ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าเป็นหุ้นลงทุน หากหุ้นของผมตกไปตามสภาพตลาด ( โดยไม่เกี่ยวกับปัจจัยพฐ.ของบริษัท ) ผมจะอยู่เฉยๆ เพราะผมยึดหลักการที่ดร.เคยเขียนไว้ว่าไม่มีใครรู้จริงหรอกว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือจะลง ดังนั้นหากเราแน่ใจในพฐ.ของบริษัทที่เราลงทุน และเรามั่นใจว่าราคาที่เทรดในตลาดยังมี margin of safety อยู่มาก เราก็ควรจะรอให้ราคาสะท้อนมูลค่าของบริษัทออกมาเอง การชอร์ตหุ้นอาจทำให้เราผิดพลาดเสียหุ้นไปทั้งหมด ( เพราะเราไม่มีทางแน่ใจได้ว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือจะลง ) และทำให้เราเสียวินัยในการลงทุน จากคุณ : Idiopathic เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 22:04:54

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเป็น vi ของแท้ต้นทุนตอนนี้ควรจะอยู่ที่set ไม่เกิน450 หรือต่ำกว่านั้น จากคุณ : bubeboyd เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 22:52:13

ความคิดเห็นที่ 3 และถ้า vi เกิดใหม่ต้องรอ set ที่ 450 หรือเปล่าครับ จากคุณ : palm_ins (palm_ins) เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:27:39

ความคิดเห็นที่ 4 #2  ไม่เกี่ยวมั้งครับ ถ้าเราประเมินแล้วราคาที่ซื้อยังมี margin of safety  ก็โอเคแล้วครับ ส่วนที่ จขกท.  ถามมาอันนี้แล้วแต่จริต ของนลท. แต่ละคนครับ อย่าไปยึดติดกับคำว่า VI  เลยครับ ขอแค่เรา ซื้อ-ขายอย่างมีเหตุผล ธุรกิจที่เราสนใจผ่านการวิเคราะห์มาแล้วเป็นอย่างดี สำหรับผมนั่นก็ถือเป็น VI แล้วล่ะครับ  (เพราะ VI จริงๆแล้วก็มีหลากหลายสไตล์ ตามแต่จริตของแต่ละท่าน) ปูลม. ถ้า จขกท. มั่นใจ > 70% จะชอร์ทหุ้นก็ทำได้ครับ  เพียงแต่ว่าเรามั่นใจ + อ่านตลาดได้ขาดอย่างเซียนๆเทคนิคอลรึเปล่าครับ ? ถ้าทำไม่ได้ก็อยู่เฉยๆดีกว่าครับ แหะๆ  ถ้าทำได้มันก็ดีไป ถ้าจะชอร์ทก็วางแผนดีๆ แล้วทำตามแผนครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 53 23:33:55 จากคุณ : Landscape (ภูมิทัศน์) เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:33:36

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่เคยอ่านๆ มาสำหรับคนที่มีแนวทาง แบบ VI แท้ๆ เขาจะไม่ทำ Short Sell นะครับ โดยส่วนตัว มองเรื่องนี้ แตกต่างออกไป ในเมื่อ VI มีแนวคิด คือ การหาค่า Intrinsic Value แล้วกำหนด เป็นราคาที่เหมาะสม สำหรับหุ้น ตัวหนึ่งๆ จะเข้าซื้อ เมื่อมีส่วนลด โดยทำหน้าที่เป็นกันชนแห่งความปลอดภัย ในระดับที่กำหนด หรือ Margin of Safety : MOS แต่ในเมื่อ แม้แต่ วอร์เรน บัฟเฟตเอง เขาก็กล่าวไว้ว่า จะขายหุ้น เมื่อพื้นฐานกิจการเปลี่ยน หรือ ราคาเกินปัจจัยพื้นฐาน คำถาม ก็คือ ถ้าพื้นฐานเปลี่ยน หรือ ราคาเกินปัจจัยพื้นฐาน หรือ ราคาเกิน Intrinsic Value ไปมาก ทำไม มองแค่ว่า ถ้าถือหุ้นอยู่ ให้ทำการขายออก ทำไม ไม่มอง ในมุมกลับว่า  หุ้นตัวนั้น มี Margin of Danger : MOD ถือหุ้นอยู่ ก็ขายทิ้ง ซึ่งก็ถูกต้อง แต่ แม้ไม่ถือหุ้น ก็ทำ Short Sell   ได้นี่ ( หรือ ขายต่อเนื่อง จากที่เคยถืออยู่ คือ ขายที่มีจนหมด และ ขายชอร์ทเพิ่มอีกด้วย ) ทำไม ชาว VI แท้ๆ ถึงไม่มีใครทำกัน ทำไม จึงคิดว่าจะทำกำไร จาก Captital Gain ได้แค่แบบเดียว ถ้าการประเมิน ราคา Intrinsic Value = 100 บาท / หุ้น เมื่อ ราคาหุ้นอยู่ที่  70 บาท ก็เท่ากับว่า มี MOS = 30 % แต่ ถ้า ราคาหุ้นอยู่ที่ 130 บาท ก็เท่ากับว่า มี MOD = 30 % เหมือนกัน มิใช่หรือ ถ้าไม่มั่นใจ ในค่า Intrinsic Value ก็ต้องไม่มั่นใจในการซื้อ แม้จะมี MOS เช่นกัน ทำไมเป็น VI แล้ว ต้องคิดว่า ทำกำไร ได้เพียงขาเดียว ล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 09:43:51 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:34:37

ความคิดเห็นที่ 6 มุมมองของพี่ The Rounder เป็นเรื่องใหม่สำหรับผมครับ  ผมไม่เคยมองจุดนี้มาก่อน  ขอบคุณครับ แต่ ... ผมเล่น short sell ไม่เป็น   และ จนถึงตอนนี้ ผมเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ ว่า Intrinsic Value ที่ผมคำนวณออกมาในหุ้นแต่ละตัวที่ผมถือลงทุนนั้น ถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือจริงๆแล้ว ผมแค่ฟลุคซื้อหุ้นถูกจังหวะแล้วอดทนถือมันอย่างเดียวเท่านั้น ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:49:48

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้าเชื่อกันว่า Mr.Market เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่ค่อยมีเหตุผล ในการเสนอราคา ซื้อ - ขาย หุ้น  ในแต่ละวัน หรือ แต่ละช่วงเวลา เวลาอารมณ์ไม่ดี มองโลก ในแง่ร้าย ก็เสนอขาย หุ้น ในราคาต่ำกว่า ความเป็นจริง เราก็หาประโยชน์ จาก เขาได้ และ เวลาที่ Mr.Market อารมณ์ดี ก็จะมองโลก สดใส ก็เสนอซื้อ หุ้น ในราคาสู่งกว่า ความเป็นจริง เราก็น่าจะหาประโยชน์ จากเขาได้ เหมือนกันนี่ ดังนั้น โครงสร้าง ขนาน ในตรรกะ ของระบบการตัดสินใจ ก็น่าจะเป็นว่า ซื้อ เมื่อมี MOS และ ขาย หรือ ทำShort Sell เมื่อมี MOD มิใช่หรือ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 10:13:34 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:50:38

ความคิดเห็นที่ 8 คห.7   โดยส่วนตัวเชื่อว่าเป็นเพราะ "ความโลภ" ครับ  โลภอยากได้กำไรมากขึ้นไปอีก ... หรือไม่ก็ จะมีเหตุผลรองรับว่า พื้นฐานบริษัทยังดีอยู่ ปัจจัยยังไม่เปลี่ยน ราคาตอบสนองโครงการในอนาคต ฯลฯ หรือไม่ก็ เห็นราคาวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยเริ่มโลเลว่าเราตีมูลค่าต่ำเกินไปหรือเปล่า สุดท้ายก็เลยปรับราคา target ตามขึ้นไปเรื่อยๆ  ... หรือเปล่าครับ (ผมก็พูดไปเรื่อย) - -" แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 53 23:59:33 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:57:05

ความคิดเห็นที่ 9 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 00:01:23 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 13 ก.พ. 53 23:59:48

ความคิดเห็นที่ 10 โห .. พี่ The Rounder เอาอย่างนี้เลยเหรอครับ 55   ผมไม่กล้าอะ ><  (จริงๆแล้ว เล่น Tfex ไม่เป็น) ปล. เขาอาจจะมองว่า SET ไม่ได้เป็นหุ้น ไม่ได้เป็นบริษัทที่เราจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน งบการเงิน หรือปัจจัยแวดล้อมได้เหมือนหุ้นรายตัวก็ได้น่ะครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 00:03:35

ความคิดเห็นที่ 11 จำได้ว่าสองสามปีก่อน บัฟเฟต ก็เคยช็อตค่าเงินนี่ครับ เพราะว่ามัน"สูงเกินไป" แล้วก็ทำกำไรได้เยอะด้วย แต่จำรายละเอียดมากกว่านี้ไม่ได้แหล่ว ขออำภัยๆ (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 00:09:42

ความคิดเห็นที่ 12 Another milestone event is as recent as early 2005. This involved Warren Buffett the founder of Berkshire Hathaway (the fourteenth-largest U.S. company, according to the July 4, 2006 , issue of Fortune magazine). When the financial media was pounding out news stories that the dollar was in trouble, Warren made a statement that he was heavily short the U.S. dollar. Unfortunately, once he made that announcement, the dollar gained value and rallied for most of 2005. If you did not do your own research or homework and blindly followed his advice, things did not turn out so well for you. --- What may have contributed to the dollar rally in 2005 and hurt Mr. Buffett's position was the fact that other players may have been preying on his position. Berkshire Hathaway, Inc., is without a doubt a high-profile player. So when Warren Buffett announced he was going to cut back speculative positions against the U.S. dollar after losing profits due to surprising dollar strength, the buying to cover his shorts boosted the dollar. Keep in mind that Mr. Buffett had bet that the dollar would continue losing ground, as it did in 2004; he felt the massive U.S. current account deficit would be dollar negative. But instead, monetary policy dictated otherwise, as the Federal Reserve continued to raise interest rates. That was helping to drive demand as the interest rate differentials widened. In its third-quarter report in 2005, Berkshire Hathaway said it had cut its foreign-currency exposure from $21.5 billion to $16.5 billion. That was a significant amount of selling foreign currencies and buying U.S. dollars. แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 00:27:52 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 00:25:04

ความคิดเห็นที่ 13 . จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 00:37:36

ความคิดเห็นที่ 14 หลายปีมาแล้วเคยขาย advanc ไปที่ 50 กว่า ๆ CP711 (CPALL) ที่ 6 B BIG C ที่ 17 จากคุณ : polymerman เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 06:29:59

ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อต้นปี 52 ผมเคยลงทุนหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา สองบาทกว่าๆ โดยหุ้นตัวนี้ผมประเมินมูลค่าที่แท้จริงในแบบของผมที่ราคาประมาณหกบาท ช่วงที่เซ็ตขึ้นมาแถวเจ็ดร้อยจุด ราคาหุ้นก็วิ่งมาที่ห้าบาทกว่าโดยที่ผมยังถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ทเท่าเดิม จนเมื่อตลาดโดนวิกฤตข่าวลือในกลางเดือนตค. ผมขายหุ้นตัวนี้หมดพอร์ต ที่ราคาสี่บาทกลางๆ แล้วก็ยังเฝ้าดูหุ้นตัวนี้อยู่จนหลังปีใหม่ก็เริ่มกลับมาทยอยซื้อหุ้นตัวนี้อีก จนเต็มวงเงินที่ขายไป ที่ราคาฉลี่ยสามบาทปลายๆ สรุปก็คือ ผมยังมีหุ้นตัวเดิม ที่ยังมั่นใจในพื้นฐาน และได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอีก20เปอร์เซนต์ ทั้งนี้ผมมองว่าถึงแม้เราจะยึดแนวทางลงทุนแบบวีไอ แต่พอถึงเวลานึงที่ผลประกอบการสะท้อนถึงราคา มันก็จะมีกลุ่มนักเก็งกำไร เข้ามามะรุมมะตุ้มหุ้นวีไอของเรา อย่างหุ้นตู้เย็นนั่นปะไร  เพราะฉะนั้น นอกจากการดูพื้นฐานหุ้นแล้ว การมองแนวโน้มตลาดให้ออก การดูเทคนิคสัญญานบางอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่เราจะศึกษาไว้ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 08:22:59 จากคุณ : jek ae เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 08:21:09

ความคิดเห็นที่ 16 หลายคน ซื้อหุ้นตอนช่วงพีค (ราคาขึ้นสูงสุด) พอราคาตกลงมา ไม่กล้าขาย กลัวขาดทุน ก็เลยทึกทักว่า ขอทำตัวเป็นแบบนักลงทุน vi ทั้งๆที่ ตามหลักการมิได้เป็นเช่นนั้น อย่างแรก คุณดูธุรกิจที่คุณสนใจ และทำการหามูลค่าที่แท้จริง หรือ มูลค่าที่ควรจะเป็น ของหุ้นที่คุณคิดจะลงทุนก่อน รวมถึงปัจจัยที่ต้องติดตาม เช่น แผนการของบริษัท ในอนาคต อาจจะต้องเข้าไปประชุมผู้ถือหุ้นสักครั้ง เพื่อดูวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ฯลฯ พอคุณเลือกหุ้น + ราคาหุ้นเหมาะสม ก็ทะยอยซื้อสะสม .. พอหุ้นราคาลง โดยพื้นฐานไม่เปลี่ยน ยิ่งเข้าซื้อมากขึ้น เพราะดูว่าหุ้นราคาถูก เงินเท่าเดิม ซื้อหุ้นได้มากขึ้น จากคุณ : kasimasi เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 08:24:50

ความคิดเห็นที่ 17 ดาบของอาฮุยตีจากเหล็กธรรมดา กระบวนท่ากลับธรรมดายิ่งกว่า แต่ดาบของอาฮุยมีดีอย่างคือไวกว่าศัตรู เมื่อวิกฤตไม่ได้ตัดสินที่กระบวนท่า แพ้ชนะเพียงเร็วกว่าแค่ชั่วพริบตา จากคุณ : ลัคนา เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 09:46:32

ความคิดเห็นที่ 18 ^ อาฮุย ใช้กระบี่ครับ อิ อิ ลี้ถ้ำฮวยใช้มีดบิน เฃียวจับอิดนึ้งกับ เต็งพ้งใช้ดาบไวครับ เล็กเซี่ยวหงส์ สุดยอดที่สุด ใช้ดรรชนีสัมพันธ์จิตใจคีบของมีคมได้ทุกชนิด ขออภัยครับ นอกเรื่องหาเฮียโกวเล้งมากไปหน่อย จากคุณ : jek ae เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 10:15:22

ความคิดเห็นที่ 19 # 18 ชอบอ่านเหมือนกันรึครับ ขออภัยครับ เรื่องเดียวกับที่นอกเรื่องอีกสักนิด จากคุณ : ลัคนา เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 10:26:53

ความคิดเห็นที่ 20 โดยส่วนตัว ชื่นชอบ คนนี้ครับ ---------------------------------------- มิยาโมโต้ มูซาชิ (Miyamoto Musashi) ---------------------------------------- ซามูไรดาบคู่ ที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ มีชีวิตอยู่ในราว ค.ศ. 1584-1645 จากประวัติการต่อสู้กว่า 60 ครั้ง ไม่เคยแพ้เลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นไม่ใช่โชคช่วย แต่เป็นเพราะฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะ การฝึกจิต เพื่อเอาชนะศัตรู ภายในตนเอง จนกระทั่ง   ”มีความสามารถที่จะรบชนะ” Credit : http://www.oknation.net/blog/karnn/2009/04/28/entry-2 ---- หนังสือ เล่มข้างล่างนี้ ทำให้ โลกทัศน์ และ ชีวทัศน์ ของตัวเอง ทั้งในเรื่องส่วนตัว และ การลงทุน เปลี่ยนแปลง จากเดิม ไปอย่างมากมาย ================================ The Sword of Mindfulness “มูซาชิ” ฉบับท่าพระจันทร์ ================================ มูซาชิ... ฉบับท่าพระจันทร์   เป็นนวนิยายที่บอกเล่าถึงประวัติของ มิยาโมโต้ มูซาชิ  จอมดาบแห่งยุคสมัย เขียนโดย  สุวินัย ภรณวลัย ซึ่งอ้างอิงจากอมตะนิยายเรื่อง “มิยาโมโต้ มูซาชิ” ของ โยชิคิว่า เอญิ     สุวินัย  เล่าถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยการต่อสู้อย่างเร้าใจ แฝงเร้นด้วยเรื่องราวของความรักที่จับจิต อาวุธของมูซาชิ นั้น มิใช่คมดาบ  หากแต่เป็น คมความคิด ที่ชักชวนให้ผู้อ่านตะลึงพรึงเพริด ไปกับ การติดตาม และ ย้อนถามตัวเอง        “   วิถีชีวิตของมูซาชินั้น แบ่งช่วงเป็นสองช่วงใหญ่ๆ คือ ช่วงที่แสวงหาคู่ต่อสู้ เพื่อโค่นล้มเอาชนะ  และ ช่วงการฝึกจิต เพื่อเอาชนะศัตรูภายในตัวเอง”     Credit : http://share.psu.ac.th/blog/puy1/11856 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 10:59:31

ความคิดเห็นที่ 21 . จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 10:59:45

ความคิดเห็นที่ 22 musashi เคยทำออกมาเป็นเกมส์ด้วยครับ  ตอนเด็กๆชอบเล่น อิอิ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 11:11:21

ความคิดเห็นที่ 23 ตามเรื่องของจขกท. ก่อนนี้ไม่ได้ป่วนนะครับ แต่ผมว่าอย่ายึดติดกับหลัก หลักเอาไว้เป็นแนวไม่ใช่เอาไว้มัดตัวเอง ผมเองก็ลงทุนหุ้นคุณค่า พอร์ทเกือบเต็มทุกวันตลอด 2 ปี แต่ก็เอาหุ้นคุณค่าที่ว่าบางส่วนมาเล่นรอบเกือบทุกวัน เก็บไว้นาน กลัวบูด หมุนเวียนเอาของใหม่เก็บแทน จะสั้นจะยาวเอาที่เราสบายใจเป็นพอ บางเวลา เงินทองพันชั่ง ไม่เท่าเหล้าหนึ่งจอกตรงหน้า จากคุณ : ลัคนา เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 11:22:13

ความคิดเห็นที่ 24 นอกเรื่องอีกนิด หนังสือ " มูซาชิ " แนวไหนครับ ชีวประวัติ หรือ บู๊ลิ้ม จากคุณ : ลัคนา เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 11:31:11

ความคิดเห็นที่ 25 คือ ตอนแรกที่อ่านจบนี่ งงมาก นี่มันจบแล้วเหรอ? มันเหมือนกันว่าเราเพิ่งเริ่มอ่านเมื่อ 1 นาทีก่อนหน้านี้เอง ไม่อยากให้จบเลยจริงๆ  เคยบอกกับตัวเองว่า อยากเป็นเหมือนกับมูซาชิเหมือนกัน ซึ่งเราบอกตามตรงเลยว่า "มูซาชิเป็นผู้ชายที่ยิ่งใหญ่จริงๆ" แต่ถ้าเทียบกับนิยายแฟนตาซี หรือ รักหวานแหวว ที่คนส่วนใหญ่นิยมอ่านแล้ว ในความคิดของ เราคิดว่านิยายแฟนตาซี หรือ รักหวานแหววนี่  สนุกกว่ามูซาชิซะอีก! แล้วมูซาชิไม่สนุกเหรอ? สนุกซิ สนุกในระดับหนึ่ง ทำไมถึงบอกว่าสนุกในระดับหนึ่ง? ก็เพราะว่าสิ่งที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ความสนุก แต่เป็นปรัชญาที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตจริงๆ หนังสือเล่มนี้นำเสนอถึงผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อมิยาโมโต้  มูซาชิ ซึ่งมีความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกับมนุษย์ทั่วๆไป   แต่ทำไมเราถึงชื่นชมมูซาชิ? ก็เพราะว่ามูซาชิพยายามกำจัดความรู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนน่ะซิ! ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงวิถีชีวิตของมูซาชิ ที่ผ่านชีวิตช่วงที่รุ่งโรจน์  และช่วงดับ ได้อย่างเข้าถึงอารมณ์จริงๆ   เอาหัวตัวเองเป็นประกันเลยว่า อ่านแล้วได้ข้อคิดจริงๆ Credit : http://www.jj-book.com/jjbook/view.php?qs_qno=218&PHPSESSID=6f8585b5eecf022039c77d3835abbe23 ------------------------------------------------------ ขออภัย / ที่แสดงความเห็น นอกประเด็น ของกระทู้ ------------------------------------------------------- สำหรับ เรื่อง มูซาชิ ถ้าใครสนใจก็ลองเสิร์ช ดูละกันครับ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 12:03:25

ความคิดเห็นที่ 26 ============================= ทำไมเป็น VI แล้ว ต้องคิดว่า ทำกำไร ได้เพียงขาเดียว ล่ะครับ ============================= ตอบพี่ The Rounder VI ลงทุนด้วยเหตุผลครับ ตราบใดที่การลงทุนมีเหตุผลรองรับ และมี margin of safety การลงทุนก็จะปลอดภัย กำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยง ส่วนการ short นั้น ผมไม่มีข้อมูลว่าเคยมี VI คนไหน short หุ้นหรือเปล่า แต่การ short หุ้นเพียงแค่เพราะเห็นส่วนต่าง จาก Intrinsic Value ที่ประเมินนั้น ผมว่าเหตุผลอ่อนมาก และเชื่อว่า vi ส่วนใหญ่จะไม่ทำอย่างนั้น เพราะการ short หุ้น มีต้นทุนทางการเงินสูงมาก และสำหรับเครื่องมือตัวนี้ ผมมีความเห็นว่า เหมาะสำหรับนักเก็งกำไรจากส่วนต่างราคา มากกว่าเป็นการลงทุน ซึ่งสวนทางกับปรัญญา vi ที่ต้องการลงทุนโดยกดต้นทุนให้ต่ำ ยิ่งลงทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำมากเท่าไหร่ การลงทุนก็ยิ่งปลอดภัย เหมือนการโดดลงหลุมหลบภัยชั้นดี หรืออยู่ภายใต้ป้อมปราการอันแข็งแกร่ง ไม่มีใครมาทำอันตรายได้ หรือซื้อกิจการที่ราคาถูกเสียจน แม้จะขายออกไปในราคาแย่ๆ ก็ยังมีกำไร ฉันใดก็ฉันนั้นครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 12:33:07 จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 12:08:11

ความคิดเห็นที่ 27 ถ้าท่าน ส.สลึง ตอบแบบนี้ ไม่รู้สึกว่า เป็การ ใช้ตรรกะ เพียงด้านเดียว หรือครับ --- ....VI ลงทุนด้วยเหตุผลครับ ตราบใดที่การลงทุนมีเหตุผลรองรับ และมี margin of safety การลงทุนก็จะปลอดภัย กำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยง.... v v ตรงนี้น่าจะ คลาดเคลื่อนแล้วล่ะครับ เพราะ  MOS ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จะทำกำไรได้ โดยไม่จำเป็นต้องเสี่ยง เพราะ Key word จริงๆ  ไม่ได้อยู่ที่ MOS นี่ครับ แต่อยู่ที่ว่า จะประเมินค่า  Intrinsic Value ได้เท่าไหร่ แล้วจึงค่อย กำหนดค่า MOS ทีหลัง เพื่อให้มีส่วนลด จนรู้สึกว่าปลอดภัย มิใช่หรือครับ ผมจึงถามถึง ตรรกะ คู่ขนาน ไงครับ ถ้าประเมิน Intrinsic Value ได้แล้ว และ ราคาหุ้นได้สูงเกินจริง  ก็ตัดสินใจขายได้ มิใช่หรือ จากนั้น ก็ได้ ถามต่อเนื่องไปว่า แล้วถ้าไม่มีหุ้นอยู่ ก็ขายชอร์ท ได้ด้วยนะสิ มีตรงไหน ที่ตรรกะ คู่ขนานนี้ ไม่ถูกต้องล่ะครับ เพราะ เป็นการใส่ นิเสธ ให้กับ ตรรกะเดิม เท่านั้น นะครับ ถ้าตรรกะ คู่ขนาน ไม่ถูกต้อง นั่นหมายถึง ตรรกะเดิม ที่เป็น ปรัชญา ของการลงทุน แบบ VI  ดั้งเดิม   ก็ย่อมสรุป ได้ว่า ไม่ถูกต้อง เช่นเดียวกัน นะครับ --- สำหรับเรื่อง ต้นทุนทางการเงิน ก็เช่นเดียวกัน ซื้อหุ้นแบบ Long ไม่เสียค่าคอมฯ หรือ ครับ แล้วการ Short sell มีต้นทุนตรงไหนสูงกว่า หรือ ถ้า Position Size เท่ากัน หรือ เทียบที่ มูลค่าการลงทุน เท่าๆกัน (หลายๆกรณี ต้นทุนต่ำกว่าอีกด้วย) --- สมมติว่า ดัชนีตอนนี้ อยู่ที่ 2500 P/E เฉลี่ยของตลาด  อยู่ที่ 60 เท่า VI  พันธุ์แท้ ต้องรอให้ตลาดหุ้นพัง แล้วก็รอช้อนซื้อหุ้น ในราคาถูก ตามราคา ที่แต่ละคนประเมินไว้ แล้วรอ ให้หุ้นขึ้น อีกทีอย่างนั้น น่ะหรือครับ ถ้าเชื่อว่า เป็นหลักการที่ถูกต้อง ก็แล้วแต่ครับ อะไรที่คิดว่า เหมาะกับตัวเอง ก็ดีทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ อยากแสดงความเห็น ในอีกด้าน เท่านั้นเองครับ --- ในเวปเฉพาะด้าน  VI เอง ก็ได้เข้าไปอ่านอยู่ บ่อยๆ ตั้งแต่ เวปเปิดใหม่ๆเลยด้วย เพราะ ศึกษาแนวทางของ Warren Buffett ก่อนเวปนั้น เปิดเสียอีก เข้าไปอ่าน เพื่อสอบทานโลกทัศน์ของตนเอง ว่าไม่ได้มองข้าม หรือ หลงลืม อะไรไป แม้ไม่ได้เลือก เส้นทาง นั้น แต่ที่สำคัญ  ก็คือ  เคยสัมผัสได้ถึง กรอบความคิด ที่ค่อนข้างยึดติด  ในเวปนั้น จะเรียกว่า มั่นคงในหลักการ ก็ได้ แต่ถ้ามองอีกด้าน ก็รู้สึกว่า  ปิดกั้นตนเอง  เหมือนกันน่ะครับ เลยเข้าไป อ่านอย่างเดียว ไม่อยากแสดงความเห็น อะไรออกไปครับ อ่านกระทู้แล้ว เห็นด้วย ก็พยักหน้า ให้จอ LCD ไม่เห็นด้วย ก็ยิ้มให้กับ คีย์บอร์ด โดยเฉพาะ เรื่อง ทางเทคนิค แม้ภายหลัง เวปนั้น จะเปิดห้องย่อย ทางเทคนิค ให้แล้ว แต่ก็เหมือนเป็น ห้องทานเนื้อ ในโรงเจ ยังไง ยังงั้น --- อยากแสดงความเห็น ในห้องสินธร นี้ มากกว่า ครับ เพราะคิดว่า คนที่เล่นห้องนี้ มีความหลากหลาย และ ยืดหยุ่นทางความคิด มากกว่าครับ ---- เอาเป็นว่า เห็นด้วย หรือ เห็นต่าง ก็ลองแสดงความเห็น กันดูครับ แต่ เซฟกระทู้นี้ ไว้ละกัน สักวันหนึ่ง หลายๆท่าน จะต้อง นึกถึง และ อยากทบทวน  :) ------------------------------------ หมายเหตุ : ทั้งหมด คือ ความเห็นส่วนตัว โปรดอ่านด้วยวิจารณญาน แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 13:08:28 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 12:54:38 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 12:44:54

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นด้วย ก็พยักหน้า ให้จอ LCD ไม่เห็นด้วย ก็ยิ้มให้กับ คีย์บอร์ด -------------------------------------------- นึกภาพตามแล้วตลกดีครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 12:51:24

ความคิดเห็นที่ 29 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 12:53:52

ความคิดเห็นที่ 30 ส่วนตัวผมมองว่าการลงทุนแบบ VI ไม่ได้ดูที่อะไรเป็นอย่างเดียว หรือไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่นอกเหนือจากแนว fundamental เลยซะทีเดียว พูดง่าย ๆ คือ การลงทุนแบบ VI คือ "กำไรเมื่อซื้อ" ไม่ใช่ "กำไรเมื่อขาย" MOS หรือ Margin of Safety ก็เป็นเพียงแค่ตัวกำหนดความปลอดภัยของราคาหุ้น บางคนเข้าใจผิวเผิน เห็นราคาหุ้นมี MOS เมื่อวิเคราะห์ที่ข้อมูลจากปัจจุบัน สุดท้ายแล้วโอกาสที่จะผิดพลาด ก็มี เพราะอะไร? เพราะว่าการลงทุนแบบ VI มันคือการลงทุนด้วยวิสัยทัศน์ (Vision) คุณต้องมองให้ทะลุ ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตคืออะไร ไม่ใช่การเปิดเวป SET ดูราคาหุ้น ดูปันผล แล้วซื้อเลย บอกว่าตัวนี้ดี กำไรสม่ำเสมอ ปันผลดี ... นั่นคือการมองแค่อดีต ไม่มี Vision ไม่ใช่การซื้อเพราะมีข่าวอึกทึกครึกโครมว่าบริษัทนี้กำลังจะรุ่ง โดยไม่ได้ดูเหนือดูใต้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ไม่ใช่การเห็นว่าหุ้นวันนี้เป็นสีเขียว แล้วใช้เวลา 3 วินาทีตัดสินใจซื้อเลย และไม่ใช่การซื้อแล้วถือยาว เพราะติดดอยแบบไม่ได้ตั้งใจแล้วอ้างว่าลงทุนแบบ VI (Very-long Inadvertency) การมองและพิจารณา MOS ด้วยข้อมูลปัจจุบันผมมองว่าเป็นเรื่องผิวเผินมาก ๆ หุ้นที่ตอนนี้ดี แต่กำลังร่วง คุณจะมอง MOS ไว้สูง ... สุดท้ายแล้วเมื่อผลประกอบการในอนาคตสะท้อนความจริง คุณก็จะต้องมาช้ำใจ แต่หุ้นที่ไม่มีใครสนใจ แต่อนาคตกำลังจะไปได้ดี คนทั่วไปส่วนมากจะพิจารณา MOS ไว้ราคาต่ำ .. สุดท้ายแล้วก็เสียโอกาส เพราะว่าคนที่เค้าเห็นอนาคต เค้าเอาไปกินหมด ดังนั้น หลักการมอง MOS ต้องไปคู่กับ Vision ในการมองเห็นอนาคต มองให้ออกว่าหุ้นที่จะซื้อจะเป็นอย่างไร ไปในแนวทางที่เราต้องการหรือไม่ ยกตัวอย่าง การซื้อ CPALL ของ ดร.นิเวศน์ ก็เป็นการซื้อที่กำหนด MOS ด้วย Vision เป็นการซื้อเพื่ออนาคต เพราะถ้าท่านกำหนดด้วยมูลค่า ณ เวลาที่ซื้อ ท่านคงไม่ได้ซื้อเพราะราคามันสูงเกิน จริง ๆ ถ้าจะให้อธิบายหลักการ Value Investment 100 คน ก็จะอธิบายแตกต่างกันไป ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่ส่วนตัวผม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนแบบ VI คือ "ซื้อบริษัทที่ดี ผู้บริหารมีธรรมาภิบาล และถือตราบเท่าที่มันยังเป็นกิจการที่ดี" แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 13:43:51 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 13:39:54 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 13:38:48 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 13:38:14

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่รู้ว่าเป็นตรรกะด้านเดียวหรือเปล่า แต่ก็ยินดีแลกเปลี่ยนครับพี่ The Rounder ============================ แต่อยู่ที่ว่า จะประเมินค่า  Intrinsic Value ได้เท่าไหร่ แล้วจึงค่อย กำหนดค่า MOS ทีหลัง เพื่อให้มีส่วนลด จนรู้สึกว่าปลอดภัย ============================ ก็ไม่เชิงครับ เพราะมีกลุ่ม vi ที่ให้ mos เป็นส่วนลดที่เป็นตัวเลข กับกลุ่ม vi ที่ให้น้ำหนัก mos ในเชิงคุณภาพด้วย ซึ่งผมก็เล็งเห็นว่าการให้ mos ในเชิงคุณภาพของกิจการ มีความสำคัญไม่น้อย เพราะมันทำให้ vi ปลอดภัย จากการลงทุนในธุรกิจคุณภาพต่ำได้ เช่น PE ถูกถาวร ได้ ฯลฯ ส่วนจะใส่ mos ทีหลัง หรือจะใส่ตั้งแต่ทีแรก ก็แล้วแต่สไตล์ vi แต่ละคนครับ ============================ สำหรับเรื่อง ต้นทุนทางการเงิน ก็เช่นเดียวกัน ซื้อหุ้นแบบ Long ไม่เสียค่าคอมฯ หรือ ครับ แล้วการ ทำ Short sell มีต้นทุนตรงไหนสูงกว่า ตรงไหนหรือ ============================ คือผมคิดอย่างนี้ครับพี่ The Rounder ว่า Long กับ Short เป็นสัญญาซื้อขาย ไม่เหมือนหุ้นครับ ที่เป็นสินทรัพย์ แถมใช้เป็นมรดกได้ ฯลฯ นอกจากนี้ Long กับ Short ก็มีข้อจำกัด ที่ทำให้ต้นทุนสูง คือเรื่อง timing กรณีถ้าการคาดการณ์ของเราไม่ถูกต้อง แถมพาลจะพาให้เราเสียหายได้โดยไม่จำเป็น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า จะไปให้ mos ได้ยังไง เพราะมันเป็นเกมที่มีกำหนดเวลา ไม่เหมือนหุ้น หุ้นไม่มี timing แถมมีเหตุผลรองรับ คือพฤติกรรมของตัวมันเป็นสินทรัพย์ ทำให้ประเมินมูลค่าได้ เมื่อกิจการเติบโต มูลค่าก็เพิ่ม และเมื่อจ่ายปันผล ต้นทุนทางการเงินก็ต่ำลง ซึ่ง Long กับ Short ไม่มีให้ครับ ============================= VI  พันธุ์แท้  ต้องรอให้ตลาดหุ้นพัง แล้วรอช้อนซื้อในราคาถูก ตามราคา ที่แต่ละคนประเมินไว้ แล้วรอ ให้หุ้นขึ้น อย่างนั้น หรือครับ ============================= ตลาดหุ้นไม่เคยพังหรอกครับ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ใจของเราเองต่างหาก ที่ไหวไปกับมันเอง สำหรับ vi พันธุ์แท้ ผมมีความเชื่อว่า... Stay calm, stay invest ครับ และไม่ได้ใส่ใจแนวโน้มของตลาด แต่ใส่ใจกับ Value ของสิ่งที่ลงทุนมากกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่หุ้นก็ได้ครับ อ้อ.. แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจครับ ก็อย่างที่บอก vi ชอบของถูก เวลาตลาดลงมาแรงๆ เห็น vi ลิงโลดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผมก็เป็น แต่แม้ว่าตลาดจะไม่ลง vi ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาลงทุน ก็มีเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้หนีหายไปไหน เป็นเพื่อนนักลงทุนกับพี่ฯ ในตลาดนี่แหละ ============================== แต่ที่สำคัญ  ก็คือ  เคยสัมผัสได้ถึง กรอบความคิด ที่ค่อนข้างยึดติด  ในเวปนั้น จะเรียกว่า มั่นคงในหลักการ ก็ได้ แต่ถ้ามองอีกด้าน ก็รู้สึกว่า  ปิดกั้นตนเอง  เหมือนกันน่ะครับ =============================== ผมว่าเพื่อนนักลงทุนที่ thaivi.com ยึดมั่นในหลักการเป็นเรื่องดีมากๆ ครับ เพราะคนที่ตั้งใจจะเป็น vi จะได้ไม่ไขว้เขว และเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักลงทุนรุ่นน้องๆ ซึ่งตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไร และต้องเรียนรู้อีกมาก แต่.. ผมว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ thaivi ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไรนะครับ และต้องเข้าใจเพราะที่นู่นกติกามากมายกว่าที่นี่ คนจะไปโพสที่นู่น เช่น วิเคราะห์พื้นฐาน ฯลฯ อย่างน้อยๆ ก็ต้องทำการบ้านบ้าง ไม่ใช่ไปลอยๆ พวกๆ กัน เขาหวังดี ถามกลับมา ตอบไม่ได้ จะไปโทษเขาก็คงไม่ดี แต่อาจจะเหมือนกวนหน่อย เพราะเหตุผลเรากว้างไป และอาจจะต้องถามตัวเราเองกลับด้วยครับ ว่าพร้อมมั๊ย ? ที่จะรับฟังความคิดของคนที่นู่นด้วยเช่นกัน จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 13:40:25

ความคิดเห็นที่ 32 ครับ จริงอย่างที่พี่ Morning Star ว่า... คือเรื่อง margin of safety นี่ สำหรับ vi แล้ว เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้ ถ้าฟังเผินๆ ดูง่าย... แต่พาลพา vi ตกม้าตายมาก็เยอะครับ จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 13:44:06

ความคิดเห็นที่ 33 สมมุติว่าเกิด วิกฤตอีกรอบ รอบนี้ดูรุนแรงกว่าที่เมกา แต่เมืองไทยกำลังเป็นบวก ตัวเลขค้าปลีกเพิ่มขึ้น ดัชนีสัก 800 การเมืองเริ่มนิ่ง ไม่มีความรุนแรง คุณคิดว่า VI ที่ถือ CPALL อยู่เต็มแม็กจะขายก่อนแล้วรอซื้อใหม่ หรือถือไว้หยั่งงั้นเพราะตัวพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนเดี๋ยวฝุ่นจางราคาก็กลับมาเอง ปี51ผมเห็น KTB งบQ3อย่างสวยเลย ยังไงก็ไม่เจ๋งเพราะของรัฐ แต่ราคาจาก 6 บาทหล่นเหลือ 3 บาทกว่า ผมเชื่อว่าลงทุนหุ้นแนว VI ได้ตังแน่นอนแต่ได้ไม่เท่ากัน คนมี 100ล้านเอาชัวร์ ปีละ 10 %ก็พอ แล้วเราล่ะ เท่าไหร่พอ จากคุณ : ลัคนา เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 14:18:55

ความคิดเห็นที่ 34 สำหรับ การเป็น VI ด้วย Vision โดยส่วนตัว ก็เห็นด้วยครับ   แต่ตรงจุดนี้ นี่แหละครับ ที่จะกลายเป็นประเด็น ใหม่ว่า ตกลงแล้ว ถ้าไม่มี Vision ก็เท่ากับ ลงทุนในแนวนี้ไม่ได้ ใช่หรือเปล่า แล้วถ้า ลงทุนแนว VI แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็แสดงว่า ผู้ลงทุน ไม่มี วิสัยทัศน์ อย่างนั้นสิครับ แล้วการที่ ใครสักคน จะกลาย เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ต้องทำอย่างไรล่ะครับ สร้างกันอย่าไร หรือ กลายเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ของแต่ละคน ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่เกี่ยวอะไร กับ แนวทาง VI เลยนี่ครับ เป็นเรื่องคุณสมบัติของนักลงทุน ไปซะแล้ว ถ้ามีวิสัยทัศน์ ทำอะไร ก็รุ่งครับ เหตุผลนี้ เหมือนกำปั้นทุบดิน เกินไป หรือเปล่า --- ...ซึ่งผมก็เล็งเห็นว่าการให้ mos ในเชิงคุณภาพของกิจการ มีความสำคัญไม่น้อย เพราะมันทำให้ vi ปลอดภัย จากการลงทุนในธุรกิจคุณภาพต่ำได้ เช่น PE ถูกถาวร ได้ ฯลฯ v v ตรงนี้ ก็น่าสนใจครับ เพราะ ถ้ามองเป็นเชิงคุณภาพ แล้วจะเอามาเปรียบเทียบแต่ละกิจการ ได้อย่างไรล่ะครับ  ว่า MOS เชิงคุณภาพ ของหุ้น ในบริษัทไหน มีมากกว่า ต้องปรับข้อมูลเชิงคุณภาพ มาเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ อีกทีหรือเปล่า แล้วต้องทำอย่างไรครับ มิเช่นนั้น ประเด็นนี้ จะเลื่อนลอยไปในทันทีนะครับ ---- ....นอกจากนี้ Long กับ Short ก็มีข้อจำกัด ที่ทำให้ต้นทุนสูง คือเรื่อง timing กรณีถ้าการคาดการณ์ของเราไม่ถูกต้อง แถมพาลจะพาให้เราเสียหายได้โดยไม่จำเป็น ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่า จะไปให้ mos ได้ยังไง เพราะมันเป็นเกมที่มีกำหนดเวลา... v v การคาดการณ์ไม่ถูกต้อง ก็เสียหายได้ทุกแนวทางของการลงทุนนะครับ ไม่จำเป็นว่าต้องแนวไหน Long ในที่นี้ คือ ซื้อหุ้นตามปกติ นั่นแหละครับ เพียงแต่ตอนขายshort ก็ผ่านธุรกรรม SBL หรือจะข้ามไปในส่วน ของ Stock Futures เลยก็ยังได้ ก็ไม่แตกต่างกัน ในหลักการ เพียงแต่รายละเอียด หรือ เงื่นไขบางประการ อาจแตกต่างกันบ้าง --- สำหรับเรื่อง เกมมีกำหนเวลา อันนี้คงหมายถึง TFEX และน่าจะเป็น สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคลาดเคลื่อน เกมนี้ ไม่มีกำหนดเวลาครับ อยู่ได้นานเท่ากับตลาดหุ้น และจะนานกว่า ตัวหุ้นบางตัวด้วยซ้ำ เพียงแต่ คนส่วนใหญ่ มองเป็น Short Term เพราะว่า ในกระทู้ ที่สนทนากัน มักเป็นแบบนั้น แต่สำหรับ บางคน ลงทุนใน TFEX แบบ longterm ก็อาจไม่ได้มาแสดงความเห็น ในแต่ละวัน เท่านั้นเองน่ะครับ --- แต่.. ผมว่าพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ thaivi ก็ไม่ได้ปิดกั้นอะไรนะครับ และต้องเข้าใจเพราะที่นู่นกติกามากมายกว่าที่นี่ v v ไม่ใช่เรื่องกติกา หรอกครับ แต่เป็นเรื่องของแนวความคิด ด้านการลงทุน ต่างหาก ท่าน อาจจะเข้าเวปนั้น ไม่นานนัก ถ้าเข้าตั้งแต่ เวปเปิดใหม่ ๆ รับรองว่า จะไม่กล่าวเช่นนั้น ครับ แต่คนที่เข้าเวปนั้น มาตั้งแต่เปิดใหม่ เชื่อว่า เข้าใจกันทุกคน ล่ะครับ กล่าวเท่านี้ ละกันครับ เดี๋ยวประเด็นจะเบี่ยงเบนไป จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:08:50

ความคิดเห็นที่ 35 ขออนุญาตสงวนความเห็นนะครับ รบกวนช่วนกันโหวตกระทู้นี้ไว้ข้างบน จะได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย             จากคุณ : ** 4 a & 4 j ** เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:16:42

ความคิดเห็นที่ 36 Gift ผมนี่มี MOS ไม่เพียงพอซะแล้วล่ะครับ   จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:41:03

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาสนับสนุน พี่ morning star อีกคนครับ คนส่วนมากมักจะเข้าใจผิด โดยคำนวณ MOS จากปัจจุบัน ซึ่งจริงๆแล้วเราต้องมอง MOS จากอนาคตต่างหากครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับจริงๆก็คือ ตลาดในไทย มี super stock น้อยมากถ้าเทียบกับอเมริกาครับ  เพราะตลาดเราเล็กกว่าทางโน้นมาก ท่ำให้ growth ของธุรกิจนั้นมีค่าจำกัด เมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะอิ่มตัวได้ ดังนั้น ในความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว แนวคิดการลงทุนในประเทศ ของเราจึงไม่สามรถเอาของปู่บัฟแกมาประยุกต์ใช้ได้เต็ม 100% ครับ (ไม่ใช่ว่าไม่เหมาะสมนะครับ แค่อาจจะไม่ดีที่สุดเท่านั้น) ตัวอย่างเช่น ปู่บัฟแกถือ coca-cola ในระยะยาว... ในไทยเราจะมีบริษัท อะไรที่สามารถ เติบโต ขยายฐานลูกค้า (ทั่วสหรัฐ มีประชากรเท่าไร - ประเทศไทย มีเท่าไร ไหนรวมถึงขยายฐานไปได้ทั่วโลก) growth ได้ดีมาก (>20%/ปี) ได้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อย่าง cpall ผมว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง growth ก็จะเริ่มลดลงเมื่อถึงจุดอิ่มตัวครับ แต่ถ้า cpall รุกตีตลาดอาเซียนได้ ก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ^^ ปล. แต่ผมอาจจะรู้จักหุ้นน้อยเกินไปก็ได้นะครับ  เพราะจริงๆแล้วก็มี หลายบริษัทในไทยที่ก้าวไกลระดับโลกได้ แต่ยังวิเคราะห์ไม่ค่อยออก vision ผมต่ำไปหน่อย -*- จากคุณ : Landscape (ภูมิทัศน์) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:41:25

ความคิดเห็นที่ 38 เข้ามาแอบอ่านดู สงสัยที่เราเข้าใจว่าเราเป็นวีไอ ใช่หรือเปล่า เริ่มไม่แน่ใจครับ จากคุณ : luckydog2 เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:48:06

ความคิดเห็นที่ 39 หากเรารู้ตัวว่าขอบเขต/ข้อจำกัดความรู้ของเรามีไม่มาก ทางแก้ก็คือ ควรเลือกธุรกิจที่เรียบง่ายและเราสามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก(จนเกินไป) ธุรกิจที่ผลิตสินค้าตาม order ลูกค้า ธุรกิจที่ซื้อมา ขายไป ธุรกิจค้าปลีกสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีไม่ผันผวน ยอดขายย้อนหลังเติบโตต่อเนื่อง(คงที่)ในทุกๆปี ธุรกิจที่เราสามารถคาดการณ์อนาคตได้ไม่ยากมาก (เพราะตัวธุรกิจยังคง concept เดิม) รอซื้อธุรกิจเหล่านั้น ในวัน/ช่วงเวลาที่ Mr.Market มีอารมณ์หงุดหงิด เสนอราคาที่ต่ำ(กว่าความเป็นจริง)ให้นักลงทุน ซื้อแล้วถือไว้ ตราบใดที่พื้นฐานธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำคลายเครียดเรโชบ้าง ยามที่กำไรถึงจุดที่เราพึงพอใจ ... Vision ของผม ณ ตอนนี้คงมีเพียงเท่านี้ล่ะครับ T^T แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 17:04:21 จากคุณ : ต้องมีคนยิ้มให้keyboardแน่เลย (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:53:45

ความคิดเห็นที่ 40 พี่ ** 4 a & 4 j **  ดูท่าจะเป็นคนรักนวล สงวนตัวนะครับ อิอิ จากคุณ : ล้อเล่นนะครับ (คนจนที่อยากรวย) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 16:58:47

ความคิดเห็นที่ 41 ไม่รู้ว่าจะยังเรียก short sell อยู่หรือเปล่า ถ้าเราซื้อหุ้นที่ราคา A.  ขายที่ราคา B.  แล้วกลับไปซื้อใหม่ที่ราคา C. ถ้าจาก A-C   2-3 สัปดาห์ คงเรียก short sell   แต่ถ้าเป็น 2-3 ปี  ผมไม่รู้สืกว่าเป็น short sell แล้วล่ะ จากคุณ : joeymydear เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 18:00:42

ความคิดเห็นที่ 42 ^ ^ กรณี ข้างต้น ไม่ใช่ Short sell ครับ เป็นการซื้อแล้ว ขาย แบบธรรมดา เพียงแต่กรอบเวลา เป็น ระยะสั้น Short sell คือ ขายหุ้นก่อน แล้วซื้อกลับทีหลัง จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 18:29:48

ความคิดเห็นที่ 43 .....เข้ามาสนับสนุน พี่ morning star อีกคนครับ คนส่วนมากมักจะเข้าใจผิด โดยคำนวณ MOS จากปัจจุบัน ซึ่งจริงๆแล้วเราต้องมอง MOS จากอนาคตต่างหากครับ... --- การที่เราซื้อหุ้น เพื่อลงทุน ทันที่ที่เรา Take Action เรากระทำในราคา ปัจจุบันนะครับ วันไหน ก็วันนั้น  ราคาไหน ก็ราคานั้น ประเด็น ก็คือ ราคา Intricsic Value ในปัจจุบัน มีค่าเท่าไหร่ และ กำหนดให้มี MOS เท่าไหร่ ต่างหาก ถ้าบอกว่า MOS ต้องมองจากอนาคต น่าจะเข้าใจ คำนี้ ไม่ตรงกันแล้วล่ะครับ อันนั้น น่าจะเป็น Growth มากกว่าครับ เพราะถ้าเราประเมินไม่ได้ หรือ ไม่กำหนดว่า Growth เป็นเท่าไหร่ ในอีก 5 -10 ปี หรือตลอดไป เราจะหามูลค่ากิจการ ที่แปลงกลับมาเป็นมูลค่าหุ้น ในราคาปัจจุบันสุทธิ หรือ Net Present Value ได้อย่างไร จากนั้น เมื่อได้ มูลค่าหุ้นในราคาปัจจุบันแล้ว ค่อยมา ใส่ Safety Factor คือ MOS เพื่อเป็นกันชน เพื่อความปลอดภัย อีกทีหนึ่ง จากนั้น ก็เฝ้ามองดูว่า ราคาตลาดเป็นเท่าไหร่ อยู่ในเงื่อนไข ของการลงทุน ที่คุ้มค่า แล้วหรือยัง มิใช่หรือ --- ถ้าไม่ใช่   แล้วความหมาย ของ MOS ในอนาคต ที่กล่าวถึงกัน มีหลักการใช้งาน และ วิธีคำนวณ เพื่อหามูลค่าหุ้น ที่เหมาะสม เพื่อเข้าซื้อ อย่างไรล่ะครับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 18:51:51 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 18:41:06

ความคิดเห็นที่ 44 คุณไอติมรสกาแฟ (เจ้าของกระทู้) ได้เข้ามาอ่านบ้างหรือเปล่าน้อ ? จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 19:08:08

ความคิดเห็นที่ 45 ........ จากคุณ : ^ ^ (ฟองเต้าหู้ในน้ำซุป) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 20:18:21

ความคิดเห็นที่ 46 พี่ The Rounder ขยันจริงๆ ครับ ดีใจที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับพี่ครับ :) ============================== แล้วถ้า ลงทุนแนว VI แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็แสดงว่า ผู้ลงทุน ไม่มี วิสัยทัศน์ อย่างนั้นสิครับ แล้วการที่ ใครสักคน จะกลาย เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ต้องทำอย่างไรล่ะครับ สร้างกันอย่าไร หรือ กลายเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ของแต่ละคน ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่เกี่ยวอะไร กับ แนวทาง VI เลยนี่ครับ เป็นเรื่องคุณสมบัติของนักลงทุน ไปซะแล้ว ถ้ามีวิสัยทัศน์ ทำอะไร ก็รุ่งครับ ============================== ถูกของพี่ครับ ใครมี Vision ย่อมได้เปรียบ แต่ก็คงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว ส่วนตัวผมเป็นคนไม่ค่อยมี Vision สักเท่าไหร่ แล้วก็คิดว่า Vision มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง เพราะต้องมาจากทั้งความรู้ ข้อมูล แล้วก็ประสบการณ์ที่มี นอกจากนั้น ก็คือพรแสวงครับ เพราะฉะนั้น ใครขี้เกียจ ย่อมเสียเปรียบยิ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการไม่มี Vision จะทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนไม่ได้ ผมขอยกตัวอย่างการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำว่า Intrinsic Value และเมื่อราคาเกิน Value ก็ขายออกไป โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยเชิงคุณภาพน้อยมาก ถามว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้ประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าได้ เพราะมีคนเคยทำวิจัยแล้ว แต่ประเด็นคือ เขาจะต้องซื้อหุ้นกระจายไปหลายๆ ตัวในพอร์ต ส่วนการใส่ใจในปัจจัยเชิงคุณภาพมากขึ้น จะทำให้ vi สามารถจัดพอร์ตแบบมุ่งเน้น หรือ Focus ได้ครับ คือลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งแน่นอน Vision ก็น่าจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ปัญหา คือ ใครจะไปมี Vision ได้ทุกเรื่องล่ะครับ เพราะคนเรามีความรอบรู้จำกัด ซึ่งการลงทุนแบบ Focus มันก็เพราะสมดี และเราก็ไม่ควรไปยุ่งกับอะไรที่เราไม่รู้เรื่อง ซึ่งผมมองว่า ประเด็นนี้ก็เป็น mos ได้เหมือนกัน หรือความรู้มากรู้น้อย ก็จะให้ mos ของ vi แต่ละคนไม่เท่ากันด้วยครับ เพราะฉะนั้น ไม่แปลกเลย ถ้าบริษัทเดียวกัน แต่ vi แต่ละคนจะให้ความน่าสนใจแตกต่างกันครับ ============================== ถ้ามองเป็นเชิงคุณภาพ แล้วจะเอามาเปรียบเทียบแต่ละกิจการ ได้อย่างไรล่ะครับ  ว่า MOS เชิงคุณภาพ ของหุ้น ในบริษัทไหน มีมากกว่า ต้องปรับข้อมูลเชิงคุณภาพ มาเป็นข้อมูลเชิงปริมาณ อีกทีหรือเปล่า แล้วต้องทำอย่างไรครับ มิเช่นนั้น ประเด็นนี้ จะเลื่อนลอยไปในทันทีนะครับ ============================== ผมถึงมีความเห็นว่า vi เป็นปรัชญาไงครับ ไม่ใช่คณิตศาสตร์ :) ความจริงเรื่องปัจจัยเชิงคุณภาพ กับปริมาณ มันมีความสัมพันธ์กันอยู่ครับ ขอเปรียบเทียบนะครับ กับ... เงินที่ผมหาได้จากน้ำพักน้ำแรง ที่สามารถคาดได้ว่าทั้งปี จะได้เป็นเงินเท่าไหร่ กับเงินที่ได้จากแต๊ะเอียที่ได้ปีละครั้ง และไม่สามารถคาดได้ว่าปีนึงๆ จะได้เท่าไหร่ หรือในกรณีร้ายที่สุด คือไม่ได้เลย เงินในบริษัทฯ ก็เหมือนกันครับ ที่มาของแหล่งเงิน สำคัญกว่าเงินในบริษัทครับ การจะประเมินมูลค่าหุ้น จากเงินที่มีในบริษัทอย่างเดียว จึงไม่ค่อยเหมาะสม และตามความเห็นของผม ผมคิดว่าวิธีการหาเงิน และแหล่งที่มาของเงินสำคัญมากกว่า และมันจะชี้ให้เราเห็นว่า เราควรจะยินดีจ่ายเงินมากขึ้น ในราคาที่ mos น้อยลงหน่อย จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้ ส่วนการจะเอาไปใส่ เพิ่มลดประเมินมูลค่ายังไง อันนี้คงกำหนดกฎเกณฑ์เป็นสูตรสำเร็จไม่ได้ครับ เพราะ vi แต่ละคน ก็คิดไม่เหมือนกัน สรุปง่ายๆ ซื้อหุ้นเกรด A ในราคาเกรด B ดีกว่าซื้อหุ้นเกรด B ในราคาเกรด C ซึ่งหุ้นที่ vi คนนึงซื้อลงทุน เพราะมองว่าถูก ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหุ้นที่ vi อีกคนซื้อลงทุนเหมือนกันก็ได้ ซ้ำร้าย vi อีกคน อาจจะมองว่าแพงเกินไปก็ได้ครับ แต่อย่างไรก็ดี vi ทั้ง 3 คน ต้องเอา mos ไปด้วยทุกครั้ง :) ============================== Long ในที่นี้ คือ ซื้อหุ้นตามปกติ นั่นแหละครับ เพียงแต่ตอนขายshort ก็ผ่านธุรกรรม SBL ============================== ผมเข้าใจว่าตอน short หุ้น คงไม่มีใครให้เรายืมหุ้นมาขายฟรีๆ ครับพี่ The Rounder แล้วหุ้นก็ไม่ใช่ชื่อเรา สุดท้ายเราก็ต้องซื้อเพื่อไปคืนเขา ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยผมไม่ทราบครับ เช่น เงื่อนไขเรื่องเวลา เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่ของๆ เรา และคงไม่มีใครให้ยืมนาน.. จนตามสบาย แต่.. ถ้าผมเข้าใจผิด ก็ขออภัยครับพี่ The Rounder ด้วยครับ ============================== เกมมีกำหนเวลา อันนี้คงหมายถึง TFEX และน่าจะเป็น สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจคลาดเคลื่อน ... เพียงแต่ คนส่วนใหญ่ มองเป็น Short Term เพราะว่า ในกระทู้ ที่สนทนากัน มักเป็นแบบนั้น แต่สำหรับ บางคน ลงทุนใน TFEX แบบ longterm ก็อาจไม่ได้มาแสดงความเห็น ============================== ผมก็อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนครับพี่ The Rounder ถ้ามองว่า ซื้อ TFEX แล้วลงทุน Long Term เมื่อผ่านไประยะนึง จาก Long Term มันก็จะกลายเป็น Short Term ซึ่งมันก็จะมีเทคนิคการบริหารพอร์ตของนักลงทุนแต่ละคน และผมซึ่งก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับ TFEX แต่เข้าใจเอาเองว่าใช้วิธี ซื้อ-ขาย มากกว่าหนึ่งสัญญา เพื่อบริหารความเสี่ยง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ถ้าผมเข้าใจผิดอีก ก็ขออภัยพี่ The Rounder ไว้ที่นี้ด้วยอีกเช่นกันครับ ============================== ไม่ใช่เรื่องกติกา หรอกครับ แต่เป็นเรื่องของแนวความคิด ด้านการลงทุน ต่างหาก ท่าน อาจจะเข้าเวปนั้น ไม่นานนัก ============================== ครับ ถึงผมจะไม่ได้มีประสบการณ์มากมายเท่าพี่ The Rounder แต่อยากจะบอกว่าสังคมจะน่าอยู่ ต้องช่วยกันสร้างครับ และถ้าใครคิดว่าบ้านหลังนู่นอยู่แล้วน่าอึดอัด ก็ไม่เป็นไรครับ ที่สินธรก็เปิดกว้างอย่างที่พี่ The Rounder ว่า :) จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 20:28:30

ความคิดเห็นที่ 47 =================================== ถ้าบอกว่า MOS ต้องมองจากอนาคต น่าจะเข้าใจ คำนี้ ไม่ตรงกันแล้วล่ะครับ อันนั้น น่าจะเป็น Growth มากกว่าครับ เพราะถ้าเราประเมินไม่ได้ หรือ ไม่กำหนดว่า Growth เป็นเท่าไหร่ ในอีก 5 -10 ปี หรือตลอดไป เราจะหามูลค่ากิจการ ที่แปลงกลับมาเป็นมูลค่าหุ้น ในราคาปัจจุบันสุทธิ หรือ Net Present Value ได้อย่างไร =================================== ผมว่าได้นะพี่ คืออย่างนี้ครับ สมมุติว่ามีกิจการนึงชื่อว่า A ผมประมาณการว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า กิจการ A จะมี Free Cash Flow (FCF) ไม่น้อยลงจากปัจจุบันเลย ในขณะเดียวกันผมรู้ว่าการใช้เงินลงทุน เพื่อขยายกิจการของกิจการ A เป็นสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับ FCF ที่จะได้ในแต่ละปี ในขณะเดียวกัน ยอดขายก็โตปีละ 1x% ทุกปี ผมก็ให้ FCF เท่ากันตลอด 5 ปี แล้วก็เอาเจ้า Growth ไปเป็น MOS ก็ได้เหมือนกัน ซึ่งโดยความหมาย คือประเมินว่าถ้ากรณีบริษัทไม่เติบโตเลย ซื้อแล้วก็ยังคุ้ม แต่ทั้งนี้ กิจการ A ก็ต้องผ่าน การกลั่นกรองปัจจัยเชิงคุณภาพมาแล้วเช่นกัน หรือแม้แต่นักวิเคราะห์ปริญญาโท ปริญญาเอก ออกบทวิเคราะห์บริษัทเดียวกัน ยังให้มูลค่าไม่เท่ากันเลยครับ แถมบางครั้ง นักวิเคราะห์เจ้าเดิมยังให้มูลค่าไม่เท่ากันเลย แค่ระยะเวลาห่างกันไม่กี่เดือน ปล. จะให้ Intrinsic Value เป็นคณิตศาสตร์ก็ได้ หรือจะให้เป็นศิลปะก็ได้ แล้วแต่คนเอาไปใช้ครับ หรือแม้แต่ vi ที่หา Intrinsic Value ไม่ได้ ก็ยังสามารถลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ และปลอดภัยได้ ด้วย mos ครับ จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 20:58:49

ความคิดเห็นที่ 48 ขอถาม คุณคนจนหน่อยครับว่า การ short หุ้น กับการทำคลายเครียดเรโช นี่คล้ายคลึงรึเปล่าครับ ไม่แน่ใจว่า คลายเครียดเรโชนี่ถ้าขายแล้ว คือตั้งใจขายเพื่อลดต้นทุนไปเลยรึเปล่าครับ และคิดจะซื้อหุ้นกลับคืนเหมือนการ short sell รึเปล่าครับ? แต่เท่าที่ผมอ่านไปอ่านมานี่รู้สึกว่าผมจะเข้าใจอะไรผิดไปอย่างแรงรึเปล่าเนี่ย ผมเข้าใจว่า Short หุ้นคือ ขายหุ้น แล้ว ซื้อกลับคืนที่ราคาต่ำกว่าเดิม (เพิ่มหุ้น)  แต่เท่าที่อ่านๆมานี่กลายเป็นว่า   มันคือการ short sell = ยืมหุ้นมาขายก่อนสินะ = = ปล. แต่จริงๆ ผมก็มีหุ้นที่พอจะมองเห็นอนาคตการเติบโตที่น่าสนใจอยู่บ้างนะครับ  แต่ว่ามองออกได้ระยะไม่ยาวเท่าไร  คงไม่สามารถถือได้เป็น 10 ปี แน่ๆเลย  ส่วนไอ วิชง วิชั่น นี่ก็พยายามฝึกอยู๋เหมือนกันครับ  ^^ หวังว่าไอ้สิ่งที่เราคาดการณ์ในวันนี้ มันจะเป็นไปอย่างที่เราคิดนะ ต้องรอเวลามาเป็นตัวตัดสินความคิดของเราในวันนี้ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 22:07:12 จากคุณ : Landscape (ภูมิทัศน์) เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 22:03:44

ความคิดเห็นที่ 49 Intrinsic Value  แต่ละคนยังหาได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอะไรที่เราอนุมานเยอะเเยะ mos ก็ไม่เท่ากัน เเล้ว mosในอนาคตยิ่งจับต้องไม่ได้ไปใหญ่เหรอคะ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 22:14:42

ความคิดเห็นที่ 50 ตอบตามความเข้าใจและการนำไปใช้ในรูปแบบของผมนะครับ Short หุ้น กับการทำคลายเครียดเรโช ตามความเห็นของผมนั้น ไม่เหมือนกัน Short หุ้น จะทำก็ต่อเมื่อ เรากำลังขาดทุนอยู่(หรือได้กำไรน้อย) และมองออกว่าหุ้นที่ถืออยู่มีแนวโน้มจะลงต่อ เราจะขายหุ้นออก เพื่อไปรอซื้อหุ้น(ตัวเดิม)ที่ราคาต่ำกว่า แต่ได้จำนวนหุ้นมากกว่าเดิม หากเรากำลังกำไรอยู่ เราจะไม่คิดถึงเรื่อง short หุ้น ข้อเสียคือ อาจเกิดกรณีที่เราขายหุ้นออกไป แต่ไม่สามารถซื้อหุ้นคืนกลับได้ นั่นจะยิ่งทำให้เราเสียผลประโยชน์และขาดความมั่นใจในการตัดสินใจในครั้งต่อๆไปมากขึ้น ... ส่วนการทำคลายเครียดเรโชนั้น สำหรับผม(เท่าที่ศึกษามา) จะทำก็ต่อเมื่อเรากำลังได้กำไรจากหุ้นนั้นอยู่ แต่มีความเครียดในการถือครอง เพราะกลัวว่าราคาหุ้นจะร่วงลง ทำให้เราเสียโอกาสในการทำกำไร (เหตุผลอาจเป็นเพราะ การตีมูลค่าหุ้นของเราอาจจะไม่แม่นยำพอ ทำให้เกิดความลังเล เมื่อหุ้นปรับตัวสูงขึ้นขึ้นเรื่อยๆ) การทำคลายเครียดเรโช จะให้ผลดี สำหรับผมแล้ว ควรต้องได้ผลตอบแทนอยู่ในช่วง 75-100% แต่ตามทฤษฎีแล้วควรต้องได้กำไรมากกว่า 100% แล้วทำการขายเอา "เงินทุน" ออกมา แล้วเหลือทิ้งไว้เฉพาะ "ต้นทุนกำไร" และให้ต้นทุนกำไรนั้นทำงาน โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจมันอีกเลย หากได้เงินปันผลมา ก็นำเงินปันผลจากต้นทุนกำไร ไปซื้อหุ้นเพิ่มต่อ ทบต้นไปเรื่อยๆ ... แล้วนำเงินทุนที่ได้มานั้น ไปซื้อหุ้นที่ให้ yield ที่ดีกว่า หรือไม่ก็ เก็บเงินส่วนนั้นไว้(กรณีที่ยังหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดีไม่ได้) แล้วรอโอกาสซื้อหุ้นตัวเดิมกลับ เมื่อราคาต่ำลงจนถึงจุดที่เราพอใจครับ เสริมอีกนิด ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดมา จุดหลักก็มาจาก ความสามารถในการ "ประเมิน" ราคาเหมาะสมของผม ที่ต้องยอมรับว่า ผมคงตีมูลค่าหุ้นแบบตรงเผงไม่ได้ การป้องกันความเสี่ยง (รักษาต้นทุน) ด้วยการทำคลายเครียดเรโช จึงเป็นวิธีที่น่าสนใจสำหรับผม และผมคิดว่า หากลงทุนด้วยความไม่โลภ และจัดการกับผลกำไรแบบอย่างที่ว่า น่าจะช่วยทำให้เราสามารถอยู่รอดในวงจรของตลาดหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่มีความสุขในการลงทุนมากยิ่งขึ้นกว่าการถือครองหุ้นโดยที่ไม่ได้ take อะไรออกมาเลยน่ะครับ หมายเหตุ ไม่ได้เป็นการชี้นำ โปรดอ่านและตีความด้วยวิจารณญาณอีกทีด้วยนะครับ คร่าวๆตามความเข้าใจของผมก็คงจะประมาณนี้ครับ ^_^ แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 22:39:12 แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 22:36:56 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 22:22:26

ความคิดเห็นที่ 52 ผมเองประสบการณ์น้อยครับ ลงทุนในหุ้นได้ยังไม่ถึงครึ่งปีเลย ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยว หัวโค้ง บางครั้ง หลายๆสิ่งที่เราคิดว่าเรามั่นใจ เราเข้าใจ เราศึกษามาอย่างดี ในระยะสั้นอาจเป็นไปตามนั้น (อาจด้วยเพราะตลาดนำพา) แต่หากมองไกลไประยะยาวๆ  ยอมรับว่ายังหวั่นๆอยู่ครับ นั่นเลยเป็นที่มา ที่ต้องพยายามหา "วิธีการ" อื่นๆเพื่อนำมาปรับใช้กับแนวทางการลงทุนของผม ผมคิดว่า ผมคงต้อง "ปรับ" รูปแบบการลงทุนของผมไปเรื่อยๆ จากเหตุการณ์ที่เข้ามาในแต่ละวัน แต่ละเดือน หรือแต่ละปี ซึ่งเกือบทุกๆครั้ง จะทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไปจากเมื่อวาน นั่นคือที่มาที่หลายๆคนบอกว่า การลงทุน สุดท้าย จะไม่มีกฏตายตัว สิ่งสำคัญคือ เราต้องยืดหยุ่น และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ให้ได้ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 22:47:03

ความคิดเห็นที่ 53 อยากขอแนะนำผู้ที่คิดว่าตัวเองชอบแนวทาง VI หาหนังสือเกี่ยวกับการทำแผนธุรกิจ ( Business Plan )มาอ่าน และนำมาประยุกต์ครับ ขุมทรัพย์ VI อยู่ที่นั่นครับ จากคุณ : จิ้งจกเขียว เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 22:52:19

ความคิดเห็นที่ 54 ออกตามล่าหาขุมทรัพย์(VI)ครับ ...อิอิอิ... จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 22:54:36

ความคิดเห็นที่ 55 จขกท ถามว่า VI ต้อง Short หรือไม่ คำตอบสำหรับผม 1. ถ้าทำ Short Against Port คือขายไปแล้วซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า ทำได้ครับ แต่ยาก ต้องเก่งครับ 2. หาเงินมาอีกก้อนหนึ่งชั่วคราวครับ มาซื้อเพิ่มในราคาที่ถูกกว่า เมื่อราคาขึ้นก็ขายเอาเงินไปคืนที่เดิม (ผมใช้วิธีนี้ครับ) แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 53 23:02:35 จากคุณ : จิ้งจกเขียว เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 23:01:51

ความคิดเห็นที่ 56 อิอิอิ   เเต่ปู่บัฟยัง  sell put options  เลยน้า .......................................................................................... Warren Buffett starts to sell put options again on Burlington Northern Santa Fe (BNI) on Wednesday (Dec. 3), as revealed by the filings of Berkshire Hathaway (BRK-A)(BRK-B). On Dec. 3 Buffett sold 2,325,000 shares of puts on Burlington with the strike price of $75 a share at the premium of $6.3538. This is two months after his puts sales in October. These puts will expire on 01/30/2009. As we just reported that the puts Buffett sold in Oct. are about to expire next week. These puts have the strike prices between $75 and $80. Today BNI closed at $ 74.68. Apparently Buffett keeps taking the advantages of the market volatility and at the same time trying to buy the stocks he likes to own at better prices. Back in October Buffett sold more than 5.4 million shares of BNI puts. All of these puts will expire in two weeks. It is not clear how much puts he will sell this time. While he was selling puts, he was buying stocks, too. On Oct. 28, Warren Buffet bought 825,000 shares of Burlington Northern at $79.65 a share. This brought Berkshire’s ownership in Burlington Northern to more than 64.6 million shares, more than 18.7% of the total shares outstanding. This is the summary of the puts he sold: .......................................................................................... จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 23:04:46

ความคิดเห็นที่ 57 ฝากกระทู้นี้ไว้อีกสักกระทู้ละกันนะครับ ทำไงดีครับ short แล้วซื้อคืนไม่ได้ ? http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8852336/I8852336.html จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 14 ก.พ. 53 23:06:07

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณ คูณคนจนที่อยากรวยมากครับ เข้าใจแล้วครับ  มันอยู่ที่นิยามการตั้งชื่อกับความเข้าใจของแต่ละคนนี่เอง สำหรับผมผมเข้าใจว่า การ short หุ้น คือการขายหุ้นเพิ่อมีจุดประสงค์ ที่จะรับหุ้นนั้นที่ราคาต่ำกว่าเดิม เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นที่มีอยู่ที่งบเท่าเดิม โดยไม่สนใจว่า ตอนนั้นจะ กำไรหรือขาดทุนอยู๋ก็ตาม ผมเลยงงๆ นิดหน่อยว่ามันต่างกับคลายเครียดเรโชยังไง แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วครับขอบคุณมากครับ โดย ส่วนตัวแล้วถ้าผมค่อนข้างมั่นใจว่า ราคาหุ้นที่เราถืออยู๋มีโอกาสลง ผมก็อาจจะขายไปบางส่วน เพื่อรอรับกลับที่ราคาต่ำกว่าเดิม แต่ถ้าพลาดก็ไม่เป็นไร ขอมเสียค่าคอม + ส่วนต่างนิดหน่อย ซึ่งก็ถือเป็นการซื้อความเสี่ยงไปครับ  (สงสัยผมจะเป็น VI พันธุ์ทางแฮะ อิอิ) อย่างตอนต้นปี ผมก็มองว่ามันคงลงมา แถวๆ 690+- อีกครั้ง ก็เลยทำการ short sell  ไปดันฟลุ้กได้หุ้นเพิ่ม ก็เลยแอบติดใจครับ (ตอนนั้นเดาจากพี่กองอย่างเดียวเลยครับ  ><) ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ จากคุณ : Landscape (ภูมิทัศน์) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 00:07:18

ความคิดเห็นที่ 59 ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีกฏตายตัวครับ เอาเป็นว่าส่วนตัวผม ถ้าหุ้นตัวไหนที่ผมมั่นใจพื้นฐาน ผมจะไม่ขายซี้ซั้ว แต่จะตั้งเป้าหมายในใจว่าราคาเป้าหมายควรจะเป็นราคาไหน ลบ discount 10 % เอาตำแหน่งนั้นเป็นตัวอ้างอิง แล้วแบ่งหุ้นใน port ออกเป็น 10 ส่วน ตั้งราคาขายไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ราคาเฉลี่ยที่เราจะขายเท่ากับระดับราคาเหมาะสมในใจที่เรา set ไว้ ทีนี้ ถ้ามันขึ้นกวาดไปถึงตรงไหน ลงมา 3-5 ช่อง จากที่ขายก็รับของคืน แล้วก็เอามาตั้งขายต่อ ตาม step เดิม ครับ จากคุณ : Notelio เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:10:36

ความคิดเห็นที่ 60 คุณ The Rounder ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดครับ การจะบอกว่า Vision เป็นสิ่งจำเป็นในการลงทุนแบบ VI หรือไม่นั้น ผมมองว่า Vision เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ซึ่งถ้าขาดปัจจัยนี้ไป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลงทุนในแนว VI ไม่ได้ เพียงแต่ถ้ามีปัจจัยนี้ การลงทุนก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น เท่านั้น ยกตัวอย่างในกรณี MOS ที่คุณขัดแย้งมา จริงอยู่ MOS สามารถคำนวณได้ตั้งแต่แบบผิวเผิน ไปจนถึงแบบละเอียดลึกซึ้ง เช่น ถ้าคุณจะหา MOS แบบง่าย ๆ ของหุ้นในกลุ่มอสังหา .. ก็อาจจะหาหุ้นที่มี PE ที่ต่ำกว่าค่ามาตรฐานซักหน่อย แต่ถ้าคุณจะมอง MOS ให้ละเอียดขึ้นมาซักนิด ก็ต้องเปิดงบการเงินมาวิเคราะห์ดู เอาโครงการ เอาแผนงานมาดู ลึกลงไปอีก ... ก็หยิบปัจจัยโน่นนี่มาวิเคราะห์ไปเรื่อย ๆ จนได้ราคาซื้อที่คิดว่าปลอดภัยที่สุด แต่จะว่าไป ... การคิดคำนวณแบบนี้ จะทำให้ VI มือใหม่หลาย ๆ คนมองว่า อ้าว อย่างนี้ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ... ยิ่งราคาหุ้นยิ่งต่ำ ก็หมายความว่ายิ่งมี MOS อย่างนั้นหรือ อย่างนั้นก็รอให้ลงมาอีกซักนิดละกัน ซึ่งผมไม่เห็นด้วยในจุดนี้ และนี่แหละคือที่มาของการนำ Vision มาช่วยคำนวณ MOS ที่เหมาะสม เพราะ MOS ที่เหมาะสม ไม่ได้หมายความว่ายิ่งถูกยิ่งดี (จริงอยู่ยิ่งถูกยิ่งดี) เพียงแต่การนำวิสัยทัศน์ในการมองอนาคตธุรกิจมาเป็นส่วนประกอบในการประเมินค่า MOS มันจะช่วยให้ MOS สูงกว่ามูลค่าที่คำนวณจากปัจจัยพื้นฐาน ในกรณีที่ธุรกิจมีอนาคต และมันจะช่วยให้ MOS ต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณจากปัจจัยพื้นฐาน ในกรณีที่ธุรกิจกำลังเข้าสู่ขาลง MOS ไม่ได้หมายความว่าจะต้องต่ำกว่าราคาตลาดเสมอไป สำหรับหุ้นที่ดี กิจการที่กำลังสดใส ... MOS อาจจะสูงกว่าราคาตลาดก็ได้ นั่นหมายความว่า หุ้นตัวนี้คุณเคาะขวาไปได้เลย Vision ไม่ใช่ตัวกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะลงทุนแบบ VI เพราะ VI คือ Value Investment ไม่ใช่ Vision Investment เพียงแต่มันจะช่วยไม่ให้คุณ "เสียโอกาส" ในขณะที่รอหุ้นอนาคตไกล หุ้น turn around ให้มันราคาต่ำลงมาถึง MOS แล้วคุณค่อยซื้อ ซึ่งไม่มีวันนั้น และมันยังจะช่วยให้คุณไม่ "เสียรู้" ให้จะซื้อหุ้นในธุรกิจที่กำลังร่วงโรย ในขณะที่คุณคำนวณ MOS จากค่าปัจจุบันแล้วเห็นว่าราคานี้มี MOS มากเพียงพอแล้ว ... ยกอีกหนึ่งตัวอย่างการทำกำไรระดับมโหฬารให้ดูอีกหนึ่งตัวอย่างครับ PSL และ TTA ... ถ้าใครรู้จักคุณ LOSO และอยู่ pantip หรือ tvi นานพอ (5-6 ปีที่แล้วมั๊ง) จะรู้ว่านี่คือการ "ตีแตก" ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของเขา ... ถามว่า ตอนนั้นคุณ LOSO มาแนะนำ PSL ... มีซักกี่คนกันที่จะตามเค้า เพราะว่าดูจากข้อมูลปัจจุบัน ... ราคาก็แทบจะ fully valued อยู่แล้ว แต่เค้ามองด้วย Vision ครับ มองว่าปัจจัยพื้นฐานในอนาคตกำลังเปลี่ยน หุ้นจะกลับมาทำกำไร ... แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ PSL ราคาไม่กี่บาท ขึ้นไป 80 ก็แล้ว ร้อยกว่าก็แล้ว แล้วก็แตกพาร์ แล้วก็ขึ้นไปอีก ไม่รู้กำไรกี่ร้อยกี่พัน % ครับ สำหรับการลงทุนครั้งนั้น นี่คือตัวอย่างของการใช้ Vision ในการประเมินมูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็น ถามว่าตอนนั้นผมซึ่งไม่มี Vision ในการประเมินมูลค่าหุ้นทำอะไร อย่างไรอยู่เหรอ ผมก็อยู่หน้า TFT 14" รุ่นใหม่นั่งอ่านเรื่อง PSL ที่คุณ LOSO เอามาเสริฟให้ถึงที่เหมือนหลาย ๆ คน (แก่แล้วนะคุณ) แต่ว่าผมดูแล้ว ประเมินด้วยปัจจัยพื้นฐานก็แล้ว ดูค่า PE BV ROE ก็แล้ว รู้สึกว่าราคาตอนนั้นแพงไปครับ ... ยังไม่ต้องใส่ Safety Factor ด้วยเลยนะ 55555++ ถ้าว่าผมเป็น VI ที่ไม่ประสบความสำเร็จมั๊ย ... ไม่ใช่ครับ ... เพียงแต่การไม่มี Vision ในตอนนั้น ... ผมเสียโอกาสนั่งเรือยอร์ชครับ !! เท่านี้แหละครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 02:01:12 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 01:35:41 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 01:28:42 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:27:40

ความคิดเห็นที่ 61 การที่จะบอกว่า เป็น VI ที่ไม่ประสบความสำเร็จ หมายความว่าเป็นคนไม่มีวิสัยทัศน์ ก็ไม่เป็นความจริงเสมอไปครับ การลงทุน ผมเคยพูดไปในซักกระทู้จำไม่ได้แล้วว่า เรื่องการลงทุน จิตใจ อารมณ์ สำคัญกว่าสมอง ความรู้ความสามารถ ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยรอบด้านที่ไม่คาดคิด ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การลงทุนล้มเหลวได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง ถ้าใครเข้ามาในตลาดหุ้นช่วง 1700 เค้าอาจจะสาปส่งตลาดหุ้นไปเลยที่มันลงมา 200 จุด หรือเอาใกล้ ๆ นี้ ก่อน subprime ที่ 800 คนที่เพิ่งเข้ามาก็อาจจะลาขาด ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว คนเหล่านั้นอาจมีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จก็ได้ เพียงแต่เค้าเข้ามาผิดที่ ผิดเวลาเท่านั้น และอาจจะไม่เยือกเย็นพอที่จะรอและวิเคราะห์ข้อมูล ที่มาที่ไปอย่างมีเหตุผล แต่จะว่าไป การลงทุนไม่ว่าจะแบบใด ๆ มันไม่จำเป็นหรอกครับว่าใครจะต้องยึดติดกับแนวทางแบบใดแบบหนึ่ง ผู้ที่สามารถประยุกต์สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่างหาก คือคนเก่งของจริง วกกลับมาเรื่องหุ้น การลงทุนแบบ VI ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปิดประตูในเรื่องของ Technical Analysis ส่วนตัวผมมองว่า VI คือหลักการ คือเหตุผล และ TA คืออารมณ์ ความรู้สึกของผู้เล่น ถ้าคุณสามารถประยุกต์สองอย่างนี้เข้าด้วยกันได้ โดยไม่พยายามมีหลักการหรือเหตุผลมากไป หรืออารมณ์แปรปรวนขึ้นลงตามตลาดมากไป และใช้ทุก ๆ โอกาสที่เกิดขึ้นให้เกิดประโยชน์ นั่นแหละสุดยอดของจริง จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 01:47:46

ความคิดเห็นที่ 62 ยินดีแลกเปลี่ยนความเห็น กับทุกท่านเช่นกันครับ --- จาก ความเห็นที่ 59 มาดู ราคาย้อนหลัง รายเดือน ของ TTA กันนะครับ ช่วงปี 06 ราคาต่ำสุดอยู่แถวๆ 16 บาท ปลายปี 07 ขึ้นไปถึง 70 บาท ท่าน Loso หรือ ท่านอื่นๆ ได้ซื้อแถวๆ 16 บาท +/- แล้วไปขายที่ 70 +/- จริงๆ หรือ ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 03:13:07 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 02:56:07 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 02:52:51

ความคิดเห็นที่ 63 ถ้าอันนี้  ใช้ Vision และ MOS ในอนาคต โดยอ้างอิงว่า ....นี่คือตัวอย่างของการใช้ Vision ในการประเมินมูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็น... --- คำถามที่ 1 TTA ราคา ปัจจุบันอยู่แถวๆ  25 บาท ถ้าจะคำนวณด้วย Vision และ MOS ในอนาคต ราคา นั้น คือ ราคาเท่าไหร่ และ ราคาในอนาคต ที่คำนวณนั้น ควรจะเกิดขึ้น ในกรอบเวลา หรือ ช่วงเวลาอีกนาน เท่าใด นับจากวันนี้ ล่ะครับ หรือ ถือไปเรื่อยๆ ไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้ แต่ราคานั้น ต้องได้เห็นแน่ๆ --- คำถามที่ 2 แล้วจาก ราคาพีค แถวๆ 70 บาท ช่วงปลายปี 07 พอช่วงปลายปี 08 ต่อต้นปี 09 ราคาลงไปต่ำสุด แถวๆ 10 บาท จะใช้ Vision และ MOS ในอนาคต อธิบายว่า อย่างไรกันครับ --- คำถาม สุดท้าย สามารถใช้ Vision และ MOS นั้น ประเมิน เพื่อทำ Short Sell ที่ราคา 70  +/- แล้วไปซื้อกลับ ที่ราคา 10 +/- ได้หรือเปล่า ถ้าได้ ก็ถือว่า ไม่มีข้อจำกัด ในการทำ Short Sell ของนักลงทุน ในแนว VI นี่ครับ แต่ถ้า ไม่ได้ ก็แสดงว่า  Vision  ของนักลงทุนแบบ VI พันธุ์แท้ นั้น มีข้อจำกัด อยู่เฉพาะ การลงทุน ในขาขึ้น เท่านั้น หรือครับ เหตุผล ตรงนี้   ดู สมเหตุ สมผล หรือเปล่า --- คือ ไม่ใช่ว่า ผมไม่เชื่อ ว่าท่าน LOSO หรือ ท่านอื่นๆ ที่ใช้ Vision หรือ MOS ในอนาคต เข้าลงทุนแล้วได้ผลตอบแทน มากมาย เป็นเรื่องฟลุ้คนะครับ แต่ถ้าไม่ฟลุ้ค เป็นผลตอบแทน จากการประเมิน จริงๆ ไม่ใช่ประเมินได้แค่ว่า ธุรกิจจะดี แล้วราคาจะขึ้น แล้วพอคนอื่นไม่มีใครเห็นด้วย แต่ราคากลับเพิ่มมากมาย ก็เลยกลายเป็น ที่กล่าวขาน ให้แลดู เกินความจริงน่ะครับ คือ ไม่อยากให้เหตุการณ์เดียว ตัดสิน หรือ กระทบ กับแนวคิดด้านการลงทุน ของหลายๆคน ทั้งๆที่ ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ ในบทกลับ คือ Vision + MOS นั้นๆ ควรจะต้องทำให้เห็นว่า มีปัจจัยพื้นฐาน บางอย่างจะเปลี่ยน โดยจะเห็น ธุรกิจนั้น เป็นขาลง และ จะกระทบ หรือ มีผลต่อราคาในอนาคต ที่จะปรับตัวลงอย่างมากมาย แล้วสามารถ หาประโยชน์จาก Vision + MOS ในอนาคต / เชิงคุณภาพ ในด้านตรงข้าม  ได้อีกด้วย น่ะครับ คือ ถ้าเหตุการณ์กรณี หุ้นเรือ ท่าน LOSO ได้ ทำครบ สองด้าน ผมก็ หมดข้อสงสัย เลยนะ แล้ว กระทู้นี้ ก็จะได้รับคำตอบด้วย แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 09:38:58 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 09:23:19 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 03:26:22 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 03:19:49

ความคิดเห็นที่ 64 ขอคารวะทุกท่าน สินธรมีเสน่ห์ที่ทำให้หลายคนตกหลุมรักก็ตรงนี้แหละ กล้าเขียนในสิ่งที่คิด กล้าเสนอความเห็นที่แตกต่าง เปิดใจรับฟัง ( อ่าน ) คนที่คิดไม่เหมือน จากคุณ : ลัคนา เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 06:41:02

ความคิดเห็นที่ 65 . จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 08:30:49

ความคิดเห็นที่ 66 ขออนุญาตมาดูดความรู้จากพวกพี่ๆนะครับ  ^^ ว่าแต่ กระทู้นี้ คำว่า Vision นี่ฮิตจังเลยแฮะ อิอิ ถ้ามองอย่างมี vision แล้ว คาดว่าเทรนด์นี้กำลังจะมาแรงแซง VIโวหารแล้ว ฮ่าๆ ขออนุญาตแซวเล่นครับ ปูลู  ว่าแต่ VI = Vision Investor นี่คิดได้ไงครับเนี่ย ฮามาก ><   ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเป็นนักลงทุนแบบนี้จัง ขอแปลเป็นไทยว่า นักลงทุนหลักลอย เป็นเพื่อนพี่มาร์คนะ ขอตอบพี่ The Rounder นิดนะครับ  Vision ในความคิดผมคงเป็นการมองเทรนด์พื้นฐานของธุรกิจนั้นๆในภาพรวมมากกว่าครับ  อย่างเช่น เมื่อ 5 ปีก่อน ใครจะไปคิดว่า 7-11 จะตีตลาดเข้ามาอยู่ได้ทุกซอกซอยอย่างนี้ล่ะครับ  ถ้าคนที่มองขาดก็สบายไป ส่วนเรื่องการมองเทรนด์ของ TTA นั้นผมตอบไม่ได้จริงๆ เพราะไม่เข้าใจธุรกิจด้านเดินเรือ + เกิดไม่ทันเข้ามาอ่านพี่ LOSO ขอบคุณมากครับ  สำหรับมุมมองดีๆ ที่เอามาแบ่งปันกันครับ จากคุณ : นักลงทุน(หล่อ)หลักลอย (ภูมิทัศน์) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 08:33:15

ความคิดเห็นที่ 67 ============================== การ short หุ้น กับการทำคลายเครียดเรโช นี่คล้ายคลึงรึเปล่าครับ ไม่แน่ใจว่า คลายเครียดเรโชนี่ถ้าขายแล้ว คือตั้งใจขายเพื่อลดต้นทุนไปเลยรึเปล่าครับ และคิดจะซื้อหุ้นกลับคืนเหมือนการ short sell รึเปล่าครับ? แต่เท่าที่ผมอ่านไปอ่านมานี่รู้สึกว่าผมจะเข้าใจอะไรผิดไปอย่างแรงรึเปล่าเนี่ย ============================== ขออภัยพี่ภูมิทัศน์ ถ้าผมทำให้สับสนและออกประเด็น ตามที่ผมเข้าใจคือพี่ The Rounder มีความเห็นว่า vi ถ้าทำกำไรขาขึ้นได้ ก็น่าจะทำกำไรจากขาลงได้ ด้วยการ short หุ้น หรือที่ผมเข้าใจคือ short sell หุ้นตัวนั้น ที่ราคาเกิน intrinsic value ส่วนการทำ short against port ตามที่ผมเข้าใจ คือการขายหุ้นในมือออกไป เพื่อไปซื้อหุ้นตัวเดิมกลับเข้ามา ในราคาที่ต่ำกว่าเดิม ทำให้ต้นทุนต่อหุ้นลดลง แต่ก็ต้องรอขาขึ้น ผมก็เลยไม่ได้คิดว่าจะเป็นการทำกำไรในขาลงครับ ปล. ต้องขออภัยสำหรับการ short sell หรือ short/long ในตลาด future เพราะผมมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน จากเดิมที่เรา short sell หุ้นโดยการไปตกลงขอยืมหุ้นคนอื่นมาขายก่อน ขอตกลงก็ถูกทำออกมาเป็นตราสารอนุพันธ์ หรือ Future เอามา trade ในตลาดแทน อันนี้จากความเข้าใจของตัวเองล้วนๆ ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยครับ จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 10:17:46

ความคิดเห็นที่ 68 ไปเรื่อง TTA ซะแล้ว ปกติผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ ขอบาย :) จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 10:20:34

ความคิดเห็นที่ 69 ....Vision ไม่ใช่ตัวกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะลงทุนแบบ VI เพราะ VI คือ Value Investment ไม่ใช่ Vision Investment เพียงแต่มันจะช่วยไม่ให้คุณ "เสียโอกาส" ในขณะที่รอหุ้นอนาคตไกล หุ้น turn around ให้มันราคาต่ำลงมาถึง MOS แล้วคุณค่อยซื้อ ซึ่งไม่มีวันนั้น.... v v แล้วเวลาที่ หุ้นนั้นทำ U-Turn around แล้วชาว VI  ไม่ได้ทำ Short Sell ทำไม ไม่คิดว่า "เสียโอกาส" บ้างล่ะครับ --- ....และมันยังจะช่วยให้คุณไม่ "เสียรู้" ให้จะซื้อหุ้นในธุรกิจที่กำลังร่วงโรย ในขณะที่คุณคำนวณ MOS จากค่าปัจจุบันแล้ว เห็นว่าราคานี้มี MOS มากเพียงพอแล้ว ... ตรงนี้ ก็เช่นกัน ถ้า VI เห็นจริงๆว่า ธุรกิจหนึ่งๆ กำลังจะร่วงโรย ก็ ทำ Short Sell เลยสิครับ เป็นการพิสูจน์ว่า "รู้จริง" ไม่ใช่ว่า ตัวเอง นั้น ก็ไม่เห็นได้ทำอะไร กับ หุ้นตัวนี้ แต่พอคนอื่นซื้อหุ้นตัวดังกล่าว แล้วหุ้นตก ค่อยมาบอกว่า คนอื่น "เสียรู้" ด้วยเหตุผล ข้างต้น น่ะครับ ---- ขอทำความเข้าใจ นิดนึงนะครับ ก่อนที่ผมจะถาม หรือ แสดงความเห็นแย้ง กลับไป ผมได้นำคำตอบ - คำอธิบาย ของแต่ละท่าน มาอยู่ในใจผม และถือเสมือนหนึ่ง เป็นคำกล่าวของตัวเอง จากนั้น หากมีคำถาม ใดๆ ผุดขึ้น ภายในจิตใจ ก็จะกลายมาเป็นคำถาม หรือ ความเห็นแย้ง ออกไปในกระทู้ อย่าคิดว่า เป็นการ Against ความคิดของใคร คนใด คนหนึ่ง นะครับ เพราะอาจจะดูแรง หรือ เหมือนจะเอาชนะ แต่จริงๆ มิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเวลาผม ตั้งคำถามใดๆ กับ ตัวเอง ก็จะตั้ง และ พิจารณา ด้วยตรรกะคู่ขนาน และ การพิสูจน์ด้วยบทกลับ อย่างนี้ เสมอๆ  เช่นกันครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 10:42:36 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 10:37:59 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 10:25:52

ความคิดเห็นที่ 70 ความคิดเห็นที่ 67... ปล. ต้องขออภัยสำหรับการ short sell หรือ short/long ในตลาด future เพราะผมมองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน จากเดิมที่เรา short sell หุ้น โดยการไปตกลงขอยืมหุ้นคนอื่นมาขายก่อน พอตกลงก็ถูกทำออกมาเป็นตราสารอนุพันธ์ หรือ Future เอามา trade ในตลาดแทน อันนี้จากความเข้าใจของตัวเองล้วนๆ ถ้าผมเข้าใจผิดก็ขออภัยครับ จากคุณ : ส.สลึง   v v อันนี้ ท่านเข้าใจผิด แน่ๆ ครับ เพราะ เป็นคนละตลาด คนละธุรกรรมกันเลยครับ --- ความคิดเห็นที่ 46... ...ผมถึงมีความเห็นว่า vi เป็นปรัชญาไงครับ ไม่ใช่คณิตศาสตร์ :)... + ปล. จะให้ Intrinsic Value เป็นคณิตศาสตร์ก็ได้ หรือจะให้เป็นศิลปะก็ได้ แล้วแต่คนเอาไปใช้ครับ หรือแม้แต่ vi ที่หา Intrinsic Value ไม่ได้ ก็ยังสามารถลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ และปลอดภัยได้ ด้วย mos ครับ v v สำหรับ ความเห็นข้างต้น มันจะพาเนื้อหาไปอยู่ใน ส่วนนามธรรม เสียแล้ว ถือเป็นอีกประเด็น ที่ค่อนข้าง ลึกซึ้ง และ สื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ได้ยาก โดยส่วนตัว จึงขอรับทราบไว้ก่อนละกันครับ :) --- แต่ถ้า มีคำถามแย้งกลับว่า แล้วทำไม ไม่เอาปรัชญา หรือ ศิลปะ มาใช้ ในการทำ Short Sell บ้างล่ะครับ ปรัชญา หรือ ศิลปะ มันมีข้อจำกัด ตรงนั้น  ด้วยหรือครับ :) แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 11:09:19 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 11:00:59 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 10:56:04

ความคิดเห็นที่ 71 ===================== ตรงนี้ ก็เช่นกัน ถ้า VI เห็นจริงๆว่า ธุรกิจหนึ่งๆ กำลังจะร่วงโรย ก็ ทำ Short Sell เลยสิครับ เป็นการพิสูจน์ว่า "รู้จริง" ==================== ตอบพี่ The Rounder ตามความเห็นของผม สิ่งที่ vi ควรยึดมั่น คือ "มูลค่าของกิจการ" ครับ ไม่ใช่ "ราคาหุ้น" ในตลาด ที่จะคาดได้ว่าวันพรุ่งนี้มันจะวิ่งขึ้น หรือว่ามันจะวิ่งลง และสิ่งที่ vi ควรทำ คือต้องรู้ว่ากำลังลงทุนในอะไร แล้วถ้ามันไม่ได้ล่ะ การลงทุนครั้งนี้ กรณี worst case จะได้อะไร ดังนั้น mos จึงเป็นสิ่งจำเป็น ปกติ vi จึงควรมองเหตุผลรอบด้านเสมอ จึงเป็นที่มาของห้องร้อยคนร้อยหุ้นใน thaivi.com ครับ คือชวนเพื่อนๆ มาช่วยทำการบ้าน :) ความจริงแล้ว vi ที่ผมรู้จักหลายคน ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Intrinsic Value ก็มีเยอะนะครับ ผมคนนึงล่ะที่ไม่ได้ใช้ นานๆ ก็กดเครื่องคิดเลขหาดูเล่นๆ พอขำๆ ส่วนตัวผมว่ามันเป็นแค่เรื่องสมมุติ ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ เพระมันใช้สมมุติฐานจากข้อเท็จจริงในวันนี้ ไม่ใช่วันพรุ่งนี้ แต่ถ้าใครจะใช้ของวันพรุ่งนี้ ก็จะวกกลับเข้าเรื่อง vision อีกทีนั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่าการไม่มี vision เลยแล้วจะแพ้ อย่างน้อย ก็ต้องลงทุนในข้อเท็จจริง ที่เหลือคือรอคอยโอกาส ไม่ใช่หวังลมๆ แล้งๆ เพราะ vision ไปไม่ถึง สิ่งที่นักลงทุนควรทำคือไม่ลงทุนเกินตัว คือไม่เกินกรอบความรอบรู้ความสามารถของตัวเอง การคาดการณ์ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอะไร และเรื่องอะไรที่มันยากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำมัน ปล. ถ้ามีคนบอกว่ารู้จริง mos ก็จะไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องมีครับ ผมว่าตรรกะมันขัดๆ กันอยู่อะพี่ จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 11:04:02

ความคิดเห็นที่ 72 ... แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 12:29:46 จากคุณ : ตัวบรรจงเต็มบรรทัด เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 12:23:05

ความคิดเห็นที่ 73 สัมมนางานวันตลาดนัดผู้ลงทุนไทย - Thai Investors' Day วันเสาร์ที่ 20 ก.พ.53 09.00 - 12.00 น. (ลงทะเบียน 08.30น.)   สัมมนาหัวข้อ "Short Sell หุ้น ด้วย SBL ทางเลือกใหม่ ทำกำไรหุ้นขาลง" โดย  คุณอติ    อติกุล ,CFA,FRM  ผู้อำนวยการ  ฝ่ายตราสารอนุพันธ์ สัมมนาจัดโดย บมจ. หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) Credit : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I8883363/I8883363.html จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 12:55:28

ความคิดเห็นที่ 74 เรื่อง PSL และ TTA ที่ผมพูดถึง มันอยู่ในช่วงเวลาที่ PSL ราคาประมาณ 80 บาทก่อนแตกพาร์ครับ ผมก็จำไม่ได้ว่าช่วงเวลาไหน แต่ใครจะซื้อที่เท่าไหร่ ขายที่เท่าไหร่ ผมไม่ทราบได้หรอกครับ เพียงแต่ว่าหุ้นตัวนี้ได้ถูกแนะนำตั้งแต่ตอนนั้น แต่ใครจะขายก่อนหรือหลังแตกพาร์ (ที่ขึ้นไปอีกเยอะ) ผมก็ไม่ทราบได้หรอก กลับมาที่คำถามของ จขกท กับเรื่อง การ short sell. ส่วนตัวผมไม่เคยได้ยินว่า ลงทุนแบบ VI แล้วห้ามทำ short sell เพราะมันแปลก ๆ เพียงแต่ว่าที่พูดกันแบบนี้ มันอาจเป็นเพราะการ short sell มันเหมือนการจับเสือมือเปล่า ซึ่งความเสียหายไม่ได้จำกัดที่ 100% แต่เป็น ไม่จำกัด (infinity) เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ VI ไม่แนะนำกันเพราะว่าความเสี่ยงมันสูงมาก ๆ แต่ถ้าใครมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้น over-valued มาก ๆ แล้วคิดจะทำ ก็ไม่น่าจะใช่ข้อห้ามอะไร (ถ้าไม่กลัวเจ๊ง) บางเวลาต้องแยกให้ชัดเจนว่า ความเสี่ยงที่จะสูญเสีย และค่าในการเสียโอกาส อะไรมันมากกว่ากัน ที่เหลือก็แล้วแต่คนจะตัดสินใจ ว่าวินาทีนั้นจะเป็น VI VS หรือ VSOP ส่วนตัวผมมีแนวคิดแบบที่เขียนไว้ใน #61 ถึงผมจะลงทุนแบบ VI แต่ถ้าเห็นโอกาส และมั่นใจ ประเมินความเสี่ยง ความสูญเสียดีแล้ว ผมก็คงไม่ยึดติดตัวเองอยู่ในกรอบของ VI (ถ้ามันจะมีการจำกัดแนวทางการลงทุน หรือการเข้าหาโอกาส) VI เป็นเพียงแนวทางการลงทุนที่ผมคิดว่าเหมาะกับตัวเอง และช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนเท่านั้น ไม่ใช่กรอบที่จะต้องเดินตาม แล้วออกซ้ายขวาไม่ได้ ไม่ได้อยากจะภูมิใจที่ใครจะมองเป็น VI แต่ขอแค่ทำกำไรได้ปีละ 15% ก็พอ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 13:36:24 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 13:29:10

ความคิดเห็นที่ 75 ==================== ตรงนี้ ก็เช่นกัน ถ้า VI เห็นจริงๆว่า ธุรกิจหนึ่งๆ กำลังจะร่วงโรย ก็ ทำ Short Sell เลยสิครับ เป็นการพิสูจน์ว่า "รู้จริง" ==================== Short Sell คือการเล่นกับราคาครับ ความเสี่ยงมหาศาล ต่อให้มั่นใจว่าธุรกิจจะร่วงโรยแค่ไหน หรือต่อให้ Short Sell N-PARK, ROYNET ถ้าหุ้นเค้ามีเจ้าที่ ... VI เปรี้ยวไป Short Sell แล้วโดนเจ้ากับรายใหญ่รวมหัวปั่นราคาขึ้น .. VI ก็ลงโลงสิครับ ... จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อหุ้นคืน ถ้าเค้าปั่นขึ้นไปซัก 10 เท่า ??? จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 13:41:59

ความคิดเห็นที่ 76 ...กลับมาที่คำถามของ จขกท กับเรื่อง การ short sell. ส่วนตัวผมไม่เคยได้ยินว่า ลงทุนแบบ VI แล้วห้ามทำ short sell เพราะมันแปลก ๆ เพียงแต่ว่าที่พูดกันแบบนี้ มันอาจเป็นเพราะการ short sell มันเหมือนการจับเสือมือเปล่า ซึ่งความเสียหายไม่ได้จำกัดที่ 100% แต่เป็น ไม่จำกัด (infinity) เลยอาจจะเป็นเหตุผลที่ VI ไม่แนะนำกัน เพราะว่าความเสี่ยงมันสูงมาก ๆ แต่ถ้าใครมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้น over-valued มาก ๆ แล้วคิดจะทำ ก็ไม่น่าจะใช่ข้อห้ามอะไร (ถ้าไม่กลัวเจ๊ง)... v v ถึงตรงนี้ ก็คงต้องตั้งข้อสังเกต ในแง่ที่ว่า เดิม การวิเคราะห์หุ้น เพื่อลงทุน ถ้าเป็นมือใหม่ เขาก็มักจะแนะนำกันว่า การซื้อหุ้น ที่เราไม่มีความรู้ หรือ เข้าใจดีพอ นั้นเสี่ยงมาก คน 10 คน ที่เข้ามา ขาดทุน 7 คน /   เท่าทุน 2 คน / กำไร 1 คน แสดงว่า การซื้อหุ้น แบบปกติ คือ ซื้อ แล้ว ถือ ด้วยความไม่รู้จริง จะทำให้มีความเสี่ยง และ โอกาสขาดทุนได้มากๆ --- ที่นี้ มามองในอีกด้าน พอมือใหม่ คนนั้น เลือกหุ้น แล้วจะทำ Short Sell แต่ทำไม คำอธิบายด้านบน กลับกลายเป็นว่า ความเสี่ยงสูงมากๆ ต้องประเมินให้ขาดว่า หุ้น Over Valued กลายเป็นงั้น ไปอีก :) --- ดังนั้น  เมื่อถึงตรงนี้ ลองกลับไปดู การเดินทาง ของราคาหุ้น TTA ในกราฟด้านบน อีกทีนะครับ ซึ่งกราฟของราคา ดังกล่าว ได้เกิดจาก นักลงทุน อันหลายหลาย ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง   ในแง่มุมต่างๆ ในช่วงเวลาต่างๆ และด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ สามารถ ตั้งข้อสังเกตอย่างนี้ ได้หรือเปล่า ว่าถ้าใครยึดเอาแนวทางไหน มาทำการวิเคราะห์ แล้วเกิด ได้ผลกำไร   ก็มักจะเกิด เหตุการณ์ ประมาณว่า นำผล นั้น มาสนับสนุน เหตุ ที่ใช้ หรือ เอาผลกำไร มาสนับสนุน การวิเคราะห์หรือวิธี ว่าแนวทางของตน นั้นถูกต้อง ทั้งๆ ที่มันอาจจะเป็นแค่ เหตุบังเอิญ ก็ได้ ใช่ หรือ เปล่า ผมถึง ย้ำเสมอ ว่า ถ้าเหตุผล  ของ การวิเคราะห์ และ ตัดสินใจ นั้น ทำได้ ในการเล่นหุ้นขาขึ้น ไม่มีเหตุผล ที่หลักการ หรือ แนวทางนั้น จะใช้ไม่ได้ ในขาลง เพราะ หากไม่มี มายาคติ บดบัง ปรากฎการณ์ที่แท้จริง หลักการหรือวิธีนั้น ยังคงต้องเป็นจริง ด้วยตรรกะคู่ขนาน และ พิสูจน์ให้ประจักษ์ ด้วยบทกลับ ของสิ่งนั้นได้ ก็เท่านั้นเอง และความเห็นส่วนตัว ต่อประเด็นของกระทู้ ก็คงมีเพียง เท่านี้ ขอบคุณ ทุกท่านครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 14:13:56 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 14:09:16

ความคิดเห็นที่ 77 --- ที่นี้ มามองในอีกด้าน พอมือใหม่ คนนั้น เลือกหุ้น แล้วจะทำ Short Sell แต่ทำไม คำอธิบายด้านบน กลับกลายเป็นว่า ความเสี่ยงสูงมากๆ ต้องประเมินให้ขาดว่า หุ้น Over Valued กลายเป็นงั้น ไปอีก :) --- เอ่อ ผมสงสัยว่าคุณ The Rounder คิดว่า เป็นงั้นไปได้อย่างไร การที่จะทำ short sell นั่นคือต้องมั่นใจมาก ๆ ว่ามูลค่าหุ้นจะลดลง ราคาหุ้นจะตกลงไปแน่ ๆ ถึงจะทำ short sell ไม่ใช่เหรอครับ แล้วการที่ต้องมองให้ออกว่าหุ้นตัวนั้นต้อง Over Valued มาก ๆ มันจะผิดแปลกตรงไหน ? การ short sell คือการรับความเสี่ยงสูงมาก ๆ (ที่หุ้นจะไม่ลง และราคาขึ้นไปอีก ทำให้ต้องซื้อคืนในราคาที่ไม่สามารถคาดเดาได้) แล้วมันจะผิดแปลกอะไรตรงไหน ?? ผมค่อนข้างมั่นใจว่า คนกลุ่มเดียวที่สามารถทำ short-sell ได้อย่างมั่นใจ คือกลุ่มที่เงินหนา และสามารถควบคุมราคาของหุ้นตัวนั้นได้ตามที่ต้องการ ซึ่งประเด็นนี้ ... ต่อให้คุณประเมิน MOS หรือ Intr. Value มาสวยเลิศหรูแค่ไหน หุ้นโดนปั่นเข้าไปก็จบครับ ถ้าคุณถือหุ้นอยู่แล้วโดนทุบ ยังพอว่า ... รอได้ หรือซื้อเพิ่มได้ แต่ถ้าคุณดันไป short sell แล้วโดนปั่น ... คุณไม่เหลือซากศพครับ การประเมินแบบ VI ทุกวิธีไม่ได้ช่วยให้คุณรอดตายจากการ short sell แล้วหุ้นถูกปั่นในระยะสั้น นี่ทำไมผมถึงย้ำแล้วย้ำอีกว่ามันเสี่ยงมากนะ VI เค้าไม่ทำกัน ปัจจัยที่ control ไม่ได้มันมีเยอะ ถ้ามองว่า หุ้นที่ Over-valued แล้วจะขึ้นไปอีกได้อย่างไร ... คำตอบก็คือการ "ปั่นหุ้น" ยังไงครับ แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญสุดคือ เป็นแค่มือใหม่ แล้วริจะไป short-sell ... ในความเห็นผมมีแค่อย่างเดียวคือ ได้มาก็เก่ง โชคดีไป ... แต่รู้นะว่า ถ้าเสียขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างไร เป็นแค่นักเรียนหัดบิน คิดจะไปถือหางเสือ A380 มันเร็วไปครับ ส่วนเรื่องการเอาผลมาหา "เหตุ" นั้น ผมเห็นด้วยครับ เห็นประจำในบทวิเคราะห์ประจำสัปดาห์ครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 14:56:57 แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 53 14:48:50 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 14:45:24

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณทุก คห ครับ จากคุณ : ไอติมรสกาแฟ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 16:38:37

ความคิดเห็นที่ 79 ผมพึ่งเข้ามาตรับความเห็นเลยยาวเลย  ติดตรุษจีน อิอิ ขอบคุณทุกๆความรู้ครับ.... จากคุณ : ไอติมรสกาแฟ เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 16:46:17

ความคิดเห็นที่ 80 จากหัวข้อกระทู้ ผมคิดว่า VI หลาย ๆ ท่านไม่ทำ SHORT SELL เพราะ มันมีต้นทุนทางด้านดอกเบี้ย และความเสี่ยงเรื่องระยะเวลาในการคืนหุ้นครับ VI เชื่อว่า หุ้นมันจะวิ่งเข้าไปหาราคาที่เหมาะสม แต่ ไม่รู้ว่าเมื่อไร VI พร้อมจะถือหุ้นเพื่อรอเวลานั้น ซึ่งการทำ SHORT SELL ไม่สามารถรอแบบนั้นได้ครับ ใกล้เคียงที่สุดที่ ดร. นิเวศน์ทำเมื่อปีที่แล้ว คือ ดร. ถือหุ้นเต็ม PORT เมื่อหุ้นลง ดร. ไม่ขาย แต่ไม่มีตังส์ซื้อเพิ่ม ท่านบอกว่า เป็นครั้งแรกที่ท่านกู้เงินไปซื้อหุ้นครับ จะเห็นว่า ยอมเสียดอกเบี้ย แต่คิดว่าผมตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ย แต่ระยะเวลายังคงไม่จำกัดเหมือนเดิม VI ไม่ใช่แนวทางการลงทุนในหุ้นนะครับ แต่ VI เป็นแนวทางการลงทุนในทุก ๆ อย่าง หุ้นเป็นแค่การลงทุนหนึ่งของ VI ดร. ท่านเคยลงทุนในที่ดิน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงกลับมาลงทุนในสิ่งที่ท่านถนัดเท่านั้นเอง ท่านยังกล่าวอีกว่า ทุกวันนี้ท่านก็ลงทุน กับการศึกษาของลูก VI พร้อมจะลงทุนในทุกอย่างที่คิดว่า คุ้มกับการลงทุน เพียงแต่ ในมุมมองของ VI  SHORT SELL มันมีความเสี่ยง และข้อจำกัดมากกว่า คำว่า คุ้มครับ แล้วเรื่อง VISION ผมมองว่า มันไม่ได้แค่สำคัญกับ VI นะครับ แต่มันสำคัญกับการทำธุรกิจ ทุกชนิด สำหรับองค์กรใหญ่ ๆ แล้ว VISION ของผู้บริหารสำคัญมาก เพราะมันเป็นตัวกำหนดทิศทางการเดินขององค์กร สำหรับ นักลงทุนในหุ้น VISION ถามว่าไม่มีแล้วต้องประสบความล้มเหลวไหม ผมมองว่าก็ไม่ครับ เหมือนกับ มีคนตั้งกระทู้ว่า คนรวยอันดับต้น ๆ ทำไมไม่ค่อยมีคนที่จบ ดร. ในทางเดียวกัน การเรียนสูง ๆ มันทำให้มีโอกาสมากกว่า คนเรียนจบต่ำกว่า ไม่ได้กำหนดว่า จบสูง = ความสำเร็จ เช่น เดียวกับนักลงทุน หากมี VISION ผมว่ามันเป็นแต้มต่อครับ แต่ไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จ อาจสำเร็จ หรือ ไม่สำเร็จก็ได้ มันมี Factor มากกว่านั้นครับ จากคุณ : Man Call Hero เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 17:34:11

ความคิดเห็นที่ 81 ============================= ผมถึง ย้ำเสมอ ว่า ถ้าเหตุผล  ของ การวิเคราะห์ และ ตัดสินใจ นั้น ทำได้ ในการเล่นหุ้นขาขึ้น ไม่มีเหตุผล ที่หลักการ หรือ แนวทางนั้น จะใช้ไม่ได้ ในขาลง ============================= ประเด็นคือ vi ไม่ได้มองว่าหุ้น... เป็นขาขึ้นหรือว่าขาลง แต่ประเด็นคือ vi สนใจมูลค่า ซื้อเพราะได้ส่วนลด ซื้อเพราะ Asset ซื้อเพราะเงินสดในบริษัท ซื้อเพราะปันผล ซื้อเพราะ Growth ซื้อเพราะกำลังมีตัวเร่ง ซื้อเพราะทำอาบิทราจ ฯลฯ ปล. ถ้าเลิกให้ความสำคัญกับราคาหุ้นในกระดานแต่ละวัน ผมว่า หลายๆ คน อาจจะทำความรู้จัก vi มากขึ้นก็ได้ครับ จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 18:20:12

ความคิดเห็นที่ 82 เข้ามาอ่านกระทู้นี้ได้เปิดมุมมองเยอะดีครับ แต่ผมก็มีคำถามเท่าที่ผมดูข้อมูลเก่าๆ ตลาดหุ้นมักเจอวิกฤตหนักเฉลี่ยประมาณ 5-6 ปีที่ทำให้ดัชนีลดลงมาก แล้ว VI เวลาเจอช่วงวิกฤต ชาว VI มีแนวทางจัดการอย่างไรครับ? ถ้าไม่ขายแล้วซื้อเพิ่มอีกหรือไม่ จากคุณ : coffee4you เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 22:06:02

ความคิดเห็นที่ 83 นักเก็งกำไร ติดดอย กลายสภาพเป็น VI เทียม VI ขาย short พลาดขึ้นมา กลายสภาพเป็นอะไร จากคุณ : jezo เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 22:40:25

ความคิดเห็นที่ 84 อ่านดูแล้ว เหมือนกับพี่ๆ แปลความหมายของคำว่า Vision และ MOS กันคนละ Position นะครับ หรือผมไม่เข้าใจเองหว่า จากที่อ่านมาผมเข้าใจดังนี้ครับพี่ มีชายสองคนสนใจ บริษัท A โดยนาย ก มองว่า (Vision+Mos) ธุรกิจของ บ.A น่าสนใจและมีลู่ทางที่น่าจะสดใส และใช้เงินลงทุนที่ถูก คือลงทุนไม่มาก แต่ได้ผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจที่คุ้มค่า จึงตัดสินใจเข้าลงทุน โดยการซื้อหุ้น และไม่สนใจว่าราคาจะขึ้นหรือลง ส่วนนาย ข สนใจลงทุน บ.A เพราะ มองว่า (Vision+Mos) บ.A มีคนสนใจมากมาย ทำให้ราคาหน่วยลงทุนเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เพิ่มขึ้น จึงตัดสินใจเข้าลงทุนโดยการซื้อหุ้น ในทางกลับกัน เมื่อราคาหุ้นถึงจุดอิ่มตัว จากการที่คนเริ่มให้ความสนใจ บ.A น้อยลงนาย ข ก็ทำการขายหุ้น บ.A ทิ้งเพื่อทำกำไร และเริ่มมองว่าราคาหุ้น บ.A มีราคาสูงไปจากความน่าจะเป็น จึงทำการของยืมหุ้น บ.A มาขายก่อนโดยจะทำการซื้อมาคืนให้ในภายหลัง พร้อมดอกเบี้ย ส่วนนาย ก ในขณะนั้นยังคงถือหุ้นต่อไป เพราะมองว่ธุรกิจยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบ โดยไม่ได้สนใจว่าราคาหุ้นจะเป็นเท่าไหร่ แต่หากราคาหุ้นลงต่ำมากกว่าการเข้าลงทุนในครั้งแรก และตรวจพบว่าธุรกิจยังไปได้ดีอยู่ ไม่มีอะไรน่าวิตก จึงเข้าทำการซื้อเพิ่มอีก แต่หากเมื่อใดที่ตรวจพบว่า บ.A เริ่มมีปัญหา ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งจนส่งผลการทบต่ออนาคตของบริษัท ก็จะทำการขายหุ้น บ. A ทิ้งโดยไม่สนใจว่าราคาจะเป็นเท่าไหร่ และไม่สนใจที่จะยืมหุ้นเพื่อนมาขายซ้ำ เพราะไม่รู้เลยว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรอลง รู้แต่ว่า บ.A ไม่น่าสนใจแล้ว. ที่อ่านมาผมเข้าใจแบบนี้อะครับ คือพี่มองเรื่อง Vision และ MOS ไปคนละตำแหน่งกัน แต่เป้าหมายเหมือนกันคือมองหาความคุ้มค่า และความปลอดภัยที่น่าจะเป็นเหมือนกัน ประมารนี้ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกปะครับ รบกวนพี่ๆ ชี้แนะด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : NumeeNewhand (NumeeNewhand) เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 23:27:49

ความคิดเห็นที่ 85 อ่านความเห็นของคุณ NumeeNewhand จบ ผมมองว่า หากเป็นอย่างนั้นจริง  นาย ก. จะเป็นคนที่เสียโอกาสในการลงทุนมากๆเลยครับ ซื้อหุ้น  หุ้นขึ้น  หุ้นขึ้น  หุ้นขึ้น ... หุ้นเริ่มลง  หุ้นลง  หุ้นลง  หุ้นเท่าทุน  หุ้นต่ำกว่าทุน  หุ้นต่ำกว่าทุน ... ซื้อหุ้น  ซื้อหุ้น หาก นาย ก. ทำกำไรออกมาบ้าง  จะดีกว่าไหมครับ ? จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 23:38:06

ความคิดเห็นที่ 86 ไม่จำเป็นนะครับ อย่าคิดมากกับประเด็นนี้ ใช่ว่า VI ทุกคน ต้องทำเหมือนกันหมดนะครับ ถ้าเป็นแบบนั้นน่าเบื่อแย่เลย จากคุณ : lunch เขียนเมื่อ : 15 ก.พ. 53 23:50:43

ความคิดเห็นที่ 87 ประเด็นคือ vi ไม่ได้มองว่าหุ้น... เป็นขาขึ้นหรือว่าขาลง ....................................................... เราว่าvi มองนะคะ ในกรณีหุ้นวัฎจักรจะยิ่งเห็นชัด อย่างน้อย ปีเตอร์ ลินซ์ คนนึงล่ะที่มอง การมองว่าหุ้นเป็นขาขึ้น ก็มาจากการมองว่าธุรกิจตัวนี้อยู่ในขาขึ้น หรือเป็น sunrise  ทำให้มีโอกาสการทำกำไรได้สูง เเล้วราคาหุ้นก็จะน่าจะสูงขึ้นตาม (เเต่ไม่มีใครบอกได้หรอกว่า มีcorrelation 100% ) ดูง่ายๆก็ TTA นั่นเเหละ จากคุณ : RoseTiara เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 01:28:07

ความคิดเห็นที่ 88 ประเด็นใน #84 และ #85 น่าสนใจครับ แต่ผมอยากอธิบายอย่างนี้ คุณ NumeeNewhand ให้ลักษณะของนักลงทุน ก และ ข ในรูปแบบการลงทุนที่แตกต่างกัน นาย ก จะซื้อไว้แล้วถือยาวโดยไม่คิดขาย ถ้าบริษัท A ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานไปในทางลบ ส่วนนาย ข จะให้ความสำคัญในเรื่องเทคนิคด้วย และหาโอกาสขายแล้วช้อนซื้อกลับ หรืออาจจะ short sell ในบางที่ที่เห็นว่าหุ้นขึ้นมาสูงเกิน ถ้ามองง่าย ๆ อย่างนี้ แน่นอนว่า นาย ก เสียโอกาสอย่างแรง ... นาย ข น่าจะรวยปลิ้น คุณคนจนที่อยากรวย ก็เลยมองไว้ใน #85 ว่า ถ้าเป็น case อย่าง #84 ว่าไว้ นาย ก. น่าจะเสียโอกาสในการเล่นรอบของหุ้น A การลงทุนแบบนาย ข น่าจะเข้าท่ากว่า และได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า .... ผมถามกลับว่า ... คุณแน่ใจแค่ไหน ว่านาย ข จะขายที่ high แล้วซื้อกลับเล่นรอบ "ทำกำไร" ได้ทุกครั้ง คุณแน่ใจแค่ไหนว่า นาย ข ซึ่งกำไรมา 9 รอบติด ... จะไม่พลิกล๊อค "เจ๊งไม่เป็นท่า" หรือ "หมดตัว" ในรอบที่ 10 คุณแน่ใจแค่ไหนกว่า ทุกครั้งที่นาย ข ขายหุ้น ... เค้าจะสามารถซื้อคืนที่ราคา "ต่ำกว่า" ได้ตลอดไป คุณแน่ใจแค่ไหนว่า ทุกครั้งที่นาย ข short sell ... เค้าจะสามารถซื้อหุ้นคืนได้ครบจำนวนที่ short ไป? (ถ้าไม่ครบนี่ตายแน่ ๆ) นี่คือเหตุผลว่าทำไม ใน 100 คน .... นาย ข1 ร่ำรวยเป็นมหาเซียนเหยียบเมฆ นาย ข2-5 ร่ำรวยจากการลงทุน นาย ข6-10 ได้กำไร นาย ข11-20 เกือบไม่รอด นาย ข21-50 เจ๊งเสียเงิน และ นาย ข51-100 หมดตัวลาขาดจากตลาดหุ้นตลอดกาล ทั้งหมดที่อธิบายมานี้ เพื่ออยากจะบอกแค่ว่า "อย่าคิดว่าไอ้ที่พูดง่าย ๆ น่ะ มันจะทำได้ง่าย ๆ เหมือนที่พูด" นะครับ การสร้าง scenario ของนาย ข แบบ #84 ... ถ้าให้สรุปด้วยประสบการณ์ของผม มันไม่ต่างอะไรกับการที่มีคนตั้งกระทู้ว่า "เล่นหุ้นให้ได้กำไร 5% ต่อเดือน ซัก 10 ปีติดจะได้มั๊ยครับ" ฟังดูมันง่ายใช่มั๊ยครับ .... งั้นช่วยหาคน ๆ นั้นให้ผมหน่อยเถอะ เกิดมาไม่เคยเจอครับ :) เพราะถ้าคนนั้นมีจริง เค้าสามารถเริ่มด้วยเงิน 100,000 บาทในตอนนี้ แล้วจบที่ 33.2 ล้านบาท ในสิ้นปีที่ 10 !!! สมมติปีหนึ่ง ๆ หุ้น swing ปีละ 12 ครั้ง (น้อยจัง) แล้วนาย ข มีกรอบการทำกำไรที่รอบละ 5% ... นาย ข ก็จะเริ่มปีแรกที่ 100,000 บาท และจบปีที่ 10 ด้วยเงิน 33.2 ล้านบาท ..... สิ่งที่ง่าย ไม่มีในโลก และถ้า scenario นาย ข ที่ว่า มันทำได้ไม่ยากจริง ... ดอกเบี้ย bank ไม่อยู่ที่ 0.75% แบบนี้หรอกครับ ด้วยความหวังดี แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 53 03:14:36 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 53 03:13:11 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 03:06:58

ความคิดเห็นที่ 89 ที่พิมพ์มาข้างบนไม่ได้อยากจะให้ใครเชื่อนะครับ แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ลองดูได้ ตลาดหลักทรัพย์เปิดสอนคอร์ส นาย ข ให้คุณทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ ยกเว้นวันหยุดธนาคารครับ ส่วนค่าเรียนก็แล้วแต่วงเงินของแต่ละคน เรียนจบคุณอาจจะได้ประกาศนียบัตร นาย ข1 หรือ นาย ข100 ก็สุดแล้วแต่ จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 03:25:58

ความคิดเห็นที่ 90 =========================== ประเด็นคือ vi ไม่ได้มองว่าหุ้น... เป็นขาขึ้นหรือว่าขาลง ....................................................... เราว่าvi มองนะคะ ในกรณีหุ้นวัฎจักรจะยิ่งเห็นชัด อย่างน้อย ปีเตอร์ ลินซ์ คนนึงล่ะที่มอง =========================== ขอบคุณครับพี่ RoseTiara :) สิ่งที่ Peter Lynch มองคือธุรกิจขาขึ้น ไม่ใช่หุ้นขาขึ้นครับ เพราะในเมื่อธุรกิจมันเป็นขาขึ้น แต่ราคาหุ้นต่ำเกินไป Peter Lynch จึงทำกำไรจากความเรียบง่ายตรงนี้ครับ โดยสรุป ธุรกิจขาขึ้น กับหุ้นขาขึ้นไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับการซื้อธุรกิจที่เป็นขาขึ้น แต่ราคาหุ้นในตลาดรับรู้กันไปพอสมควรแล้ว กล่าวคือ ราคาหุ้นไม่ได้ต่ำเกินไป หรือสูงเกินไปมากแล้วก็ได้ สิ่งที่นักลงทุนได้รับ ก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสียครับ และนี่คือสิ่งที่ vi ทำ => ลงทุนปลอดภัย กำไรอยู่ครบ ตั้งแต่ตอนที่ซื้อ ไม่ใช่ขายครับ :) แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 53 07:27:45 แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 53 07:27:44 จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 07:25:35

ความคิดเห็นที่ 91 ========================== ตลาดหลักทรัพย์เปิดสอนคอร์ส นาย ข ให้คุณทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ ยกเว้นวันหยุดธนาคารครับ ========================== จะบอกพี่ Morning Star ว่าผมเคยไปเรียนคอร์สวันเสาอาทิตย์ครับ :) จากคุณ : ส.สลึง เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 07:34:08

ความคิดเห็นที่ 92 ขอบคุณพี่ Morning Star สำหรับความเห็นที่ 88 มากครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 53 07:56:07