Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Daily VI Discussion (DVD 34) กระทู้การลงทุนแนวเน้นคุณค่า ประจำวันที่ 01/02/10{แตกประเด็นจาก I8821403}  

Value Investor ในเมืองไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือและยกย่อง วอเร็น บัฟเฟตต์  แต่น้อยคนที่จะทำตามวิธีการลงทุนของเขาที่เน้นการลงทุนในหุ้นของกิจการที่ดีสุดยอดในราคาที่ยุติธรรมหรือที่เรียกกันว่า  Super Stock  เหตุผลคงเป็นว่า  ข้อแรก  Value Investor ในตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างจะเน้นในเรื่องของ “ราคา” ซึ่งเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของการลงทุนแบบ Value Investment ที่เสนอโดย เบน เกรแฮม  ในขณะที่  “คุณภาพ” ของกิจการนั้น  นักลงทุนคิดว่าเป็น  “ตัวประกอบ”  พูดง่าย ๆ  ถ้าราคาหุ้น “ไม่ผ่าน”   ก็ไม่ต้องดูว่าคุณภาพเป็นอย่างไร  ข้อสอง  เหตุที่นักลงทุนไม่ชอบลงทุนในหุ้น Super Stock นั้น  เพราะไม่รู้ว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นของกิจการที่ดีเยี่ยม  ถ้าจะว่าไป  หลายคนก็ยังสงสัยว่าในเมืองไทยนั้นมีหุ้นที่เรียกได้ว่าเป็น Super Stock แบบในสหรัฐอเมริกาจริง ๆ  หรือเปล่า   และสุดท้ายก็คือ  Value Investor อาจจะคิดว่า  การหาหุ้นถูกซื้อแล้วขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นขึ้นแล้วก็เปลี่ยนไปหาหุ้นถูกตัวใหม่น่าจะสร้างผลตอบแทนดีกว่าการซื้อหุ้น Super Stock แล้วถือยาวแบบ บัฟเฟตต์

ผมคงไม่ถกเถียงว่าการลงแนวไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่ากัน  แต่จะพยายามตอบคำถามว่าจะมองหาหุ้นที่เรียกว่า Super Stock อย่างไร  และต่อไปนี้คือคุณสมบัติที่ Super Stock มักจะเป็นหรือมีอยู่

leaf ข้อแรก  Super Stock จะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า  Durable Competitive Advantage (DCA) หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  และความได้เปรียบนี้เป็นเรื่องของโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก  โดยแหล่งของความได้เปรียบใหญ่ ๆ  อยู่ที่เรื่องของชื่อยี่ห้อที่โดดเด่น  และเรื่องของต้นทุนสินค้าที่ต่ำกว่าเนื่องจากกิจการมีขนาดที่เหมาะสมหรือมีขนาดที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมากโดยที่คู่แข่งไม่สามารถหรือไม่ประสงค์ที่จะเพิ่มขนาดของกิจการเพื่อให้มีต้นทุนเท่าเทียมได้  เรื่องของ DCA นี้  บ่อยครั้ง  นักลงทุนอาจจะวิเคราะห์ผิด  เอา  “ความได้เปรียบชั่วคราว”  มาเป็นความได้เปรียบที่ “ยั่งยืน”

leaf ข้อสอง  หุ้นสุดยอดนั้น  จะต้องอยู่ในช่วงของ  Virtuous Circle  หรือ “วงจรแห่งความรุ่งเรือง”  นั่นก็คือ  ในกระบวนการเติบโตของบริษัทนั้น   ทำให้บริษัทได้เปรียบคู่แข่งมากขึ้นไปอีก  เช่นต้นทุนลดลงไปอีก  ในเวลาเดียวกัน  สินค้าและบริการกลับดีขึ้นและช่วยเร่งการเติบโตของยอดขายของบริษัทเพิ่มขึ้น  เป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

leaf ข้อสาม Super Stock นั้นจะต้องมีศักยภาพสูงมาก  นั่นคือ  ตลาดของสินค้าหรือบริการจะต้องใหญ่มาก  และบริษัทอยู่ในสถานะที่จะ “ยึดครอง” ตลาดนั้นได้  พูดง่าย ๆ  เราสามารถมองคร่าว ๆ  ได้ว่าในอนาคตระยะยาว  บริษัทน่าจะสามารถมียอดขายได้ค่อนข้างสูงกว่าปัจจุบันมาก  และยอดขายนั้นจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นเป็นทวีคูณ

leaf ข้อสี่  การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมานั้นน่าประทับใจเป็นเลขสองหลัก  คือมากกว่า 10% เกือบทุกปี โดยที่ยอดขายไม่เคยลดลงเลยแม้ในยามที่เศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดวิกฤติ เช่นเดียวกัน  กำไรของบริษัทก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ในอัตราใกล้เคียงกับยอดขายหรือดีกว่า

leaf ข้อห้า  บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานดีมาก  กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสูงในหลักเกิน 15-20% ต่อปี โดยที่ไม่ได้ก่อหนี้กับสถาบันการเงินมากนัก  หนี้ที่มีอยู่สามารถชดใช้ได้ด้วยกำไรจากการดำเนินงานไม่เกิน 5 ปี

leaf ข้อหก  บริษัทมี  Cash From Operation หรือเงินสดที่ได้จากการทำธุรกิจดีมาก  และเมื่อบริษัทจะขยายงานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนมากนักเทียบกับยอดขายหรือกำไรที่จะได้รับจากการลงทุนใหม่นั้น

leaf ข้อเจ็ด  ผู้บริหารมักจะ  “เก่ง” และได้รับการกล่าวขวัญถึงมาก  พนักงานของบริษัทมักจะ “ดี” และมี “ความสุข” เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นทั่ว ๆ  ไป

leaf ข้อแปด  หุ้น  Super Stock นั้น  มักจะไม่เคยมีราคา  “ถูก” ยกเว้นในบางช่วงบางตอนที่บริษัทอาจประสบปัญหาบางอย่างที่ร้ายแรงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ   ค่า PE ของ Super Stock ในระดับ 20 เท่า นั้นเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ถือว่าแพงเมื่อเทียบกับศักยภาพของกิจการในอนาคต  และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ Value Investor จำนวนมากหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นสุดยอด  เพราะเขาเคยชินกับการลงทุนในหุ้นที่มี PE ไม่เกิน 10 เท่า

ทั้งหมดนั้นก็เป็นคุณสมบัติหลัก ๆ ของ Super Stock  แน่นอนใน Super Stock เองก็มี“ดีกรี” ที่ไม่เท่ากัน  บางบริษัทอาจจะดีกว่าอีกบริษัทหนึ่ง   และที่ชัดเจนก็คือ  บริษัทในประเทศไทยนั้นไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบได้กับ Super Stock ในอเมริกาซึ่งมีศักยภาพคลุมไปทั้งโลก  อย่างไรก็ตาม  มูลค่าของกิจการหรือ Market Cap. ของบริษัทในอเมริกาก็ใหญ่จนเทียบไม่ได้กับบริษัทไทย  ดังนั้น  เวลาพูดถึง Super Stock ในตลาดหุ้นไทยเราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นบริษัทระดับไหน

Value Investor หลายคนอาจจะไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้น Super Stock  แต่การเรียนรู้เรื่องของ  “คุณสมบัติ” ของบริษัทนั้นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อยในการที่จะช่วยเป็น  “ตัวประกอบ”  ในการเลือกหุ้นลงทุน  นั่นก็คือ  หลังจากพบหุ้นที่  “ราคาถูก”  เข้าเกณฑ์ที่จะซื้อแล้ว  ก็ควรดูถึงคุณสมบัติว่าบริษัทน่าจะอยู่ในระดับไหน  ถ้าทำได้แบบนี้  ราคาก็จะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่จะซื้อ  สิ่งที่ถูกต้องมากกว่าอาจจะเป็นว่า  ไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด  แต่เป็นราคาถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของบริษัท

Credit : โลกในมุมมองของ Value Investor 30 มกราคม 53 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

แก้ไขเมื่อ 01 ก.พ. 53 08:29:42

จากคุณ : คนจนที่อยากรวย
เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 53 07:47:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com