ความคิดเห็นที่ 1 เห็นด้วย เรื่องการปรับ "ค่าใช้จ่าย" และ "ค่าลดหย่อน" ทางภาษีให้เหมาะสม กับเศรษฐกิจปัจจุบันค่ะ - หักค่าใช้จ่าย สำหรับคนกินเงินเดือน 40% ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี - หักค่าลดหย่อนตนเอง 30,000 บาท ต่อปี - หักค่าลดหย่อน บุตร 15,000 - 17,000 บาท ต่อปี เป็นตัวเลขที่น้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเศรษฐกิจปัจจุบัน ขออนุญาต จขกท มองต่างมุม เรื่องการที่รัฐสนับสนุนให้ประชาชนทำประกันชีวิต โดยการให้หักเป็นค่าใช้จ่ายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ตรงนี้ การที่เราจ่ายเบี้ยประกัน ก็เป็นการช่วยตนเอง คุ้มครองตนเอง ในฐานะที่เราทำได้ เมื่อเกิดความเจ็บป่วย บาดเจ็บ ขึ้นมา ก็ไม่ต้องให้รัฐช่วยเหลือ ไม่ต้องใช้ 30 บาท หรือบางท่านที่ไม่อยากใช้ประกันสังคม แต่มีประกันชีวิต อยากได้บริการที่แตกต่าง ก็ใช้ประโยชน์จากประกันไป ตรงนี้ รัฐประหยัดเงินที่จะต้องดูประชาชนไปได้มหาศาลเช่นกัน ประหยัดเงินที่ต้องช่วยคนที่ทำประกันชีวิตตรงนี้ ไปช่วยคนที่จำเป็นต้องใช้ สวัสดิการรัฐไปได้อีกทางหนึ่ง จากคุณ : Jarranai เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 10:17:39

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นด้วยกับการปรับตัวเลขค่าลดหย่อนต่างๆต้องปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริง รวมถึงค่าลดหย่อนบิดามารดาด้วย  ถ้าจะอนุญาตให้ลดหย่อนได้แค่บิดามารดาที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000/ปี ---> เฉลี่ยรายได้ประมาณ 82 บาท/วัน เงื่อนไขอย่างนี้แม้แต่ขอทานก็ไม่มีสิทธิได้ลดหย่อน  ขอทานน่ะรายได้วันนึงหลายร้อยถึงพัน ตามที่มีการทำวิจัยมา  (ไม่งั้นจะมีขอทานเต็มเมืองเรอะ)   คิดถึงความจริงบ้าง  ค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุมีมากมายนัก  แ้ก้เป็นปีละ 300,000จะดีกว่านะ ชี้แจงหน่อยทำไมพ่อแม่ของเราถึงจะลดหย่อนไม่ได้ มาก เท่า LTF / RMF !!! จากคุณ : เซฟเก็บตังค์ เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 10:56:19

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องอื่นคนอื่นพูดไปหมดละ ขอเสริมแค่ ที่บอกว่าสภาพคล่องล้น หมายถึงล้นจากระบบธนาคารนะครับ ส่วนประกันชีวิตกับกองทุนรวมน่ะ เค้าก็มาช่วยซับเงินออกจากระบบเหมือนกัน แถมพอซับเงินไปก็เอาไปลงทุนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีก แล้วก็ถ้ารัฐบาลทำก็คือส่งเสริมทุกบริษัทเท่าเทียมกัน ทำไมถึงบอกว่าช่วยเหลือคนบางกลุ่มล่ะครับ ไอ้การตั้งบลจแห่งชาตินั่นแหละ ถ้าทำออกมาถึงจะว่ารัฐบาลไม่เท่าเทียม ไม่ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดครับ (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 12:19:28

ความคิดเห็นที่ 4 ผมทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายแบบละเอียดมาได้ เกือบปีแล้ว สรุปเฉลี่ยต่อเดือน (ในกรุงเทพฯ) - ค่าอาหารประมาณ 2,200 บาท - ค่าเดินทางประมาณ 1,000 บาท - ค่าสาธารณูปโภคประมาณ 5,800 บาท (หนักไปทางค่าไฟฟ้า)  รวมค่า ADSL ด้วย - อื่นๆประมาณ 3,500 บาท ประมาณเดือนละ 12,500 บาท ปีละ 150,000 บาท จริงๆแล้ว น่าจะลดได้ มากกว่านี้อีกมาก หากไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศมากนัก ในกรุงเทพฯ มันร้อนมาก เปิดแอร์เกือบทั้งวันเลย สนับสนุนเรื่องค่าลดหย่อน ของค่าเช่า/ผ่อน สำหรับที่อยู่อาศัย เพราะเป็น สิ่งจำเป็นในชีวิตที่น่าจะลดหย่อนได้ ประกันชีวิตก็สมควรได้รับการส่งเสริม เพื่อให้การการออมเงิน เผื่อสำหรับ ชีวิตในอนาคต และเป็นหลักประกันของครอบครัว หากเราเป็นอะไรไป แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 53 13:06:14 จากคุณ : นิสิต เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 12:53:49

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วย มองต่างมุม ขอตอบคห 1. ลองนึกดีดีนะครับว่า ที่ว่ามานั้นมันควรเป็นสิ่งที่รัฐจัดให้ไม่ใช่เราต้องไปเสียเอง หากมีการบริหารจัดการที่ดี ทำไมต้องใช้เงิน 100000 ของเรา เอาตรงนั้นไปเป็นการศึกษาบุตร สันทนาการด้านอื่นๆ ไม่ดีกว่าหรือ ขอตอบคห 3. ถามว่าหนึ่ง.การมีรถเป็นสิ่งสำคัญไหม ถือเป็นการออมได้ไหม สอง.การซื้อที่ดินถือเป็นการออมได้ไหม ไม่เสี่ยงเหมือนซื้อกองทุน ที่เอาเงินเราไปลงหุ้นกู้ ITD ปิคนิค TSFC ฯลฯ แล้วคนซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดินเปล่า ขอเอาไปลดหย่อนด้วยนะ ขอตอบคห 4. ผมก็ไม่ได้ว่าประกันชีวิต กับ บลจ.ไม่ดี แต่ 2 จุดนี้ได้รับประโยชน์มาเยอะแล้ว ก็ภาษีของเราทั้งนั้น แบ่งให้คนอื่นบ้างก็ดี เช่น สนับสนุนคนฝากเงิน ไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก หรือฝาก 100000 รัฐสมทบดอกเบี้ยให้เพิ่มอีกไปเลย ดีไหม คือ โยกจากให้ประกัน กับ บลจ.ไปให้แบงค์บ้าง หรือไปให้บริษัทผลิตรถมอไชค์ รถยนต์ บริษัทอสังหาฯ ฯลฯ อันนี้ก็คิดเล่นๆ หรือการใช้อินเตอร์เน็ตปัจจุบันก็เป็นสิ่งสำคัญ ถือเป็นการลงทุน การศึกษา ใครใช้อินเตอร์เน็ตเท่าไร เอาไปลดหย่อนด้วยดีมะ แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 53 14:23:26 จากคุณ : Basic Banker เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 14:21:07

ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้นี้ดีมาก  ฝากไปถึง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี  ผ่อนปรนกฏอายัดเงินเดือนด้วย เงินเดือนเกิน 10000 อายัด 30% มันไม่พอกิน รัฐบาลสนใจแต่หน่วยงานใหญ่ ๆ ไม่สนใจมนุษย์เงินเดือนเลย ตอนให้เช็คช่วยชาติ ก็ให้คนที่เงินเดือนไม่เกิน 15000 กรมบังคับคดี ก็น่าจะคล้อยตามกัน อายัดส่วนเกิน 15000 คนเป็นหนี้บัตรเครดิต ต่าง ๆ จะได้มีพอใช้ในแต่ละเดือน ไม่ต้องไปหากู้นอกระบบ ให้เป็นปัญหารัฐบาลอีก จากคุณ : คนไทยอีกคน (taropop) เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 14:38:56

ความคิดเห็นที่ 7 จริงๆ ระบบประกันนี่ถ้าบังคับแบบอเมริกาเลยก็คงดี บังคับให้ทุกคนทำประกัน และบังคับบริษัทประกันต้องรับทุกคน ถึงเวลารักษาพยาบาลก็ให้ประกันจ่ายให้หมด  แล้วยกเลิกไปเลยระบบ 30 บาทกับเงินประกันสังคมให้ลดลงมาตามส่วน ส่วน RMF นี่จุดประสงค์เขาให้ลดหย่อนเพื่อให้ประชาชนจะได้มีเงินเก็บไว้กินตอนแก่ครับ  อนาคตจะได้ไม่เป็นภาระรัฐบาลที่จะต้องเข้ามาดูแล ส่วนนโยบายเพิ่มค่าลดหย่อน หรือโยกไปสู่ธุรกิจอื่นๆ มันก็เข้าท่าเหมือนกันนะ แต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำได้  เรื่องของเรื่องคือประเทศเรามันจน ทุกวันนี้ภาษีก็เก็บได้ไม่พอใช้อยู่แล้ว  ประชาชน 66 ล้านคน มีคนเสียภาษีทางตรงแค่ 9 ล้านกว่าคน เท่านั้นเอง จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 2 เม.ย. 53 16:09:16

ความคิดเห็นที่ 8 LTF เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนให้เกิดนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดหลักทรัพย์ (เหตุผลถ้าอธิบายจะยาวครับ แนะนำให้ไปหาหนังสืออ่านเองนะครับ) รัฐบาลจึงให้ผู้ลงทุน นำเงินลงทุนใน LTF มาลดหย่อนภาษีได้ จนถึงปี 2559 (ก็อีกไม่กี่ปีก็จะหมดแล้ว) RMF เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ โดยสามาถลงทุนได้ในหลายๆรูปแบบ ได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ รัฐบาลให้นำมาหักภาษีได้ โดยนับรวมวงเงินกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและ กบข. ประกันชีวิต เป็นการระดมทุนเพื่อเฉลี่ยภัย เปรียบง่ายๆคล้ายกับการเล่นแชร์ ใครเดือดร้อน (ง่ายๆก็ตายนั้นแหละ) จะได้เงินประกันไปใช้ก่อน ซึ่งเงินเบี้ยประกันที่เก็บจากประชาชนจะต้องนำไปลงทุนตามที่กฏหมายกำหนด (ส่วนใหญ่คือพันธบัตร) รัฐบาลจึงอนุญาตให้เอาเงินเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ อธิบายมาขนาดนี้ก็คงพอจะทราบแล้วว่า ทั้ง บลจ และบ.ประกันเป็นแหล่งทุนให้กับรัฐบาล รัฐบาลจึงสนับสนุนด้วยมาตรการภาษี แล้วยังได้ผลทางอ้อมในแง่ที่ว่าถ้าประชาชนมีการออมที่มากขึ้น รัฐบาลจะรับภาระเรื่องสวัสดิการลดลง คนมีเงินใช้ตอนแก่ เจ็บป่วยมีเงินรักษา  เด็กได้เรียนหนังสือ ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมวัยชรา เพราะอัตราการเกิดที่ลดลง นั้นหมายความว่า ลูกหลานของเรากำลังจะต้องทำงานหนักเพื่อเสียภาษีฐานสูงๆมาเลี้ยงดูคนชราในสังคม จะโกลาหลแค่ไหน ถ้าคนไม่มีเงินออม แก่ตัวไปรอเบี้ยยังชีพเดือนละ 500 บาทไม่มีประกัน ไม่มีค่ารักษาพยาบาล ดังนั้นความหมายของมาตรการทางภาษีก็เพื่อส่งเสริมให้คนไทย มีเงินเก็บออมและพึ่งพาตนเองได้ในเบื้องต้น เพื่อที่จะได้นำรัฐสวัสดิการไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสที่มีปัญหาจริงๆ มองระยะยาวนะครับ ภาพกว้างของประเทศ เรื่องนี้ผมไม่ได้แต่งเอง มันคือเรื่องจริง ถ้าหลับหูหลับตามองได้ผลประโยชน์ส่วนตัว ประเทศชาติจะลำบากครับ สำหรับผมภาษีผมทำลดหย่อนตามกฏระเบียบครับ ที่เหลือนำส่งสรรพากรด้วยความภาคภูมิ จากคุณ : alfalfa เขียนเมื่อ : 3 เม.ย. 53 00:09:50