![](/cafe/image/w40px.gif) |
ความคิดเห็นที่ 7 |
|
มือใหม่ กับ นโยบายการลงทุน
ตอนเริ่มต้นเทรด นักลงทุนหลายท่านกางตำรา แล้วบอกนโยบายการลงทุนของตนมาว่า ต้องการลงทุน ถือหุ้นระยะยาว ไม่ขายไม่ขาดทุน แต่พอซื้อหุ้นเสร็จปุ๊ป มานั่งเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละ 4 เวลา ก่อนและหลังอาหาร เห็นหุ้นของตนมั่นคงแน่นิ่ง ตัวอื่นวิ่ง ceiling กันโครมๆ เลยบ่นว่า หุ้นที่ซื้อ ทำไมไม่ไปไหนเลย พอมีกำไรนิดหน่อย มันก็ลงมาเท่าทุนอีก เป็นอย่างนี้ 3-4 ครั้ง พอครั้งที่ 5 มีกำไร ก็ขายหุ้นลงทุนทิ้ง แล้วเปลี่ยนไปเล่นหุ้นไว ......
พอขายหุ้นไวออกไป ไปเข้าตัวใหม่ แล้วไปเฝ้ามองตัวเก่าที่เพิ่งขายออกไป เห็นตัวที่ขายไปแล้ว มันวิ่งขึ้นต่อ ก็เสียดาย หุ้นที่เพิ่งเข้าไปใหม่ เลยไม่อยากขายไว แล้วก็ติดหุ้น พอติดหุ้นก็ไม่อยากขาย เพราะมันเท่าทุน (เดี๋ยวกำไรแล้วจะขาย นั่งเฝ้าอย่าจอ รอความหวัง)
พอขาดทุนก็นั่งเซ็ง เพราะขาดทุนมันจมไปเรื่อยๆต่อหน้าต่อหน้า จนยากเกินจะเยียวยา ก็หมดหวัง
มือใหม่ๆตามเว็บบอร์ด มักจะยกตนว่าแนวทางของตนดีที่สุด แล้วก็ไปโจมตีแนวทางของคนอื่น (การเสนอเป็นสิ่งที่ดี การโจมตีไม่มีประโยชน์) ผมมีลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในหลากหลายแนวทาง และฟันธงว่า ทุกแนวทางดีหมดคับ ถ้าท่านยึดแนวทางนั้นๆอย่างเคร่งครัด
=====================================
ผมมีลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในแนวทาง Value Investor มาเล่าให้ฟัง ตอนผมทำงานในบริษัทที่ปรึกษา ในฐานะ Financial Consultant ผมมีโอกาสได้ทำงานร่วม กับ บริษัทสาขาประจำประเทศไทยของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ที่ listed อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ....... President ประจำประเทศไทยมาเปิดบัญชีเทรดกับผม ด้วยความรู้สึกว่าฝากเงินไว้กับกองทุน ฝากเงินไว้ กับเงินฝากประจำ มันได้น้อยเหลือเกิน มีหนำซ้ำ หักอัตราเงินเฟ้อแล้ว มูลค่าเงินท่านด้อยค่าลง จนไม่เหลืออะไรเลย ท่านจึงเข้าลงทุนในฐานะเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซื้ออย่างเดียว ไม่เว่อร์ไม่ขาย เพราะเราคือเจ้าของกิจการ
ก่อนจะซื้อ ผมต้องทำ Executive Summary ให้ท่านชุดนึง โดย review, compare ในทุกแง่มุม รวมทั้ง risk factor ที่เกี่ยวข้อง แล้วเลือก Top Three ของแต่ละ sector ไปให้พิจารณา ประกอบกับ ประวัติเงินปันผล ..... ท่านเองก็ใช่ว่าจะเชื่อผมไปทั้งหมด (ถูกต้องแล้วสำหรับเจ้าของเงิน) ท่านจะกรองและสอบถาม และใช้ดุลพินิจของท่านเอง ในการเลือกหุ้น ...... และเมื่อซื้อแล้ว ท่านจะไม่เฝ้าตลาดเลย สั่งให้ผมโทรฯ รายงานเฉพาะเมื่อ fundamental ระยะยาวของบริษัทเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น เมื่อหุ้นขึ้น ท่านนั่งเฉยๆ เมื่อหุ้นลงหนักๆ ท่านซื้อเพิ่ม ลงอีกซื้ออีก ลงอีกซื้ออีก และท่านจะมีความสุขทุกครั้งที่หุ้นตก เพราะลงอีกจะได้ซื้ออีก (เงินเดือนท่านเกิน 1 ล้านบาทต่อเดือน) โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการเพียง เงินปันผล เท่านั้น ..... 4 ปีผ่านไป มูลค่าพอร์ตตอนนี้ของท่านมี unrealized gain เกินกว่า 400% และเงินปันผลที่ท่านได้รับในแต่ละปีเฉลี่ยต่อปี มากกว่า 3 ล้านบาท .......
ความสำเร็จของท่านนี้ คือ 1) ท่านเลือกหุ้นเก่ง เลือกหุ้นได้ถูกตัว แม้ตอนซื้อและก่อนซื้อ มันจะยังไม่ขึ้นก็ตาม 2) หน้าตักท่านมาก ถ้าลงหนักๆ สามารถซื้อได้เรื่อยๆแบบไม่อั้น ซื้อจนผมกลัวแทนเลย และ 3) ท่านไม่เฝ้าหน้าจอ ท่านไม่เคยทุกข์ใจเมื่อหุ้นร่วง ตรงกันข้าม ท่านสุขใจเมื่อหุ้นดิ่งลง เพราะจะได้สะสมเพิ่ม
ข้อผิดพลาดของท่านอื่นที่ต้องการลงทุนตามแนวทางนี้ 1) เลือกหุ้นเพื่อการ "ลงทุน" โดยมุ่งเน้นเพียงเพราะว่า "ราคาถูก" โดยหวังอย่าลมๆแล้งๆว่า วันข้างหน้ามันจะขึ้น เช่น ราคาหุ้นต่ำกว่าบาท ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ราคาหุ้นมันลงมามากแล้วเมื่อเทียบ กับอดีต .... หุ้นที่เลือกเพื่อการลงทุนจึงมีแต่หุ้นเก็งกำไร ที่ขึ้นมาเพราะ technical rebound หรือ ขึ้นมาเพื่อลงต่อ 2) ลงมา ก็ซื้อ เด้งมาไม่ขายเพราะนี่คือการลงทุน พอลงมาอีกก็ซื้ออีก เด้งมาก็ไม่ได้ขายเพราะนี่คือการลงทุน พอลงครั้งที่สาม เงินหมดแล้ว เลยนำไปสู่ความทุกข์ เมื่อหุ้นลง
แนวทางนี้ ไม่เหมาะกับการชวนพ่อแม่ของผมให้มาเล่น เพราะบ้านเราไม่มีกะตังค์ขนาดนั้น
=======================================
ผมมีลูกค้าที่ประสบความสำเร็จในแนวทาง Trading มาเล่าให้ฟัง ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ มีสัดส่วนค่อนข้างมาก ....... กลุ่มนี้ อยู่ในตลาดมานาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชน และ ใช้ข้อผิดพลาดในอดีตเป็นบทเรียน จนทุกวันนี้ กลายมาเป็นผู้ชนะ
กลยุทธ์หลัก > "ลงซื้อ ขึ้นขาย .... ขึ้นขายก่อน อ่อนซื้อกลับ ..... ถ้าซื้อแล้วลงอีก limit loss รอรับล่าง"
กลุ่ม Trading จะเล่นหุ้นครั้งละ 2-3 ตัว หรือ อาจจะตัวเดียวด้วยซ้ำ กลุ่มนี้ ไม่แคร์ราคา ถ้ารอบมันมา ก็ซื้อ แม้จะแพงกว่าที่ขายไปในอดีตก็ซื้อ เช่นเดียวกัน หากจบรอบ ก็ขายหนีตายเช่นกัน ไม่สนว่าจะขายถูกกว่าต้นทุนที่ซื้อหรือไม่ เพราะวัตถุประสงค์หลัก ต้องการ ส่วนต่างราคา ...... เมื่อขายแล้ว มันขึ้นต่ออีกนิด ก็ไม่ตาย เพราะตัวใหม่ที่เข้าไป ทำกำไรได้งามกว่าการนั่งรอกำไรอีกนิดที่ต้องอาศัยเวลารอคอย
ความสำเร็จของกลุ่มนี้ อยู่ที่ 1) เน้นการปั้มเงิน มากกว่า เน้นขาย High ..... สมมุติพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ต่ำกว่า 5 บาท ถ้าใน 1 เดือน ทำกำไรได้จากหุ้น 8 ตัวๆละ 10 ส.ต. จะได้กำไรมากกว่า การถือหุ้น 1 เดือน เพื่อรอกำไรจากหุ้นตัวนั้น 40 ส.ต. 2) เน้นการออกมาให้ทัน Limit Loss เป็น จึงไม่สนว่าขายแล้วจะขึ้นต่อหรือไม่ ในขณะที่ ราคาเป้าหมาย ที่เราได้ยินได้ฟังมา มักพาเราติดหุ้น แกะไม่หลุด แล้วความสามารถในการปั้มเงินก็หมดลง เผลอๆ ทุนจมลึกเกินเยียวยาอีก ด้วยเหตุนี้ กลุ่ม Trading จึงไม่นิยมซื้อตอนหุ้นกำลังลง หรือถ้าซื้อก็จะ cut loss หากมันลงต่อ (ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา PICNI เคยเทรดแถวๆ 20 บาท, NWR เคยเทรดแถวๆ 20 บาท, EWC เคยเทรดแถวๆ 40 บาท, NCH เคยเทรดแถวๆ 8 บาท, ITV เคยเทรดแถวๆ 30 บาท, CK เคยเทรดแถวๆ 30 บาท, STEC เคยเทรดแถวๆ 20 บาท, KEST เคยเทรดแถวๆ 60-70 บาท, ATC เคยเทรดแถวๆ 70 บาท, TTA เคยเทรดแถวๆ 60 บาท, IEC เคยเทรดแถวๆ 8 บาท, SINGHA เคยเทรดแถวๆ 9 บาท)
ข้อผิดพลาดของกลุ่มคนที่พยายามจะเล่นแบบกลุ่มนี้
1) ต้องการซื้อที่ low 2) ต้องการขายที่ high 3) ขายแล้วขึ้น เสียดาย คราวต่่อไป เลยตั้งใจจะขายที่ราคาแพงๆ 4) ให้ความสำคัญ กับคำว่า ถูก/แพง 5) limit loss ไม่เป็น 6) ดู bid ดู offer เป็นสำคัญ (ของเขาทั้งนั้น) 7) เล่นหุ้นหลายตัวมากไป จนไม่รู้พฤติกรรมหุ้น
ขอบคุณ : thaidaytrade.com
จากคุณ |
:
โตขึ้นจะเป็นเซียน
|
เขียนเมื่อ |
:
21 มี.ค. 53 20:54:53
|
|
|
|
![](/cafe/image/w40px.gif) |