|
ความคิดเห็นที่ 5 |
เล่าประสบการณ์ตัวเองละกันครับ เผื่อจะมีแนวทางของตัวเองบ้าง ความหมายที่จะบอกคือ หากลดรายจ่ายไม่ได้ คุณก็ต้องเพิ่มรายรับครับ ทุกคนมีแนวทางของตัวเอง ลองค้นหาตัวเองดูครับ
2545 start เงินเดือน 8,000 จบใหม่ 2546 ย้ายงาน 2 ที่ ค้นหาตัวเอง เงินเดือน 12,500 (ปีนี้แต่งงาน) 2547 ได้พนักงานดีเด่น เงินเดือน 18,000 (มีลูก มีบัตรเครดิต หนี้สินเริ่มพอกพูน รายจ่ายมากกว่ารายรับ) 2548 เงินเดือน 21,500 (ยังไม่พอใช้หนี้ แถมดันไปซื้อรถอีก 555 ผ่อน 5 ปี เดือนละ 10,700) 2549 เงินเดือน 25,000 และเริ่มเปิดบริษัทตัวเองเล็กๆมีรายรับประมาณ เดือนละ 10,000 บาท (มีลูกคนที่ 2) และเริ่มโครงการปลดหนี้ ตอนนั้นมีหนี้รวมค่ารถ เงินกู้การศึกษา บัตรเครดิต รวมเกือบล้าน (ข้อเสียส่วนตัวห้ามลอกเลียนแบบ) 2550 เงินเดือน 28,000 บริษัทตัวเอง ประมาณ 15,000 (รถเหลือ 3 ปี หนี้อื่นๆรวม 500,000) 2551 เงินเดือน 34,000 บริษัทตัวเอง ประมาณ 20,000 (รถเหลือ 2 ปี หนี้อื่นๆรวม 400,000) 2552 เงินเดือน 40,000 บริษัทตัวเอง ประมาณ 30,000 (รถเหลือ 1 ปี เหลือหนี้เงินกู้การศึกษาอย่างเดียว 200,000 ผ่อนไปเรื่อยๆ และมีเงินเก็บ 300,000 ) 2553 เงินเดือน 42,000 บริษัทตัวเอง ยังไม่รู้ แต่ปริมาณงานที่จะเข้ามาน่าจะถึง 40,000 บาทต่อเดือน เงินเก็บตอนนี้ 400,000 รถจะหมดในอีก 2 เดือนข้างหน้า ไม่คิดซื้อใหม่ในระยะ 5 ปีนี้
เขาบอกว่า ล้านแรกนั้นหายาก ล้านที่สองนั้นหาง่าย ผมกำลังจะลองดูครับ ว่ามันจะจริงอย่างที่เขาบอกหรือเปล่า ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะมีเงินให้ถึงล้านภายในปี 2554 นี้ สู้ๆครับ
และเป้าที่ท้าทายของผม บริษัทผมจะต้องเป็น บมจ. ภายในปี 2570 (แค่ฝันนะ)
แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 17:28:23
แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 17:27:42
จากคุณ |
:
Mccain
|
เขียนเมื่อ |
:
18 ก.พ. 53 17:24:32
|
|
|
|
|