 |
ความคิดเห็นที่ 6 |
ความเห็นส่วนตัวผมขอให้พิจารณาดังนี้ครับ-
1.ค่าใช้จ่ายในการเรียนที่ศศินทร์ใกล้เคียงกับการเรียนในมหาวิทยาลัยดังๆในสหรัฐอเมริกา ในอังกฤษ เพราะมีส่วนเกินที่ต้องจ่ายเป็นค่าจ้างอาจารย์มาจาก Wharton หรือ Kellog มาสอนหลายคน คนละประมาณ 1เดือน - 1 เดือนครึ่ง ซึ่งนอกจากค่าตัวแล้ว ยังมีค่าเครื่องบินชั้นหนึ่ง(ที่เราไม่มีโอกาสบินเอง) พักโรงแรมระดับห้าดาวเป็นเดือนๆ(ที่เราไม่เคยนอนเอง) อาหารวันละ 3 มื้อ(ที่ไม่ใช่ข้าวแกง หรือ ข้าวมันไก่ ส้มตำ เหมือนเรา) ค่ารถรับ-ส่ง(แน่นอน--น่าจะเป็น MB พร้อมคนขับเกือบ 24 ชั่วโมง)) ค่าซักรีดเสื้อผ้า(ในโรงแรมห้าดาวที่ท่านนอนนั่นแหละ) ส่วนค่าน้องหนูหรือความบันเทิงอย่างอื่นอาจารย์คงจ่ายเองเว้นแต่ไปสังสรรค์กับลูกศิษย์ เราเรียนไปก็ต้องนึกไป ว่านี่อาตมาเทกระเป๋าจ่ายเงินมาเรียนหนังสือหรือสมทบทุนให้อาจารย์มาพักร้อนแบบห้าดาวกันแน่หว่า?)
คุณภาพของอาจารย์ที่มาสอนไม่มีใครรับประกันได้ แต่ชื่อมหาวิทยาลัยที่มาของอาจารย์และชื่อผู้ว่าจ้างคือจุฬาฯน่ะดังแน่ๆ
ข้อดีของการเรียนที่ศศินทร์คือสามารถทำงานไปพร้อมกันได้(หากมีงานทำอยู่แล้ว) ทำให้มีรายได้ส่งตัวเองเรียน แต่สายสัมพันธ์ของคนที่เข้าศึกษาร่วมรุ่นอย่าคิดให้มากนัก เพราะคนที่ร่วมเรียนยังวัยหนุ่ม-สาวต้นๆ มักจะมีตำแหน่งระดับกลาง เช่น หัวหน้าแผนก, ผช.ผจก., Junior Mgr ต่างคนก็ต่างหวังเกาะพึ่งคนอื่นมากกว่า (...ฮา)
ไม่เหมือนพวกวัยเรียน X-MBA ที่มักเป็นผู้บริหารระดับสูงเข้าเรียนแก้โง่ ไม่ต้องการเอาวุฒิการศึกษาไปหางานใหม่อีกแล้ว ต้องการมีสายสัมพันธ์ไว้พึ่งพา ไว้ปรึกษาและไว้ร่วมทุน ร่วมหุ้นซึ่งกันและกัน พวกนี้แหละครับที่เรียนเพื่อเชื่อมสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์แบบไทยๆเรา (ใครที่เข้าเรียนต้องทนนอนดึก ดื่มหนัก ร้อง Karaokeได้เป็นร้อยเพลง และตื่นเช้าให้ได้ด้วย)
ดังนั้น หากยังไม่มีงานทำหรืองานที่ทำอยู่ก็คว้าไว้ก่อนงั้นๆไม่ได้ชอบจริงจังอะไร ก็ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศจะดีกว่า เรียนง่ายกว่า บรรยากาศกดดัน คุกคาม บีบเค้นตัวเราให้ต้องเรียนมากกว่า(ไม่มีคุณแม่คอยปลุก คุณพ่อขับรถไปส่ง ฯลฯ) และใช้ชีวิตแบบต้องพึ่งตัวเองแท้ๆมากกว่า ทำให้เกิดทักษะบริหารตัวเองจนเรียนจบได้ มีชีวิตรอดได้ นับประสาอะไรเมื่อจบมาแล้วจะบริหารกิจการหรือบริหารคนในองค์การไม่ได้...หือมมมม์?(..ไชโยๆ)
2.ในการเรียนหนังสืออย่าคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าจะเรียนเพื่อจะไปเป็นลูกจ้างเขา !!!
ควรคิดว่าหากมีโอกาสเราต้องเป็นนายจ้างจึงจะถือว่าเป็นคนรู้จริงและฝีมือแน่จริง หากเป็น,กจ้างก็เพียงเพือสะสมประสบการณ์ ตำแหน่งที่เลือกสมัครเข้าเป็นลูกจ้างควรเป็นตำแหน่งที่เมื่อเราลาออกจากงานเดิมแล้วสามารถลงทุนทำเองได้ เช่น เป็น Sales เป็น Shop Manager ฯลฯ หากเป็นนักวิเคราะห์การเงินก็คงวิเคราะห์ในกระดาษกันทั้งชาติ เพราะไม่เคยลงงาน Operation ข้อดีมีเพียงห้องทำงานด้วย ได้แต่งตัวสวย ได้วางท่าสวย และมีเวลาเข้า-เลิกงานที่แน่นอน
เมื่อคิดว่าเรียนเพื่อไปเป็นนายตัวเองทำให้ต้องแสวงหาโอกาสและความหารอบรู้รอบทิศ เพราะมีพังเพยไทยกล่าวไว้ว่า "ทรัพย์นี้อยู่ใกล้ ใครปัญญาไว หาได้บ่นาน.."
เมื่อเราเป็นนายจ้างตัวเองแล้ววันหนึ่งกิจการขยายใหญ่เราสามารถให้เงินเราให้ทำงานโดยไปว่าจ้างลูกจ้างที่จบ MBA จาก Harward Bussiness School หรือ Wharton,Kellog,U of Chicaco ฯลฯ เหมือนคุณเจริญ(จบ ป.4), พตท.ดร.ทักษิณ(จบปริญญาเอกด้านอาชญาวิทยา),คุณธานินทร์(จบ ม.8) ฯลฯ ที่จ้างลูกน้องที่จบปริญญาโท ปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยดังๆของโลกให้มาทำงานตามที่สั่งมากมายครับ
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ เพราะถือว่ารกคนดีกว่ารกหญ้า ยิ่งคนไทยมีการศึกษาสูงขึ้นมากๆประเทศเรายิ่งเจริญขึ้นครับ
แก้ไขเมื่อ 19 มิ.ย. 53 10:59:18
จากคุณ |
:
พาชื่น
|
เขียนเมื่อ |
:
19 มิ.ย. 53 10:48:13
|
|
|
|
 |