนว่า ถ้าตลาดหุ้นปิดไปสัก 3-5 ปี เรายังถือหุ้นเหล่านี้อยู่หรือไม่ โชคดีครับ จากคุณ : ขอบคุณสำหรับแนวคิดครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:35:03

ความคิดเห็นที่ 74 เจ้่าตัว(คนถาม)  เขาจะมาเห็นความเห็นนี้หรือเปล่าน้อ ????  อิอิ ---------------------------------------------------------------------------  Posted: Thu Oct 30, 2008 1:46 pm -------------------------------------------------------------------------- sai wrote: รบกวนสอบถามพี่วิบุลย์ปัจจุบันถือเงินสดเท่าไรครับ และในภาวะการณ์ปกติพี่มีถือเงินสดบ้างหรือไม่ เป็นสัดส่วนเท่าไรครับพี่ ขอบคุณครับ ปกติก็มีเงินสดติดมือบ้าง ตอนนี้ถอยมาตั้งหลักที่ 20% หุ้นที่ขายจะเป็นหุ้นราคาเกินพื้นฐานมากกว่า ถ้าต่ำกว่าพื้นฐานก็ยังถือต่อ แต่ถ้าพื้นฐานเปลี่ยน ราคาเท่าไหร่ก็ขาย เท่าที่เช็คพื้นฐานแต่ละตัวที่ถืออยู่ก็ยังโอเค น่าจะทนภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ดได้สักห้าปี เพราะบริษัทพวกนี้ผ่านปี 40 มากันทุกบริษัท และอยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้ รอบนี้ฝรั่งขายแบบไม่สนใจราคาพื้นฐาน ขนเงินกลับอย่างเดียว เพราะขาดทุนที่ต่างประเทศหนัก GE Capitol ยังต้องเร่ขาย Leasingในเมืองไทยเลย หลังจากเข้ามาซื้อพอร์ตสินเชื่อรถยนต์จากไฟแนนซ์ที่ถูกปิดของไทยเมื่อสิบปีที่แล้ว ขนาดจีอียังเดี้ยง ไม่ต้องพูดถึงสถาบันการเงินเล็กๆอื่นๆ คนที่ถือหุ้นอยู่เลยเจ็บไปตามๆกัน คนที่รอดคือคนที่ไม่มีหุ้น แต่ถ้าเราไม่คิดเลิกลงทุนใน 2-3 ปีนี้ และเงินในหุ้นก็ถือว่าเป็นเงินลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว ไม่ได้คิดเอาออกมาใช้ทำอะไร ไม่ได้เอาออกมาซื้อรถขับโก้ๆ ซื้อบ้าน ซื้อนู้นซื้อนี่ ถ้าผ่านไปสองสามปีมันไม่ดีขึ้น แสดงว่าเราคิดผิด ถึงเวลานั้นคงต้องบอกว่า Value Investing มันใช้ไม่ได้ในตลาดหุ้นเมืองไทยจริงๆ แต่เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใช่ไม่ใช่ ตอนนี้ก็ทำมาหากินกันต่อไป อย่าไปสนใจตลาดหุ้นมากนักก็ได้ ผมมีคำพูดของอาจารย์เบนจามิน เกรแฮม ผู้ที่วอร์เรน บัฟเฟตให้ความนับถือเหมือนพ่อบังเกิดเกล้า เขียนไว้ในหนังสือ Intelligence Investor ประโยคแรก "ราคาหุ้นผันผวนในระยะสั้น แต่ราคาหุ้นจะสะท้อนผลการดำเนินการของบริษัทในระยะยาว" ต่อมา "นักลงทุนไม่ควรสนใจราคาหุ้นในระยะสั้น แต่ควรให้ความสำคัญกับเงินปันผลและผลการดำเนินงานของบริษัทมากกว่า" และคำพูอมตะสุดท้าย "แล้วมันจะผ่านไป" เอามาปัดฝุ่นอ่านอีกรอบก็ได้นะครับท่าน จากคุณ : ขอบคุณครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:38:49

ความคิดเห็นที่ 75  Posted: Sun Nov 02, 2008 7:59 pm ------------------------------------------------------------------- dome@perth wrote: ผมรู้สึก อบอุ่นอย่างไงไม่รู้ครับ ในท่ามกลาง ความเยือกเย็นของตลาด ช่วงนี้เมื่อได้อ่านข้อความของเพื่อนๆชาว VI ต่างก็ให้กำลังใจกันและกัน ผมคนนึงที่ใฝ่ฝันอยากมี อิสระภาพทางการเงิน มุ่งมั่นเก็บเงิน จากน้ำพักน้ำแรง มาลงทุน หวังไว้ว่า 15% ต่อ ปี อีก 5-10ปี จะได้ไม่ต้องทำงานหนัก เหมือนทุกวันนี้ มาลงทุนปีแรก  ตอนต้นๆปี มาถึงวัน ใจไม่อยู่กะเนื้อกะตัวแล้ว แต่ก็มีกะทู้ดีๆ ในเวปนี้แหละครับ เป็นกำลัง   ติดตามอ่านทุกเช้าเย็น ขอบคุณ คุณ VIB007 คุณลูกอิสาน คุณนริศ คุณChatchai และท่านอื่นๆที่สระเวลามาโพสต์ข้อความดีๆไว้ให้อ่าน เป็นการแบ่งปันที่ ประเสริฐครับ ------------------------------------------------------------------------ ขอบคุณครับ ผมมานั่งคิดนะ จะไปกลุ้มใจทำไม ถ้าเรากล้าซื้อหุ้นที่ PE 8-10 ที่ SET 700-800 ทำไมเราไม่กล้าซื้อหุ้นเดียวกันที่ PE 4-5 ที่ SET 300-400 หล่ะ ถ้ามั่นใจว่าพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน ผมว่าเราถูกตลาดหุ้น หรือ Mr.Market หลอกให้ขวัญกระเจิงแล้วหละ ช่วงนี้เป็นการทดสอบจิตใจครั้งสำคัญเลยจริงๆนะ ใครผ่านรอบนี้ไปได้ มอบประกาศนียบัตรให้ตัวเองได้เลย โชคดีครับ จากคุณ : ขอบคุณครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:43:33

ความคิดเห็นที่ 76 "กูรูนิเวศน์แนะอดทน..ทยอยเก็บหุ้นเพิ่ม" ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร: “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ยอมรับว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงทั่วโลกรวมทั้งไทยอย่างรุนแรงและรวดเร็วทำให้ความมั่งคั่งของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของนักลงทุนหายไปมากพอสมควร กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ :  อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเรามองคุณค่าของตัวธุรกิจในระยะยาวเป็นกุญแจสำคัญในการลงทุน ไม่ได้ไปเก็งภาวะตลาดว่าจะขึ้นหรือลงเพราะภาวะตลาดที่มีความผันผวนเป็นปกติธรรมดาไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดหรือสูงสุดอยู่ตรงไหน "เราจะไม่ไปปรับเปลี่ยนการลงทุนตามภาวะตลาดภาพใหญ่ที่เปลี่ยนไปแต่จะเน้นมองคุณค่าของหุ้นที่เข้าไปลงทุนเป็นสำคัญ" การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจะไม่พยายามไปเก็งหรือคาดการณ์ในสิ่งที่คาดการณ์ได้ยาก เช่น ตลาดหุ้นจะฟื้นเมื่อไร จะลงไปต่ำสุดที่ไหน ตลาดจะขึ้นหรือลง เพราะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ “ ถ้าเราพยายามไปคาดการณ์หรือกำหนดหรือเก็งในอะไรที่เราไม่มีความสามารถจะไปคาดการณ์ ไม่มีความรู้จริง ก็อย่าไปทำ จะทำให้การลงทุนเพี้ยนไปหมด แต่เราจะมองว่ากิจการที่เราลงทุนอยู่นั้นยังดีอยู่หรือเปล่า ซึ่งหุ้นในพอร์ตที่ตัวเองลงทุนอยู่เดิมแม้จะได้รับความเสียหายจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง แต่โดยพื้นฐานของหุ้นแล้วไม่ได้เปลี่ยนไป จึงไม่ได้ขายหุ้นออกแต่ประการใด เมื่อมีเม็ดเงินใหม่ก็จะทยอยซื้อลงทุนเพิ่มเพื่อเฉลี่ยต้นทุนไปในตัวด้วย เพราะพื้นฐานของหุ้นแม้จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวไปบ้าง แต่ราคากลับปรับตัวลงมามากกว่าพื้นฐานของหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยเข้าสะสมหุ้นเพิ่ม ” ดร.นิเวศน์ ยังบอกอีกว่า ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้พอร์ตการลงทุนได้รับความเสียหายไปบ้างพอสมควร เพราะเรามองการลงทุนระยะยาวซึ่งในที่สุดราคาหุ้นต้องกลับมาสะท้อนพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น แต่ราคาที่ปรับตัวลงนี้เป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น จากการที่ต่างชาติเทขายหุ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานของหุ้นเลย หลายคนมองว่าราคาหุ้นถูกแล้วยังมีที่ถูกกว่าอีกเกิดขึ้นเสมอ อย่างไรก็ตาม การที่ราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานเช่นนี้ก็ไม่ใช่เวลาหรือจังหวะในการขายหุ้นแล้ว ด้วยสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่ายิ่งราคาปรับตัวลงมาต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นของหุ้นมาก ยิ่งเป็นโอกาสและจังหวะในการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มมากกว่า เพราะมีส่วนต่างหรือโอกาสในการทำกำไรที่กว้างมากขึ้น ถ้าไปขายหุ้นตอนนี้ก็จะดูขัดกับสไตล์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของตัวเองไป “ ในขณะที่นักลงทุนบางคนอาจจะมองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลงไปอีก ขายตอนนี้ แล้วค่อยไปซื้อกลับใหม่ที่ต่ำกว่าแบบนั้นถ้าทำได้ก็เป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่วิธีการลงทุนที่ผิดอะไร แต่ส่วนตัวเน้นการลงทุนแบบเน้นคุณค่าการที่มองว่าราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ควรขายแล้ว ถ้ามองว่าราคาจะลงต่อ แล้วค่อยไปซื้อกลับก็เหมือนกับการเข้าไปเก็งตลาดซึ่งจะผิดหลักการของการลงทุนแบบเน้นคุณค่าไป เพราะเราต้องดูที่คุณค่าของกิจการในระยะยาวเป็นสำคัญ ไม่ได้ไปเก็งกำไรกระแสเงินทุนไหลเข้าออกของนักลงทุนต่างชาติ เราไม่ได้ลงทุนในหุ้นแบบเก็งกำไรแต่เน้นการลงทุนระยะยาวจริงๆ ” ดร.นิเวศน์ กล่าวเสริมว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นสไตล์การลงทุนระยะยาวในตัวกิจการของบริษัทที่เข้าไปลงทุนจริงๆ ดังนั้นถ้าพื้นฐานธุรกิจยังดีอยู่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปขายหุ้นทิ้ง และราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงก็จะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ถ้าเราสามารถที่จะทนดูราคาหุ้นที่เราลงทุนมีราคาตกต่ำได้บ้าง ความจำเป็นในการที่จะต้องไปใช้ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงก็จะน้อยลงไปด้วย เพราะการเข้าไปใช้ Futures ก็เป็นการเก็งภาวะตลาดเช่นเดียวกัน เก็งว่าจะขึ้นหรือลง ซึ่งไม่ใช่แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอีกทั้งยังมีต้นทุนของการเข้าไปใช้อีกด้วย หากเรามองการลงทุนในระยะยาวซึ่งมุมมองการลงทุนจะเปลี่ยนแปลงไปกับสิ่งที่เราวิเคราะห์ตัวกิจการที่เข้าไปลงทุนมากกว่าซึ่งเป็นผลกระทบในระยะยาว “ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมามาก ทำให้ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน มาร์จินยิ่งมาก ราคาหุ้นยิ่งถูกลง ถ้ามีเงินใหม่ก็จะนำเข้าไปซื้อลงทุนเพิ่ม ดังนั้นการเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเรื่องของจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าวิธีการลงทุนเลย ” ในภาวะที่ตลาดหุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาลงเช่นนี้ เชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย" จากคุณ : ได้ข้อคิดเตือนใจครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 17:54:12

ความคิดเห็นที่ 77 หน้า 84 แล้ว (โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย) จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 18:13:32

ความคิดเห็นที่ 78 หน้า 85 ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 20:05:42

ความคิดเห็นที่ 79 คห.ครบ 100  น้องคนจนฯต้องเลี้ยงข้าวคนเข้ามาเม้นท์แล้ว อิอิ จากคุณ : แฟน รพ เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 21:28:00

ความคิดเห็นที่ 80 ช่วยดันให้มีคนกินข้าวฟรี ^^ จากคุณ : gunpen2010 เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 21:46:10

ความคิดเห็นที่ 81 อ่ะ ดันต่อ กระทู้แบบนี้ คือก้าวเริ่มที่แข็งแรงค่ะ ^^v จากคุณ : Yutaka (Real) เขียนเมื่อ : 23 ม.ค. 53 22:51:00

ความคิดเห็นที่ 82 . จากคุณ : พรุ่งนี้มาดันต่อ อิอิ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 53 00:17:42

ความคิดเห็นที่ 83 พี่คนจน.มีเลี้ยงข้าวด้วย? อิอิ แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 53 01:15:57 จากคุณ : สี่คูณสอง เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 53 01:15:31

ความคิดเห็นที่ 84 ช่วยดัน แอบอ่าน จากคุณ : kloomjai เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 53 02:05:04

ความคิดเห็นที่ 85 ตอนนี้ คงมีคน เป็น VI   จำเป็น กันเยอะเลยนะคะ ส่วน ดาว   ไม่ให้เสียชื่อ นักเก็ง กำไรค่ะ  ....เหวี่ยงหมดปอดไปแย้ววววววว บางตัว กำไร  แต่ บางตัว ขาดทุน โดยเฉพาะ แบงค์ ทั้งเซท ค่ะ   ขาดทุนน้อยดีกว่าขาดทุนมาก   ยังพอแก้เอาคืนได้ ไม่ยาก ค่ะ จากคุณ : ฝากไว้ก่อนแล้วจะเอาคืนเร็วๆนี้ (dawreung51) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 53 03:23:56

ความคิดเห็นที่ 86 สวัสดีวันอาทิตย์ทุกท่านครับ  เข้ามาดันต่อกระทู้เดิมนี่ล่ะครับ  แตก(กระทู้)บ่อยไม่ดี ... เปลือง   จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 53 10:23:42