ความคิดเห็นที่ 1 ถือเป็นบทเรียนที่ดีครับ ก่อนหน้านี้ผมก็ขายหมู BBL ไปเหมือนกัน จึงเกิดปัญญาว่า หากมั่นใจว่า ราคาที่เราซื้อคือราคาที่เหมาะสม สำหรับเราที่พยายามศึกษาข้อมูลแล้ว ก็ต้องอดทน เพื่อพิสูจน์ตัวเองครับ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเราก็ควรปล่อยวางเช่นกันครับ จากคุณ : พี่เจิด เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 12:59:37

ความคิดเห็นที่ 2 สวัสดีครับ ก็ไม่สอนนะครับ เพราะความรู้ผมแค่นิดเดียว อยากบอกว่า คุณพ่อ คุณแม่ผมเล่นหุ้นมาก 10 กว่าปี รู้ว่าเวลาคนเค้าเทขายกัน พอมันถึงจุด แล้วขึ้นหน่อยๆ ก็ให้รีบเข้าครับ ท่านสอนผมมาก็เลยเอามาบอกเผื่อเอาไว้ใช้คราวหน้าครับ บ้านผมก็ซื้อไว้ตอน 77 คับ เลขสวยดี จากคุณ : GolfTJ เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:03:04

ความคิดเห็นที่ 3 ไปโทษเขาไม่ได้ หรอก ต้องโทษตัวคุณเอง จากคุณ : วิตามิน เค เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:16:36

ความคิดเห็นที่ 4 เล่นหุ้นบนพื้นฐานความมั่นใจในตัวหุ้น ผลประกอบการที่ผ่านมา และแนวโน้มธุรกิจในอนาคตครับ จากคุณ : ม้าวิ่ง เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:16:55

ความคิดเห็นที่ 5 มีคนรู้จักถือ 87 ลงไป 76 มันบอกไม่เป็นไรๆ ผมละนับถือ ส่วนตัวผม ขายทิ้ง85 รับ 82 80 78 กลัวโครตๆ รับจนหมดพอร์ท ก็ยังลงต่ออีก ใจไม่เป็นสุขเลยตอนนั้น ได้แต่ท่ิองว่า คิดผิดรับปันๆ จขกท. ไม้ละล้านหุ้นเขายังตื่นตูมเลยครับ เรารายย่อยก็ได้แต่สู้ต่อไป เป็นบทเรียนจริงๆ จากคุณ : Pigou เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:23:47

ความคิดเห็นที่ 6 สู้ต่อไปครับ ยังไม่รู้ว่า อนาคตหุ้นกลุ่ม Shin จะโดนข่าวอะไรเล่นงานอีกหรือเปล่าครับ จากคุณ : Champ_Sara เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:27:59

ความคิดเห็นที่ 7 มีเรื่อย ๆๆ เพราะ ท่านที่ล็อคประตูเซียนปั่นหุ้น ยิ่งได้เป็นผู้กุมกระแสข่าวได้เองแล้วหล่ะก็  ดูสิ ทั้ง Loxley อสังหา ธนาคาร ทุบ จูบกระชาก ไม่รู้กี่รอบ ใครก็ได้ไปดูญาติท่านที่ล็อคประตูหน่อยซิว่ามีใ:-)ผิดปกติหรือเปล่า จากคุณ : สงสัย (ปรมาจารย์ตั๊กม๊อ) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:32:05

ความคิดเห็นที่ 8 ซื้อที่ 85 เมื่อนานมาแล้ว จนมันขึ้นไปๆๆๆ แล้วก็หล่นลงมา เกิดความไม่มั่นใจเลยไม่กล้าเก็บเพิ่ม แต่ไม่อยากขาดทุนเลยไม่ขายทิ้ง ตอนนี้มันกลับมาก็ดีใจ แต่เกิดมันกลับไปอีก...ก็ทำใจ จากคุณ : kungchan เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 13:47:19

ความคิดเห็นที่ 9 ตัดสินใจทิ้งได้ถูกครับ แต่พอมันกลับลำมาได้ น่าจะซื้อคืน สัก 82-83 ก็ยังรับไหวนะ คราวหน้าเอาใหม่ครับ จากคุณ : ปวยพ้ง เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 14:16:18

ความคิดเห็นที่ 10 เล่นตามๆเค้าไปก็ได้นะครับ  http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do?filename=nvdr_stockval_2_1 จากคุณ : huron เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 14:19:15

ความคิดเห็นที่ 11 คุณกรณ์กำลังทำตัวเป็นนักปั่นหุ้น อันที่จริงคุณกรณ์ไม่มีสิทธ์เลือกที่จะฟ้องหรือไม่ฟ้องตามใจชอบ ต้องทำไปตามหลักฐานข้อมูล ไม่ใช่เดี๋ยวฟ้องเดี๋ยวไม่ฟ้อง เมื่อมีอำนาจแล้วคิดว่าทำได้ตามใจตัว กรณีนี้บังเอิญไม่มีใครเสียประโยชน์จริงๆจังๆ ยกเว้นรัฐ เหมือนผีผสมโลง แต่ผมคิดว่าอาจมีคนเก็บข้อมูลอยู่ ข้อกฏหมายอื่นผมไม่ทราบ ทราบอยู่ข้อเดียว ป.อาญา ม.157 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อันที่จริงผมอยากตั้งกระทู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ให้มันซ่อนอยู่ในกระทู้คุณดีกว่า ไม่อยากถูกด่า ด้วยความเคารพ ผมไม่ได้เล่น advancเลย  และไม่ใช่เสื้อแดงเหลือง จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 14:36:50

ความคิดเห็นที่ 13 เล่นตามๆเค้าไปก็ได้นะครับ  http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do?filename=nvdr_stockval_2_1 จากคุณ : huron ขอบคุณมากครับ ตามหลังพี่ใหญ่ ก้อน่าสนใจ  ขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจ จะพยายามศึกษาและเล่นใหม่ให้ทันเกมส์ จากคุณ : พ่อน้องพิชญา (พ่อน้องพิชญา) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 15:29:49

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่งได้อ่านกระทู้คุณrounder แนวคิดคล้ายกัน แต่ผมไม่คิดว่าศาลได้ก้าวล้ำไปในส่วนของฝ่ายบริหาร หากผู้มีอำนาจไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะบริหารป่นปี้แค่ไหนศาลก็คงไม่ไปลงโทษ(ถ้าไม่ผิดหลักกฏหมาย) ประเด็นผมอยู่ตรงที่ จริงหรือที่บริษัทไม่มีส่วนต้องรับผิด จริงอยู่ผู้บริหารบริษัทไม่มีอำนาจไปทุจริตระดับนี้ได้ จึงไม่ผิดทางอาญา แต่ไอ้เจ้าผู้ถือหุ้นใหญ่ตัวจริง เป็นผู้ทุจริตเอาประโยชน์เข้าบริษัทโดยมิชอบ เงินก็เข้าบริษัทไปแล้วจะบอกว่าบริษัทไม่ต้องรับผิดทางแพ่งได้ไง ประเด็นที่บอกว่ายึดทรัพย์แล้วจบ ลองคิดดีๆ ศาลได้ยึดทรัพย์จากการประเมินส่วนเกินของเงินผู้ทำผิดที่งอกเงยขึ้น ไม่ได้ประเมินจากความเสียหายที่เกิดแก่รัฐ กล่าวคือคำตัดสินยังไม่ได้ลงรายละเอียด ผู้เกี่ยวข้องต้องไปขยายความกันเอง นี่มาบอกว่าให้แล้วๆกันไป ผมถึงบอกว่าให้ระวัง ป.อาญา 157 ดีๆ จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 15:32:36

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้า ท่านthepthaiza เชื่อว่า คำพิพากษานี้ ไม่ล้ำเส้น ไปในนโยบาย แล้วตกลง รัฐบาลชุดปัจจุบัน ต้องแก้สัญญาสัมปทาน ไปให้เหมือนเดิมเริ่มแรก ก่อนแก้ ในทุกบริษัท หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น คำพิพากษานี้ ก็กลายเป็นนโยบายไปแล้ว คือ พิพากษาว่า สัญญาเริ่มแรกนั้น คือ ความถูกต้อง แต่ถ้าไม่แก้ แล้วยังใช้อยู่ต่อไปเช่นปัจจุบัน ตกลง ความเสียหายต่อรัฐสิ้นสุดลงแล้ว หลังจากที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ขายหุ้นออกไปหมด ทั้งๆ ที่สัญญาสัมปทาน ยังอยู่เหมือนเดิมจากวันนั้น จนกระทั่งวันนี้ อย่างนั้น น่ะหรือ --- ทำไม รัฐบาลชุดนี้ ไม่รีบ แก้สัญญาสัมปทาน ไปให้เหมือนเดิมล่ะครับ และเรียกค่าปรับย้อนหลัง กับ บริษัท ทั้ง 3 แห่ง เนื่องจาก ศาลพิพากษาแล้วว่า รัฐเกิดความเสียหายจากสัญญาสัมปทาน ที่มีการแก้ไข --- หลังจากมีคำพิพากษาแล้ว มีอะไร ต้องใช้วิจารณญาน อีกหรือ คำพิพาษาศาลฎีกา ถือเป็นที่สุด ทุกคนต้องยอมรับ และ ปฏิบัติตาม มิใช่หรือ ? แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 53 15:54:26 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 15:50:23

ความคิดเห็นที่ 16 ---------------- คำถาม ชวนคิด ---------------- บริษัท สื่อสารที่ไม่ได้มีชื่อยู่ใน คำพิพากษา เช่น Dtac True ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ร่วมกันในบางแง่ และ ได้มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ในบางลักษณะ ที่คล้ายคลึงกัน ควรจะต้องได้รับการปฏิบัติ แบบใด จึงจะเหมาะสม เพราะ บริษัท Dtac และ True ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและนโยบาย ของรัฐในขณะนั้น ทุกประการ อีกทั้ง ผู้มีอำนาจที่ถูกตัดสินว่ากระทำผิด ไม่ได้ถือหุ้น ในบริษัทเหล่านี้เลยด้วย รวามถึง การแก้ไขสัญญา เป็นความตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่าย ระหว่าง บริษัท และ รัฐฯ ซึ่งไม่ได้มีอำนาจของผู้ถูกกล่าวหา มาเอื้อประโยชน์ ให้แต่อย่างใด เพราะ อยู่ในสถานะคู่แข่ง เสียด้วยซ้ำ จะเป็นธรรม ต่อ บริษัท และ ผู้ถือหุ้น ของ Dtac และ True หรือเปล่า หากต้องถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย  ย้อนหลัง จากที่นโยบายดังกล่าวถูกพิพากษา  ย้อนหลัง ว่าเป็นนโยบาย ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ แต่ถ้าไม่ฟ้อง Dtac กับ True ก็จะมีคำถามแย้ง มาอีกว่า ทำไม กรณี AIS   รัฐ   จึงเกิดความเสียหาย แต่ Dtac กับ True รัฐ  ถึงไม่เกิดความเสียหาย จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:01:28

ความคิดเห็นที่ 17 ผมเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีสิทธิ์เลือกที่จะแก้หรือไม่แก้สัมปทานก็ได้ครับ เหตุผลคือรัฐบาลมีอำนาจพิจารณาตามสถานการณ์ปัจจุบันว่า สิ่งที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้คืออะไร โดยอยู่บนพื้นฐานของความสุจริต ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง รัฐบาลชุดนี้ไม่ผิดถ้าจะเลือกใช้สัญญาเดิมต่อ หรือแก้ไขเพียงบางประเด็น สิ่งต่างๆที่เคยทำให้บางบริษัทได้รับประโยชน์มากในอดีต สภาพการณ์ปัจจุบันอาจเปลี่ยนไปแล้ว หากรัฐบาลปัจจุบันตัดสินใจโดยไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนย่อมไม่ผิดครับ แต่มันคนละประเด็นกับความผิดที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต ซึ่งศาลได้ตัดสินแล้วว่านายกแก้ไขกฏระเบียบโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ประโยชน์นั้นมันทับไปแล้ว มันซ้อนไปแล้ว แม้แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันก็ไม่มีสิทธิ์บอกว่าให้มันแล้วๆกันไป จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:29:17

ความคิดเห็นที่ 18 ประเด็นนี้ โดยส่วนตัว มองแค่ว่า นโยบายและการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ที่เกิดขึ้น ระหว่างรัฐและบริษัท เอกชน ที่ผ่านมานั้น อยู่ในรูปแบบใด Win - Win หรือ Win - Lose Situations --- คำพิพากษาศาลฏีกา ระบุว่าเป็น Win - Lose คือ บริษัทได้ประโยชน์ และ รัฐเสียประโยชน์ ถ้าเป็นดังนี้แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไร ต้องขบคิด รัฐบาลและหน่วยงานเจ้าของสัมปทาน ก็เพียงแต่กลับไปใช้สัญญาสัมปทานแรกเริ่ม และ เรียกค่าเสียหายย้อนหลัง ตามคำพิพากษา ก็น่าจะจบ เพราะเป็นการพลิกสถานการณ์ ให้กลับมาเป็น ตรงข้าม คือ รัฐได้ประโยชน์ และ บริษัทเสียประโยชน์แทน มิใช่หรือ --- แต่ถ้านโยบายและการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ของทั้ง 3 บริษัท ที่ผ่านมา คือ Win - Win คือ รัฐ และ บริษัทเอกชน ต่างได้ประโยชน์เพิ่มทั้งคู่ ดังนี้แล้ว การกลับไปใช้สัญญาสัมปทาน ที่ยังไม่เคยมีการแก้ไข ก็จะกลายเป็น Lose - Lose Situation เมื่อ เทียบกับ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็เท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้นี่แหละ ที่จะพิสูจน์ว่า คำพิพากษาของศาลฏีกาที่ออกมานั้น ในทางปฏิบัติแล้ว ก่อให้เกิดประโยชน์ หรือ ก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ประเทศชาติ และ ประชาชน กันแน่ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:38:37

ความคิดเห็นที่ 19 สำหรับ dtac true ผมเห็นว่าไม่ต้องรับผิดทางแพ่งครับ เพราะไม่มีส่วนในการกระทำผิด ทั้ง2บริษัทปฏิบัตไปตามกฏหมาย แต่advance ต้องรับผิดทางแพ่ง เพราะมีประโยชน์ทับซ้อนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนที่ว่ามีผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย ผู้ถือหุ้นใหญ่มากแค่ไหนจึงถือว่าบริษัทต้องรับผิดชอบ เช่นนักการเมืองตั้งบริษัท ลงทุน 1000000 บาท ให้มีรายย่อยช่วยกันถือ อีกสัก 100000  หรือ  10000  หรือ 1000 บาทดี เอาไว้กัน เวลาหาว่าโกงเงินเข้าบริษัท ก็จะทำอะไรไม่ได้ เพราะมีผู้ถือหุ้นรายย่อยอยู่  ยังงี้เหรอครับ จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:42:17

ความคิดเห็นที่ 20 ความเห็นของท่าน thepthaiza #11 และ #17 ขัดแย้งกันเอง แล้วนะครับ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 16:45:59

ความคิดเห็นที่ 22 ในความเห็น ที่ 19 ท่าน thepthaiza กล่าวว่า AIS ต้องรับผิดทางแพ่ง เนื่องจากมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็ในเมื่อ ผู้ถือหุ้นใหญ่ ขายหุ้นทั้งหมด ให้เทมาเสก ไปแล้ว ตั้งหลายปี และผู้ถือหุ้นใหญ่คนนั้น ก็ไม่ได้มีอำนาจแล้ว หลังจากวันนั้น จนถึงวันนี้ ยังมีอะไร ทับซ้อน อยู่อีกล่ะครับ --- สิ่งที่ยังคงอยู่ คือ สัญญาสัมปทาน ที่มีการแก้ไข ซึ่งศาลฏีกา มีคำพิพากษาว่า เอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอกชน และก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งได้ประเมิน ตัวเลขความเสียหาย จากสัญญาสัมปทานที่ยังไม่มีการแก้ไข นั้นด้วย ตกลงว่า รัฐบาลนี้ ต้องแก้สัญญากลับไปให้เหมือนเดิม หรือเปล่า - ถ้าไม่ต้องแก้กลับไป ให้เหมือนเดิม จะไม่ขัดแย้งกับ คำพิพากษาหรือ แล้วจะคำนวณความเสียหาย ในการฟ้องแพ่ง ด้วยฐานตัวเลข ในสัญญาสัมปทานฉบับไหน ล่ะครับ - ถ้าต้องแก้กลับไป ให้เหมือนเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับคำพิพากษา แล้ว รัฐบาล รออะไร อยู่อีกล่ะครับ ทั้งการแก้ไขสัญญาสัมปทาน และ การฟ้องแพ่งเรียกความเสียหายคืนกลับรัฐ จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 17:32:34

ความคิดเห็นที่ 23 เค้าทุบเพราะเค้าจะซื้อกันเอง พูดปุ๊ป หุ้นลงทันที เก่งมั้ยล่ะท่าน จากคุณ : m_trix (m_trix) เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 17:36:17

ความคิดเห็นที่ 24 ผมทนถือครับ ลงมา75 ก็ไม่กล้าซื้อถัว ทั้งที่มีเงินเหลือ  เลยกำไรน้อยไปหน่อย   ตอนนี้ กำไร10เปอร์เซ็นต์ ก็ทยอยขายครับ กำไรแค่นี้ก็พอใจแล้วครับ บรรยากาศ บ้านเมืองแบบนี้ ผมไม่ชอบเลย ถ้าหุ้นขายหมด ก็คงจะเลิกไปซักพัก ใกล้ฤดูปันผล ค่อยกลับมาใหม่ จากคุณ : พ่อน้องบุ๊ค เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 20:11:49

ความคิดเห็นที่ 25 ท่าน rounder ครับ คคห ผมคล้ายจะขัดกันเอง แต่ความจริงไม่ขัดครับ ผมแยกออกเป็น 2 ประเด็นคือ 1.เรื่องที่ว่ารัฐบาลต้องแก้สัญญาหรือไม่ ประเด็นนี้รัฐบาลมีสิทธิ์เลือก(โดยสุจริต)ว่าจะแก้หรือไม่ รัฐบาลมีสิทธิ์ออกนโยบายที่เป็นประโยชน์ที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน  ถ้าแก้แล้ว lose-lose ก็ไม่ต้องแก้นี่ครับ และไม่ผิดคำสั่งศาล เพราะศาลบอกว่าที่แก้สัญญาครั้งก่อนน่ะผิด เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน คือเจตนาทุจริต  แต่ศาลก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์รัฐบาลชุดนี้ที่จะเลือกนโยบายที่เหมาะกับปัจจุบัน เช่นผู้หญิงถูกข่มขืน ตั้งท้อง คนข่มขืนก็รับโทษไป เด็กที่คลอดมาก็เลี้ยงกันไป 2.ประเด็นเรื่องความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว  อันนี้รัฐบาลไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้องครับ อันนี้แหละที่ผมว่าคุณกรณ์สำคัญตนผิดไปแล้ว  ผิด ป อาญา157 จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 21:58:04

ความคิดเห็นที่ 26 2 ประเด็น ที่ท่าน thepthaiza  กล่าวถึง มาดูข้อ 2 ก่อนนะครับ ข้อนี้ ผม กับ ท่าน thepthaiza เห็นตรงกันถูกไม๊ครับ ว่า รมว.คลัง ไม่น่าจะสามารถใช้วิจารณญาน ส่วนตัว เหนือ คำพิพากษา ศาลฏีกา คือ จะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหาย จากบริษัท คู่สัญญา มิเช่นนั้น จะถือว่า ละเว้นการปฏิบัติและก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ --- แต่ ข้อ 1 ผมเห็นต่างกับท่านครับ คำพิพากษา ของ ศาลฏีกา และข้อกล่าวหา ของ คตส. จะได้รับการพิสูจน์ ด้วยนะ ครับ ว่าคำวินิจฉัย ที่ศาลฯ เห็นพ้อง กับ คตส. ว่า การแก้ไขสัญญา สัมปทาน เกิดสถานการณ์ Win - Lose บริษัทเอกชนได้ประโยชน์ - รัฐเสียประโยชน์ นั้น เป็นความจริงหรือไม่ ประการใด โปรดอ่าน ความคิดเห็นที่ 18 ทวนดูอีกครั้งนะครับ --- มีเหตุผล อะไรครับ ที่รัฐบาลชุดนี้ จะต้องไปแก้สัญญาสัมทานในปัจจุบัน ให้เป็นแบบอื่น ในเมื่อ ศาลฏีกา ได้วินิจฉัยแล้วว่า สัญญาสัมปทานเดิมนั้น คือ สิ่งที่ถูกต้องและรัฐไม่เสียประโยชน์ รัฐบาล จะต้อง ไปคิดแก้ไข เป็นแบบอื่น ให้สุ่มเสี่ยง ต่อตัวเองและอาจเกิดข้อขัดแย้ง กับคำพิพากษา  ทำไม อีกเล่าครับ --- ถ้าแก้สัญญาสัมปทาน กลับไปเหมือนเดิม แล้ว เกิดสถานการณ์ Lose - Lose ก็แสดงว่า คำพิพากษา ของศาลฏีกา และ ข้อกล่าวหาของ คตส. ที่ปรากฎในคำพิพากษา  ทั้งหมดนั้น ตรงกันข้าม กับ ความเป็นจริง น่ะสิครับ --- แก้ไขเมื่อ 07 เม.ย. 53 23:24:00 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 23:16:42

ความคิดเห็นที่ 27 ส่วนสาเหตุที่ ท่านกรณ์ เปลี่ยนท่าที ไม่แน่ใจว่า มาจากข่าวนี้ หรือเปล่า วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ.2553 20:11 น ========================= เพราะพฤติกรรมต่อเนื่องของ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แสดงอย่างชัดเจนว่า จะต้องยึดทรัพย์สินของตระกูลชินวัตรให้หมดให้ได้ แม้ว่าศาลจะมีคำพิพากษาให้ยึดเพียงบางส่วนแล้วก็ตาม ทำให้ในแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ กันอย่างมาก นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังต้องออกมาเตือนสติว่า  ข้อพิจารณาในเรื่องดังกล่าว จะต้องใช้หลักเหตุผล โดยคำนึงถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน ทั้งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ผู้บริโภค รวมทั้งผู้ลงทุนที่สุจริต “การดำเนินการใดๆ เพื่อเรียกค่าเสียหายต่อความผิดที่เกิดขึ้นในอดีต เรียกร้องให้บริษัทชดใช้ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงสัมปทานให้เหมือนกับ เมื่อตอนก่อนแก้ไข ทำทุกอย่างให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม เพื่อหวังเอาผิดกับบริษัท จำเป็นต้องคำนึงถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักลงทุน ผู้บริสุทธิ์และสุจริตด้วย ไม่เช่นนั้นจะทำให้เสียความมั่นใจกันไปหมด เนื่องจากการดำเนินการใดๆก่อนหน้านี้ ถือเป็นนโยบายของรัฐบาลในช่วงนั้นๆ โดยนักลงทุนก็จะใช้ข้อมูลในขณะนั้น มาประกอบการตัดสินใจลงทุน ดังนั้น การจะดำเนินการใดๆ ก็ตาม ที่จะทำให้ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ จึงจำเป็นต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ และ ใช้หลักเหตุผล” Credit : http://www.bangkok-today.com/node/4697 --- ตกลงความเห็น ของ ผจก.ตลาดหลักทรัพย์ฯ สอดคล้อง และเห็นด้วย กับ คำพิพากษา ของศาลฏีกา หรือไม่ ประการใด ? จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 05:08:42

ความคิดเห็นที่ 28 สวัสดีครับท่านrounder  นอนน้อยไปหน่อยนะครับ ผมอ่าน คคห ของท่านแล้วครับ คคห เราต่างกันตรงที่ในเมื่อมีคำพิพากษาแล้วว่าการแก้สัญญาครั้งก่อนผิดเป็น win-lose solution แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องต้องกลับไปใช้สัญญาเดิมหรือไม่ ซึ่งท่าน rounder เห็นว่าต้อง แต่ผมเห็นว่าไม่ต้อง เหมือนที่ผมเปรียบเทียบเรื่องผู้หญิงถูกข่มขืนนั่นแหละครับ  เด็กก็เลี้ยงกันไป จะรับคนผิดเป็นพ่อก็ยังได้ แต่ไม่เป็นเหตุให้ยกความผิดของผู้ที่ทำผิดไปแล้ว จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 11:01:56

ความคิดเห็นที่ 29 ท่านเปรียบอย่างนั้น ไม่ถูกหรอกครับ แล้ว  Dtac ล่ะครับ มีการแก้ไขสัญญาสัมปทาน คล้ายคลึงกัน โดยผู้ถูกกล่าวหานั้น ไม่เคยมาถือหุ้น แต่อย่างใด รัฐไม่เสียหายหรือครับ ทำไม ท่านบอกว่า ไม่มีความผิดทาแพ่งล่ะครับ สองบริษัท ต่าง แก้ไขสัญญา คล้ายคลึงกัน บริษัทหนึ่ง ท่านว่า ผิด เพราะ รัฐเสียประโยชน์ มีผลประโยชน์ทับซ้อน อีกบริษัท ท่านกลับว่า ไม่ผิด หรือ รัฐไม่เสียหาย ท่านใช้ตรรกะ อะไร มาพิจารณา ครับ แก้ไขเมื่อ 08 เม.ย. 53 12:22:13 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 12:11:05

ความคิดเห็นที่ 30 ยังอยู่เหรอครับท่าน rounder dtac true ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะไม่มีconflict of interest เรียกว่าได้ประโยชน์ไปกับนโยบายครับท่าน กฏหมายเอาผิดกับผู้สุจริตไม่ได้ครับ ส่วน advanc ผู้มีอำนาจเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สร้างประโยชน์อันไม่ควร เข้าบริษัทอันนี้เป็นส่วนที่รัฐต้องฟ้องเอาคืนครับ จากคุณ : thepthaiza เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 16:17:12

ความคิดเห็นที่ 31 การแก้ไขสัญญาสัมปทาน ของ Dtac ก็เป็นเรื่อง ระหว่าง เอกชน กับ รัฐ ที่เป็นคู่สัญญา ครับ โดยได้มีการแก้ไขสัญญาพรีเพด คล้ายคลึงกันกับ AIS แล้วจะบอกว่า Dtac แก้ไขสัญญาสัมปทาน และ ทำให้รัฐเสียหาย แต่ทำไปโดยสุจริต  ต่างจาก AIS เพราะทำไปโดยไม่สุจริต ถ้าท่านให้เหตุผลอย่างนี้ ก็คงขอ ทิ้งความต่าง ของความเห็น ไว้เท่านี้ล่ะครับ ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความเห็นครับ --- น.ส.สุภา   ปิยะจิตติ   ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ  (สคร.)   ให้สัมภาษณ์ว่า   ได้เสนอเรื่องการแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่ชอบด้วยกฎหมายของ บริษัททีโอทีฯ  และบริษัท  กสท  โทรคมนาคมฯ  กับคู่สัญญา  3  แห่ง  ได้แก่   บริษัท  แอดวานซ์  อินโฟร์  เซอร์วิส  จำกัด  (มหาชน)  หรือเอไอเอส, บริษัท  โทเทิ่ล  แอ็คเซ็ส  คอมมูนิเคชั่น  จำกัด  (มหาชน)  หรือดีแทค และบริษัท  ทรู  คอร์ปอเรชั่น  จำกัด  (มหาชน)  หรือทรู ให้กับนายกรณ์   จาติกวณิช   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับทราบแล้ว เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขให้คณะรัฐมนตรี  (ครม.)  เศรษฐกิจพิจารณาเห็นชอบ ในวันที่  2  ธ.ค.นี้  เพราะที่ผ่านมามีการแก้ไขสัญญาสัมปทานหลายครั้ง ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่ทำตามขั้นตอน  ส่งผลให้รัฐเกิดความเสียหายนับแสนล้านบาท    น.ส.สุภา  กล่าวว่า  แนวทางการทำสัญญาให้ถูกต้องตามกฎหมายนั้น  กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  (ไอซีที)  ต้องเป็นผู้ดำเนินการ และเสนอมาให้  ครม.พิจารณาว่าเห็นชอบหรือไม่ โดยไอซีที   รวมถึงทีโอที  และ  กสท ต้องกลับไปทบทวนสัญญาที่แก้ไขไปแล้วว่า  สมควรหรือมีเหตุผลหรือไม่    เธอระบุด้วยว่า  หาก  ครม.พิจารณาแล้ว ไม่เห็นชอบตามที่ไอซีทีเสนอมา   เพราะเห็นว่าเหตุผลในการแก้ไขสัมปทานที่ผ่านมาไม่สมควร   ก็ต้องยกเลิกสัญญาสัมปทานที่แก้ไขแล้วกลับไปใช้สัมปทานเดิม   ซึ่งส่งผลให้เอกชนต้องจ่ายค่าเสียหายจากการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ให้ทีโอทีและ กสท  ซึ่งจากการประเมินของ  สคร.พบว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานจำนวน  10  สัญญา  ตั้งแต่ปี  2543   ทำให้ทีโอทีเสียหายโดยได้รับส่วนแบ่งรายได้จากสัมปทานน้อยลง  1.3 แสนล้านบาท และ  กสท  เสียหาย  8.3  หมื่นล้านบาท   รวมเป็นเงินที่ทั้งสองแห่ง ได้รับความเสียหาย  2.2  แสนล้านบาท    สำหรับตัวอย่างการแก้ไขสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  อาทิ   การแก้ไขสัญญาสัมปทานของเอไอเอส   ที่เดิม  5  ปีแรก ต้องจ่ายรายได้ให้กับรัฐ  15%  หลังจากนั้นปีที่  6-10  จ่าย  20%   ปีที่  11-15  จ่าย  25%   ปีที่  16-20  จ่าย  30%  ปีที่  21-25  จ่าย  35%   ซึ่งในส่วนนี้มีการแก้ไขให้จ่ายค่าสัมปทานเหลือ  30% ทำให้รายได้ของทีโอทีหายไป  5  พันล้านบาท   นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขสัญญาของเอไอเอส   ให้ในส่วนของ โทรศัพท์ประเภทเติมเงิน  (พรีเพด)  ให้จ่ายส่วนแบ่งรายได้แค่  20%  เท่านั้น  จากที่ต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้เหมือนกับโทรศัพท์จ่ายรายเดือนปกติ  ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไป  8.1  หมื่นล้านบาท ส่วนความเสียหายที่เหลือ เป็นการแก้ไขสัญญาสัมปทาน ของ ดีแทค และ ทรู ----------------------------- หวั่นอายุสัมปทานหมดก่อน -----------------------------    "กระทรวงการคลังเห็นว่าเรื่องนี้ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย  และเอาเงินที่สูญเสียจากการแก้ไขสัญญาที่ไม่ถูกต้องกลับคืนมาให้ได้ก่อน   ส่วนเรื่องหาคนรับผิดชอบเป็นเรื่องทีหลัง ที่ต้องมาดูเจตนาว่าเป็นอย่างไร เพราะหากปล่อยไปช้ากว่านี้แล้วอายุสัมปทานเอกชนหมด   รัฐอาจไม่ได้อะไรคืนเลย"   น.ส.สุภากล่าว ที่มา : thaipost 30 พฤศจิกายน 2552 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9007993/I9007993.html#12 จากคุณ : The Rounder เขียนเมื่อ : 8 เม.ย. 53 19:34:25

ความคิดเห็นที่ 32 บางอย่างรายละเอียดลึกมาก ป้าก็ติดตามข่าวไม่รู้รายละเอียดมาก แต่เชื่อว่า... ก่อนทำสัญญา หรือแก้ไขสัญญาใด ๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีการพิจารณาประโยชน์และรายละเอียดต่าง ๆ แล้ว ในตลาดโทรคมนาคมที่แข่งขันรุนแรง รวดเร็วทั้งเทคโนโลยีและการตลาด แต่ละช่วงเวลาต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ทันการณ์ ...ดังนั้นการแก้ไขสัญญาเพื่อการแข่งขันและทำตลาดย่อมเป็นไปได้ ...คู่สัญญาก็คงจะพิจารณาแล้วว่า WIN WIN ทั้งคู่ การพิจารณาว่ารัฐเสียประโยชน์...ถ้าเอาเฉพาะส่วนที่เสียประโยชน์มาคิด มันก็ต้องเสียประโยชน์ ...เออ...ยกตัวอย่างง่าย ๆ นาย A.. เป็นนายจ้าง   นาย B..เป็นลูกจ้าง ช่วยกันขายสินค้าชิ้นละ 10 บาท (ทุน 5 บาท  กำไร 5 บาท) ขายได้วันละ 100 ชิ้น ต่อมามีคู่แข่งมาขายชิ้นละ 9 บาท นาย B แนะนำนายจ้างว่า ถ้าเราขายชิ้นละ 7 บาท เราจะขายได้มากขึ้น ก็ตกลงว่าขายชิ้นละ 7 บาท ...ปรากฎว่าขายได้วันละ 400 ชิ้น กำไร 800 บาท/วัน ต่อมานาย A กลับมาคิดใหม่ว่า นาย B ทำให้ตนเสียหาย เพราะว่า 400 ชิ้น ถ้ากำไรชิ้นละ 5 จะได้ถึง 2,000 บาท/วัน  ดังนั้นนาย A จึงแจ้งความดำเนินคดีกับนาย B ฟ้องค่าเสียหายทำให้ตนเสียรายได้ !! และที่เห็น ๆ อีกเรื่องคือ สลากเลขท้าย 2,3 ตัว  ผิดกฎหมาย ...ขายไม่ได้ แต่พิจารณาแล้วเห็นว่าทำให้รัฐเสียรายได้ ...หมื่นล้านบาท คือ...คิดเฉพาะส่วนที่ตนอยากจะคิดเท่านั้น !! จากคุณ : ป้าModi (modi) เขียนเมื่อ : 9 เม.ย. 53 18:15:58

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามาลงชื่อประนามด้วยอีกคน ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ หากินง่ายเน๊อะ จากคุณ : foren161 เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 53 10:24:26

ความคิดเห็นที่ 34 จ๊าบ จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 53 12:48:04

ความคิดเห็นที่ 35 ต้องไปดูหน่อยว่าญาติพี่น้อง คนรอบข้าง คนรู้จักห่างๆ รวยหุ้นแบบไม่มีสาเหตุหรือเปล่า จากคุณ : asterisk เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 53 18:38:03

ความคิดเห็นที่ 36 ชั้นเชิงขนาดนาย Korn เนี่ย แดรกแล้วไม่มีวันทึ้งร่องรอยให้ตามได้ เราๆคงต้องทำใจ มีทางเดียว ต้องคอยระวังตามปากเค้าใว้ให้ดีเวลาที่เค้าว่า ดีๆอย่างตอนหวยที่เขาออกมาบอกทุกอย่าง OK แล้วหุ้น ร้อยเล่ห์ก็ขึ้นมาแต่ อีกอาทิตย์หนึงก็ให้ Apisit ออกมาทุบ แต่กลุ่ม Shin ออกมาหากินหลายรอบหน่อยมันก็เท่านั้นจริงใหมครับ จากคุณ : ส (somchaia) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 53 20:00:54