Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มหัศจรรย์ของหุ้น VI vote  

การลงทุนแบบ Value Investment ในเมืองไทย น่าจะเริ่มขึ้นเป็นจริงเป็นจัง หลังจากปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจไทย

และหลังจากการตีพิมพ์หนังสือ เรื่อง "ตีแตก" ของผมในราวปี 2542 นั่นเป็นปีเริ่มต้นที่ "เข้าตำรา" โหร นั่นคือ ดวง "ตกฟาก" ของ VI เหมาะสม  เป็น "ดวง" ที่ดีมาก  เพราะหลังจากการตกต่ำอย่างหนักของตลาดหุ้นในช่วงนั้น ทำให้ตลาดเต็มไปด้วยหุ้นที่มีราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมยังจำได้ว่า มีหุ้นของกิจการที่มั่นคงแข็งแกร่ง เป็นผู้นำอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมอาหาร ที่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต ที่ยังมียอดขายดีมากในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ  มีกำไรและปันผลที่สูงมาก ฐานะการเงินแข็งแกร่งไม่มีหนี้สินจากสถาบันการเงิน แต่ราคาของมันคิดเป็นค่า PE แค่ 5 เท่า ค่า PB ไม่เกิน 1 เท่า และจ่ายปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นถึง 10% ต่อปี ดังนั้น การลงทุนซื้อหุ้นแบบนี้ ซึ่งคือหุ้นแบบ VI จึงเป็นการลงทุน "ในฝัน" และเมื่อเวลาผ่านไป ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นการลงทุนที่ดี และได้ผลตอบแทนที่งดงามมาก

ว่าไปแล้ว ดวงตกฟากของ  VI ในเมืองไทย เหมือนกับดวงตกฟากของ VI ต้นตำรับในอเมริกา ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจของอเมริกาในปี 1929 และหลังการตีพิมพ์หนังสือเรื่อง  Securities  Analysis ของเบน  เกรแฮม ในปี 1934  ซึ่งทำให้การลงทุนแบบ VI  แพร่หลายไปทั่วอเมริกาและทั่วโลกในเวลาต่อมา

หลังจากการเริ่มต้นแนวทางการลงทุนแบบ VI ในช่วงจังหวะเวลาที่ดีเยี่ยมแล้ว การลงทุนแบบ VI ในตลาดหุ้นไทยก็ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเป็นลำดับ  ในช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักลงทุนแบบ  VI เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวความคิดนี้แพร่หลายออกไป จะอยู่ที่ผลงานความสำเร็จของการลงทุนของนักลงทุนแบบ VI  จำนวนไม่น้อย ที่สร้างผลตอบแทนงดงาม  

ผลตอบแทนของ VI หลายคน แทบจะเรียกได้ว่า "มหัศจรรย์" และทำให้พวกเขากลายเป็น "เศรษฐี" ได้ในเวลาอันสั้น แต่ส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมดที่พูดถึง ยังเป็นเรื่อง ที่ "กล่าวอ้าง" หรือ "คาดการณ์" กันเองโดยคนอื่น เพราะผลงานการลงทุนแบบ VI ทำโดยบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชน จึงยังไม่มีข้อพิสูจน์จริงๆ ว่า การลงทุนแบบ  VI เป็นการลงทุนที่ดีกว่าหรือเหนือกว่าการลงทุนแบบอื่น

เพื่อจะพิสูจน์ว่า การลงทุนแบบ VI ในเมืองไทย เป็นการลงทุนที่ "เหนือกว่า" อย่างเป็นวิชาการ ไม่ใช่จากการกล่าวอ้าง ผมได้ทำการศึกษาเรื่องผลตอบแทน จากการลงทุนแบบ VI  ในตลาดหุ้นไทยสองครั้ง และได้ตีพิมพ์ผลงานลงในหนังสือวารสารทางวิชาการของคณะบริหารธุรกิจของนิด้าฉบับล่าสุด คือ เดือน พ.ย. 2552 และต่อไปนี้ คือ สาระสำคัญของการศึกษาทั้งสองครั้งที่ใช้วิธีการศึกษาแบบเดียวกัน และผมถือโอกาสสรุปรวมการศึกษาทั้งสองครั้งไว้ในที่นี้

วิธีการคัดเลือกว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้น  Value หรือเป็นหุ้นคุณค่า ก็คือ การหาหุ้นที่มีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า ค่า PB ไม่เกิน 1 เท่า  และค่าผลตอบแทนปันผล หรือ Dividend Yield ไม่ต่ำกว่า 3% โดยที่หุ้นตัวไหนเข้าเกณฑ์ดังกล่าวในตอนสิ้นปีที่แล้ว เราซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพื่อลงทุนในปีต่อมา เราจะถือหุ้นดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งปี พอถึงสิ้นปีเราก็มาดูอีกทีหนึ่ง ว่า หุ้นยังเข้าเกณฑ์หรือไม่ ถ้ายังเข้าเกณฑ์เราก็ยังถือต่อไป เพราะมันยังเป็นหุ้น Value อยู่   ถ้าไม่เข้าเกณฑ์แล้วเราก็ขายทิ้งแล้วเอาเงินไปลงในหุ้นอื่นที่เข้าเกณฑ์แทน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกปี แล้วมาดูว่าจะได้ผลตอบแทนเท่าไรเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์

การศึกษานี้ครอบคลุมตั้งแต่ต้นปี 2543 จนถึงสิ้นปี 2551 คิดเป็นเวลา 9 ปี  ผลของการศึกษาสรุปได้เป็นดังนี้
1. จำนวนหุ้น Value ที่เข้าเกณฑ์และถูกเลือกลงทุนในปี 2543 มี 47 บริษัท และถือว่ามีจำนวนน้อยที่สุดในช่วง 9 ปีที่ศึกษา  สาเหตุคงเป็นเพราะในปีนั้น บริษัทจำนวนมากคงยังขาดทุนกันอยู่ทำให้หาหุ้นที่มีค่า PE ต่ำได้ยาก  หลังจากนั้นแล้ว  จำนวนหุ้นที่เข้าข่ายเป็นหุ้น Value ในแต่ละปีเฉลี่ยอยู่ที่ 70 บริษัท

2. พอร์ตของหุ้น Value ที่มีหุ้นประมาณ 70 ตัว ในแต่ละปีในช่วงเก้าปี กำไรทุกปียกเว้นปี 2551 ที่ขาดทุนประมาณ 2% ปีที่กำไรสูงสุด คือ ปี 2549 ที่กำไร 73.56% โดยที่กำไรเฉลี่ยแบบทบต้นเท่ากับประมาณ 34% ต่อปี ในขณะที่ผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ คิดจากดัชนีตลาดนั้น  ในช่วง 9 ปี  มีขาดทุน  4  ปี  และขาดทุนหนักที่สุดในปี 2551 ที่ประมาณ 43% ปีที่ดีที่สุด คือ ปี 2546 ซึ่งดัชนีตลาดขึ้นไปถึง 118% และเป็นปีเดียวที่ผลตอบแทนของตลาดดีกว่าผลตอบแทนของหุ้น VI  โดยเฉลี่ยแล้ว  ผลตอบแทนทบต้นของตลาดในช่วง 9 ปีนั้น  ให้ผลตอบแทนประมาณ 4.8% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าพอร์ต  VI ถึงปีละประมาณ 29%

3. ถ้าสมมติว่าเราลงทุนเริ่มต้นในปี 2543 จำนวน 1 ล้านบาท  ภายในสิ้นปี 2551 พอร์ต VI จะโตขึ้นเป็นประมาณ 13.6 ล้านบาท  ขณะที่ถ้าลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้น  พอร์ตจะเพิ่มขึ้นเป็นเพียง 1.5 ล้านบาท ในเวลา 9 ปี

ข้อสรุปสุดท้ายของผม ก็คือ  การลงทุนในหุ้น VI ในตลาดหุ้นไทยในช่วงประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา ให้ผลตอบแทนที่ "มหัศจรรย์" จริงๆ และนี่เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมาก ดูแค่ตัวเลขว่าเป็นหุ้นถูกเข้าข่ายหุ้นแบบ VI ในแนวของเบน เกรแฮม ก็เพียงพอแล้ว

นั่นคือ อดีตที่ผ่านมาแล้ว และมันอาจจะเป็นโอกาสทองที่ไม่เกิดขึ้นอีก ในวันที่ VI เพิ่งเริ่มต้นในตลาดหุ้นไทยใหม่ๆ คนอาจจะยังรู้จักการลงทุนแบบนี้น้อย แต่ในวันนี้ คนที่เป็น VI มีมากขึ้น และนี่อาจจะทำให้การลงทุนแนว "เบน เกรแฮม" ยากขึ้น และผลตอบแทนอาจจะไม่โดดเด่นเท่ากับอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การลงทุนแบบ VI ยังเป็นวิธีการที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนแบบอื่น เพราะสถิติของผลตอบแทนแบบ VI จากการศึกษาในตลาดอเมริกาที่พัฒนามากแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า  VI เป็นการลงทุนที่เหนือกว่า  แม้ว่าความเหนือกว่าจะไม่มากอย่างที่เห็น จากการศึกษาในครั้งนี้

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR
http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/nives/20100309/103926/มหัศจรรย์ของหุ้น-VI.html

จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา
เขียนเมื่อ : 9 มี.ค. 53 22:53:40




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com