กระทู้นี้แตกประเด็นมาจาก I8949186
ขออนุญาตนำบทความใน blog ของคุณษุภณัฏฐ์ มาลงให้เพื่อนๆ พี่ๆชาว DVD ได้อ่านกัน
โดยส่วนตัวอ่านแล้วได้มุมมอง/แง่คิดที่ดี เลยอยากนำมาแบ่งปันกัน
อ่านจบแล้วมีความคิดเห็นกันอย่างไร ... แลกเปลี่ยนมุมมองกันได้เหมือนเช่นเคยนะครับ
------------------------------------------------------------------------------
จินตนาการความพ่ายแพ้
เป็นปกติที่คนเราจะกลัวความพ่ายแพ้ ไม่มีใครอยากนึกถึงว่าตัวเองแพ้อย่างไร ไม่มีใครนิยมชมชอบคนแพ้ แม้แต่ในภาษาหุ้น เรามักจะเคยได้ยินบ่อยๆว่า คนตายพูดไม่ได้ หมายถึงคนที่เจ็งในตลาดหุ้นไม่เคยมาพูดว่าตัวเองเจ็งยังไง เพราะอายกับความพ่ายแพ้ของตนและไม่มีใครอยากฟังคนพ่ายแพ้
การเล่นหุ้น คนที่คิดแค่ว่า ซื้อต่ำขายสูงเดี๋ยวก็รวย อาจจะทำได้ ถ้า
1 คุณรู้ข่าววงใน
2 คุณมีตาทิพย์สามารถล่วงรู้อนาคตได้
เพียงแต่ในความเป็นจริงนั้น ผมไม่เคยเห็นใครที่กะราคาหุ้นถูกต้อง 100% เลยซักคนเดียว ยกเว้นแต่เป็นคนรู้ข่าววงใน
จินตนาการความพ่ายแพ้ ไม่ใช่เป็นการคิดไปว่าตัวเองเมื่อเล่นจะต้องแพ้ แต่เป็นการคิดวิเคราห์พิจารณาว่าเรามีสิทธิ์แพ้ยังไงได้บ้าง เพื่อเผื่อทางหนีทีไล่ไว้ เมื่อเหตุการณ์นั้นมาถึง
ในโลกนี้ไม่มีใคร perfect 100% ไม่เคยมีใครแพ้ ใครชนะทุกครั้ง มันต้องมีผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ หากเราไม่คิดถึงเวลาเราแพ้ เราย่อมไม่รู้ว่าเมื่อวันนั้นมาถึงเราจะรับมือยังไง หุ้นก็เหมือนกันหากเราคิดว่าทุกบาทที่เราลงจะต้องทำกำไรให้เรานั่นเป็นความคิดที่ผิด
คราวที่แล้วผมพูดถึง ทุกครั้งที่ผมซื้อหุ้น ผมจะสำรองเงินส่วนนึงไว้ เผื่อหุ้นที่ผมซื้อลง ผมก็จะเอาเงินที่สำรองไว้เข้าไปซื้อ นั่นเป็นการลดความเสี่ยงแบบหนึ่ง ผมรู้ตัวดี ผมไม่ใช่เซียน ผมไม่สามารถกะมูลค่าและราคาหุ้นได้อย่างแม่นยำ ผมไม่รู้ว่าบริษัทไหนดี บริษัทไหนน่าลงทุน ผมรู้ว่าวิธีนี้รวยช้า แต่ค่อนข้างปลอดภัย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ใช่เซียนเช่นผม
ความเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น และวิธีป้องกัน
1. การติดกับดักปันผล หุ้นปันผลบางตัวปันผลดีแค่บางปี หรือแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากเราซื้อโดยดูปันผลในอดีต อาจจะมีความแปรปรวนที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต เช่น ธุรกิจของบริษัทเป็นขาลงพอดีในจังหวะที่เราซื้อหุ้น ทำให้ปันผลน้อยลง
วิธีป้องกัน
1.1 การดูเงินปันผลในอดีตหลายๆปีย้อนหลังสามารถช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้ ในกรณีที่คุณไม่มีความรู้เลยในการประเมินศักยภาพของบริษัท
1.2 หาบทวิเคราะห์มาอ่าน ดูสิว่านักวิเคราะห์เค้าประเมินเงินปันผลในอนาคตเท่าไหร บางคนอาจจะบอกว่าพวกนักวิเคราห์ส่วยใหญ่เป็นนักวิแคะ ซึ่งก็จริงการประเมินราคาหุ้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครสามารถเดาได้ แต่ผมคิดว่าเงินปันผลที่นักวิเคราะห์คิดออกมาค่อนข้างถูกต้อง เพราะอย่างที่ผมบอกในตอนแรก
ปกติเงินปันผลของแต่ละบริษัทจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงซักเท่าไหร
1.3 ซื้อหุ้นหลายๆตัวกระจายความเสี่ยง แม้การดูผลประกอบการในอดีตและอ่านเอาจากบทวิเคราะห์จะช่วยลดความเสี่ยงมากแล้ว แต่ความเสี่ยงก็คือความเสี่ยง มันยังคงคู่กับตลาดหุ้นเสมอ การกระจายซื้อหุ้นหลายตัวเป็นอีกกลไกนึงที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ ผมเชื่อว่าบริษัทที่ปันผลทุกปีอย่างสม่ำเสมออยู่ดีๆจะมาเลิกปันผลได้นั่นเป็นเรื่องยาก ในสิบบริษัทอาจจะมีแค่สองสามบริษัทที่เป็นอย่างนั้น ดังนั้นหากซื้อ 10 หุ้น น่าจะมีอย่างน้อย 8 หุ้นที่เราได้บริษัทดีที่ไม่ใช่หุ้นกับดักปันผล ยิ่งหากเงินปันผลย้อนหลังเป็นไปในทิศทางเดียวกับบทวิเคราะห์ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ว่าใน 10 หุ้น จะมีหุ้นเสียมากกว่าครึ่ง ยกเว้นคุณโชคร้ายจริงๆ
2 ซื้อแพงเกินไป การกะราคาหุ้นเป็นเรื่องยากและเป็นไปไม่ได้ การใช้เทคนิคกราฟมาช่วยก็เป็นการลดความเสี่ยงระดับหนึ่ง เพราะมันเป็นจุดรับตามจิตวิทยา เพียงแต่คุณต้องสามารถเดาใจมหาชนให้ได้ว่า คนส่วนมากมีจุดรับที่เท่าไหร ซึ่งก็ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ใช่เซียนอีก
วิธีป้องกัน
2.1 สร้างจุดที่พอใจ ไม่ใครรู้หรอกว่าซื้อหุ้นแล้วมันจะขึ้นจะลง ก่อนจะซื้อหุ้นคุณต้องรู้ก่อนคุณพอใจกำไรเท่าไหร หากคุณยังหาจุดนี้ไม่ได้ ผมว่าหุ้นแบบลงทุนคงไม่เหมาะกับคุณแล้วล่ะ เพราะการลงทุนต้องประมาณกำไรได้ เช่นผมคิดว่าหากเอาเงินไปซื้อประกัน ผมอาจจะได้ผลตอบแทน 6% ต่อปี งั้นถ้าผมสามารถซื้อหุ้นที่ปันผลมากกว่า 6% ต่อปี ผมพอใจ หากหุ้นตัวนั้นยังปันผลมากกว่า 6% ต่อปีให้ผม ผมพอใจ ไม่ว่าราคาจะขึ้นลงยังไงแค่ไหน มีแต่ขึ้นถึงจุดก็ขาย ลงถึงจุดก็ซื้อเพิ่ม แต่ไม่เครียดไปกับราคาหุ้น หากคุณมีทัศนะคติอย่างนี้ได้ แสดงว่าคุณเป็นนักลงทุน ตัวอย่างง่ายๆ หากคุณเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ลงทุนไปสามหมื่น จริงๆแค่คุณซื้ออุปกรณ์มาราคาสินทรัพย์ที่คุณถือก็ลดลงไปเกือบครึ่งแล้ว เพราะถ้าคุณขายต่อ ผมเชื่อว่าคุณขายที่ราคาที่คุณซื้ออุปกรณ์มาไม่ได้ ซึ่งจริงๆการลงทุนทุกอย่างก็เหมือนหุ้น เพียงแต่คุณไม่เคยไปตีมูลค่าของสินทรัพย์ที่ซื้อมาแ่ค่นั้นเอง เพราะนักลงทุนไม่เคยคิดว่าสินทรัพย์มีมูลค่าเหลือเท่าไหร เค้าสนใจแต่สินทรัพย์นี้ทำเงินได้เท่าไหร เหมือนเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว คิดแต่วันนี้จะขายได้เท่าไหร ไม่ใช่วันนี้ราคาอุปกรณ์ทำก๋วยเตี๋ยวขายได้เท่าไหร
ทัศนะคติที่มีต่อหุ้นในฐานะนักลงทุนเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวีไอ วีไอที่ดีไม่ควรเอาราคาหุ้นมาเป็นมูลค่าหุ้น แต่เอาราคาหุ้นมาเป็นเครื่องมือตัดสินว่าหุ้นตัวนี้ควรซื้อหรือควรขาย
2.2 มีเงินสำรอง หากคุณไม่ใช่เซียน คุณกะมูลค่าหุ้นได้อย่างไม่แม่นยำ การเก็บเงินสำรองก็เป็นการลดความเสี่ยงที่ดีตัวหนึ่ง แน่นอนมันอาจจะดีกว่า หากคุณซื้อด้วยเงินทั้งหมดแล้วหุ้นมันขึ้น แต่นั่นหมายความว่าคุณเป็นโครตเซียนสามารถกะมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้อย่างแม่นยำ หากคุณสามารถสร้างทัศนะคติได้อย่างข้อ 2.1 คุณซื้อมา 100 บาท หุ้นปันผลปีละ 10 บาท คุณได้ 10% ต่อปี สำหรับผม ผมถือว่าพอใจ เพราะมากกว่าการลงทุนอย่างอื่น คราวนี้คุณโชคร้าย ตลาดเกิด panic หุ้นปรับตัวลงเหลือ 50 บาท แต่หุ้นยังปันผล 10 บาท แสดงว่าหากคุณยังมีเงินเหลือไว้ช้อนตัวนี้ คุณจะได้ปันผล 20% ต่อปีเลยทีเดียว แน่นอนหากคุณมองที่ราคาหุ้น คนคงเครียดมาก แต่ถ้าทัศนะคติของคุณถูกต้อง คุณจะไม่เครียด แต่จะดีใจมากกว่า ที่คุณสามารถซื้อของได้ถูกลง (หากคุณมีเงินเหลือนะ) แน่นอนหากคุณซื้อแล้วมันขึ้น ก็ยิ่งดี เงินสำรองไม่ได้ใช้ แต่คุณกำไรจากราคาหุ้น หากเล่นแบบนี้ก็ยิ้มได้ทั้งขึ้นและลง
Credit : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=supphanat&month=03-2010&date=01&group=2&gblog=4
แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 53 07:35:07