ความคิดเห็นที่ 1   เชิญอ่านของท่านอื่นที่สรุปได้ดีมากๆข้างล่างครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 08:27:16 จากคุณ : tmcih เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 08:59:48

ความคิดเห็นที่ 2 ผัดหมี่ขอตั้งกะ ก.อะกะ อะกา a b c d ...x y and ซี  นะคะพี่ๆๆๆ และภาษาง่ายๆๆนะนะ พี่มัดเร่ อะ ทะมาย sixteen  candles จัง ผะหมี่อายนะนั่น   อ้อ อ้อ  ผัดหมี่ไปซื้อหนังสือ 1,000 Miles to be Wealthy มาอ่านระนะ เพราะตัวแดงๆๆที่เขียนว่า ห้ามพลาด  อย่ากลัวหากคิดจะลงทุน แต่บอกไม่ได้ว่ากี่เดือน...จบจ๊ะ จากคุณ : ผัดหมี่คนตัวโตหัวลีบอะค่ะ (ThePhenix) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:02:00

ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีพี่แมลงเม่าทนไฟ พี่tmcih และพี่ๆทุกท่านที่จะตามมาครับ ผมขอผลัดเป็นเย็นวันอังคารละกันครับวันนี้ไม่ว่างอย่างแรง รบกวนพี่ๆแชร์กันไปก่อนนะครับ ^^" จากคุณ : คุณNuRun เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:02:33

ความคิดเห็นที่ 4 แนวคิดหลัก... 1. money management -> แบ่ง zone แบบ unit fix หรือ value fix 2. model or system -> ต้องไม่ขาดทุน ไม่มี cut loss 3. cash flow -> การบริหารกระแสเงินสดที่ได้ ไปใช้ประโยชน์ต่อไป ทั้งหมด ต้องมี 'วินัย' และ 'ใจ' ที่เข้มแข็งมากๆ... แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 11:06:29 จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:09:36

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อวานพิมพ์ไปแล้วรอบนึง หายไปซะละ เดี๋ยวรอบนี้หายอีก ไม่พิมพ์ละนะ อุอุ สิ่งที่ผมได้ ก็แนวคิด ระบบรวมๆที่ เฮกฟัน ต่างชาติ หากินกับเงินของพวกเรา วิธีการที่เราคงไปต่อกรกับเค้าได้ยาก  เพราะฉนั้น เราก็ต้องวางแผน บริหารเงิน มีวิธีการของเรา ให้เป็ฯระบบ อย่างเช่น KZM DSM เอาแนวคิดเมื่อวานมาพัฒนา ต่อยอดให้เป็นวิธีการที่เหมาะกับเรามากที่สุด  เพราะระบบออกแบบมาอย่างดีแล้ว โดย คุณ มัดเล่ย์   ถ้าจะเทรดแบบเบสิค เลยก็ได้ ถ้าจะก้าวไปอีกขั้นซึ่งจะสูงกว่า แบบเบสิค ก็ต้องศึกษาเรื่อง Option ยังไม่จำเป็ฯต้อง รู้เรื่อง กาลยุทธ์ ต่างๆที่ Option ทำได้ ก็ได้  เอาแค่พื้นๆ ว่า Long Call Long Put Short Call Short Put คืออะไร ทำงานอย่างไร ควรซื้อที่ สไตร์ไพรส ไหน OTM ATM คืออะไร  แค่นี้ก็พอ  ซึ่งความรู้เหล่านี้ หาได้ตามหนังสือ ตามบอร์ด มีทั้ง ฟรี และเสียเงิน  พยายามทำความเข้าใจกันไว้นะครับ ถ้าอยาก ข้ามไปอีก ขั้น เมือ่วาน มีหลายท่านที่ไม่เคยรู้เรื่อง Option มาก่อนเลย คงตามไม่ทัน เพราะ มีข้อจำกัดเรื่อง ระยะเวลา คุณ มัดเล่ห์ คงไม่สามารถ อธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจได้ภายในเวลาที่จำกัด  เพราะฉนั้น ทุกท่าน คงต้องศึกษาเรื่อง Option แล้วย้อนกลับยไปดูโน๊ต หรือ DVD เมื่อวานแล้วจะเข้าใจมากขึ้น  และจะปิ๊งไอเดีย ที่จะเอามารประยุกต์ให้กับ KZM DSM ได้ ที่าำคัญในระยะเริ่มแรก ตั้งตัว ทุนเรายังน้อย เราต้องสร้าง ฐานรองรับก่อน Base Line ของเรา แล้วค่อยต่อยอด ไป ทาง อื่นๆ เช่น ฟิวเจอ ออพชั่น สร้างฐานให้มั่นคง  และแบ่งเอากำไร ออกมา 2 ส่วน ส่วนนึงเอาไปเก็งกำไร กับหุ้นเก็งกำไรหรือ อย่างอื่น  ที่ได้กำไรมากๆ  อีกส่วน เอาไป ลงทุนในพอร์ทเพิ่ม เพื่อเร่งให้ พอร์เราขยายฐานในระยะเริ่มแรก   เพราะฉนั้น ระยะเริ่มแรก สำคัญมาก และต้องอดทน ยึดมั่นในระบบ  อย่าวอกวก - มีบางท่านถามว่า มีปัญหา เรือ่ง มีเงินเหลือเยอะเพราะ หุ้นขึ้นมาเยอะทำอย่างไร - มีบางท่านถามว่า ถ้าซื้อหุ้น รวบโซนบนที่เราวางแผนไว้แล้ว กลัวเงินจะเอาไปแช่ไว้โดยที่ไม่ได้ทำอะไร จะทำอย่างไร เงินที่เราเอามาลงนี้ ต้องเป็นเงินเย็น ที่เหลือให้แล้วคิดว่าจะเอามาลงทุนกับ TDEX เพื่อหาผลปรโญชน์จากมัน โดยผลตอบแทนคือส่วนต่างคือราคา ที่เราจะทยอยได้มาทีละเล็กละน้อย สะสมไปเรื่อยๆ  อย่าคิดว่าเงินไปเอาจม เงินเหลือโดยไม่ทำอะไร หรือเอาเงินร้อนที่ต้องเอาไปใช้ทำอย่างเอื่นมาลงทุน  เพราะจะทำให้แผนเราสะดุด ไม่เป็นผล รายได้ที่เราผลิตออกมาจาก ทั้ง กอง A B C D เราต้องเรามา บริหาร MM อีกที อย่าเอาไปใช้จ่ายเรื่อยเปื่อยโดยไม่วางแผน  เพราะระยะเริ่มแรก เราต้องขยายพอร์ต เราต้องเอากำไรที่ได้ มาหารายได้เพิ่มเข้าไปอีก  ในวิธีการที่แต่ละคน ถนัด ซึ่งมีหลายๆวิธี   เริ่มแรก กอง C สำคัญมาก เพราะฉนั้น ควรจะมีกองนี้ เพราะจะเป็นกอง ที่เร่งพอร์ทเราให้โตได้เร็ว ผมก็สรุปคร่าวๆได้เท่านี้ รอท่านอื่นมาต่อละกัน นะ สำหรับผม ก็ได้อะไรมามากมาย คงต้องเอาไปพัฒนาระบบของตัวเองไปเรื่อยให้เข้ากับระบบเรามากที่สุด จากคุณ : kanakum เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:14:12

ความคิดเห็นที่ 6 แชร์จากสมุดโน้ตดาค่ะ จุดเริ่มต้นของการลงทุนทุกอย่าง เราควรเริ่มจาก Basic Line เราควรมีความรู้ เข้าใจ และพร้อมที่จะสร้าง Basic Line ที่แข็งแกร่ง เพื่อต่อยอดไปสู่ส่วนอื่นๆได้ยั่งยืน Basic Line นั่นประกอบไปด้วย 3 ส่วน 1. Money Management เป็นการบริหารเงินลงทุนของเราให้ถูกต้อง มีอยู่ 2แบบคือ - แบบ Unit Fix เริ่มด้วยการรู้ระดับการลงทุนว่าอยู่ในช่วงไหน แล้วเราวางเงินให้ครอบคลุมทุกระดับ หลักนี้ KZM เราใช้อยู่ - แบบ Value Fix เป็นการตีมูลค่าของสิ่งที่เราลงทุนทั้งหมด จริงที่สำคัญของการบริหารเงินทุนให้ถูกต้อง คือ เราต้องวางแผนให้ครอบคลุมระดับที่เราวางไว้ โดยไม่มีการขายขาดทุน หรือ cut loss 2. System Management หรือระบบ ปกติเราจะคำนวณด้วยการมองเป็นเงินในกระเป๋า เราก้อจะใช้จิตใจในการตัดสินใจ เพราะมองว่าเงินในกระเป๋าเราลดลง แต่ถ้าเปลี่ยนการมองเป็นจำนวนหุ้น เมื่อหุ้นลงเราจะรู้สึกดี เพราะเราจะได้จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น ดังนั่น เราควรแยกระบบออกจากตัวเรา 3 กระแสเงินสด หรือกำไรที่ได้จากการบริหารเงินที่ดีแล้ว มีระบบที่ดีแล้ว จากนั่นเราก้อบริหารกระแสเงินสดนั่นให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งเราสามารถต่อยอดกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นมาด้วยการใช้ option จากคุณ : daandart เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:27:16

ความคิดเห็นที่ 7 แหะๆๆพิมพ์นานไปนิดพี่มงคลสรุปไปแล้ว แหะๆๆ จากคุณ : daandart เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:28:22

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อวานชอบคำนี้จัง แยกคนออกจากระบบ มองเห็นภาพชัดเจนเลย ถ้าไม่ทำตามระบบ เพราะเราเอาตัวเราไปปนกะระบบ ............. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 09:34:32

ความคิดเห็นที่ 9 ผมไปคุยกับอาจารย์หลังงาน... เรื่องที่ผมถามไว้ คือ แนวคิดที่จะทำระบบ trade ที่ง่ายๆ ให้เด็กๆ สามารถทำได้โดยไม่ต้องรู้เรื่องคณิตศาตร์ที่ยาก หรือกราฟอะไรเลย สามารถใช้กระดาษแผ่นเดียวก็ทำระบบ trade ได้เลย... สรุป สิ่งที่อยากเอามาเพื่อนๆ คือ หลักการลงทุนสำหรับนำไปใช้ไม่ว่ากับอะไรก็ตาม ให้เริ่มด้วยวางระบบที่มี money management ที่ดีก่อน แล้วจะเอา หลักการซื้อขายอะไรก็ได้ที่อยากใช้ (จะยาก จะง่ายก็ได้) แล้วทำตามระบบอย่างมีวินัย... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 10:05:14

ความคิดเห็นที่ 10 เออ...ไม่ได้สรุปความรู้ เพราะตัวเองยังมึนๆไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร จะถามคำถามในกระทู้นี้แทนได้มั้ยครับ จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 11:15:09

ความคิดเห็นที่ 11 อีกเรื่องหนึ่ง ที่ได้จากงานนี้... คนทั่วไปมักอยากได้กำไรสูงสุดอยู่ตลอดเวลา และมักอยากได้เกินความรู้ ความสามารถที่ตนมี... แต่คนที่มีความรู้ ความสามารถมากพอแล้ว กลับไม่อยากทำกำไรสูงสุดตลอดเวลา แต่กลับพยายามรักษาเงินทุนที่มีอยู่ให้ได้ก่อน (ไม่มีวันขาดทุน) แล้วเรื่องทำกำไร ก็ทำไปเรื่อยๆ ตามความรู้ ความสามารถที่มี ไม่ทำเกินสิ่งที่รู้ ที่เข้าใจ ทำตามโอกาสที่ตลาดเอื้ออำนวยให้... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 11:27:46

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีครับ แวะมาให้ give ก่อน เลิกงานแล้วค่อยกลับมาอ่านอีกครั้งนึง ^ ^ ปล.เสียดายมากๆ ที่ไม่ได้ไป เพราะว่ายังจัดการกับเรื่องงานไม่ีลงตัว จากคุณ : Wish You Were Here เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 12:20:40

ความคิดเห็นที่ 13 สวัสดีครับ คอยอ่านความคิดของพี่ๆ อยู่ครับ จากคุณ : maxtao เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 12:44:14

ความคิดเห็นที่ 14 ก. เอ๋ย ก.ไก่   สร้างกระแสเงินสด จาก tdex ข.ไข่ ในเล้า   แบ่งกระแสเงินสดส่วนนึ่ง อาจจะสัก 20-30 เปอร์เซ็นต์ มาเสี่ยง ฃ. ของเรา   นำกระแสเงินสดส่วนที่เหลือส่งไป ก. เอ๋ย ก.ไก่ ค. เข้านา   ถ้าขนาดเงินลงทุนน้อย (ซื้อ-ขาย tdex โซนละไม่ถึง 20,000 หุ้น) ให้เอา ข.ไข่ในเล้า ไป long call option ที่ strike price เท่ากับหรือน้อยกว่า ราคาขายโซนบนสุดของ tdex ที่ตั้งไว้   ถ้าขนาดเงินลงทุนโตขึ้นอีกหน่อย (ซื้อ-ขาย tdex โซนละ20,000 หุ้นขึ้นไป) ให้เอา ข.ไข่ในเล้า ไป short call option ที่ strike price ที่สูงกว่า zone tdex ที่ยังไม่ได้ขาย และห้ามขาย zone นั้น ให้ถือไปจน option หมดอายุ ถ้า option ขาดทุนให้ขาย tdex zone ที่จับคู่กับ option ตัวนั้น แล้วก็เก็บเงินไว้รอซื้อคืนเมื่อราคาร่วงกลับลงมาใน zone อีกครั้งหนึ่ง   สุดท้ายถ้าขนาดเงินลงทุนใหญ่ยิ่งมโหฬาร ก็ให้ไปศึกษาเรื่อง option มาเยอะ ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้หมด ทั้ง long call, short call, long put, short put ฅ. ขึงขัง   รอสอบเลื่อนชั้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อสภาพคล่อง option มีมากกว่า่นี้มาก ๆ จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 12:52:38

ความคิดเห็นที่ 15 จุดหนึ่งที่สำคัญมาก แต่อาจลืมเน้นไป คือ เรื่องระบบบัญชี... การทำระบบ trade ทุกอัน ต้องมีการบันทึกลงบัญชีซื้อขายทุกครั้ง และต้องลงให้ถูกต้องด้วย... เพราะ สุดท้ายแล้ว บัญชีจะเป็นสรุปผล บอกผลงานที่ทำไปว่า ได้ผลดีมากน้อยแค่ไหน เป็นตัวยืนยันว่า ระบบทำงานได้ตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ซึ่งสามารถเอาไปปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นได้ต่อไป... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 12:54:08

ความคิดเห็นที่ 16 สวัสดีครับ ไม่มีความรู้มาเเบ่ง  ครึ่งเช้าได้ไอเดียต่างๆมากมาย ครึ่งบ่ายตอนเเรกพอจะทัน ตอนหลังเริ่มหลุด[ไม่มีความรู้เรื่อง option] มานั่งอ่านที่เพื่อนๆเขียนดีกว่าจะได้หายมึน จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 13:36:45

ความคิดเห็นที่ 17 พี่ แมลงเม่าทนไฟ ครับ  สอบถามเรื่อง ค.เข้านา "  ถ้าขนาดเงินลงทุนโตขึ้นอีกหน่อย (ซื้อ-ขาย tdex โซนละ20,000 หุ้นขึ้นไป) ให้เอา ข.ไข่ในเล้า ไป short call option " แต่เป็นในกรณี short put option นะครับที่คุณ mudleygruop อธิบายตอนสุดท้าย ขอช่วยอธิบายในแง่นี้เพิ่มหน่อยครับ จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 13:45:17

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่อง options จะสรุปยังไงดีหล่ะ เพราะท่าทางจะเข้าใจยากอยู่ สำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มเล่น options เลย... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 13:47:47

ความคิดเห็นที่ 19 สวัสดีครับ ขอเขียนบ้างเท่าที่นึกออกนะครับ  :) 1. เรื่องแรกก็เบสิคไลน์ ที่ผมจดมาก็เหมือนกันกับของคุณdaandartแทบจะเป๊ะๆเลย งั้นลอกตามเลยละกันครับ ^^ 2. value fix วิธีนี้คือการกำหนดจำนวนหุ้นที่จะซื้อในแต่ละโซนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน แตกต่างจากแบบ unit fixที่จะซื้อหุ้นในแต่ละโซนด้วยจำนวนหุ้นคงที่เท่าๆกัน  แบบvalue fixผมลองทำดูมาเดือนกว่าๆแล้ว ก็ใช้ได้ดีครับ ถ้าใครมีไอเดียเยอะๆ สามารถพลิกแพลงไปต่างๆนาๆได้ด้วย (คือพอดีด้วยเรื่องของค่าคอมขั้นต่ำที่โบรคเก็บผมเลยซื้อหุ้นแบบ fix unitไม่ได้ เพราะในอนาคตถ้าหุ้นตกลงไปต่ำๆ จำนวนunitที่fixมันจะเป็นเงินน้อยกว่าที่จะไม่เสียค่าคอมขั้นต่ำเลยซื้อแบบvalue fixแทน ไม่รู้ว่าเมื่อวานจะมีการพูดถึงแบบนี้พอดี) 3. งานนี้ต้องมองกันในระยะยาวๆๆๆถึงจะดี ควรลงทุนkzm กับทีเด็กนี่ดีที่สุดแล้ว แล้วก็ระบบในการซื้อขายต่างๆก็ต้องมองกันยาวๆ ทั้งตัวหุ้นที่เลือกทำkzmและระบบที่จะใช้ซื้อขายถ้าเลือกแบบฉาบฉวยในระยะสั้นอาจจะได้ผลตอบแทนดีกว่าทำกับทีเด็กแต่พอระยะยาวแล้วถ้าจะต้องมาคอยปรับเปลี่ยนเรื่อยๆมันจะชะงัก ผมเองมีประสบการณ์มาเองเลยเพราะว่าเมื่อปีที่แล้วทำkzmกับหุ้นรายตัว พอขึ้นมาปีนี้จะเริ่มเปลี่ยนมาทำกับทีเด็กก็ต้องรอผ่องถ่ายเปลี่ยนแปลงตัวหุ้น กระแสเงินสดที่เคยผลิตได้ทุกเดือนก็หยุดไปเลยสองเดือน แถมมีต้องขายขาดทุนหุ้นอีกด้วย นี่ผ่านมาสามเดือนเพิ่งจะทำกำไรในเดือนนี้ชดเชยการขาดทุนที่เกิดขึ้น เท่ากับปีนี้ผ่านไปสามเดือนไม่เกิดกระแสเงินกลับมาเข้าพอร์ตเลยครับ นี่เป็นประสบการณ์การไม่มองยาวๆแล้วต้องมาปรับเปลี่ยน หวังว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องมาทำแบบนี้ ^^" 4. อันนี้ก็เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ คือกองทุนต่างชาติไม่ต้องมาซื้อหรือขายช๊อตตัวทีเด็กก็ได้ เค้าสร้างพอร์ตset50ของเค้าขึ้นมาเองได้เลย ดังนั้นการไปสังเกตพฤติกรรมของหุ้นทีเด็กแล้วไปคิดว่ารายใหญ่กำลังทำยังงั้นยังงี๊จริงๆแล้วคงเห็นไม่ครบหรืออาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ 5. กระแสเงินสดที่ผลิตได้ในแต่ละเดือนต้องแบ่งและจัดสรรเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างต่อเนื่อง อันนี้ที่ผ่านมาผมนี่ชอบที่จะได้เห็นมันเป็นเงินสดอยู่ในบัญชีอยู่อย่างนั้น (เอามาใช้งานนิดหน่อย) เห็นแล้วมันชื่นใจดี แห่ะๆ 6. อันนี้สรุปส่วนตัว เมื่อเลือกที่จะใช้kzmแล้ว หากจะทำตามหรือจะต่อยอดตามที่ตัวเองชอบอะไรอย่างไรก็ตาม ควรเป็นระบบหรือวิธีที่เมื่อเทียบกับคนอื่นที่เล่นแบบเก็งกำไรแล้วเราต้องไม่เครียดแบบเค้าแล้วเราต้องได้มีโอกาสฝึกสกิลมากกว่าเค้า มองให้ออกว่าระบบkzmนั้นข้อดีคืออะไร(ไม่มีขาดทุน,ได้ฝึกสกิลบ่อยๆ,ขึ้นก็ยิ้มลงก็ยิ้มฯลฯ) แล้วเราก็เสริมความแข็งแกร่งให้กับข้อดีเหล่านั้น อันไหนคือข้อเสีย(กำไรช้า,ราคาหลุดโซน) เราก็เตรียมตัวไว้รับมือ ไม่ก็ปรับมุมมองที่เห็นผิดนั้นซะ "เห็นมั้ยครับระบบของเราเวลามีปัญหามันจะเป็นปัญหาที่เบากว่าของคนอื่น ราคาหุ้นทะลุโซนบน(นี่คือกำไรหมดแล้วทุกกอง), มีเงินสดเหลือเยอะ ทำไงดี? มันแตกต่างจากปัญหาที่คนอื่นๆต้องเจอกันเวลาเล่นหุ้นแล้วมีปัญหา" อันนี้จำมาคร่าวๆจากที่อ.มัดฯพูดเมื่อวาน ^^ เอามาปิดท้ายละกันครับ จากคุณ : อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:06:53

ความคิดเห็นที่ 20 วิธี value fix นี้ยังงงๆอยู่เลย คิดไปคิดมา มันน่าจะคล้ายๆ กับระบบFATS หรือป่าวครับ http://fatsrevolution.wordpress.com/2008/03/29/fats-basic/ ............. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:19:40

ความคิดเห็นที่ 21 #20... เรื่อง value fix ให้คิดง่ายๆ แบบนี้ครับ เปรียบเทียบกับ kzm ซึ่งเป็น unit fix คือแบ่งจำนวนแต่ละ zone ด้วย 'จำนวน' เท่าๆ กัน ถ้าเป็น value fix คือ แบ่ง zone ให้แต่ละ zone มี 'มูลค่า' เท่าๆ กัน โดย มูลค่า = ราคา * จำนวน แต่ถ้าเอาใช้กับ หุ้น ปกติ จะอาจทำได้ลำบากหน่อย เพราะปกติ เราต้องซื้อขายให้จำนวนลงหลัก 100 หน่วยเป็นอย่างต่ำ ดังนั้น value fix ซึ่งบางครั้งอาจจะได้ค่าจำนวนลง หลัก 10 หรือหลักหน่วย อาจทำให้ซื้อขายได้ยากหน่อยนะครับ แต่เราอาจใช้วิธี ปัดเศษทิ้ง ให้ลงหลัก 100 ก็ได้นะครับ... แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 14:51:03 จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:45:19

ความคิดเห็นที่ 22 #21 ให้ดาคิดจากของใกล้ตัว Unit Fix เป็นการกำหนดจำนวนหุ้นของแต่ละไม้ไว้เท่ากันให้ครอบคลุมช่วงที่เรากำหนดไว้ตามเงินลงทุน เช่นการกำหนด 100 หุ้นของแต่ละไม้กับการลงทุนในหุ้น Value fix เป็นการกำหนดจำนวนเงินที่จะซื้อในแต่ละไม้ไว้เท่ากันให้ครอบคลุมช่วงที่เรากำหนดไว้ตามเงินลงทุน เช่น การกำหนดซื้อกองทุนไม้ละ 1,000บาทในการลงทุนในกองทุนค่ะ จากคุณ : daandart เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:50:01

ความคิดเห็นที่ 23 ใช่แบบนี้หรือป่าวครับ จำนวนหุ้นมันมีเศษเยอะหน่อย ............ จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 14:55:24

ความคิดเห็นที่ 24 #23... ใช่ครับ... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:01:00

ความคิดเห็นที่ 25 ชักน่าสนใจแฮะ วิธีนี้เราจะได้หุ้นแทนเงิน  น่าจะเรียกว่า กระแสหุ้น ถ้าส่งการบ้านก็ต้องบอกว่า ได้กระแสหุ้นมา   กี่% ........................... แต่วิธีนี้ยังไม่ได้คิด ค่าคอมมิสชั่น  ถ้าหุ้นมีการแกว่งไปมา ซื้อขายที่ตำแหน่งเดิมบ่อยกลัวว่าทุนจะหมดก่อน อาจต้องมีการเผื่อหรือป่าว แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 15:13:08 จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:04:46

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบพี่ author unknown คห.17 short put option ที่พี่มัดฯ อธิบายตอนท้ายนั้น ผมเข้าใจว่า มันเป็นเรื่องของการปกป้องเงินสดที่เราถืออยู่อ่ะครับ ผมเองพิมพ์อธิบายก็ำค่อนข้างลำบากเหมือนกัน คือไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดหรือยกตัวอย่างยังไงดี เอาว่าไว้มีโอกาสกินกาแฟกัน แล้วจะลองคุย ๆ เท่าที่พอจะเข้าใจให้ฟังนะครับ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ  ครับ เรื่องนี้ผมว่าน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีทุนหนา ๆ น่ะครับ ผมเข้าใจว่าตอนนี้พี่มัดฯ อยากให้เราเน้นไปที่ call option มากกว่า สำหรับช่วงนี้ เพราะมันเป็นขั้นตอนต่อเนื่องมาจาก KZM ที่เราได้สะสมกันมา จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 15:26:37

ความคิดเห็นที่ 28 มาช่วยเสริมคุณแมลงเม่าทนไฟ... อาจารย์ให้มอง call options เหมือน หุ้น เช่น tdex และมอง put options เหมือน เงินสด (cash) ถ้า หุ้น ราคาลดลง -> power ของเงินสด จะสูงขึ้น เพราะ ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม จะสามารถซื้อหุ้นได้จำนวนมากขึ้น ถ้า หุ้น ราคาลดลง -> ราคา put options จะสูงขึ้น จะเห็นว่า put options มีลักษณะเหมือน เงินสด การ short put เป็นการเปิดสัญญา ขาย put ซึ่ง ถ้าหุ้นขึ้น เราจะกำไรจากค่า premium ถ้าหุ้นลง จะกำไรลดลง จนถึงขาดทุน (ไม่จำกัด) แนวคิดของอาจารย์ คือ ให้แบ่ง zone เหมือน kzm แต่เปลี่ยนเป็นเตรียม เงินสด สำหรับ แต่ละ zone ไว้แทน แล้วก็ทยอย short put ที่ละ zone ไปเรื่อยๆ ถ้าหุ้นขึ้น ก็รอเก็บกำไรจาก premium ตาม zone ต่างๆ ถ้าหุ้นลง ถึงจะขาดทุน แต่ยังรับความเสี่ยงได้ เพราะเราคำนวณต้นทุนของ zone ต่างๆ ไว้หมดแล้ว (ตรงนี้ ผมไม่แน่ใจว่า อาจารย์ให้ถือ put ไปจนหมดอายุเลย หรือว่าพอ set50 วิ่งมาจนจะกินค่า premium หมด แล้วให้ปิดก่อน เพื่อกัน loss run หรือเปล่านะครับ?) แต่จุดนี้อาจารย์ให้มอง หุ้นลง แสดงว่า zone ล่างๆ มีโอกาสได้ทำงาน และ เงินสดที่เหลือทั้งหมด จะมี power มากขึ้น อีกอย่าง ขอบเขตการลงมี 'จำกัด' เพราะ set50 ไม่มีทางต่ำกว่า 0 อ่านแล้ว งง มากขึ้นนหรือเปล่าครับ... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:01:13

ความคิดเห็นที่ 29 เพิ่มเติม... ถ้าหุ้นลง แล้ว power ของ เงินสด เยอะขึ้น เราสามารถเอากลับซื้อ tdex ที่ราคาต่ำได้ด้วย โดยใช้เงินน้อยลง แสดงว่า โดยรวมแล้ว เราไม่ได้ขาดทุนเลย (หรือเปล่า)! จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 16:07:07

ความคิดเห็นที่ 30 เอ...ผมอาจจะอธิบายผิดนะครับ ถ้าใครเข้าใจดีแล้ว ช่วยมาแก้ไขเพิ่มเติมด้วยนะครับ... ไว้ผมไปคิดระบบ put options + kzm ให้ครบก่อน แล้วจะมาอธิบายให้อีกทีนะครับ... ตอนนี้มีระบบหลายอัน ที่ต้องกลับมาคิดทบทวน วางแผนใหม่หมด เพื่อเริ่ม series S50M10 ขอเวลาหน่อยนะครับ... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:13:00

ความคิดเห็นที่ 31 มารอจด อ่าน ฟัง คะ   มอง put option เป็นเงินสด  มอง call option เป็นหุ้น เก่งมากๆเลยคะ  อ่านตามแล้วอึ้ง ยิ่งทำให้เสียใจ เสียดายที่อดไปสุดๆเลยคะ พี่ๆคะ CD จะมีให้ก๊อปไหมคะ  จะหลังบ้านมาบอกวิธีการที่จะได้ดูวิดีโอก็ได้คะ พลีส พลีส แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 17:23:17 จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:20:50

ความคิดเห็นที่ 32   สวัสดีตอนบ่ายครับ ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกท่านที่ช่วยกันจัดงาน และมาถ่ายทอดความรู้ให้นะครับ จากคุณ : ดอกไม้ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:20:54 A:180.180.195.187 X: TicketID:179642

ความคิดเห็นที่ 33 #31 วีดีโอคุณมัดเล่ห์ ขอเอาไปตัดต่อก่อน เพราะมันมีบางส่วนไปกระทบอำนาจมืดในตลาดหุ้น แล้วเดี๋ยวจะมาแจกให้ทุกท่านครับ ผมก็อยากได้ไวๆ เหมือนกัน กะว่าจะไปช่วยเลขาฯ คุณมัดเล่ห์ตัดต่อหน่อย โดนกีดกันซะก่อน........ให้เดาว่าใครกีดกันผ๊มมม ............. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 17:39:17

ความคิดเห็นที่ 34 เรื่องเงินสดและอำนาจซื้อและการshort put ตอนฟังฟังแล้วพอจะเข้าใจ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าเข้าใจถูกมั้ยในการทำงานของมัน  แต่ยังไงก็ขอลองเสนอแนวทางเพื่อหาวิธีทำความเข้าใจได้ไม่ยากตามนี้ดูละกันครับ คือผมขอใช้กระทู้ข้างล่างนี้เป็นไกด์ไลน์ครับ ในกระทู้นั้นมีการพูดถึง inverse ETF ว่าถ้าเอามาทำงานร่วมกันกับ TDEX จะเสริมกันดีมากเลย แล้วก็มีคุณอนาคตมาถามในคคห.24ว่า ระหว่างรอให้บ้านเรามีอินเวิร์สอีทีเอฟนั้น จะหาอะไรมาใช้แทนก่อนดี  ซึ่งคุณมัดเล่ฯก็มาตอบว่า เงินสดนั่นเองที่จริงๆแล้วมันก็คืออินเวิร์สอีทีเอฟของทีเด็ก  งั้นตามความเข้าใจของผมนะครับ ถ้าเราจะทำระบบทั้งสองให้ประสานกัน เราก็ต้องมีระบบkzmสองอัน อันแรกทำkzmกับtdex อันที่สองทำkzmกับเงินสด(อันที่สองนี้เงินสดทำหน้าที่เป็นหุ้น ส่วนtdexทำหน้าที่เป็นเงินสด) ทั้งสองใช้เงินทุนเท่าๆกัน คลุมโซนเท่าๆกัน แล้วให้คิดซะว่าเงินสดมันก็คืออินเวิร์สอีทีเอฟของทีเด็กนั่นเอง การshort put optionsกับkzmเงินสด มันก็คือกระจกด้านตรงข้ามของการ short call optionsกับkzmทีเด็ก หลักการและวิธีทำเหมือนกันเลยแต่มันอินเวิร์สกันนั่นเอง  ที่ผมเข้าใจมาถึง ณ วันนี้ เวลานี้ก็คือแบบนี้อ่ะครับ ผิดถูกก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันต้องรอดูวีดีโอซ้ำๆๆหลายๆครั้งก่อนครับ ^^" เตรียมตัวความรู้ก่อนเข้าสู่เลเวล 2 (Negative-Correlations) http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2009/06/I7995801/I7995801.html ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ความคิดเห็นที่ 24   พี่MudleyGroup ครับ ที่พี่ให้เราเทรด ETF ก็เพราะมันมีความปลอดภัยกว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอาจจะเคลื่อนไหวไม่ตรงตามตลาดเช่น เค้าขึ้นกันโครมๆ แต่ตัวนี้ดันนิ่ง หรือดีไม่ดีดันตกสวนทางกับชาวบ้าน ผมเข้าใจถูกไหมครับ และพี่ที่เน้น ETF เป็นพิเศษด้วยอีกเหตุผลหนึ่งคือพี่MudleyGroup เป็นห่วงรายย่อยทั่วไปมาก อยากให้ทรัพย์สินที่เราสะสมไว้นี้ สามารถอยู่ปั๊มเงินให้เราไปได้นานแสนนาน ชั่วลูกชั่วหลานยิ่งดี ซึ่งตรงนี้ ETF ปลอดภัยกว่าหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอยู่แล้ว แต่ทีนี้ เนื่องจากตลาดไม่ออก ETF ตัวที่เป็น Negative Correlations กับสินทรัพย์หลักของเราซักที และไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไหร่ ต้องรอไปอีกนานขนาดไหนก็ไม่รู้ ดังนั้น ในระหว่างที่เรารอตลาดให้ออก ETF ตัวที่ว่านี้ เราเลือกหุ้นตัวใดตัวหนึ่งหรือกองทุนอะไรซักอย่างที่เป็น Negative Correlations มาใช้แทนไปก่อนได้ไหมครับ และพอตลาดออก ETF แบบที่เราต้องการ เราค่อยย้ายไป ETF ตัวนั้นแทน ไม่รู้มันจะใช้แก้ขัดไปก่อนได้รึเปล่า รบกวนพี่ช่วยเฉลยให้ด้วยครับ จากคุณ : อนาคต   - [ 23 มิ.ย. 52 11:31:53 ] ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สวัสดีครับ น้องอนาคต ระหว่างที่ไม่มี จริงๆแล้วก็คือเงินสดเนี่ยหล่ะครับ เพราะเงินสดนั้นเป็น negative correlations กับสินทรัพย์ทั่วๆไ ปได้เป็นอย่างดี ซึ่งนักลงทุนส่วนมากมักไม่รุ้ความสำคัญของเงินสด  เพราะจริงๆแล้วถ้ามูลค่าสินทรัพย์เราลดลง มูลค่าของเงินสดเราจะเพิ่มค่าโดยปริยายครับ แต่บางทีคนอาจมองภาพไม่ออก เพราะมองผลตอบแทนในรุปของกระแสเงินสดเพียงอย่างเดียว  แต่ลืมอีกสิ่งสำคัญคือ ถ้าสินทรัพย์หลักเรามูลค่าลดลงเนี่ย Power purchase เราก็จะมากขึ้นกล่าวคือเงินเรามีมูลค่ามากขึ้น ครับผม :) จากคุณ : MudleyGroup    - [ 24 มิ.ย. 52 10:42:04 ] ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ จากคุณ : อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 18:15:19

ความคิดเห็นที่ 35 ใครน๊ากีดกันพี่ซุ้มได้   นึกม่ายออกเลยคะ   จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 18:15:58

ความคิดเห็นที่ 36 มาขออ่านด้วยคนนะคะ แต่มี กิ๊ฟ มาแจก :P Option ไม่รู้เรื่องเลยค่ะ แต่อยากฝังไวรัสมากมาย ถ้าท่านใดมีวิธีฝังไวรัส รบกวนด้วยนะคะ การฝังไวรัส ต้องวางโซน คุมโซนด้วยหรือเปล่าอ่ะคะ จากคุณ : lemonsmile เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:21:08

ความคิดเห็นที่ 37 จาก คห30  เรื่อง option   พี่ mongkong สรุปถูกแล้วครับ เห็นหลายคนยัง งง ๆ  ผมขอสรุปแนวทางการเล่นให้อีกทีนะครับ  โดยแยกเป็นสองกรณี ดังนี้ สมมุติ tdex ราคา 5 บาท กรณีที่ 1   เรามีหุ้น tdex  20000 หุ้น เราก็ short call option   ซึ่งก็ได้ค่าพรีเมี่ยม มา ถ้าหุ้นลง   เราก็ได้ค่าพรีเมี่ยมฟรี ถ้าหุ้นขึ้น   เราจะขาดทุนจากการ short call   แต่ราคา tdex ก็จะสูงขึ้นมาเท่ากับยอดที่เราขาดทุน  เราก็ขาย tdex  ออก   เอาส่วนต่างมูลค่าที่ขึ้นมาไปจ่าย short call  หักลบแล้วเท่ากับว่า   เราได้ค่าพรีเมี่ยมฟรี เหมือนเดิมอีก  (แต่หุ้น tdex ทั้งหมด  ถูกเปลี่ยนเป็นเงินสดแล้ว  จากนั้น เรามีเงินสดในมือ ถ้าจะเล่นต่อ ก็คือ กรณีสอง) กรณีที่ 2   เรามีเงินสด 100,000 บาท  (ไม่ได้ถือหุ้น tdex) เราก็ short put option   ซึ่งก็ได้ค่าพรีเมี่ยม มา ถ้าหุ้นขึ้น   เราก็ได้ค่าพรีเมี่ยมฟรี ถ้าหุ้นลง   เราจะขาดทุนจากการ short put   แต่ราคา tdex ก็จะถูกลงมาเท่ากับยอดที่เราขาดทุน  เราก็เอาเงิน 100,000 บาทส่วนหนึ่งไปจ่ายที่ขาดทุน และส่วนที่เหลือก็ยังซื้อ tdex ได้เต็มจำนวน (ก่อนที่จะ short) หักลบแล้วเท่ากับว่า   เราได้ค่าพรีเมี่ยมฟรี เหมือนกัน  (แต่จำนวนหุ้นที่เราจะซื้อ tdex ก่อนและหลัง short จะเท่าเดิม จากนั้น ถ้าจะเล่นต่อเรามี tdex ในมือ  ก็ไปเล่นในแบบกรณีที่ 1 ) จากคุณ : ขอบคุณ อจ มัดเล่ย์มาก (minibar) เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:21:11

ความคิดเห็นที่ 38 หวัดดี ครับ พี่ Mongkon/Pong  พี่แมลงเม่า รวมถึงพี่ คนอื่นด้วย ผมจะลองยกตัวอย่าง โดยผม short put มาลองดู ให้พี่พิจารณา ผิดถูกอย่างไร   พี่ๆชี้แนะด้วยนะครับ ..................................... วันนี้ผมขาย tdex ที่มีอยู่แล้ว ที่ราคา 5.00*20000 หุ้น พร้อมกับ short put S50M10P550 ได้ premium 25 จุด 5000 บาท สรุปวันนี้ ผมมีเงินสด 100000+5000= 105000 บาท ผมถือสัญญานี้จนหมดอายุ กรณีที่ 1  หุ้นขึ้น tdex  เป็นราคา 5.50 บาท             ผมจะได้ premium ฟรีๆ 5000 บาท             กระแสเงินสด ผมก็จะมี 105000 บาท (กำไร 5000 บาท) กรณีที่ 2  หุ้นลง tdex เหลือ ราคา 4.50 บาท              ผมจะได้ซื้อ tdex คืน แต่ ขาดทุน ออปชั่น 50 จุด              โดยผมต้องใช้เงิน 4.5*20000 = 90000 บาท              + ขาดทุน 50จุด*200= 10000บาท รวมเป็นเงิน 100000 บาท             กรณีนี้ ผม ได้หุ้นคืน 20000 หุ้นเหมือนเดืม             +กำไร premium 5000 บาท ถูกต้องมั้ยครับ  .... ถ้าถูก ก็เหมือนกับว่า  ไม่ว่าหุ้นขึ้น หรือลง เราก็ได้กำไร เป็น premium เสมอ ................................. ผมยังคิดไม่ออก กรณี ที่เราขายเมื่อราคา เท่า กับ premium ที่พี่ Mongkon/Pong บอก กับ กรณีที่เราเสียโอกาส ที่ขาย tdex ที่ราคา 5 บาท กับเมื่อ เรามาขายที่ 5.50 บาท.... .................................... แต่อย่างว่านะ ใครจะรู้ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง หรือ เราอาจต้องขายตามโซนที่ 5.20 บาท ก็ได้ มั๊ง พี่ ๆว่ายังไงมั้งครับ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 20:29:21 จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:24:13

ความคิดเห็นที่ 39 มัวพิมพ์อยู่นาน เพิ่งเห็น พี่ minibar ตอบ  น่าจะโอเคเลยครับ ส่วนของผมพิมพ์ตั้งนาน น่าจะถูกแค่ ครึ่งเดียว พี่ minibar ช่วยเม้นท็ด้วยนะครับ ว่าแล้วเราจะเลือก short ยังไง ที่ at the money  หรือ เลือก เอาที่ premium เยอะๆดี แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 20:44:20 จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:33:49

ความคิดเห็นที่ 40 คห. 38 ผมเห็นว่าถ้าพี่ author unknown ขาย tdex 20000 หุ้น ที่ 5 บาท พี่ก็น่าจะต้องเปิด short put ที่ strike price 500 นะครับ โดยค่า premium ที่ได้ไม่ควรจะต่ำกว่าค่าดำเนินการทั้งหมด เช่นค่าคอมตอนขาย tdex, ค่าคอมฯ ของ option จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:51:34

ความคิดเห็นที่ 41 จากข้อ ค. ของพี่แมงเม่าฯ ขอถามหน่อยครับ ในกรณีที่ทุนน้อยกว่า 20,000 ต่อโซน การ Long Call ที่ราคาสูงสุด หมายถึง การทำประกันว่า TDEX จะไม่ขึ้นเกินกว่าขอบบน ใช่หรือเปล่าครับ? ถ้าอย่างนี้จำนวนการ Long Call นั้นต้องสัมพันธ์กับราคาสูงสุด เช่น ถ้าเราตั้งราคาสูงสุดไว้ต่ำเราก็สามารถ Long Call ได้ เพราะมันมีโอกาสที่ TDEX จะมีราคาเกินกว่าขอบบนนั้น แต่ ถ้าเราตั้งราคาสูงสุดไว้สูงอยู่แล้ว การ Long Call อาจจะไม่จำเป็นเลยก็ได้ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ? รบกวนพี่ๆ แนะนำด้วยครับ จากคุณ : KoKoMan เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:54:06

ความคิดเห็นที่ 42 อีกนิดนะครับ พี่ ๆ อย่าลืมเผื่อเงินไว้สำหรับดำรงสถานะตอนเปิด short กันด้วยนะครับ เพราะมูลค่า tdex ที่ถืออยู่เค้าไม่เอาไปคำนวณกับ option ที่เราเปิด short นะครับ จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 20:57:08

ความคิดเห็นที่ 43 ตอบพี่ KoKoMan คห.41 ใช่ครับ ทั้ง 2 คำถาม แต่ก็ไม่อยากให้จำกัดว่าถ้าโซนบนอยู่สูงมากแล้วจะไม่ต้องเปิด long call นะครับ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ากระแสเงินสดที่เราได้แบ่งมาเพื่อเก็งกำไรนั้น มันสามารถซื้อได้ตรง strike price ไหน แล้วโอกาสที่มันจะวิ่ง เลย strike price นั้นมันมีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในโซนที่เราได้แบ่งไว้แล้ว ผมก็คิดว่ายังน่าจะต้องเปิด long call อยู่ดี เพื่อโอกาสในการเร่งผลตอบแทน ส่วนว่าด้วยเรื่องของโอกาส ถ้าดูกราฟยังไม่เก่ง ก็อาจจะใช้วิธีสังเกตุจากการที่เราขายตามโซนออกไปแล้ว มันไม่ยอมลงมาให้ซื้อกลับก็ได้ครับ จากคุณ : แมลงเม่าทนไฟ เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 21:08:10

ความคิดเห็นที่ 44 #38... ผมคิดว่า เราต้องมอง options แต่ละสัญญานั้นคลุม zone 1 zone คือรับผิดชอบเฉพาะ zone นั้นเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้อง short at spot ณ zone นั้น ส่วน premium จะได้มากน้อย ก็ขึ้นเวลาของ series นั้น เพราะช่วงเริ่ม seires นั้น ค่า premium จะสูง เพราะมีค่า time value ที่มาก พอช่วงปลายๆ series ค่า time value จะลดลง ทำให้ค่า premium ลดลง (ยังไม่คิดส่วนของค่าตัว options จริงๆ นะครับ) ส่วนเรื่องเสียโอกาสขาย tdex ที่ราคาสูงๆ นั้น ก็คงต้องมอง zone เช่นเดียวกันว่า แต่ละ zone มีความรับผิดชอบราคาของ zone นั้นอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียดายข้าม zone เหมือนกับ kzm กอง A,B ที่ต้องขายทำกำไร เมื่อถึงจุดขายที่กำหนดไว้ อย่าไปเสียดายว่า ถ้าหุ้นขึ้น เก็บไว้ขายตอนสูงๆ ดีกว่า เพราะมันจะกลับไปเป็นการ trade แบบเก็งกำไรแบบเก่านั้นเองครับ มาทำตามระบบดีกว่าครับ ได้มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ยังไงก็ได้ ไม่มีขาดทุน... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 21:10:27

ความคิดเห็นที่ 46 สวัสดีครับ  ก่อนอื่นขอบคุณอาจารย์มัดเล่ย์ที่มาให้ความรู้และไอเดียมากมาย ขอบคุณพี่จีเอฟ  และพี่เม่าช่วยประสานงานจนงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี .................................................. เรื่อง  options  ชอบคำเดียวตรง  เล่นให้เหมือนแทงหวย   มาดูราคาวันนี้ดีกว่า  มันไม่ค่อยมีวอลให้เล่นเลยครับ เพื่อจะได้เห็นภาพขยาย  คห.ที่  37  คำอธิบายของพี่มินิบาร์ จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 21:32:35

ความคิดเห็นที่ 47 มีคำถามคือ  ถ้าเล่นออปชั่นเพียว ๆ  ชอร์ตพุทที่  strike  price   ที่ราคาเดียวกับ  set  50  พร้อมกับ  long  call  เหนือขึ้นไปอีกซัก  50  จุด เอาพรีเมี่ยมจากชอร์ตพุท  มาซื้อลองคอลถูก ๆ  แบบว่ากินสองต่อเข้าฮอร์ส  อิอิ ถ้าไม่เป็นอย่างที่คิด  ก้อกลับไปซื้อทีเด็ก  ราคาถูก เข้าข้อ 2  ของพี่มินิบาร์ หรือป่าวคับ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 53 22:20:49 จากคุณ : จอนฟอน เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:18:06

ความคิดเห็นที่ 48 #36... เรื่อง virus trading ผมเข้าใจว่า เป็นการเอากำไรจาก kzm หลัก เอาซื้อหุ้น (ปั่น) หลายๆตัว เก็บไว้ทีละเล็ก ทีละน้อย เพื่อเก็งกำไร แบบว่ารอวันถูกหวย มีจ้าวมาปั่น ก็ค่อยขายทิ้งไป ดังนั้น จึงไม่น่าต้องทำ zone ที่ตัวหุ้นที่เก็งกำไรนะครับ... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:25:16

ความคิดเห็นที่ 49 #38 กรณีที่2 ไม่น่าจะถูก ลองคิดดูใหม่ให้ดีครับ ............. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:27:28

ความคิดเห็นที่ 50 #47... แนวคิดดีครับ เหมือนการเอากำไรในอนาคต (ที่ได้มาอยู่ในมือแล้ว) ไปเก็งกำไรต่ออีกทอดหนึ่งเลยครับ แต่ข้อเสียคือ อย่าโลภเอาไปเก็งกำไรจน premium ที่ได้มาหมด เพราะถ้าหุ้นลง เราจะขาดทุนจริงๆ แทน... จากคุณ : Mongkon/Pong เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:28:12

ความคิดเห็นที่ 51 #47 มันจะซื้อง่าย ขายคล่องขนาดนั้นเหรอครับ ในเมื่อวอลุ่มมันยังน้อย ไหนๆ แล้ว ก็ช่วยอาจารย์มัดเล่ห์เพิ่มวอลุ่มหน่อย เพื่อมีปลาหลงเข้ามาจับกิน ปลาตัวนั้นอาจเป็นผมเองก็ได้ พอร์ทคลิ๊กทูวินผมขาดทุนหลายแสนแล้วครับ จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:36:27

ความคิดเห็นที่ 52 เข้ามาอ่านและแจก give อีกรอบ... ขอบคุณพี่มัดเลย์และพี่ๆ ทุกท่านมากๆครับ ^ ^ จากคุณ : Wish You Were Here เขียนเมื่อ : 29 มี.ค. 53 22:51:58

ความคิดเห็นที่ 53 อย่าไปห่วงเรื่อง future option กันมากเลยครับ กลับมามองโลกแห่งความเป็นจริงก่อน ไม่ดีกว่าเหรอ ตอนนี้ port kzm คุณเข้ม แค่ไหน???? มูลค่า port วันนี้ มากกว่า สินทรัพย์ อ้างอิงหรือยัง??? ทำอย่างไร จึงจะให้ Level 1 ของ kzm มีประสิทธิภาพสูงสุด??? จากคุณ : Mr.Eiji เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 07:16:07

ความคิดเห็นที่ 54 เดี๋ยวต้องมานั่งเก็บความรู้ วันงานไม่ได้จดซักกะตัว[คุมถ่าย DVD ] ใครจดสวยๆระเอียดๆส่งให้ผมหน่อยซิครับ จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 07:39:36

ความคิดเห็นที่ 55 พี่หมอกอล์ฟ ดาจดมาอยู่นะ แต่ไม่รู้ว่าจะละเอียดแค่ไหน และที่สำคัญไม่รู้ว่าจดมั่วแค่ไหน แหะๆๆ จากคุณ : daandart เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 07:46:36

ความคิดเห็นที่ 56 มั่งเเค่ไหนก็ยังดีกว่าพี่เเน่ๆ  พี่มั่นใจ  ส่งให้พี่หน่อยนะจ๊ะ หนูดา จากคุณ : GF เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 07:54:48

ความคิดเห็นที่ 57 ดีนะ จดไว้มั่ง ตอนแรกคิดว่าไม่จด เดี๋ยวรอ DVD ดูทวนเอา ถ้ารอ ป่านนี้ ความรู้คงปล่อยคืน อ.มัด ไปหมดละ 5555 ตอนนี้ใครจดไว้ กลายเป็นข้อมูลอันมีค่าไปละ เสียใจแทนคนที่ไมไ่ด้ไปด้วย เพราะฉนั้น คราวหน้า ถ้ามีอีก (คงอีกนาน อ.งานเยอะมาก) ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 08:26:20 จากคุณ : kanakum เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 08:18:58

ความคิดเห็นที่ 58 ช่วงแรกคุณครูพูดเรื่องจิตใจไว้เยอะพอสมควร เรื่องการยึดติดกับทรัพย์สินอันใดอันหนึ่ง ทำให้เกิดแรงกดดันจนเสียวินัยไป ตัวอย่างเช่น ถ้าเราถือหุ้นอยู่ หุ้นขึ้น เราก็ดีใจ หุ้นลง เราก็เสียใจ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราถือเงินสด หุ้นขึ้น เราก็เสียใจ หุ้นลง เราก็ดีใจ เหตุการณ์เดียวกันแท้ๆ แต่ความรู้สึกของเรากลับตรงข้ามกัน ในทางกลับกันอีกครั้ง ถ้าต่อไปการแลกเปลี่ยนของเราไม่ใช้เงินสด แต่จำนวนหุ้นแทนละ ถ้าต้องซื้อน้ำมันโดยใช้หุ้น PTT ไม่ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นหรือคง หรือราคาหุ้น PTT จะขึ้นหรือลง เราจะไม่สนใจอีก เพราะใช้หุ้นแลกน้ำมันในสัดส่วนเดิม ตัวอย่างตรงนี้ เข้าใจยากซะหน่อย เราในความเป็นจริง เราใช้ชิวิตอิงกับเงินสด หรือมองเรื่องค่าเงินแทน อย่างเวียดนามลอยตัวค่าเงิน คนเวียดนามจะไม่สบายใจ เพราะเกิดผลกระทบกับเขา แต่คนไทย(ที่ไม่ได้ติดต่อกับเวียดนาม) จะรู้สึกเฉยๆ เพราะค่าเงินบาทก็ยังเท่าเดิม ยังใช้เงินจำนวนเดิมดำรงชีพอยู่ ตรงนี้ละครับ ที่เป็นเรื่องจิตใจและวินัย คุณครูแนะนำว่า ให้แยกตัวเราออกมาจากทรัพย์สินให้ได้ ถ้าไม่ยึดติดกับทรัพย์สินตัวใดตัวหนึ่ง เราก็ไม่ทุกข์ เราจะไม่ดิ้นรน เราก็จะทำตามระบบไปได้เอง แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 09:43:07 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 09:41:29 จากคุณ : เรื่องง่าย ง่าย แต่ยาก (wasansem) เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 09:34:48

ความคิดเห็นที่ 59 มาเสริมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยครับ หัวใจของ Technical ซื้อเมื่อราคาขึ้น ขายเมื่อราคาลง *อย่าใช้ Time Frame สั้นมากเพราะจะโดนความผันผวนของราคาหุ้น ทำให้ต้องซื้อขายบ่อยๆ ทำให้กำไรหายไปกับค่าคอม* **Technical ที่ดี ระบบต้องตัดสินใจน้อยครั้งที่สุด (นานๆกินที แต่กินทีเยอะๆ กินคำใหญ่ๆ)** Technical ดีสำหรับการสร้างพอร์ตเริ่มต้น เพราะทำให้พอร์ตเติบโตเร็ว แต่ จะกลายเป็นจุดตายสำหรับพอร์ตใหญ่ๆ เพราะว่า เมื่อใดที่เงินเรามากขึ้น Technical จะใช้ไม่ได้ผล เพราะการซื้อขายของเราแต่ละครั้งจะมี Impact กับตลาดเยอะ ทำให้เกิดอาการซื้อแล้วไม่ขึ้น ขายแล้วไม่ลง จากคุณ : คุณNuRun เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 09:39:39

ความคิดเห็นที่ 60 Virus Trading คือการแบ่งกำไรบางส่วนที่ได้จากระบบไปฝังตัวในหุ้นตัวเล็กๆ หรือหุ้นปั่น (หุ้นต่ำบาทจะดีมาก เพราะใช้เงินไม่เยอะ) โดยจะเน้นหุ้นที่เรามั่นใจได้ว่า จะไม่ล้มหายตายจากไปง่ายๆ แล้วก็คลุมโซน ดูดเงินออกมาเรื่อยๆ ดูดจนพอใจ ดูดจนแห้ง แล้วก็ชิ่ง ไปตัวอื่นต่อไป จากคุณ : คุณNuRun เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 09:46:02

ความคิดเห็นที่ 61 ช่วยเสริมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนะครับ ( จากทีจดมาได้นะครับ )     ปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจหรือกดดันทางด้านจิตใจ         1.  ราคา     วิ่งขึ้นลง หรือ ไม่ขยับ         2.  ผลตอบแทน  เช่น เงินปันผล , ราคาส่วนต่าง , สมารถต่อยอดได้ไม่  เหล่านี้ ว่าคุ้มหรือเปล่า             3. ระยะเวลา จากคุณ : MANSF เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:46:33

ความคิดเห็นที่ 62 พี่ซุ้ม   ... ..................................................  ความคิดเห็นที่ 49     #38 กรณีที่2 ไม่น่าจะถูก ลองคิดดูใหม่ให้ดีครับ ............. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า     ................................................ ผิดตรงไหน หรอครับ คิดไม่ออกจิง จิง... วานบอก จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:46:45

ความคิดเห็นที่ 63 #60 ช่วยแนะนำหุ้นปั่นซัก 5 ตัวหน่อยครับ เรื่องหุ้นไม่ค่อยรู้จัก จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:50:18

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณพี่แมลงเม่า ผมยกตัวอย่างผิดเองครับ  ตั้งใจที่ strike price เหมือนที่พี่บอก คือ ต้องเป็น tdex 5.50 บาท กับ short put  ที่ S50M10P550 ครับ ขอบคุณ พี่ Mongkon/Pong เสียดายวันนั้น ได้คุยกับพี่แป็บเดียวเอง ขอให้พี่คิด โมเดล KZM+options ได้เร็วๆนะครับ จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 10:53:53

ความคิดเห็นที่ 65 พี่ซุ้ม  มี สองตัวนะ แนะนำ Bland วิ่งอยู่ 0.50-0.60 อีกตัว   Tyong  0.72  น่าจะมี story เรื่อง  BTS จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 11:12:11

ความคิดเห็นที่ 66 #62 กรณีที่สอง มันน่าจะมีหุ้น 20000 หุ้น แล้วขาดทุน5000 บาทครับ ถ้าหุ้นลงต่ำอีกเอาเงินไหนมาซื้อหุ้นครับ รวมทั้งจ่ายค่าoptionเพิ่มอีก จำได้ว่าถ้าshort กำไรจำกัด ขาดทุนไม่จำกัด จำได้ว่าอาจารย์มัดเล่ห์ ยกตัวอย่างวอเรน ชอบใช้short put เป็นหลัก เอาไว้ใช้กรณีที่หุ้นราคาต่ำๆ   ซื้อทั้งหุ้น และshort put  ถ้าหุ้นขึ้น ได้ สองเด้ง ทั้งหุ้น ทั้งเงิน แต่ถ้าหุ้นลง ก็เสียแค่ เงิน short put แต่ไปซื้อหุ้นราคาต่ำเพิ่มอีก ......ความคิดสุดยอดจริงๆ วอเรน บุฟเฟ ............ จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 11:29:04

ความคิดเห็นที่ 67 พี่ซุ้มครับ คือ ว่า เราต้องขาย tdex ก่อน เพื่อเอาเงินมาซื้อ ตอนหุ้นลงครับ ผมคิดอีกอย่างว่า เหมือนกับ เราshort againt port ขาย Tdex  5 บาท*20000 หุ้น=100000 บาท ไปซื้อคืน 4.5 *20000 หุ้น = 90000 บาท มีหุ้นจำนวนเท่าเดิม แต่ เหมือนได้กระแสเงินสดแฝงมา  10000 บาท ส่วน option เรา ขาดทุน 50 จุด*200 =10000 แต่ได้ premium มาก่อน 5000  บาท จึงรวมเป็นขาดทุน 5000 บาท สุดท้าย เราเลยได้กำไร จากกระแสเงินสดแฝง-ขาดทุนออบชั่น 10000-5000 = 5000 บาท จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:14:25

ความคิดเห็นที่ 68 อ๋อ เข้าใจแล้วครับ ผมนึกว่าkzm ที่มันทะลุโซนครับ อย่างนี้น่าสนเอามาใช้กะdsm ถ้าใช้กะกองหลังยิ่งดีเลยครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 12:58:29 จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 12:56:16

ความคิดเห็นที่ 69 หากจะพูดถึงความรู้ความเข้าใจที่ได้รับจากอาจารย์มัดเลย์ฯ ... ในวันที่ 28 มีค.53 ผมคงต้องขออนุญาตบอกด้วยสไตล์ผมแล้วกัน... และผมคงต้องขอเน้นเฉพาะช่วงเช้าอีกด้วย... (ช่วงบ่ายไม่กล้าเอ่ยถึง แหะ แหะ...แบบว่าหลับขนาดประคองคอแทบไม่อยู่..) ภาพแรกที่ผมเห็นน ก็คือภาพ...ของ ความจริงสัมพัทธ์ระหว่าง รายย่อยในตลาดและรายใหญ่ในตลาด 80% ของคนในตลาดซึ่งมักจะเป็นรายย่อย จะอยู่ได้ด้วยความหวังที่แลกมาด้วยการขาดทุนเสมอๆ ส่วนอีก 20% ของคนในตลาดซึ่งมักจะเป็นรายใหญ่ จะอยู่ได้ด้วยกำไร และคอยสร้างความหวังให้แก่คน 80%  นั้น ในขณะเดียวกันก็จะมีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งเฝ้าเก็บเกี่ยวอย่างเงียบๆ สม่ำเสมอ จากกลไกจากความจริงสัมพัทธ์นั้น ด้วยรูปแบบที่เหมือนซับซ้อน แต่เรียบง่ายและได้ผลลัพธ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลง คนกลุ่มนี้ก็คือส่วนเล็กสุดแต่ได้ประโยชน์สูงจากตลาดอยู่เสมอ นั่นก็คือ กลุ่มเฮดท์ฟันด์ และกลุ่มกองทุนปิดเฉพาะกลุ่ม กลุ่มรายย่อยมักเป็นผู้ถูกกระทำเสมอๆ...และมักมีขาจรผัดเปลี่ยนหมุนเวียน แวะเวียนเข้ามาในตลาด ในขณะที่รายใหญ่เป็นผู้ชี้นำและทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างสภาวะตลาดให้น่าหลงไหลและเย้ายวน ด้วยความหวัง และการใส่ความรู้แต่เพียงบางส่วนแก่รายย่อย เฉพาะในสิ่งที่เขาอยากให้รู้เท่านั้น กลุ่มเฮดท์ฟันด์ กลับเป็นกลุ่มที่มองทะลุและเข้าใจกลไกอันเสมือนซับซ้อนอย่างปรุโปร่ง ไม่จำเป็นต้องชี้นำ ไม่จำเป็นต้องทำตลาด   ทำแค่เพียงใช้ความเชี่ยวชาญที่มีเข้ากระทำกับโอกาสที่เห็น แล้วหยิบเอาประโยชน์ออกมาเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าอย่างได้ผล ............... ผมคิดต่อเองว่า...หากมองแบบเปรียบเทียบ... ตลาดหุ้นก็เสมือนเป็นสนามรบที่ต่อสู้กัน โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อช่วงชิงความมั่งคั่งระหว่างกัน ของคนกลุ่มต่างๆ และมีกลุ่มหลักๆ คือรายใหญ่เข้าถล่มและฟาดฟันรายย่อยอยู่เป็นระยะๆ ในขณะที่รายย่อยก็แตกกระจัดกระจาย บ้างก็บาดเจ็บ บ้างก็ล้มตาย บ้างก็ช่วงชิงประโยชน์มาได้ แต่สุดท้ายก็คงต้องพ่ายแพ้และถูกกลืนความมั่งคั่งที่มีไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง นอกจากกลุ่มหลักก็ยังมีกองทัพใหญ่ที่แวะเวียนมาเป็นระยะๆ เข้ามาจู่โจมกลุ่มคนทั้งสนามรบ...โดยไม่เลือกฝ่าย... และเก็บฉวยเอาความมั่งคั่งออกไป และพร้อมจะกลับมาใหม่เมื่อถึงเวลา ......................... รายย่อยในตลาดก็เหมือน กองกำลังชาวบ้านที่ตกอยู่ในภาวะสงคราม ซึ่งไม่ได้เรียนรู้กลยุทธ์วิธีการรบอะไรมากขึ้นไปกว่าที่รายใหญ่เคยสอนเลย ในขณะที่ผู้เล่นรายใหญ่ก็จงใจให้ความรู้แก่ผู้เล่นรายย่อยเพียงระดับหนึ่ง เท่าที่ต้องการให้รายย่อยรู้ เพื่อให้รายย่อยเกิดความหวัง และมีพลังที่จะสร้างความมั่งคั่งเพื่อให้รายใหญ่เข้ามาโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่หนีหายไปจากสนามรบก่อนเวลาอันควร.. หรือเปรียบไปรายย่อยก็เสมือนเป็นพียงปลาในกระชัง ที่ได้รับการฝึกให้ไล่งับเศษเหยื่อกินประคองชีวิตไปวันๆ จนนึกว่าตนเก่งมีเทคนิคในการล่าเหยื่อที่ชำนาญ ลืมไปว่าเป็นเพียงปลาที่เขาเลี้ยงไว้ในกระชัง ที่สุดท้ายแล้วก็หนีไม่พ้นต้องถูกจับมากินไม่วันใดก็วันหนึ่ง ส่วนเฮดท์ฟัน ก็เสมือนพ่อค้าที่มาเลือกซื้อปลาในกระชัง โดยกดราคาขายจากเจ้าของกระชังซื้อปลาไปในราคาที่ตนต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเลี้ยงเอง... ............................ เหล่าเฮดท์ฟัน หรือผู้เชี่ยวชาญจนกลายเป็นบุคคลในตำนาน ไม่ว่าจะเป็น วอเรนท์ บัฟเฟต หรือแม้แต่ จอร์จ โซรอส ก็ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในกลเกมส์การเงิน ซึ่งแม้เขาจะล่าส่วนต่างการลงทุนมาได้อย่างมากมายมหาศาล ก็ต่างไม่เคยเปิดเผยวิธีการที่ชัดเจน..ต่อสาธารณชนจนหมดเปลือก และแม้ในสิ่งที่เขาเปิดเผย เขาก็ยังชำนาญพอที่จะปกปิดสิ่งที่เขาทำไว้ได้อย่างแนบเนียน ................................. ถึงกระนั้น สิ่งที่พวกเขาทิ้งร่องรอยไว้ให้ ... ก็ยังมีผู้ที่สามารถปะติดปะต่อแนวคิดและหลักการออกมาได้อยู่ไม่น้อย สามารถสรุปออกมาเป็นวิธีการที่หลากหลายได้... แต่ประเด็นก็คือ คนที่ถอดรหัสการดำเนินการของกลุ่มผู้ชำนาญเหล่านั้นได้ ก็ไม่บอกวิธีการให้ผู้ใดได้ทราบอย่างง่ายๆ อีกเหมือนกัน... และผลักดันตนจนกลายเป็นผู้ล่าส่วนเกินทุนที่สามารถขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง นั่นก็เพราะเราต่างอยู่ในสนามรบที่ไล่ล่าความมั่งคั่งของกันและกัน..นั่นเอง ................................. ถึงบรรทัดนี้..อดคิดไม่ได้ว่า บ่อยครั้งที่ผู้ล่าส่วนเกินทุนผู้สามารถ..บางคน อาจเกิดความเห็นใจและอดไม่ได้ที่จะยื่นมือมา ช่วยเหลือรายย่อยบางกลุ่มที่อยู่ในวังวนของเกมส์การเงินที่รุนแรง ให้สามารถยืนหยัดขึ้นมาต่อกรกับกองทัพผู้ล่าได้บ้าง.. ด้วยการถ่ายทอดเทคนิคและความชำนาญของตนให้แก่คนกลุ่มนั้น และนั่นก็จะกลายเป็นโชคของกลุ่มรายย่อยนั้นๆ ไป ที่มีโอกาสจะพัฒนาขึ้นเป็นผู้ที่สามารถป้องกันรักษาตัวเองให้ อยู่รอดได้ท่ามกลางเกมส์การสู้รบ และเชื่อว่าคลับเราก็คือคนผู้โชคดีกลุ่มนั้น ที่ได้รับน้ำใจจากอาจารย์มัดเลย์อย่างเหลือล้น... ....................... ย้อนกลับมาที่ตัวเลข 80 : 20 ที่หมายถึงรายย่อย กะ รายใหญ่ หากจะเปรียบเทียบผลกำไรแล้ว ก็มักจะเป็นอัตราที่ผกผันกันเสมอๆ รายย่อยจำนวน 80% มักจะได้ลิ้มชิ้มกำไร ที่เขาอ่อยให้ รวมๆ แล้วก็ประมาณ 20% แต่ในขณะรายใหญ่รวม 20% มักจะได้รับกำไรไปเต็มๆ ถึง 80% เสมอ และนี่จึงเป็นเหตุแห่งผลอันสำคัญที่ว่า... รายใหญ่ย่อมไม่ต้องการให้รายย่อยได้รู้อะไรมากไปกว่าที่เคยรู้.. รายใหญ่ไม่ต้องการให้รายย่อยได้เปรียบมากกว่าที่เคยได้รับ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว รายใหญ่ย่อมเกิดความลำบากอย่างยิ่ง ในการรักษาสัดส่วนอันยั่วยวนและหอมหวานเอาไว้ได้ เพราะถ้าเมื่อไรที่ตัวเลข 80 : 20 ทำกำไรเป็น  30 : 70 แปลกไปจากเดิมแม้เพียงแค่ส่วน 10 แล้วละก็ นั่นอาจจะดูเหมือนเล็กน้อยสำหรับรายย่อยที่เพิ่มขึ้นเพียง 10  ... เมื่อเทียบกับสัดส่วนจำนวนคน 80 แต่มันทำให้ส่วนกำไรของรายใหญ่หดหายไปถึง 10 ซึ่งมันเป็นจำนวนที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับสัดส่วนจำนวนคนที่ 20 ดังนั้น รายย่อยที่เก่งขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย...ย่อมทำความลำบากให้รายใหญ่มากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ รายใหญ่จึงยอมไม่ได้ที่จะให้รายย่อยได้รู้มากกว่าที่เคยรู้ หรือ มีเปรียบมากกว่าที่เคยได้.. กลไกพิทักษ์กำไรเพื่อรักษาประโยชน์และความเสียหาย (ที่จะเกิดกับใครไม่รู้) จึงถูกกำหนดขึ้น เช่น การเพิ่มค่าธรรมเนียมการเทรด TDEX ให้เท่ากันกับหุ้นทั่วไป เป็นต้น ........................ ทั้งหมดนั่นคือภาพรวมจากจินตนาการที่กระเจิดกระเจิงกระจัดกระจาย มาจากคำบรรยาย..ที่ใช้เวลาผ่านไปเพียง 15 นาทีแรก... และขอย้ำว่านี่เป็นเพียงจินตนาการของผมผู้เขียน มิใช่การบันทึกถ้อยคำบรรยายทั้งหมดของวิทยากรผู้มีน้ำใจอันเลิศในวันนั้น ....................... หรือหากจะสรุป...สิ่งที่ผมจินตนาการได้ในช่วง 15 นาทีแรก เหมือนจะสรุปพอกล้อมแกล้มได้ว่า ... รายย่อยมักจะถูกชี้นำไปในทิศทางที่ทำให้เสียเปรียบรายใหญ่อยู่เสมอ หรือสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดจะเป็นไปในทิศทางที่ทำให้รายใหญ่มักจะได้เปรียบอยู่เสมอ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 15:09:12 แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 53 14:53:09 จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 14:48:03

ความคิดเห็นที่ 70 ในขณะที่จินตนาการสะดุดลง... ผมก็เกิดคำถามขึ้นว่า...   แล้วถ้ารายย่อยต้องการจะอยู่ให้รอดจากการเป็นเหยื่อในท่ามกลางสนามรบล่ะ... ก็พอดีกับที่ได้ยินเสียงของอาจารย์มัดเลย์ บรรยายต่อว่า.. หากจะว่ากันตามจริงแล้วไม่ว่าผู้เล่นในตลาดจะเป็น VI  VS  ใช้เทคนิค หรือพื้นฐาน เป็นโมเดลเทรดแบบเพียวแมช หรือแม้แต่ สถิติประยุกต์ก็ตาม ล้วนต้องเทรดอยู่บนพื้นฐานหรือที่เรียกว่า  Basic Line 3 ประการ คือ... 1. Money Management   2. Model or system  Management   และ 3. Cash flow Management (คำขยายอยู่ใน คห.4 ของคุณพี่ Mongkon/Pong  และ คห.6 ของ นู่ดา ข้างบน) ............... และยังไม่ทันจะจินตนาการต่อ...ก็พอดีเบรคทานของว่างพอดี..... จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 15:30:25

ความคิดเห็นที่ 71 เยี่ยม ครับ พี่่ คนล่าห่าน เพราะเบรคแรกผมมาไม่ทัน แล้วก็คิดว่าจะไปแกะจาก dvd ทีหลัง รออ่านตอนต่อไปนะครับ จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 16:48:22

ความคิดเห็นที่ 72 ต่อไปถ้ามีมิ้ตติ้ง ห้ามมีเบรคของว่างนะครับ เดี๋ยวความคิดป๋าจะสะดุดก่อน ............. จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 16:58:04

ความคิดเห็นที่ 73 พี่ซุ้ม ว่างคุยเรื่องโมเดลตัวหนอนหรือเปล่า พี่ จากคุณ : author unknown เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 17:20:15

ความคิดเห็นที่ 74 ขอเวลาปรับปรุงโมเดลหน่อยครับ หลังจากมิ้ตติ้งได้ข้อคิดดีๆ มากเลย โมเดลตัวหนอนมันยังมีจุดออ่อนอยู่เยอะ เดี๋ยวถ้าปรับปรุงยังงัยเดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบครับ หรือมีแนวคิดยังงัยเพิ่มเติมก็เสนอมาได้นะครับ หลังไมด์ ก็ได้  ลองดูว่าจะโดนลบหรือเปล่าผมใช้  ด แทน ค จากคุณ : ซุ้มเฟื่องฟ้า เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 18:35:31

ความคิดเห็นที่ 75 อยากให้พี่ๆ ช่วยขยายความเรื่อง Virus Trading ให้หน่อยครับ ว่าเวลาแบ่งเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่น (หุ้นปั่น) แล้ว ต้องแบ่งโซน เหมือนกับ TDEX หรือเปล่าครับ? จากคุณ : KoKoMan เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 18:49:21

ความคิดเห็นที่ 76 ขอถามอีกอย่างด้วยครับว่าตกลง TDEX ขึ้นค่าคอมเป็น 0.25% แล้วหรอครับ (แบบว่าไปบวชเพิ่งสึกออกมาไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย) จากคุณ : KoKoMan เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 19:01:22

ความคิดเห็นที่ 77 กรรมๆ ต้องกลับไปแก้บัญชีใหม่หมดเลย จากคุณ : KoKoMan เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 19:23:06

ความคิดเห็นที่ 78 พี่ KoKoMan ครับ ค่าคอมต้องลองเชค กับโบรกที่เทรดครับ ว่าเป็นเท่าไหร่ virus trading  ต้องแบ่งโซนด้วยครับ  แนวคิดคือ ใช้หุ้นสร้างกระแสเงินสดออกมา ลงซื้อ ขึ้นขาย  ครับ จากคุณ : Golden-Bullet เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 19:27:35

ความคิดเห็นที่ 79 ค่าคอม TDEX ของผม เปลี่ยนจาก 0.1% เป็น 0.15% ครับ เทรดผ่าน internet จากคุณ : คุณกำลังเห่าต้นไม้ผิดต้น เขียนเมื่อ : 30 มี.ค. 53 21:17:51

ความคิดเห็นที่ 80 ในระหว่างเบรคผมย้อนมาคิดถึงบทสรุปที่ว่า... รายย่อยมักจะถูกชี้นำไปในทิศทางที่เสียเปรียบรายใหญ่อยู่เสมอ แล้วนึกแย้งว่า ตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าจะเป็นเช่นที่ผมได้สรุปไว้จริงๆ ไม่เช่นนั้น ทั้งตลาดคงเต็มไปด้วย การฉ้อฉล เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน อยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่ ซึ่งคำตอบที่เห็นและสัมผัสได้ ก็พบว่าในบางจังหวะรายย่อยก็ได้เปรียบ... และตลาดก็ตรงไปตรงมา เพียงแต่รายย่อยอาจจะเหมือนตกอยู่ในสภาวะจำยอม ตกเป็นฝ่ายรับ หรือถูกมอมเมาจากกลไกได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่นๆ หากขาดวิจารณญาณ... ลองคิดถึงกลไกการตลาดที่เราเห็นกันทั่วไปในการขายสินค้า เครื่องมือสำคัญของผู้ผลิตที่จะทำให้ผู้บริโภคสนใจเข้ามาซื้อหาสินค้าก็คือ การโฆษณา การโฆษณา ก็คือการส่งข่าวสารที่ต้องการจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดพฤติกรรมที่ต้องการขึ้น เช่น ความสนใจ คล้อยตาม ไปจนสุดท้าย เกิดการตัดสินใจซื้อ หากเรายอมรับว่าการโฆษณามีอิทธิพลต่อการชี้นำพฤติกรรมของผู้บริโภคได้จริง ก็คงไม่น่าจะมีใครปฏิเสธว่า ... ในตลาดหลักทรัพย์ก็ยังมีคนบางกลุ่มคอยชี้นำคนในตลาดด้วยการนำเสนอข่าวสารต่างๆ อยู่เสมอ และหากสังเกตุข่าวสารที่ถูกเสนอออกมา  ก็อดคิดไม่ได้ว่า ข้อมูลข่าวสารส่วนใหญ่นั้น จะถูกวางอยู่บนหลักที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมเช่นเดียวกับการโฆษณาหรือไม่ และปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนั้นก็จะมีรูปแบบซ้ำๆ ราวกับถูกฝังแน่นจนกลายเป็นกลไกอัตโนมัติเมื่อบุคคลได้รับข่าวลักษณะนั้นๆ กลายเป็นเสมือนประเพณี เป็นหลักปฏิบัติของคนในตลาด ที่ทำตามๆ กัน โดยเชื่อว่านั่นคือหลักการที่ถูกต้องสำหรับการเทรดหุ้นในตลาด เช่น  ข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อ   เช่น หากขาดทุน 5% ของเงินลงทุน ก็ควรจะ Cut loss และ อื่นๆ อีกมากมาย เป็นไปได้ไหมว่า...พฤติกรรมของคนในตลาดหลักหลักทรัพย์ลักษณะนั้น เป็นผลที่สะสมมาจากข้อมูลข่าวสารของผู้สื่อ และพลอยถูกทำให้เชื่อว่านั่นเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้อง เหมือนเป็นความเชื่อที่มีต่อการโฆษณา เหมือนๆ กับที่สาวๆ สมัยใหม่เชื่อว่า จั๊กกะแร้ของตนจะต้องขาวใส โดยไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่า "นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับเรา" หรือไม่ .................... การได้ฟังคำบรรยายครั้งนี้  ทำให้ผมรู้สึกเห็นด้วยอย่างเต็มหัวใจไปแล้วว่า... พฤติกรรมการซื้อขายต่างๆ ที่เราได้ทำตามๆ กันอยู่ภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ในตลาดนั้น อาจจะเป็นเพียงพฤติกรรมที่ถูกชักนำ ชี้นำ แนะนำ ด้วยกลไกของการเสนอข้อมูลเพียงบางส่วน ชี้นำให้คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่คนส่วนน้อยผู้ที่ได้ประโยชน์ก้อนใหญ่ต้องการให้เป็น อาจจะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม แต่คนจำนวนนั้นก็เสมือนบริษัทผู้ผลิตครีมทาจั๊กกะแร้ขาว ที่ใช้กลไกของโฆษณาจนเคยชิน เป็นปกติ ส่วนผู้บริโภคก็รับข่าวสารการโฆษณาและทำตามๆ กันมาจนเคยชินเช่นกัน และลืมฉุกคิดว่า สิ่งนั้นคืออะไร มีเหตุผลอะไรอยู่เบื้องหลัง ที่น่าขันก็คือ หลักการแบบนั้นยังทรงประสิทธิภาพและมีอิทธิพลอยู่อย่างเต็มที่เสมอ และที่สำคัญมันสามารถสร้างผลประโยชน์ให้แก่คนกลุ่มน้อยได้อย่างเต็มที่เสมอๆ อีกด้วย .............. สำหรับความเชื่อที่เกิดเป็นพฤติกรรมตามๆ กันนั้น อาจจะเป็นความเชื่อที่มีเหตุผล อย่างไม่มีเหตุผลไปก็ได้ เสมือนคนที่เห็นแต่ "หงษ์สีขาว" อยู่เสมอ และพากันเชื่อว่า "หงษ์จะต้องมีสีขาวเท่านั้น!" จนมีผู้พบว่าหงษ์บางตัวก็มีสีดำ...แต่กลับกลายเป็นว่า หงษ์ดำนั้นเป็นหงษ์ที่ผิดธรรมชาติไป... การทำความเข้าใจว่าหงษ์ก็ยังมีสีดำได้ แถมยังเป็นหงษ์ปกติอีกด้วย กลับกลายเป็นเรื่องที่ฝืนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างยิ่ง นั่นคงเหมือนๆ กับที่ผู้เทรดส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ มักมองว่าการลงทุนที่ดีต้องมีการกำหนดจุดสต๊อปลอส และควรต้องมีวินัยในการคัทลอสเมื่อราคาตกมาถึงจุดที่กำหนดไว้เสมอ แต่หากว่า มีใครบางคนทนถือหุ้นโดยไม่คัทลอส นั่นจะกลับกลายเป็นเรื่องผิดปกติและเหมือนจะโง่เขลานักไปทันที เกือบทุกคนเชื่อไปแล้วว่าพฤติกรรมการทนถือหุ้นโดยไม่คัทลอสนั้น  เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ โดยไม่ได้มองให้ลึกลงไปว่า... เหตุเบื้องหลังของการทนถือหุ้นโดยไม่คัทลอสนั้น ก็ย่อมเป็นสิ่งปกติที่ทำได้..ถ้า... ทำบนเงื่อนไข หรือหลักการที่มีเหตุผล เช่น มีการจัดสรรเงินทุนที่รอบคอบแล้ว...เป็นต้น ... .......................... ซึ่งในเวลาต่อมาระหว่างการบรรยายผมก็ได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว การคัทลอสก็เป็นสิ่งที่พึงทำ หากการคัทลอสนั้นเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขต่อไปนี้ คือ 1. หุ้นที่ถือนั้น หมดอนาคตอย่างชัดเจนแล้ว  (ซึ่งก็คงไม่มีเหตุผลที่จะทนถือต่อ) 2. หุ้นที่ถือนั้น หมดอายุ เช่น พวกตราสารอนุพันธ์  (ซึ่งถ้าจะถือต่อไปแม้ไม่อยากคัทก็คงไม่ได้ทำให้เกิดมูลค่าอะไรมากขึ้นเหมือนกัน....) 3.  หุ้นที่ถือนั้น เป็นการซื้อหุ้นด้วยเงินที่เกินจากงบประมาณ หรือเล่นเกินตัวไป  (ซึ่งถ้าถือต่ออาจจะทำให้พอร์ตรวนไปหมด) และ ณ วินาทีนี้ ผมเชื่อว่านั่นเป็นหลักที่มีเหตุผลรองรับอย่างที่สุด... ....................... ส่วนการคัทลอสเมื่อขาดทุนไปแล้ว 5% หรือ 10% ก็มีเหตุผล.. และเหมาะสมอย่างยิ่งถ้าพฤติกรรมการเทรดหุ้นเป็นไปในลักษณะของ "การเก็งกำไร" แต่เมื่อทบทวน ก็พบว่า การคัทลอสมันได้กลายเป็นพฤติกรรมเคยชินของคนในตลาด... ก็เลยทำให้อดคิดต่อไม่ได้ว่า... ชะรอยเรากำลังถูกชักจูงให้เป็นเพียงแค่ "นักเก็งกำไร" ด้วยกลไกแบบการโฆษณาหรือไม่ ซึ่งเรามักจะได้ยินข้อมูลที่ถูกนำเสนอต่อๆ กันมาอยู่เสมอๆ ก็คือ.. เมื่อมีการเข้าลงทุนด้วยเงินจำนวนหนึ่ง...ที่จังหวะหนึ่งแล้ว นักลงทุนที่ดี ควรจะกำหนดจุด..."สต๊อปลอส" ไว้ด้วย... เผื่อไว้ว่าหากตลาดไปในทิศทางที่ผิดคาด ก็จะสามารถรักษาเงินทุนส่วนใหญ่ไว้ได้... นั่นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลยิ่ง... และผมก็เชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรทำ.. ถ้าเผอิญว่า การซื้อหุ้นของผมนั้นเป็นแค่เพียง "การเก็งกำไร"... ............... เมื่อมีคน คัทลอส ตามที่ได้กำหนดจุด สต๊อปลอส ไว้แล้วนั้น ก็แสดงว่าเรายอมเสียเงินทุนส่วนหนึ่งออกไป...ด้วยความเต็มใจ และในมุมกลับ เงินที่เรายอมเสียไปนั้น ก็ย่อมต้องมีคนได้ในส่วนของเงินนี้ไปเช่นกัน เมื่อตัดสินใจคัทลอส ก็เท่ากับว่า..... เงินได้ถูกโยกออกจากกระเป๋านักลงทุนที่คัทลอส ไปวางไว้ในกองกลาง...เรียบร้อยแล้ว ด้วยความเต็มใจ รอแค่เพียงผู้มีความสามารถก็มาแบ่งเงินจากกองกลางนั้นไป... และผู้ที่สามารถได้เงินจากกองกลางไปเสมอๆ นั่นก็คือ "คนส่วนน้อยซึ่งเป็นผู้ชี้นำตลาด!"... ใช่หรือไม่?? และหากมองย้อนกลับไป ใครล่ะเป็นผู้นำเสนอหลักการนี้ไว้... ก็เป็น "คนส่วนน้อยซึ่งเป็นผู้ชี้นำตลาด"  อีกไม่ใช่หรือ... คนที่มาในมาดของบรรดาเซียนผู้ยอมเปิดเผยเคล็ดลับในการเทรดหุ้นระดับพันล้านของตน หรือแม้แต่หนังสือสอนการลงทุน ที่เขียนโดยนักลงทุนมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ เล่มต่างๆ.. โดยไม่ได้บอกต่อเป็นคำเตือนตัวโตๆ ว่า หลักการนี้เหมาะสำหรับ "นักเก็งกำไร" เท่านั้นนะจ๊ะ ตกลงเราจึงเป็นเหมือนสาวน้อยที่มีคนมาบอกว่า จั๊กกะแร้ควรจะขาว โดยไม่ได้บอกต่อว่า นั่นเหมาะสำหรับคนที่เป็นดาราหรือผู้ที่มีอาชีพต้องโชว์จั๊กกะแร้เท่านั้นนะจ๊ะ แต่แล้วสาวๆ ทุกคนก็พากันยอมควักเงินในกระเป๋าให้เขาไป เพื่อแลกกับความสบายใจที่ได้มีจั๊กกะแร้ขาว...หรือป่าว??..อิอิ.. จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:19:08

ความคิดเห็นที่ 81 ผมไม่เคยตั้งคำถามอย่างจริงจัง กับข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากตลาดหุ้นมาก่อนเลยว่า ข้อมูลนั้นเหมาะกับผมหรือไม่ และข้อมูลนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้จริงๆ หรือไม่??... จนได้ฟังการบรรยายของอาจารย์มัดเลย์ ................................... และนั่นคือทัศนคติของผมที่เริ่มหันมามองแนวทางการเทรดหุ้นเดิมๆ ในมุมที่ต่างไปเดิม เมื่อได้ฟังคำบรรยายผ่านไปเพียงไม่ถึงสองชั่วโมง...... ................................... ก่อนจะจบลงตรงก่อนถึงช่วงความรู้ที่ซับซ้อนในตอนบ่ายของการบรรยาย ผมขอบันทึกจินตนาการเรื่องสุดท้ายที่ผมพอจะตามทัน ในช่วงก่อนหน้าที่ทุกเนื้อหาจากการบรรยายจะสลัดผมทิ้ง และปล่อยให้ผมสับประหงกงีบหลับไปอย่างเดียวดายนั้น  ...ว่า ถ้าเราได้ทำความเข้าใจขนาดของตลาดอย่างจริงจังแล้ว เราอาจจะพบว่า เรากำลังถูกปั่นหัวให้วิ่งไล่ตามราคาโดยผู้คนเพียงบางกลุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ถ้าเขาต้องการจะทำ... ลองมาคิดดูว่า มูลค่าตลาดไทยมีมูลค่ารวมเท่าไร.. ก็จะพบว่ามูลค่ารวมของตลาด จะผันแปรไปตามราคาหุ้นในตลาดที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่ถ้ามองในมุมที่ลึกลงไปอีกนิด ถึงองค์ประกอบของกลุ่มคนที่ทำการถือครองหุ้นนั้นๆ ว่าเขาจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใดต่อราคาหุ้นที่ผันผวนขี้นๆ ลงๆ นั้น ก็อาจจะพบว่ามีผู้ถือหุ้นหลักบางส่วนที่ไม่ได้ประโยชน์โดยตรงใดๆ เลยจากมูลค่าตลาดที่ผันผวน.. แล้วผู้ถือหุ้นกลุ่มนี้คือใครบ้าง? ผู้ถือหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้ประโยชน์โดยตรงใดๆ จากมูลค่าตลาดที่ผันผวน นี้ก็คือ เจ้าของธุรกิจ อาจจะประมาณ 40% กองทุน RMF LTF อาจจะประมาณ 20% กองทุนระยะยาวจากต่างประเทศ อาจจะประมาณ 5% กองทุนระยะยาวอื่นๆ อีกซักประมาณ 5% รวมๆ แล้ว เหลือหุ้นที่หมุนเวียนก่อให้เกิดราคาผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ในตลาดจริงๆ เพียงแค่ 30% หากราคาหุ้นถูกดึงขึ้นไปสูง...กลุ่ม 70% ที่ว่า ก็ไม่ได้ขายออกมาง่ายๆ... และแม้ราคาหุ้นถูกกดลงมาต่ำ...กลุ่ม  70% ที่ว่า ก็ไม่ได้ขายหุ้นออกมาง่ายๆ อีกเหมือนกัน หากโครงสร้างเป็นไปตามตัวเลขที่สมมติขึ้นนี้ .... ตกลงก็จะมีหุ้นเพียงแค่ 30% ที่ถูกหมุนเวียน และถูกปั่นราคา ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา หากเทียบมูลค่า 30% ของมาเก็ตแคปในวันนี้...ก็คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1900 ล้านบาทเท่านั้น... เงินจำนวนนี้ไม่ใช่จำนวนมากเลยสำหรับกลุ่มทุนที่มีเงินหนา... และกลุ่มทุนที่มีเงินหนาเหล่านั้น ก็คงไม่ใช่กลุ่มการกุศลที่คอยบริจาคทรัพย์ให้กับผู้เล่นรายย่อย ดังนั้น หากเขาเอาเงินทุ่มเข้ามาเพียงแค่ 300 - 400 ล้านบาท มูลค่าตลาดก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 10% - 20%  แล้ว... และนั่นหมายถึงการส่งสัญญาณจูงใจให้เกิดการเข้าซื้อ เพราะเห็นว่าตลาดขึ้น... เมื่อเพียงพอ กลุ่มทุนหนาก็จะค่อยๆ แอบชักทุนของตนออกไป... เมื่อขาดแรงหนุน ราคาหุ้นก็จะตก...รายย่อยก็จะติดดอย.. และจำต้องขายหุ้นคืนให้เขาในราคาที่ต่ำลง ต่ำลง... หากกลุ่มทุนหนาทำรอบหมุนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เพียงแค่ไม่กี่รอบ รายย่อยก็หมดกระเป๋าแล้ว.... ดังนั้น หากรายย่อยยังมีคุณสมบัติเป็นแค่ตัวแปรตาม.. สุดท้ายก็ยังคงถูกชักจูงให้เป็นแค่ "นักเก็งกำไร"  ไม่ใช่ "นักลงทุน" อยู่ตลอดเวลา.... ....................... กระบวนการคิด ทัศนคติมุมมองในการเทรดของรายย่อย จึงควรจะปรับเปลี่ยนไป.. โดยให้วางอยู่บนรากฐานของ Basic line ที่ประกอบด้วย   การบริหารเงิน การบริหารระบบ และการบริหารกระแสเงินสด ให้มากขึ้น ........................... นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมได้เรียนรู้ ก่อนที่ใจจะจมดิ่งไปในภวังค์ที่มีแต่เสียงกรนดังเบาๆ อยู่ตลอดเวลา... จากคุณ : คนล่าห่าน เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 11:21:43

ความคิดเห็นที่ 82   เอาภาพ มาประกอบ ความเห็น 28 ของพี่มงคล เพื่อที่จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้นคับ ภาพไม่ขึ้น แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 53 13:57:41 แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 53 13:56:03 จากคุณ : phus เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 13:54:24

ความคิดเห็นที่ 83   อีกครั้ง จากคุณ : phus เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 53 13:58:01

ความคิดเห็นที่ 84 ไอ้เสือ   บุก ไม่ได้ไปมีตติ้ง แต่อยากแชร์ ขอแชร์มุมมองของ ป๋า ใน คห 80 - 81 เกี่ยวกับการคัทลอส เห็นด้วยกับป๋า ว่า คนส่วนใหญ่ถูกโปรแกรมให้มีความเชื่อเช่นนั้น คือ ทำการขายต่ำกว่าทุน และเรียกมันว่าการคัทลอส และรับผลขาดทุน โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่า ทำไมต้องคัทลอส และคัสลอสแล้วทำไมต้องขาดทุน มันมีเหตุผลเดียวหรือ ที่ต้อง คัทลอส เพื่อรักษาเงินต้นส่วนที่เหลือไว้ หรือต้องคัทลอส เพื่อความสบายใจ จะได้มีสติคิดได้รอบคอบขึ้น มันมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ที่ต้องคัทลอส เราถูกสอนตามๆ กันมาว่า นี่คือการคัทลอส และเหตุผลคือ นี้ นี้ นี้ แต่สิ่งที่ทุกคนทำและเรียกว่า คัทลอส มันไม่ใช่ การคัทลอส การกระทำที่คนส่วนใหญ่ เรียก คัทลอส เมื่อทำควบคู่กับการกระทำอื่นๆแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดการขาดทุนเลย แต่การขายต่ำกว่าทุนจะเป็นส่วนหนึ่งในการนำมาซึ่งความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนในอนาคตรูปแบบหนึ่ง การคัทลอส หรือ การขายต่ำกว่าทุน ไม่เคยทำให้ขาดทุน แต่การขายต่ำกว่าทุนจะเป็น จิ๊กซอหนึ่งตัว ที่ใช้สร้างกำไรอย่างยั่งยืน และแน่นอน เมื่อการขายต่ำกว่าทุนเป็นเพียงจิ๊กซอตัวหนึ่ง นั่นก็หมายความว่า มันต้องการ จิ๊กซอตัวอื่นๆ เสริมไปกับการขายต่ำกว่าทุนด้วย และก็ต้องเสริมกันหลายๆ อย่าง เพื่อทำให้การขายต่ำกว่าทุน ไม่เกิดการขาดทุน เหมือนการต่อจิ๊กซอ ที่ต้องมีการต่อกันหลายๆ ตัว เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ หากภาพที่นำเราไปสู่กำไรอย่างยั่งยืน ต้องใช้จิ๊กซอร์ในการต่อ 100 ตัว การขายต่ำกว่าทุน ก็เป็น 1 ใน 100 ตัวนั้น แต่แม้จะเป็นเพียงหนึ่ง ก็เป็น หนึ่ง ที่ต้องมี เพราะไม่เช่นนั้น ภาพก็จะไม่สมบูรณ์ แต่แน่นอน ภาพของการมีกำไรอย่างยั่งยืน ก็มีได้หลายภาพเช่นกัน เหมือนภาพต้นไม้ ที่มีทั้งต้นมะม่วง มะแฟง แตงโม ไชโย โห่ฮิ้ววววว ภาพกำไรยั่งยืน ก็มีได้หลายภาพ ตามแต่เมล็ดที่เราหว่านลงไป ภาพบางภาพก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้จิ๊กซอ ที่ชื่อว่า การขายต่ำกว่าทุน ก็ได้ แต่หากจะใช้ภาพที่ มีการขายต่ำกว่าทุน หรือที่เรียก คัทลอส ก็จำเป็นต้องมีจิ๊กซอตัวอื่นมาต่อร่วมด้วย เพื่อไม่ให้การขายต่ำกว่าทุน ขาดทุน ยิ่งพิมพ์ยิ่งมึน เหลือบดูเวลา ตีห้าแล้วยังไม่ได้นอน เลยรู้สึกว่าพิมพ์วนไปวนมา ไม่รู้อ่านกันรู้เรื่องหรือป่าว เอาเป็นว่ารู้เรื่อง แต่สงสัยผมจะไม่รู้เรื่องเองแล้วแหละ   ไม่ไหวแล้วครับ   บายยย           ครอกฟี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ **แก้ไขตรงของเล่นพันทิป ใช้ไม่คล่องซะที ไอ้เสือ   ถอย แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 53 05:02:56 จากคุณ : กองโจร (นักเก็งกำไร) เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 05:00:05

ความคิดเห็นที่ 85 สวัสดี พี่ๆคลับเพื่ออิสระภาพทางการเงิน ที่น่ารักทุกๆท่านค่า เข้ามาอ่านแนวคิดและเก็บความรู้ ขอบคุณมากๆสำหรับแนวคิดจากทุกๆท่าน ที่นำมาแบ่งปันค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับความรู้ที่นำมาเผยแพร่ให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ ขอให้ร่ำรวยความรู้+ความคิด ขอให้ร่ำรวยเงินทอง ขอให้ร่ำรวยความสุข ทุกๆท่านค่า จากคุณ : มาให้กำลังและเข้ามาขอบคุณค่า (^Sherbett10^) เขียนเมื่อ : 1 เม.ย. 53 18:57:25

ความคิดเห็นที่ 86 แอบมาเซฟไว้ก่อน ... จากคุณ : akae เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 11:48:17

ความคิดเห็นที่ 87   สุดยอดทุกท่านเลยครับผมชอบ ของป๋าคนล่าห่าน ช่วงจินตนาการ กับพี่กองโจรที่ตอบเรื่องคัทลอส แบบโคตรเซอ(เซอเรียลลิซึ่ม) เป็นปรัชญา สุดๆ เขียนเป็นหนังสือได้เลยอ่ะครับ หากเป็นรูปเป็นแบบ เซมิ-แอ๊ปสแตก เลยอ่ะครับ จินตนาการบนความมีเหตุผลหรือความจริง DSM & KZM .........................................................Good ^ ^ ^ คำลงท้ายขอยืม เขามา เห็นห้องใหญ่เขาฮิตกันจังเลย จากคุณ : ืnew handddd เขียนเมื่อ : 10 เม.ย. 53 11:34:33 A:113.53.67.62 X: TicketID:233595