ความคิดเห็นที่ 1 TOPNEWS:ข่าวเด่นในประเทศวันนี้ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ *ข่าวเด่นในประเทศวันนี้ สามารถดูรายละเอียดข่าวใน"Apex" ตามหมายเลขในท้ายหัวข่าว **ข่าวตลาดเงิน-ตลาดทุน >ตลาดอนุพันธ์ สรุปการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์ส/ออปชั่น วันนี้ >ฟิวเจอร์ส SET50 ปิดวันนี้ร่วงหนัก, ราคาน้ำมันอ่อนตัว-กังวลการเมือง >ตลท.เผยวันนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 902.96 ล้านบาท >หุ้นไทยปิดลบ 1.65% ดัชนีหลุด 800, ขายนำหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ >CIG คาดปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิ,รายได้ 1.5 พันลบ. ดีมานด์แอร์หนุน >โบรกฯมอง STA พุ่งแรงเกินเป้าหมาย,ราคายางมีแนวโน้มอ่อนตัวใน H2 >ซี.ไอ.กรุ๊ปร่วมมือพันธมิตรจีน พัฒนาคอยล์แอร์ชนิดใหม่ หนุนยอดขายโต >บล.ธนชาต มองตลาดหุ้น H2/53 ทิศทางดี เล็งนำบจ.ไปโรดโชว์ตปท.ในเดือนก.ย. >ธ.ทหารไทยคาด ภายในปีนี้มีความชัดเจน กรณีคลังจะขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด >บลจ.ไทยพาณิชย์ ออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3, 6, 12 เดือน รวม 9 พันลบ. >ธ.ธนชาต คาดยื่นแผนควบรวมธ.นครหลวงไทย ให้ธปท.พิจารณาอนุมัติภายในปีนี้ >ตลท.เตือนนักลงทุนจับตากรณีจีนยืดหยุ่นค่าเงินหยวน ก่อนลงทุนในหุ้น >"ออฟฟิศเมท"กำหนดช่วงราคาหุ้น IPO ที่ 4.80-5.20 บาท/หุ้น,สรุปต้นก.ค. >NWR บวก 2.56% โบรกฯแนะ"ซื้อเก็งกำไร"ลุ้นได้งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน >นายกฯเผยกรณี"ไทยคม"ต้องคำนึงถึง ความมั่นคง-คุ้มค่าทางศก.-รักษาวงโคจร >GFPT พุ่ง 5% โบรกฯแนะ"ซื้อ"มองอากาศร้อน-น้ำมันรั่ว หนุนราคาเนื้อสัตว์ >RCL บวก 1.5% ขณะที่หุ้นเพิ่มทุน 129 ล้านหุ้นเข้าซื้อขายวันแรก >SEAFCO นิวไฮกว่า 2 เดือน โบรกฯมองปัจจัยบวกจากโครงการรถไฟฟ้าต่างๆ คืบหน้า >DTAC ปรับขึ้น โบรกเกอร์ชี้ทางเทคนิค เริ่มพบสัญญาณบวก >THCOM ร่วงกว่า 9% โบรกฯชี้นักลงทุนผิดหวัง รัฐอาจไม่ซื้อดาวเทียมไทยคม >SSI สูงสุดรอบกว่า 1 เดือน โบรกฯมองจีนยกเลิกคืนภาษีผู้ส่งออกเหล็กหนุน >TRUBB ชนซิลลิ่ง ก่อนซื้อขายพาร์ใหม่จันทร์หน้า-โบรกฯคาดกำไรปีนี้นิวไฮ >ซีฟโก้ รับงานใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 683.77 ลบ. >แคล-คอมพ์ฯ จะเพิกถอนบริษัทย่อยออกจากตลาดหุ้นสิงคโปร์,ทำเทนเดอร์ฯ >ไซแมทฯ จะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP ในราคาไม่ต่ำกว่า 4 บาท/หุ้น **ข่าวตลาดเงิน-เศรษฐกิจ >บาท/ดอลลาร์ภาคบ่ายอ่อนค่า, นักลงทุนกลับเข้าซื้อดอลล์-กังวลทิศทางศก.โลก >ธปท.มองแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นปี 54, บาทขณะนี้กลับสู่ภาวะปกติ >ผลประมูลพันธบัตร ธปท.อายุ 14 วัน ในวันนี้ **ข่าวทั่วไป >ศอฉ.ชี้กลุ่มต่อต้านรัฐบาลเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์, สั่งทุกหน่วยดูแลเข้ม >พรรคการเมืองใหม่ส่ง"พล.อ.กิตติศักดิ์"ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. >ศาลฯให้"ก่อแก้ว"ไปสมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.ใน 28 มิ.ย.และนำตัวกลับเรือนจำ >นายกฯเผยอาจยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในหลายพื้นที่-รอศอฉ.เสนอครม.สัปดาห์หน้า ผู้ใช้บริการ"Apex" สามารถติดต่อศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Help Desk)ได้ที่ หมายเลข โทร.0-2637-5555 และ แฟกซ์ ที่ 0-2637-5689 หรือ e-mail: thai.helpdesk @reuters.com ติดต่อกองบรรณาธิการ: โทร 0-2648-9724-6 (โดย บุญฤทธิ์ รัตนวราภรณ์ เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:48:55

ความคิดเห็นที่ 2 TFEX:ตลาดอนุพันธ์ สรุปการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์ส/ออปชั่น วันนี้ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บมจ.ตลาดอนุพันธ์(ประเทศไทย) หรือ TFEX สรุปข้อมูลการซื้อขายสัญญา ฟิวเจอร์ส และออปชั่น จำแนกประเภทผู้ลงทุนในวันนี้ (24 มิ.ย.) จำนวนสัญญา มูลค่า(ล้านบาท) นักลงทุน ซื้อ ขาย สุทธิ ซื้อ ขาย สุทธิ สถาบัน 6,272 7,677 -1,405 2,954.00 3,119.71 -165.71 ต่างชาติ 2,611 3,578 -967 1,336.90 2,331.71 -994.81 ในประเทศ 14,589 12,217 2,372 5,774.61 4,614.09 1,160.52 *ข้อมูลเบื้องต้น ณ เวลา 18.00 น. ดัชนี SET50 ปิดวันนี้ลบ 10.37 จุด หรือ 1.86% มาที่ 547.74--จบ-- (โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:49:54

ความคิดเห็นที่ 3 บาท/ดอลลาร์ภาคบ่ายอ่อนค่า, นักลงทุนกลับเข้าซื้อดอลล์-กังวลทิศทางศก.โลก กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ *บาท/ดอลลาร์ภาคบ่ายอ่อนค่า ตามแรงซื้อดอลลาร์ที่กลับเข้ามาในตลาด หลัง นักลงทุนกังวลต่อทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก *ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่าค่าเงินบาทขณะนี้ กลับเข้าสู่ ภาวะปกติ หลังจากที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่ มองว่าการเพิ่มความยืดหยุ่นค่าเงินหยวนของจีน จะส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาค ทั้งหมดแข็งค่าตามไปด้วย *สกุลเงินเอเชียแข็งค่าขึ้นในการซื้อขายช่วงแรกของวัน ก่อนอ่อนตัวลงมาจาก แรงซื้อคืนดอลลาร์ในช่วงสั้น รวมถึงความกังวลว่าธนาคารกลางของประเทศ ต่างๆ จะเข้ามาแทรกแซงการแข็งค่าของสกุลเงิน *สกุลเงินภูมิภาคได้รับแรงหนุนในช่วงต้น จากอ่อนตัวลงของดอลลาร์ หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปอีกระยะ แต่หลังจากนั้นก็มีแรงซื้อดอลลาร์กลับ หลังเทรดเดอร์ให้น้ำหนักต่อแถลงการณ์ ของเฟดที่มองว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะชะลอตัวลง *ความต้องการสินค้าจากสหรัฐที่อาจสะดุดลง จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของ ประเทศในเอเชียที่พึ่งพาการส่งออก และเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยง การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อย่างเช่น สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ *16.52 น. บาท/ดอลลาร์ อยู่ที่ 32.39/44 จาก 32.35/40 ช่วงเช้า ขณะที่ในตลาด offshore อยู่ที่ 32.41/44 จาก 32.36/41 ช่วงเช้า *เยน/ดอลลาร์ อยู่ที่ 89.58/59 จาก 89.93/95 ช่วงเช้า *ยูโร/ดอลลาร์ อยู่ที่ 1.2288/91 จาก 1.2335/36 ช่วงเช้า "comment ของเฟด ทำให้ภาพการฟื้นตัวของสหรัฐดูช้าลง เลยมีแรงขาย(บาท) ออกมา ยูโรจากที่ขึ้นไป ก็ไหลลงมาด้วย" ดีลเลอร์ กล่าว เขา กล่าวว่า นักลงทุนกลับมาให้น้ำหนักการปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มากขึ้น ทำให้มุมมองของเฟดที่ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะชะลอตัวลง เป็น ปัจจัยกดดันสกุลเงินภูมิภาคในวันนี้ ส่วนปัจจัยเรื่องค่าเงินหยวน ถือว่าเบาบางลงไปบ้างแล้ว แต่ยังคงต้องติดตามดู เช่นกัน โดยเฉพาะในการประชุมกลุ่ม จี 20 ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ว่าจะมีความชัดเจนเรื่อง ดังกล่าวมากขึ้นหรือไม่--จบ-- (โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย รายงานและเรียบเรียง-บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:50:09

ความคิดเห็นที่ 4 SET:หุ้นไทยปิดลบ 1.65% ดัชนีหลุด 800, ขายนำหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ ดัชนีหุ้นไทยปิดลบ 1.65% หลุดระดับ 800 หลังภาคบ่ายมีแรงขายออกมามาก ในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ นำโดยกลุ่มพลังงาน แบงก์ และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่มีแรงซื้อ กลุ่มธุรกิจการเกษตร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ระบุว่า นักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นออกมา หลังไม่ผ่าน แนวต้าน 810 และมีแรงขายมากขึ้นหลังหลุดระดับ 800 จุด ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากช่วงที่ ผ่านมาปรับขึ้นมาเร็วเกินไป และไม่มีปัจจัยบวกใหม่ช่วยหนุน ทั้งนี้มองตลาดในวันพรุ่งนี้ มีโอกาสอ่อนตัวลงได้อีก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดลบ 13.33 จุด มาที่ 793.19 จุด โดยระหว่างวันดัชนีปรับ ขึ้นไปสูงสุดที่ 808.97 และต่ำสุดที่ 793.19 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 30,735.27 ล้านบาท ขณะที่ SET50 ปิดลบ 10.37 จุด หรือ 1.86% มาที่ 547.74 จุด และ SET100 ปิด ลบ 22.35 จุด หรือ 1.84% มาที่ 1193.48 จุด ดัชนีกลุ่มแบงก์ ลบ 2.66% มูลค่าซื้อขาย 18.53%, พลังงาน ลบ 1.72% มูลค่าซื้อ ขาย 17.62%, อสังหาริมทรัพย์ ลบ 1.85% มูลค่าซื้อขาย 9.17%, ธุรกิจการเกษตร บวก 3.07% อาหาร ลบ 1.03%, เทคโนโลยี ลบ 1.08% และวัสดุก่อสร้าง ลบ 0.88% "เป็นการทดสอบ 810 จุด พอเข้าใกล้แล้วไม่ผ่านก็เลยไหลลงมา และหลุดต่ำกว่า ระดับ 800 ซึ่งเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา" นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าว เขา มองว่า ที่ระดับ 800 จุด เคยเป็นแนวต้านทางจิตวิทยา ซึ่งดัชนีขึ้นมายืนที่ เหนือระดับดังกล่าวเร็วเกินไป และดูเหมือนว่า นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับดัชนีที่ระดับ ดังกล่าวค่อนข้างมาก เห็นได้จากแรงขายที่มีออกมามากกว่าปกติ หลังดัชนีหลุดระดับ 800 ลงมา เขา กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่ตลาดปรับลงแรง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่ ที่จะหนุน ให้ตลาดยืนเหนือระดับ 800 จุดได้ ขณะที่เรื่องเงินหยวนของจีนนั้น แม้ในระยะกลางจะส่งผล ในด้านบวก แต่ในระยะสั้น จะเห็นว่าสหรัฐฯเอง ก็ยังมีความต้องการที่จะให้จีนยืดหยุ่น ค่าเงินหยวนมากกว่านี้ สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยพรุ่งนี้ หากยังไม่พิจารณาจากปัจจัยจากภายนอก เช่น ตลาดหุ้นต่างประเทศ มองว่าหุ้นไทยมีโอกาสอ่อนลงได้อีก โดยมีแนวรับที่ 790 และ 785 ส่วนแนวต้านที่ 800 หลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด PTT ลบ 4.00 บาท มาที่ 250.00 บาท CPF ลบ 0.30 บาท มาที่ 19.80 บาท STA บวก 5.25 บาท มาที่ 90.25 บาท BANPU ลบ 10.00 บาท มาที่ 624.00 บาท TCAP ลบ 1.00 บาท มาที่ 28.25 บาท--จบ-- (โดย กชกร บุญลาย รายงานและเรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:50:26

ความคิดเห็นที่ 5 UPDATE:CIG คาดปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิ,รายได้ 1.5 พันลบ. ดีมานด์แอร์หนุน (เพิ่มรายละเอียด) กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป (CIG) ซึ่งทำธุรกิจผลิตคอยล์เย็น,คอยล์ร้อน และคอยล์น้ำเย็น คาดปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่ขาดทุน และคาดรายได้ปีนี้ 1.5 พันล้านบาท จาก 921 ล้านบาทในปีก่อน เพราะความต้องการมีมาก "ปีนี้หวังว่าจะมีกำไร เนื่องจากความต้องการแอร์ในตลาดโลก โดยเฉพาะในจีน เติบโต อย่างมาก ทำให้การแข่งขันลดน้อยลง ส่งผลให้รายได้ของเราก็โตตามไปด้วยอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท" นายอารีย์ พุ่มเสนาะ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ CIG กล่าวกับผู้สื่อข่าว CIG ในปี 52 ขาดทุนสุทธิ 43.45 ล้านบาท นายอารีย์ กล่าวว่า ขณะนี้ความต้องการเครื่องปรับอาการใหม่ในจีน มีจำนวนมาก เพื่อไปทดแทนเครื่องปรับอากาศเก่า ซึ่งจีนมีนโยบายประหยัดพลังงานในการใช้เครื่องปรับ อากาศ โดยให้เงินอุดหนุน สำหรับผู้ที่จะเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศใหม่ นอกจากนี้ การแข่งขันก็ลดน้อยลง ทำให้การตัดราคาลดน้อยลงด้วย เพราะปีก่อนที่ ขาดทุนเนื่องจากการแข่งขันด้านราคา เพราะต้องการกระจายสินค้าออกจากสต็อก ทำให้อัตรากำไร ขั้นต้น(gross margin) ของบริษัทในปี 52 อยู่ที่ 10% แต่ปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 20% ด้าน Mr.Long Xiao bin ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ZHONGSHAN OMS INDUSTRIAL จำกัด หรือ OMS กล่าวว่า บริษัทมีความสนใจที่จะเข้ามาถือหุ้นใน CIG แต่ต้องขอศึกษา ความเป็นไปได้ก่อน ทางด้านกฎหมายทั้งในจีนและไทยว่า จะสามารถเข้ามาในช่องทางใดได้บ้าง และเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า จะเข้ามาถือหุ้นสัดส่วนเท่าไหร่ นายอารีย์ กล่าวอีกว่า OMS สามารถเข้ามาถือหุ้นได้ตามสัดส่วนที่กฎหมายไทย กำหนดไม่เกิน 49% แต่ยืนยันว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ CIG คงจะไม่มีการขายหุ้น โดยหุ้นในตลาด ก็มีเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว นอกจากนี้ เขาคาดว่า OMS จะให้ CIG เป็นผู้จำหน่ายลิฟท์ในเอเชีย ให้กับบริษัท ซึ่ง OMS เป็นผู้ผลิตลิฟท์รายใหญ่ในจีน นอกเหนือจากการผลิตคอยล์ OMS เป็นวิสาหกิจร่วมทุนระหว่างจีนกับต่างชาติ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง Zhongshan เป็นผู้ผลิตเครื่องจักรที่มีความแม่นยำระดับมืออาชีพ ออกแบบและผลิตอุปกรณ์อัตโนมัติ สำหรับเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนปรับอากาศ และกระบวนการในการตัดท่อ การงอ การสิ้นสุด การขึ้นรูป CIG ได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ OMS ในการพัฒนาโครงการคอยล์แอร์ชนิดใหม่ Microchannel Heat Exchanger Project และยังได้แต่งตั้งให้ CIG เป็น Exclusive Distributor เพื่อดูแลในตลาด อาเซียนทั้งหมด ยกเว้นจีน รวมทั้งตลาดยุโรป และตลาด ที่มีสายสัมพันธ์ รวมถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ราคาหุ้น CIG ช่วงบ่าย ลบ 5.70% มาที่ 1.49 บาท--จบ-- (โดย พิสิทธิ์ ช้างพลายงาม รายงาน;วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง --วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:50:43

ความคิดเห็นที่ 6 STOCK WATCH:โบรกฯมอง STA พุ่งแรงเกินเป้าหมาย,ราคายางมีแนวโน้มอ่อนตัวใน H2 โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ โบรกเกอร์ มองราคาหุ้นบมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ผู้ผลิตและส่งออก ผลิตภัณฑ์ยางพารารายใหญ่ในเอเซีย ที่พุ่งขึ้นยืนระดับกว่า 91 บาท/หุ้นในวันนี้ นับว่า เกินกว่าราคาเป้าหมาย โดยส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นตามราคายางที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งจะช่วยหนุนผลกำไรสุทธิปีนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่โบรกเกอร์เห็นว่า ราคาหุ้น STA ที่พุ่งขึ้นกว่า 300% นับตั้งแต่ต้นปีนั้น ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ขณะที่ราคายางมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลง ได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นผลจากฤดูกาล "ณ แถวๆนี้ราคาก็ขึ้นมาค่อนข้างเยอะ คนอาจจะเทรดตาม sentiment อย่างเดียว เพราะมี story หลายๆเรื่อง แต่คนที่เทรดต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะราคาหุ้นขึ้นมา เยอะมาก" นางสาวนารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าว ราคาหุ้น STA ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุด ใหม่ที่ 94.75 บาทในวันนี้ และตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้น STA ปรับตัวขึ้นราว 306% นับว่าดี ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นราว 10% ขณะที่โบรกเกอร์ 4 รายให้ราคาเป้าหมาย STA ในช่วง 78-91 บาท นางสาวนารี กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้น STA ปรับตัวขึ้นช่วงนี้ เป็นไปตาม ผลประกอบการที่คาดว่าจะดีขึ้นในปีนี้ จากราคายางที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการจะแตกพาร์หุ้น เหลือหุ้นละ 1 บาทจากเดิม 5 บาท และการเพิ่มทุนอีก 280 ล้านหุ้น ที่พาร์หุ้นละ 1 บาท เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ ในลักษณะ Dual Listing โดยคาดว่าปีนี้ STA จะมีกำไรสุทธิ 2.87 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีที่แล้ว และเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเหตุผลหลักมาจากราคายางและกำลังการผลิตสูงขึ้น ทั้งนี้ ราคายางแผ่นรมควัน ชั้น 3 ปรับตัวขึ้นกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปี โดยพุ่ง แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.10 ดอลลาร์/กิโลกรัมในช่วงเดือนเม.ย. ก่อนจะ ปรับทรงตัวในระดับสูงที่ 3.65 ดอลลาร์/กิโลกรัมในปัจจุบัน เป็นผลจากความต้องการที่ยังมีมากในจีน อีกทั้งหลายประเทศออกมาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ในหลายอุตสาหกรรมมีการเติบโต ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วย ขณะที่ผู้ผลิตยางในโลกมีจำกัดไม่กี่ประเทศ เช่น ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ขณะที่บล.พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ โดยเห็นว่า STA ยังมีโอกาสในการ เติบโตสูง เพราะภาวะปริมาณยางที่ขยายตัวไม่ทันความต้องการใช้ โดยเฉพาะอุปสงค์ ของจีน ที่เติบโตตามการผลิตรถยนต์และการขยายตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจถุงมือแพทย์ ที่มีการเติบโตสูงเพราะประชาชนให้ความ สำคัญกับสุขอนามัยเพิ่มขึ้นด้วย ด้านนางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ คาดว่าการปรับขึ้นของราคาหุ้น STA อย่างรวดเร็วในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทจะจัดประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 มิ.ย. เพื่อพิจารณาวาระ การแตกพาร์,การเพิ่มทุน และการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์ แต่การที่ราคาหุ้นปรับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เข้าใกล้ระดับราคาเป้าหมายที่ หุ้นละ 91 บาท ทำให้ควรจะระมัดระวังการลงทุน แม้ว่าระดับราคาเป้าหมายดังกล่าว จะมีค่าพี/อี ที่ 9 เท่า ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ที่มีระดับพี/อี 10-16 เท่า "มี under value บ้างแต่ต้องระมัดระวัง เพราะยางยังเป็นสินค้า commodity ยังไม่ได้สลัดภาพว่าจากนี้ไปจะดีอย่างเดียวไม่ผันผวนแล้ว" นางวชิราลักษณ์ กล่าว **H2 ราคายางอาจอ่อนตัว นางสาวนารี คาดว่าราคายางพาราในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มีแนวโน้มที่จะ อ่อนตัวลง ซึ่งจะกดดันต่อผลประกอบการของ STA ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ด้วย "ราคายางพาราที่อ่อนตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากผลผลิตที่ส่วนใหญ่จะออกมา ในช่วงครึ่งปีหลัง แต่อาจจะมีบางคนกังวลเรื่องภัยแล้งของไทยภายในปีนี้อาจทำให้ผลผลิต อาจจะน้อยกว่าที่เคยเป็น" นางสาวนารี กล่าว ด้านนางสาววชิราลักษณ์ เห็นว่าอุตสาหกรรมยางพารา ได้เปลี่ยนมาอยู่ใน ทิศทางที่ดีขึ้นสำหรับผู้ประกอบการมาระยะหนึ่งแล้ว หลังจากที่ความต้องการใช้เพิ่มขึ้น มากกว่าปริมาณที่ผลิตได้ ทำให้ผู้ขายมีอำนาจต่อรองสูงขึ้น อย่างไรก็ตามการที่ยางพารา ยังเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นเดียวกับราคา น้ำมัน ก็อาจจะมีความผันผวนในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันได้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาราคา ยางพาราจะเป็นขาขึ้น ไม่ได้ปรับตัวขึ้นลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ตาม ความเห็นดังกล่าว สอดคล้องกับความเห็นของนายกิติชัย สินเจริญกุล กรรมการ STA ที่เคยกล่าวกับ"รอยเตอร์"เมื่อต้นเดือนมิ.ย. โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังราคายาง อาจจะอ่อนลงมาบ้าง เพราะความกังวลในปัญหาวิกฤติการเงินของประเทศในยุโรป อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคายางในครึ่งปีหลังคงจะลงไม่มาก และก็ยังอยู่ใน ระดับสูง ในช่วงประมาณ 2.6-3 พันดอลลาร์/ตัน --จบ-- (โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์ เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:51:09

ความคิดเห็นที่ 7 บล.ธนชาต มองตลาดหุ้น H2/53 ทิศทางดี เล็งนำบจ.ไปโรดโชว์ตปท.ในเดือนก.ย. กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บล.ธนชาต มองภาวะตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เพราะภาวะเศรษฐกิจเริ่ม ฟื้นตัว และจะมีเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น เล็งนำบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่มีผลประกอบการดี ไปแนะนำข้อมูล(โรดโชว์)ในต่างประเทศ ภายในเดือนก.ย.นี้ นางสาวสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ สายวาณิชธนกิจ บล.ธนชาต กล่าวว่า มั่นใจว่า ในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้น เพราะบจ.ต่างๆ คงจะได้รับประโยชน์ จากการที่เศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยสัญญาณที่ชี้ให้เห็นคือ ราคาน้ำมันที่เริ่มปรับเพิ่มขึ้น ตามความต้องการผลิต และขนส่งในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงบริษัทยังประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะยังไม่ปรับดอกเบี้ยขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นปริมาณเงินที่มีอยู่ค่อนข้างมากในระบบ ก็จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จึงน่าจะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น เขากล่าวอีกว่า ในเดือน ก.ย.นี้ บริษัทเตรียมจะเดินทางไปโรดโชว์แก่นักลงทุน สถาบันต่างชาติ ในประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง โดยจะนำบจ.ที่มีผลประกอบการน่าสนใจ เดินทางไปด้วย ซึ่งยังไม่ได้สรุปอย่างชัดเจนว่าจะมีบจ.ใดบ้าง ดัชนีตลาดหุ้นบ่ายวันนี้ ลบ 4.62 จุด หรือ 0.57% มาที่ 801.90--จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:51:20

ความคิดเห็นที่ 8 TMB:ธ.ทหารไทยคาด ภายในปีนี้มีความชัดเจน กรณีคลังจะขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมด กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ ธ.ทหารไทย(TMB) คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้ จะมีความชัดเจน เกี่ยวกับเรื่องที่ กระทรวงการคลัง จะขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ใน TMB ซึ่งขณะนี้ยังคงรอคำตอบจาก กลุ่มไอเอ็นจีอยู่ นางเสาวนีย์ กมลบุตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ TMB กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการไปถึงไอเอ็นจี เพื่อ แจ้งว่า คลังต้องการขายหุ้น TMB ในส่วนที่คลังถือหุ้นอยู่ทั้งหมด "ขณะนี้แบงก์ทหารไทยมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง การบริหารมีกำไร จึงไม่ได้รีบ ที่จะขาย แต่ได้มีการยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการไปยังพาร์ทเนอร์ คือไอเอ็นจี ว่าคลัง ต้องการขาย ซึ่งคลังก็ต้องการขายทั้งหมดและยังไม่ได้มีการคุยกับรายอื่น และยังไม่ได้รับ คำตอบ คาดว่าภายในปีนี้น่า จะมีความชัดเจน" นางเสาวนีย์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว เมื่อเม.ย.ที่ผ่านมา นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่า หาก กระทรวงการคลัง จะขายหุ้น TMB ออกไป ก็จะให้สิทธิกับกลุ่มไอเอ็นจี เป็นผู้เจรจาซื้อได้ ก่อน ตามข้อผูกพันที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ ในขณะนี้ กลุ่มไอเอ็นจี จากเนเธอร์แลนด์ ถือหุ้น TMB ราว 30% ซึ่งรวม NVDR ส่วนกระทรวงการคลัง ถือสัดส่วน 26.1% ซึ่งรวมถึงหุ้นบุริมสิทธิด้วย TMB เป็นธนาคารพาณิชย์ใหญ่อันดับ 6 ของไทย หลังเมื่อปี 50 TMB ประสบความสำเร็จ ในการเพิ่มทุน 3.76 หมื่นล้านบาท ด้วยการสนับสนุนจากทั้งกระทรวงการคลัง และไอเอ็นจี ซึ่งเข้ามาเป็นพันธมิตรรายใหม่ ในวันนี้ TMB ยังได้มีการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาวาระต่างๆ รวมถึงแผน การล้างขาดทุนสะสมด้วย นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TMB กล่าวว่า ที่ประชุม ผู้ถือหุ้นวันนี้ อนุมัติให้ลดราคาพาร์ เพื่อล้างขาดทุนสะสม ซึ่งจะทำให้ในไตรมาส 2/53 นี้ ธนาคารจะไม่มีขาดทุนสะสมเหลืออยู่ ส่วนจะมีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่นั้น เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการธนาคาร และต้องส่งเรื่องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาอีกครั้ง เขา กล่าวว่า ธนาคารยังเดินหน้า เป็นผู้นำด้านเงินฝาก ด้วยเป้าหมายที่จะมี ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 14% ภายใน 5 ปี จากปัจจุบันที่ประมาณ 6% ราคาหุ้น TMB บ่ายนี้ บวก 0.01 บาท อยู่ที่ 1.43 บาท--จบ-- (โดย มนันพัทธ์ ธนนันท์พร รายงาน;กชกร บุญลาย เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:51:31

ความคิดเห็นที่ 9 บลจ.ไทยพาณิชย์ ออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 3, 6, 12 เดือน รวม 9 พันลบ. กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บลจ.ไทยพาณิชย์ ออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาล 3 กองทุน มูลค่ารวม 9 พันล้านบาท คาดอัตราผลตอบแทนประมาณ 1.00-1.25% ต่อปี โดยจะ เสนอขายพร้อมกัน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิ.ย. นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณชิย์ กล่าวในเอกสารเผยแพร่ว่า กองทุนที่จะเสนอขายครั้งนี้ ได้แก่ กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 3M37 อายุประมาณ 3 เดือน มูลค่า 4 พันล้านบาท คาดผลตอบแทนประมาณ 1.00% ต่อปี กองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 6M64 อายุประมาณ 6 เดือน มูลค่า 4 พันล้านบาท คาดอัตราผลตอบแทน 1.10% ต่อปี และกองทุนเปิด ไทยพาณิชย์พันธบัตรรัฐบาล 12M35 อายุประมาณ 12 เดือน มูลค่า 1 พันล้านบาท คาดอัตราผลตอบแทน 1.25% ต่อปี--จบ-- (โดย สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:51:54

ความคิดเห็นที่ 10 TCAP:ธ.ธนชาต คาดยื่นแผนควบรวมธ.นครหลวงไทย ให้ธปท.พิจารณาอนุมัติภายในปีนี้ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ ผู้บริหารธ.ธนชาต คาดจะยื่นแผนการควบรวมกิจการกับธ.นครหลวงไทย(SCIB) ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) พิจารณาและอนุมัติได้ภายในสิ้นปีนี้ "คิดว่าเรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับแบงก์ชาติ รวมถึงการอนุมัติจะพยายามทำให้จบ ภายในปีนี้ แต่กระบวนการควบรวมทั้งหมดคงจะไม่เกินปีหน้า" นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธ.ธนชาต กล่าวกับผู้สื่อข่าว เขา กล่าวว่า หลังการควบรวมกิจการกับ SCIB แล้ว จะทำให้ธ.ธนชาต เป็น ธนาคารที่ใหญ่อันดับ 5 ในไทย ด้วยทรัพย์สินรวมกันราว 8 แสนล้านบาท โดยพอร์ตสินเชื่อ จะมาจากสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้านและบัตรเครดิต 50% ที่เหลือจะมาจากสินเชื่อธุรกิจ นายสมเจตน์ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่เดือนมิ.ย.53 เป็นต้นไป ธ.ธนชาตจะรับรู้ รายได้และผลการดำเนินงานของ SCIB เข้ามาเกือบ 100% ธ.ธนชาต ในกลุ่ม บมจ.ทุนธนชาต(TCAP) ได้เข้าซื้อหุ้น 47.58% ของ SCIB จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดย ล่าสุดหลังทำคำเสนอซื้อ(เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) แล้ว ทำให้ธ.ธนชาต ถือหุ้นใน SCIB เพิ่มขึ้นเป็น 99.24% ขณะที่เมื่อสองสัปดาห์ก่อน คณะกรรมการ ธ.ธนชาต มีมติให้เพิกถอนหุ้น SCIB ออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) โดยธ.ธนชาตจะเป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้น SCIB เป็นการทั่วไป ในราคาหุ้นละ 32.50 บาท การดำเนินการดังกล่าวจะทำหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ SCIB ได้อนุมัติ ให้ธนาคารเพิกถอนหลักทรัพย์ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลท. และตลท.ได้ อนุมัติคำขอเพิกถอนหุ้นสามัญดังกล่าว ราคาหุ้น TCAP เมื่อพักเที่ยง ลบ 3.42% มาที่ 28.25 บาท ส่วนหุ้น SCIB ไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ 31.75 บาท--จบ-- (โดย ศรัญญา สุขสมกิจ รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:52:11

ความคิดเห็นที่ 11 UPDATE/BOT:ธปท.มองแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นปี 54, บาทขณะนี้กลับสู่ภาวะปกติ (เพิ่มรายละเอียด) กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มองแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในปี 54 จะ เพิ่มมากขึ้น โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันจากราคาน้ำมัน รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ขณะที่มองว่า เงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ จะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่วางไว้ โดยการ ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังของไทยช่วงจากนี้ น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น "คิดว่าแรงกดดัน(ต่อเงินเฟ้อ) จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ตามภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น และจากราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนเงินเฟ้อปีนี้ มองว่ายังอยู่ในระดับต่ำ" นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. สาย นโยบายการเงิน กล่าวกับผู้สื่อข่าว ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(CPI) ในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 3.6% โดยในเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 53 จะเพิ่มขึ้นราว 3.3% หรือในช่วง 3.0-3.5% นายไพบูลย์ กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลจะปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ คงจะไม่มี ผลต่อเงินเฟ้อมากนัก เพราะจำนวนเงินดังกล่าวค่อนข้างน้อย คือประมาณ 3 หมื่น ล้านบาท และเมื่อเทียบสัดส่วนต่อจีดีพีแล้ว คิดเป็นประมาณ 0.3% เท่านั้น อีกทั้ง เม็ดเงินบางส่วนที่จะนำมาใช้ในการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ก็รวม อยู่ในงบประมาณปี 54 แล้ว ไม่ได้เป็นเงินที่อัดฉีดเข้ามาใหม่ แต่อาจมีผลต่อจิตวิทยา บ้าง เช่น การขอปรับขึ้นค่าจ้าง หรือการปรับขึ้นราคาสินค้า แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ เห็นว่า มีการปรับขึ้นแต่อย่างใด เมื่อวันอังคาร มีหนังสือพิมพ์บางฉบับ รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากกระทรวง การคลัง ว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) อยู่ระหว่างพิจารณา ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการในอัตรา 5% ให้ข้าราชการทั้งประเทศ 2 ล้านคน การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เป็นนโยบายของรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เคยให้นโยบายไว้เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นายกรัฐมนตรีคาดว่าจะใช้งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ในการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยจะใช้งบประมาณปี 54 ด้านนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวในวันนี้ว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ในปีนี้ จะยังอยู่ในกรอบเป้าหมายของ ธปท. ที่ 0.5-3.0% แต่ในระยะต่อไป คาดว่ามี โอกาสที่เงินเฟ้อจะสูงขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง "(เงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้) ก็ยังอยู่ในกรอบของเรา แต่ถ้าเป็นภาพระยะต่อไป เงินเฟ้ออาจจะปรับสูงขึ้น" ผู้ว่าการธปท.กล่าว ส่วนปัจจัยที่รัฐบาลเตรียมปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 5% ในปีงบประมาณหน้า เขา มองว่า คงไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะอยู่ในงบประมาณเดิม และคิดเป็นสัดส่วน ไม่มากเมื่อเทียบกับจีดีพี ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาล คงไม่ส่งผลให้ ธปท.ต้องปรับคาดการณ์ เงินเฟ้อพื้นฐานในปีนี้ ที่มองไว้ที่ 1-2% **บาทเป็นปกติ นางธาริษา กล่าวอีกว่า ค่าเงินบาทในขณะนี้ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงต้นสัปดาห์นี้ "(เงินบาท) กลับมาสู่ภาวะที่เลิก overshoot กลับเข้าสู่สถานการณ์ตลาดที่ ปกติมากขึ้น" เขา กล่าว บาท/ดอลลาร์ล่าสุดอยู่ที่ 32.38/42 ทรงตัวจากช่วงเช้า โดยเมื่อวันจันทร์ บาทแข็งแตะ 32.15 ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือน หลังเมื่อวันเสาร์ จีน ประกาศว่าจะทำให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า จีน พร้อมที่จะยกเลิกระบบผูกติดค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ ที่ใช้มานาน 23 เดือน การประกาศดังกล่าวของจีน ส่งผลให้ค่าเงินหยวน รวมถึงสกุลเงินในภูมิภาค แข็งค่าขึ้นทันที นางธาริษา มองว่า ค่าเงินหยวนที่เปลี่ยนแปลง คงจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องตั้งแต่ปี 48 และได้หยุดไปเมื่อปี 51 ในช่วงที่มีวิกฤติ เศรษฐกิจโลก แต่ขณะนี้เศรษฐกิจจีนมีความแข็งแกร่งขึ้นแล้ว และสามารถรองรับ การปรับเปลี่ยนได้ดีขึ้น อีกทั้งคงมีแรงกดดันจากต่างประเทศ จึงทำให้กลับมาดำเนิน นโยบายต่อเนื่อง ทั้งนี้ มองว่า การดำเนินการดังกล่าวของจีนจะส่งผลให้ค่าเงินภูมิภาคทั้งหมด แข็งค่าขึ้นด้วย ส่วนในแง่การส่งออกของไทย เชื่อว่าจะได้ประโยชน์ เพราะจีนเป็นตลาด ส่งออกขนาดใหญ่ของไทย โดยขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 11% เขา กล่าวอีกว่า การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังของไทย ในช่วง จากนี้ไป น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น หลังเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง อาจชะลอลงบ้าง จากภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองในช่วงที่ผ่านมา และ ในแง่การลงทุน ก็อาจจะชะลอไปบ้างเช่นกัน แต่เนื่องจากภาคการส่งออกที่ยังดีอยู่ น่าจะทำให้มีการลงทุนเพื่อรองรับการ ส่งออกในระยะต่อไปได้ ทำให้ขณะนี้ธปท.ยังคงเป้าหมายจีดีพีปี 53 ไว้ที่ 4.3-5.8% --จบ-- (โดย บุญทิวา วิชกูล รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:52:25

ความคิดเห็นที่ 12 UPDATE:"ออฟฟิศเมท"กำหนดช่วงราคาหุ้น IPO ที่ 4.80-5.20 บาท/หุ้น,สรุปต้นก.ค. (เพิ่มรายละเอียด) กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บมจ.ออฟฟิศเมท ผู้จำหน่ายเครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน ผ่านระบบแคตตาล็อก และอินเทอร์เน็ต กำหนดช่วงราคาหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ระหว่าง 4.80-5.20 บาท/หุ้น โดยจะสรุปราคาที่แน่นอนในต้นเดือน ก.ค. "ช่วงราคาอยู่ที่ 4.80 ถึง 5.20 บาท ก็จะมีการสรุปต้นเดือนหน้า ส่วนวันเทรด ก็ราวๆ 27 หรือ 28 กรกฏาคม" นางสาวสุวภา เจริญยิ่ง กรรมการผู้จัดการ สายวาณิชธนกิจ บล.ธนชาต ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวกับผู้สื่อข่าว ออฟฟิศเมท มีแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 20 ล้านหุ้น โดยจะเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ(mai) ในแบบไฟลิ่งได้ระบุว่าเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไป ชำระคืนเงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการ นางสาวสุวภา กล่าวว่า จะแบ่งสัดส่วนเป็น 50% ขายให้กับผู้มีอุปการคุณ และอีก 50% ขายให้กับนักลงทุนรายย่อย โดยจะมีบริษัทหลักทรัพย์เป็นตัวแทนในการจัดจำหน่าย 3 รายได้แก่ บล.ธนชาต, บล.นครหลวงไทย และ บล.เอเซีย พลัส(ASP) เขาคาดว่า ในต้นเดือนก.ค. จะนำเสนอข้อมูล(โรดโชว์) การเสนอขายหุ้น แก่นักลงทุน ซึ่งในปีนี้ออฟฟิศเมท คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ราว 1 พันล้านบาท นางสาวสุวภา กล่าวอีกว่า ปีนี้ บล.ธนชาต ยังจะนำบริษัทลูกค้า เข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์อีก 1 บริษัท ซึ่งอยู่ในกลุ่มสื่อสาร โดยมีมาร์เก็ตแคปราว 2 พันล้านบาท จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นไฟลิ่งกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และคาดว่าจะสามารถ เข้าตลาดได้ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ บล.ธนชาต ยังได้รับเป็นที่ปรึกษาการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า ราว 1.5-2.0 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ราว 7-8% รวมถึงเป็นที่ปรึกษาในการขายหุ้นกู้เอกชนอีก 2 ราย มีมูลค่ารวมกัน 7 พันล้านบาท--จบ-- (โดย ศรัญญา สุขสมกิจ รายงาน;วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:52:38

ความคิดเห็นที่ 13 HOT:NWR บวก 2.56% โบรกฯแนะ"ซื้อเก็งกำไร"ลุ้นได้งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ(NWR) บวก 2.56% โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อเก็งกำไร" มองมีลุ้น ได้งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สัญญา 1 และ 2 เช้านี้ หุ้น NWR บวก 0.01 บาท มาที่ 0.40 บาท ระหว่างวันราคาได้ปรับขึ้นมา สูงสุดที่ 0.41 บาท ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ดัชนีบวก 0.16% บล.ฟาร์อีสท์ แนะนำ"ซื้อเก็งกำไร" มองว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้การรถไฟ แห่งประเทศ (รฟท.) ปรับปรุงเส้นทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือวงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาท นั้น NWR สนใจร่วมประมูล เนื่องจากเคยก่อสร้างรางรถไฟมาก่อน นอกจากนี้ ยังลุ้นได้งานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสัญญา 1 และ 2 บริษัทมั่นใจจะชนะ การประมูล พร้อมมีแผนล้างขาดทุนสะสมในเดือนหน้า ซึ่งปัจจัยทางเทคนิค มีแนวต้านแรกที่ 0.42 บาท และแนวต้านถัดไปที่ 0.46 บาท--จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:53:32

ความคิดเห็นที่ 14 HOT:GFPT พุ่ง 5% โบรกฯแนะ"ซื้อ"มองอากาศร้อน-น้ำมันรั่ว หนุนราคาเนื้อสัตว์ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.จีเอฟพีที (GFPT) บวก 5.08% โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อ"มองปัญหาอากาศร้อน และปัญหาน้ำมันรั่วในสหรัฐ หนุนราคาเนื้อสัตว์ให้สูงขึ้น และคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 โตกว่า 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ เช้านี้ราคาหุ้น GFPT บวก 0.40 บาท มาที่ 9.25 บาท ระหว่างวันราคาได้ปรับ ขึ้นมาสูงสุดที่ 9.50 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุดใหม่ตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ขณะที่ ภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ดัชนีบวก 0.06% บล.ยูไนเต็ด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ให้ราคาเป้าหมายหุ้น GFPT ที่ 9.60 บาท โดยมองว่า ผลกระทบจากสภาวะอากาศร้อน และปัญหาแท่นขุดเจาะน้ำมันรั่วในสหรัฐ หนุนราคาขายเนื้อสัตว์ทรงตัวสูงต่อเนื่อง ส่วนการเปิดการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) กระทบค่อนข้างน้อย ภาคเอกชนมองทางบวกมากกว่าลบ ด้านบล.พัฒนสิน ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น Bullish สำหรับกลุ่มเกษตรและอาหาร โดยมี หุ้น GFPT เป็นหนึ่งใน TOP PICK หลังมองบริษัท สามารถส่งออกไก่ไปญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งการมีบริษัทนิชิเร และแมคโดนัล เป็นพันธมิตร ช่วยเจาะตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น บล.เอเซีย พลัส แนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมายที่ 11.66 บาท โดยคาดการณ์ว่ากำไร สุทธิไตรมาส 2/53 จะอยู่ที่ 318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% จากไตรมาสก่อน เพราะเริ่ม เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ--จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:53:50

ความคิดเห็นที่ 15 HOT:RCL บวก 1.5% ขณะที่หุ้นเพิ่มทุน 129 ล้านหุ้นเข้าซื้อขายวันแรก กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.อาร์ ซี แอล(RCL) ปรับขึ้น 1.5% ขณะที่หุ้นเพิ่มทุน 129 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯวันนี้เป็นวันแรก ราคาหุ้น RCL บวก 0.20 บาท มาที่ 13.50 บาท หลังปรับขึ้นสูงสุดที่ 13.60 บาท ส่วนดัชนีหุ้นไทย ลบ 0.2% ตลาดหลักทรัพย์ฯ อนุมัติให้หุ้นเพิ่มทุนของ RCL จำนวน 129.69 ล้านหุ้น เข้าซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก โดยหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตราส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 12 บาท--จบ-- (โดย กชกร บุญลาย รายงานและเรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:54:15

ความคิดเห็นที่ 16 HOT:SEAFCO นิวไฮกว่า 2 เดือน โบรกฯมองปัจจัยบวกจากโครงการรถไฟฟ้าต่างๆคืบหน้า กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.ซีฟโก้(SEAFCO) ผู้นำในธุรกิจวางรากฐานโครงการ ราคาสูงสุดกว่า 2 เดือน โบรกเกอร์มองว่า ความคืบหน้าของโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ยังส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมา ขณะที่ล่าสุดบริษัทแจ้งได้งานโครงการก่อสร้างใหม่อีก 11 โครงการ เช้านี้ ราคาหุ้น SEAFCO บวก 0.08 บาท หรือ 1.81% มาที่ 4.50 บาท ระหว่างวัน ราคาได้ปรับขึ้นมาที่ 4.60 บาท ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ 4.62 บาท เมื่อวันที่ 2 เม.ย.53 ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ดัชนีลบ 0.23% "กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ยังคงได้ประเด็นบวก จากการเปิดซองประมูลสัญญาก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสัญญาที่ 1,2 และ 5 ในช่วงปลายเดือนนี้" บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุบทวิเคราะห์ ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ความคืบหน้าของการลงทุนในสาธาณูปโภค โดยเฉพาะ รถไฟฟ้าสายต่างๆ ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อผู้รับเหมาอื่นๆที่ทำงานฐานราก (คิดเป็นประมาณ 10% ของการก่อสร้างทั้งระบบ) เช่น SEAFCO ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ประกอบการ รายใหญ่ มีส่วนแบ่งตลาด 40% ของมูลค่าก่อสร้างรากฐานรวม แนะซื้อราคาเหมาะสม 5 บาท SEAFCO แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เช้านี้ว่า บริษัทได้งานก่อสร้าง ประกอบด้วยโครงการ อาคารชุด โครงการ แกรนด์ พี เอส เอ ถนนสุขุมวิท 23 ,โครงการก่อสร้างเสาเข็มจุดทดสอบ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 1 ส่วนที่ 1 สายบางใหญ่-บางซื่อ โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงาน 12 ชั้น ถนนรัชดาภิเษก ซอย 12,โครงการ ก่อสร้าง สะพานคู่ข้ามแม่น้ำตาปี จ.สุราษฎร์ธานี ,โครงการก่อสร้างทาวงลอดถนนจรัญสนิทวงศ์, โครงการ ก่อสร้างเสาเข็มใช้งานจริง โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 1 สายบางใหญ่-บางซื่อ โครงการก่อสร้างเสาเข็มทดสอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 1 ส่วนที่ 2 สายบางใหญ่-บางซื่อ,โครงการก่อสร้างเสาเข็มใช้งานจริงโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 1 ส่วนที่ 2 สายบางใหญ่-บางซื่อ โครงการก่อสร้างสะพานกลับรถถนนงามวงศ์วาน จ.นนทบุรี,โครงการก่อสร้าง สะพานข้ามทางรถไฟที่ทางหลวงหมายเลข 3309 และ 308 อ.บางปะอิน จ.พระนครศรี อยุธยา และโครงการก่อสร้าง สกาย วอล์ค ที่ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา--จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:54:26

ความคิดเห็นที่ 17 HOT:DTAC ปรับขึ้น โบรกเกอร์ชี้ทางเทคนิค เริ่มพบสัญญาณบวก กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น(DTAC) ปรับขึ้น 1.38% ขณะที่โบรกเกอร์ ชี้ทางเทคนิคเริ่มพบสัญญาณบวก คาดขึ้นทดสอบแนวต้าน 37.50-38.50 บาท ราคาหุ้น DTAC บวก 0.25 บาท มาที่ 36.50 บาท โดยขึ้นแตะสูงสุดที่ 36.75 บาท ส่วนดัชนีหุ้นไทย ลบ 0.2% บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะ"ซื้อเก็งกำไร"หุ้น DTAC โดยมีแนวรับ ที่ 36-35.50 บาท และมีแนวต้านที่ 37.50-38.50 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 35.25 บาท โดยหุ้น DTAC นั้นหลังจาก break กรอบ Sideway down และดีดต่อเนื่องแรง จนดึงให้เกิดระยะการพักตัว Sideway เมื่อวานเริ่มพบสัญญาณบวกจากการที่ราคาปิดใกล้เส้น ค่าเฉลี่ย 5 วันที่ 36 และวอลุ่มหดต่อเนื่อง ขณะที่ MACD ยังยืนบวก คาดว่าจะขึ้นทดสอบ แนวต้าน 37.50-38.50 ด้านบล.ยูไนเต็ด ระบุว่า การเร่งเดินหน้าออกใบอนุญาต 3G ของกทช.ชุดใหม่ มองเป็นปัจจัยบวกต่ออุตสาหกรรมในระยะยาว แนะนำ"ซื้อเมื่ออ่อนตัว" DTAC เป้าหมาย 40.80 บาท--จบ-- (โดย กชกร บุญลาย เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:54:44

ความคิดเห็นที่ 18 *BOT:อัตราถัวเฉลี่ยดอลลาร์/บาทระหว่างธนาคารของธปท.วันนี้อยู่ที่ 32.371 บาท กรุงเทพ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยดอลลาร์/บาทระหว่างธนาคารของธนาคาร แห่งประเทศไทยวันนี้อยู่ที่ 32.371 บาท ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยในช่วง 5 วันที่ผ่านมามีดังนี้: วันที่ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ย (บาท) 23 มิ.ย. 32.326 22 มิ.ย. 32.302 21 มิ.ย. 32.407 18 มิ.ย. 32.426 17 มิ.ย. 32.406 --จบ-- (รอยเตอร์ โดย กัลยาณี ชีวะพานิช) ((kallayanee.cheevapanich@reuters.com; โทร จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:54:55

ความคิดเห็นที่ 19 HOT:THCOM ร่วงกว่า 9% โบรกฯชี้นักลงทุนผิดหวัง รัฐอาจไม่ซื้อดาวเทียมไทยคม กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.ไทยคม(THCOM) ร่วงกว่า 9% ขณะที่โบรกเกอร์มองว่า นักลงทุนที่เล่น เก็งกำไรผิดหวัง เนื่องจากรัฐบาลอาจยกเลิกแผนการซื้อดาวเทียมไทยคม ราคาหุ้น THCOM ลบ 0.60 บาท มาที่ 5.75 บาท หลังปรับลงต่ำสุดที่ 5.65 บาท ส่วนดัชนีหุ้นไทย บวก 0.22% เช้านี้ หนังสือพิมพ์หลายฉบับ รายงานว่า นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร(ไอซีที) ระบุภายหลังการเข้ารายงานความคืบหน้าในการเจรจา เพื่อซื้อคืน ดาวเทียมไทยคมต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ได้เสนอให้มีการยิงดาวเทียม ดวงใหม่ขึ้นไปแทนการซื้อคืนดาวเทียมไทยคม เนื่องจากเป็นวิธีการที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ขณะที่ได้อายุการใช้งานของดาวเทียมนานขึ้น และประเทศได้รับประโยชน์สูงสุด แต่ก็ต้องหารือ กับคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือกทช.และไทยคมด้วย ด้านบล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า การส่งดาวเทียมดวงใหม่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจาก หากไม่มีลูกค้าที่เพียงพอ มีการใช้กำลังการให้บริการ (Utilization rate) ต่ำ จะไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินงาน ดังนั้นการที่รัฐจะส่งดาวเทียมใหม่ หรือให้สิทธิ์เอกชนอื่น มาแข่งในทันทีทันใด เชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ง่ายนัก "ข่าวที่ออกมาในลักษณะไม่ซื้อคืนไทยคม อาจทำให้นักเก็งกำไรผิดหวัง และหุ้นอาจ ปรับตัวลดลง ดังนั้นจึงยังคงคำแนะนำให้ระมัดระวังในการเข้าเก็งกำไร THCOM" ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์--จบ-- (โดย กชกร บุญลาย เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:55:08

ความคิดเห็นที่ 20 HOT:SSI สูงสุดรอบกว่า 1 เดือน โบรกฯมองจีนยกเลิกคืนภาษีผู้ส่งออกเหล็กหนุน กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) ปรับขึ้นกว่า 3% สูงสุดรอบกว่า 1 เดือน ขณะที่โบรกเกอร์มองกรณีที่รัฐบาลจีน ยกเลิกให้เงินชดเชยแก่ผู้ส่งออกเหล็ก ในประเทศ คาดจะทำให้สินค้าจากจีนไหลออกมาจากตลาดน้อยลง เช้านี้หุ้น SSI ปรับขึ้น 0.05 บาท มาที่ 1.59 บาท ระหว่างชั่วโมงการ ซื้อขายปรับขึ้นแตะ 1.62 บาท สูงสุดนับจากระดับ 1.65 บาท เมื่อวันที่ 13 พ.ค. ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยเช้านี้ บวก 0.12% สถาบันวิจัยนครหลวงไทย มองว่าประเด็นที่รัฐบาลยกเลิกให้เงินชดเชย แก่ผู้ส่งออกเหล็กในประเทศ คาดจะทำให้สินค้าจากจีน ไหลออกมาจากตลาดน้อยลง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังของจีน แถลงผ่านเว็บไซท์ www.mof.gov.cn ว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.นี้เป็นต้นไป อุตสาหกรรมเหล็กกล้าจะไม่ได้รับการคืนเงิน ภาษี 9% จากการส่งออกเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน, เหล็กรีดเย็นชนิดม้วน,เหล็กชุบสังกะสี สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ยังมองว่าความต้องการใช้เหล็กโลกปีนี้ คาด จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10.7% ส่งผลบวกให้ความต้องการใช้เหล็กแผ่นรีดร้อน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์กลับมาขยายตัวอย่างมั่นคง โดยมองปริมาณขายปีนี้ของ SSI คาดจะกลับมาเติบโตโดดเด่นถึง 44% จากปีก่อนเป็น 2.6 ล้านตัน นอกจากนี้การซื้อวัตถุดิบในระดับถูกและความผันผวน ของราคาเหล็กที่ลดลงจากการเน้นผลิตสินค้าพรีเมียม คาดจะช่วยหนุนให้ผลการ ดำเนินงานของ SSI กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง สถาบันวิจัยนครหลวงไทย คาดว่าปีนี้ SSI จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 146% จากปีที่แล้ว เป็น 3 พันล้านบาท พร้อมแนะ"ซื้อ"ให้ราคาหุ้นละ 2 บาท --จบ-- (โดย วิลาวัลย์ พงษ์พิทักษ์ เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:55:21

ความคิดเห็นที่ 21 *BOT:ธปท.เผยบาทขณะนี้กลับสู่ภาวะปกติ, มองเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้ยังอยู่ในกรอบ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยเงินบาทขณะนี้ กลับเข้าสู่ ภาวะปกติ หลังจากที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่มองเงินเฟ้อ พื้นฐานปีนี้ ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ "(เงินบาท) กลับมาสู่ภาวะที่เลิก overshoot กลับเข้าสู่สถานการณ์ตลาด ที่ปกติมากขึ้น" นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวกับผู้สื่อข่าว เขายังมองว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้ ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย "(เงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้) ก็ยังอยู่ในกรอบของเรา แต่ถ้าเป็นภาพระยะต่อไป เงินเฟ้ออาจจะปรับสูงขึ้น" ผู้ว่าการธปท.กล่าว บาท/ดอลลาร์ล่าสุดอยู่ที่ 32.38/40 อ่อนค่าเล็กน้อยจากช่วงเปิดตลาด โดย เมื่อวันจันทร์ บาทแข็งแตะ 32.15 ซึ่งเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 1 เดือน หลัง เมื่อวันเสาร์ จีนประกาศว่าจะทำให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณ บ่งชี้ว่า จีนพร้อมที่จะยกเลิกระบบผูกติดค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ ที่ใช้มานาน 23 เดือน การประกาศดังกล่าวของจีน ส่งผลให้ค่าเงินหยวน รวมถึงสกุลเงินในภูมิภาค แข็งค่าขึ้นทันที เขา กล่าวอีกว่า การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังของไทย ในช่วง จากนี้ไป น่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ขณะที่มองว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปีนี้ จะชะลอตัวลง เนื่องจากภาคการท่องเที่ยว ถูกกระทบจากปัจจัยการเมือง แต่เชื่อว่า ภาคการส่งออกยังเป็นตัวหนุนเศรษฐกิจอยู่--จบ-- (โดย บุญทิวา วิชกูล รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:55:33

ความคิดเห็นที่ 22 HOT:TRUBB ชนซิลลิ่ง ก่อนซื้อขายพาร์ใหม่จันทร์หน้า-โบรกฯคาดกำไรปีนี้นิวไฮ กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ หุ้นบมจ.ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB ราคาขึ้น มาชนเพดาน ก่อนซื้อขายราคาพาร์ใหม่ในวันจันทร์หน้า ขณะที่โบรกเกอร์คาดปีนี้จะทำกำไร สูงสุดตั้งแต่ตั้งบริษัท ราคาหุ้น TRUBB ช่วงเช้า บวก 20 บาท หรือ 22% มาที่ 110 บาท ระหว่างวัน ราคาได้ปรับขึ้นมาสูงสุดที่ 117 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ชนเพดาน ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ดัชนีบวก 0.19% บล.ธนชาต แนะนำ"เก็งกำไร" ประเมินราคาเหมาะสมเบื้องต้นก่อนจะแตกพาร์อยู่ที่ หุ้นละ 140-160 บาท และกำไรปีนี้มีโอกาสทำสถิติสูงสุด นับแต่ก่อตั้งบริษัทมา 25 ปี เนื่องจากทิศทางราคายางพาราเป็นขาขึ้น เพราะความต้องการเพิ่ม แต่ผลผลิตเท่าเดิม หรือลดลง ขณะเดียวกันในวันที่ 28 มิ.ย.นี้หุ้น TRUBB จะแตกพาร์ ซึ่งจะเพิ่มสภาพคล่อง ให้หุ้นอีก และในวันที่ 29 มิ.ย.จะขึ้น XD เพื่อแจกปันผลพิเศษ ทั้งเงินและหุ้น รวม 0.667 บาท Yield 7% ส่วนด้านปัจจัยด้านเทคนิค ราคามีทิศทางเป็นขาขึ้น เมื่อวานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ(ตลท.)ได้แจ้งว่า ตามที่ TRUBB ได้เปลี่ยนแปลง ราคาพาร์จากเดิมหุ้นละ 10 บาทเป็นหุ้นละ 1 บาทนั้น บัดนี้ ตลท.ได้รับแจ้งว่าบริษัท ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเห็นควรให้หลักทรัพย์ TRUBB มีการซื้อขายในระบบซื้อขายหลักทรัพย์ตามราคาพาร์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.53 --จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:55:50

ความคิดเห็นที่ 23 *BOT:ธปท.มองแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในปี 54 จากศก.โลกฟื้น-ราคาน้ำมัน กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มองแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในปี 54 จะมีเพิ่มมากขึ้น โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และแรงกดดันจากราคา น้ำมัน รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ "คิดว่าแรงกดดัน(ต่อเงินเฟ้อ) จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า ตามภาวะเศรษฐกิจโลก ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น และจากราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนเงินเฟ้อปีนี้ มองว่ายังอยู่ในระดับต่ำ" นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. สายนโยบายการเงิน กล่าวกับผู้สื่อข่าว ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(CPI) ใน ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 3.6% โดยในเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบ ปีต่อปี ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ขณะที่ กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 53 จะเพิ่มขึ้นราว 3.3% หรือในช่วง 3.0-3.5%--จบ-- (โดย บุญทิวา วิชกูล รายงาน; สะตะวสิน สถาพรชาญชัย เรียบเรียง--บร--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:56:04

ความคิดเห็นที่ 24 CCET:แคล-คอมพ์ฯ จะเพิกถอนบริษัทย่อยออกจากตลาดหุ้นสิงคโปร์,ทำเทนเดอร์ฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บมจ.แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ CCET เผยบริษัทย่อยขอเพิกถอน หุ้น ออกจากตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยจะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมด CCET แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เช้าวันนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติการยื่นคำขอ ต่อ Avaplas เพื่อขอเพิกถอนการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนของ Avaplas จากกระดาน Catalist ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์(SGX-ST) ทั้งนี้ SGX-ST ได้อนุญาตในเบื้องต้น สำหรับการขอเพิกถอนหลักทรัพย์และทำการ เสนอซื้อหลักทรัพย์ส่วนที่เหลือ ซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของ Avaplas โดบริษัท ได้รับคำสัญญายืนยันข้อผูกพัน การเข้าร่วมทำการเสนอซื้อ (Irrevocable Undertaking) จากผู้ถือหุ้นคู่สัญญา (Undertaking Shareholder) ซึ่งถือหุ้น 89.04 ล้าน หุ้น หรือ 35.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของ Avaplas ปัจจุบัน CCET ถือหุ้นใน Avaplas จำนวน 147.87 ล้านหุ้น หรือ 58.96% ของจำนวน หุ้นทั้งหมด ทั้งนี้จำนวนหุ้นที่ถือ หรือมีอานาจควบคุมหรือ ตกลงที่จะซื้อโดยบริษัท เมื่อ รวมกับส่วนของ Undertaking Shareholder จานวน 89.04 ล้านหุ้นแล้ว จะเป็น 236.90 ล้านหุ้น หรือประมาณ 94.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในการนี้ Avaplas จึงขอเพิกถอนการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน หลังจากการทำการเสนอ ซื้อแล้วเสร็จ ทั้งนี้ CCET จะเสนอซื้อหุ้นส่วนที่เหลือของ Avaplas ซึ่งบริษัทยังมิได้ถือครอง หรือมีอานาจควบคุมหรือ ตกลงที่จะซื้อโดยบริษัท ในราคาหุ้นละ 0.10 เหรียญสิงคโปร์ ราคาหุ้น CCET ปิดวานนี้อยู่ที่ 3.80 บาท--จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:56:16

ความคิดเห็นที่ 25 *SIMAT:ไซแมทฯ จะขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP ในราคาไม่ต่ำกว่า 4 บาท/หุ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ--24 มิ.ย.--รอยเตอร์ บมจ.ไซแมท เทคโนโลยี(SIMAT) จะขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัด((Private Placement) ไม่เกิน 10 ล้านหุ้น ในราคาไม่ต่ำกว่า 4 บาท/หุ้น SIMAT แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เช้าวันนี้ว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติกำหนดราคา ขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว ซึ่งเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาดของหุ้นบริษัท โดยกำหนดวันเสนอขายหุ้นภายในไตรมาส 3/53 และได้กำหนดให้บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) เป็นตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ ในการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน ราคาหุ้น SIMAT ปิดวานนี้ อยู่ที่ 4.70 บาท--จบ-- (โดย วิรัช บูรณกนกธนสาร เรียบเรียง--วพ--) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:56:31

ความคิดเห็นที่ 26 *เจ๊ง เครียด ด่าโบรก ถ้าไม่ใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี COMPANY UPDATE : IVL : บมจ.บัวหลวง        24 มิ.ย.--บมจ.บัวหลวง        Distributor - Bisnews AFE                                                   อินโดรามา เวนเจอร์ส               คำแนะนำพื้นฐาน:  ซื้อ       เป้าหมายพื้นฐาน :    U/R   ราคา (23/06/10):  21.50 บาท     Chemical Neutral ความคิดเห็นทางเทคนิค คำแนะนำ : ซื้อ เป้าหมาย 22/22.5 บ. Stop loss < 21        เหตุผล: ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ โดยปรับตัวขึ้นโดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดและ หุ้นขนาดใหญ่ หากไม่หลุดแนวรับที่ให้ไว้ 21 แนะนำถือต่อ                        ประเด็นหลักจากงานโร้ดโชว์ในประเทศ                                          ประเด็นการลงทุน: ช่วงต้นสัปดาห์เราได้จัดงานโร้ดโชว์สำหรับนักลงทุนสถาบันในประเทศ แนว โน้มกำไรของ IVL ชัดเจน จากแนวโน้มการเติบโตของอุปสงค์แข็งแกร่ง และจากการขยายกำลังการผลิต ดังนั้นเราคาดว่ากำไรที่แข็งแกร่งจะหนุนให้ราคาหุ้น outperform เราคาดการณ์กำไรเติบโตแข็งแกร่ง 31%  ในปี 2553 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 12% นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่กำไรจะปรับขึ้น เนื่อง จากการเข้าซื้อกิจการและส่วนต่างสูงกว่าที่คาดการณ์ สังเกตว่าเราคาดว่าบริษัทจะรายงาน ROE แข็ง แกร่งที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการโพลีเอสเตอร์/PET ในเอเชีย โดยคาดการณ์ที่ 29.0% เทียบค่าเฉลี่ยของ ภูมิภาคที่ 15.7% ปัจจุบันหุ้นซื้อขายที่ PBV ปี 2553 ที่ 2.9 เท่าเทียบกับค่าเฉลี่ยในภูมิภาคที่ 1.8 เท่า ซึ่งเราคิดว่าเหมาะสมที่จะมูลค่าสูงกว่า เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท เรา ยังคงคำแนะนำ "ซื้อ"        การเติบโตแข็งแกร่ง: ผู้บริหารกล่าวว่าบริษัทจะยังคงสร้างการเติบโตจากทั้งจากภายในและ การเข้าซื้อกิจการแล้วแต่โอกาสจะอำนวย และคาดว่า IVL จะเป็นบริษัทผู้ผลิต PET ที่ใหญ่ที่สุดในโลกใน อนาคตอันใกล้ และตั้งเป้าจะขยายกำลังการผลิตอีกเท่าตัวใน 4-5 ปีข้างหน้า        ได้ประโยชน์จากวิกฤตหนี้ในยุโรป: IVL กล่าวว่าบริษัทได้ประโยชน์จากวิกฤตหนี้ในยุโรป ซึ่งส่ง ผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคานำเข้าแพงขึ้น และมาตรการภาษีป้องกันการทุ่มตลาด (Anti- dumping measures) ของยุโรปส่งผลให้สถานการณ์การแข่งขันรุนแรงลดลง ปริมาณขายและราคาขายได้ ปรับตัวขึ้น หนุนให้อัตรากำไรปรับขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าคิดตามราคานำเข้า        แนวโน้มดีสำหรับสายผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์: ผู้บริหารยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มสาย ผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอุปสงค์แข็งแกร่ง จากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว กำลังการ ผลิตเพิ่มเติมมีไม่มากนัก และการปิดของโรงงานที่ไม่มีความคุ้มค่าในเชิงธุรกิจ        สถานะทางการเงินแข็งแกร่งหนุนการเติบโตในอนาคต: IVL มีแหล่งเงินทุนสำหรับงบจ่ายลงทุน ที่ประมาณ 500 ล้านเหรียญต่อปี ซึ่งมาจากกระเงินสดในการดำเนินงาน และจากเงินกู้ นอกจากนี้ผู้บริหาร ยืนยันว่ายังไม่มีแผนเพิ่มทุนในเร็วๆนี้ จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:57:21

ความคิดเห็นที่ 27 *เจ๊ง เครียด ด่าโบรก ถ้าไม่ใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี COMPANY UPDATE :ROJNA : บมจ.บัวหลวง        24 มิ.ย.--บมจ.บัวหลวง        Distributor - Bisnews AFE                                                                 สวนอุตสาหกรรมโรจนะ               คำแนะนำพื้นฐาน:  ถือ       เป้าหมายพื้นฐาน:    10.50 บาท       ราคา (23/06/10): 10.20 บาท               Property (Industrial) Overweight                       ความคิดเห็นทางเทคนิค คำแนะนำ: ถือ กรอบ 9.8-11 บ. Stop loss <9.8 บ.        เหตุผล:ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 20% ส่งผลให้แนวโน้มระยะสั้นอาจพักตัวในกรอบ 9.8-11 แนะนำซื้อขายตามกรอบแนวรับและต้านที่ให้ไว้        ภาพรวมดูแย่ลง                                            ประเด็นการลงทุน: ภาพรวมของ ROJNA ดูไม่ค่อยสดใสนัก ยอดขายคอนโดในจีนมีแนวโน้มอ่อน ตัวลงในระยะกลางเนื่องจากนโยบายที่เข้มงวดในภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ยอดขายของ เฟส 2 จะยังไม่ถูกรับรู้เป็นรายได้จนกว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงปลายปี 2554 เนื่องจากการเปลี่ยนวิธี การบันทึกบัญชี ดังนั้นแนวโน้มการขยายตัวของกำไรสุทธิในระยะสั้นจนถึงระยะกลางดูแล้วด้อยกว่าบริษัทอื่น ในกลุ่มเดียวกัน อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นใกล้เคียงกับเป้าหมายของเราที่ 10.50 บาท เราจึงปรับลดคำแนะ นำจากซื้อเป็นถือ        ยอดขายคอนโดไม่ค่อยกระเตื้อง: 4 มาตรการที่รัฐบาลจีนใช้ควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ กลางเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้แก่ 1) การลดการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วยการเพิ่ม เงื่อนไขการกู้ 2) การเพิ่มอุปทานในที่ดิน 3) การเร่งก่อสร้างโครงการบ้านของการเคหะ และ 4) การ เพิ่มมาตรการควบคุมบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  นั้นได้ส่งผลให้ยอดขายบ้านในจีนชะลอตัวอย่างรุนแรง โดย 2 โครงการคอนโดมิเนียมของ ROJNA ที่ฉางโจวก็ได้รับผลกระทบไปด้วยและยังมีแนวโน้มที่ยอดขายจะ ชะลอตัวต่อเนื่องอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี        ได้รับประโยชน์เล็กน้อยจากการผ่อนปรนการผูกค่าเงินหยวนกับเงินดอลลาร์: การผ่อนปรน นโยบายค่าเงินหยวนอาจจะทำให้รายได้จากคอนโดเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงเป็นสลุลเงินบาทหากค่าเงินหยวนแข็ง ค่าขึ้นในขณะที่ค่าเงินบาทยังไม่ได้แข็งตาม แต่อย่างไรก็ตามเราคาดว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวใน ทิศทางเดียวกับเงินหยวน ดังนั้นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นน่าจะมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อัตราการเติบโตของยอดขายที่ดินน้อยกว่าบริษัทอื่นในกลุ่ม: ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ROJNA ขายที่ดินไปแล้ว 166 ไร่ และน่าจะขายได้อีก 30 ไร่ในสินเดือน มิ.ย. โดยผู้บริหารมองว่าปีนี้น่าจะขายได้ 400-500 ไร่ ซึ่งเราก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามจากฐานที่สูงในปีที่แล้วที่ขายได้ 418 ไร่ ทำให้อัตราการ เติบโตของยอดขายที่ดินในปีนี้สู้บริษัทอื่นไม่ได้ โดยเราคาดว่า HEMRAJ จะขายที่ดินได้ 1,000 ไร่ในปีนี้ จากเพียง 144 ไร่ในปี 2552 ในขณะที่ AMATA น่าจะขายได้ 600 ไร่ในปีนี้จากปีก่อนที่ 249 ไร่        เสียตำแหน่งผู้มีสัดส่วนกำไรจากรายได้ประจำมากที่สุดให้ HEMRAJ: ที่ผ่านมา ROJNA ได้ถูก มองว่าเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนกำไรจากรายได้ประจำมากสุดในกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป HEMRAJ จะขึ้นมาแทนที่เนื่องจากมียอดขายน้ำที่เติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2553-54 อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจาก GHECO-One น่าจะเริ่มเข้ามาในช่วงปลายปี 2554 จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:58:04

ความคิดเห็นที่ 28 *เจ๊ง เครียด ด่าโบรก ถ้าไม่ใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี Analyst Comment : RS : บล.เกียรตินาคิน     24 มิ.ย.--บล.เกียรตินาคิน     Distributor - Bisnews AFE RS: เคลียร์จานดำบอลโลกจอดับเรียบร้อยแล้ว รายได้จากสปอนเซอร์ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ยัง มั่นใจไตรมาส 2/53 กำไรโตก้าวกระโดดคงราคาเป้าหมายที่ 3.39 บาท     ประเด็น: วันนี้ (24 มิ.ย.) เราสอบถามข้อมูลจากผู้บริหารกรณีการล็อคสัญญาณบอลโลกตั้งแต่ สัปดาห์ที่แล้ว (14 มิ.ย.) ทำให้ผู้ใช้จานดาวเทียมแบบ C Band (จานดำ) บางส่วนไม่สามารถรับชมการ แข่งขันฟุตบอลโลกได้อาจส่งผลต่อรายได้ Sponsor บอลโลก 2010 ของบริษัท ผู้บริหารระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ จานดาวเทียมแบบ C Band สามารถกลับมารับชมฟุตบอลโลก 2010 ได้ตามปกติแล้วและทาง Sponsor ทุกรายที่ให้การสนับสนุนบอลโลกครั้งนี้ก็ไม่มีการเข้ามาขอลดราคาค่า Sponsor จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ อย่างใด บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้จากฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่ระดับ 500-700 ล้านบาท ส่วนทางด้านธุรกิจ หลักของบริษัท คือ ธุรกิจเพลงและธุรกิจสื่อโฆษณา ยังมีแนวโน้มแข็งแรงต่อเนื่องจากไตรมาส 1/53 ที่มี กำไร 52 ล้านบาท โดยธุรกิจเพลงมีความแข็งแรงจาก Campaign "ซุปเปอร์เหมา *339" บริการดาว โหลดเพลง RS แบบเหมาจ่ายรายเดือน (ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกประมาณ 2 ล้านราย) และธุรกิจสื่อมีการ ฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของอุตฯ สื่อโฆษณาในปี 53 ที่ในช่วง 5 เดือนแรกเติบโต 11% จากช่วงเดียวกันของปี ก่อน ซึ่งบริษัทจะกลับมา Focus ในธุรกิจหลักอีกครั้งหลังจากจบกิจกรรมบอลโลกในปี 2010 แล้ว เช่น การออก Campaign ใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นอัตราการเติบโตของจำนวนสมาชิก Campaign "ซุปเปอร์เหมา *339" เป็นต้น (ที่มา: สอบถามข้อมูลจากผู้บริหาร 24 มิ.ย. 53)     ความเห็น: เรายังคงคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2/53 ของบริษัทจะเติบโตอย่างก้าว กระโดดและสามารถล้างขาดทุนสะสมจำนวนกว่า 88 ล้านบาทได้ทั้งหมด เรายังคงคาดปี 53 บริษัทจะมี กำไรสุทธิเท่ากับ 205 ล้านบาท เติบโต 171% จากปี 52 ซึ่งถือว่าเป็นประมาณการอย่าง Conservative ต่ำกว่าเป้าหมายกำไรปี 53 ผู้บริหารบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ระดับ 330 ล้านบาท และคาดว่าในปีนี้บริษัทจะ สามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยเราคาดเงินปันผลจ่ายปี 53 ที่ ระดับ 0.10 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) 3.8% เรายังคงมุม มองบวกต่อการฟื้นตัวของบริษัทในครั้งนี้เหมือนเดิม คือ มองว่าเป็นการฟื้นตัวที่มีความยั่งยืนจากการฟื้นตัว ของธุรกิจหลักด้วยไม่ใช่แค่เพียงการได้รับปัจจัยบวกจากบอลโลกเท่านั้น ดังนั้นเรามองว่าในช่วงที่ตลาดยัง กังวลกับปัจจัยลบจากการล็อคสัญญาณบอลโลกส่งผลกดดันต่อระดับราคาหุ้น RS ในขณะนี้เป็นโอกาสในการ เข้าลงทุนหุ้น RS เนื่องจากทำให้หุ้น RS มีอัตราผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) สูงขึ้น เป็นกว่า 27% จากราคาเหมาะสมปี 53 ที่เราประเมินเท่ากับ 3.39 บาท ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" เพื่อรับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของผลประกอบการอย่างก้าวกระโดดในปี 53 และการกลับมาจ่าย เงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:58:27

ความคิดเห็นที่ 29 ร่างหลักเกณฑ์ไลเซนส์ 3G ใหม่...ผู้ให้บริการ...:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย 24 มิ.ย.--ศูนย์วิจัยกสิกรไทย        Distributor - Bisnews AFE                                        ปีที่ 16  ฉบับที่ 2857  วันที่  24 มิถุนายน 2553                ร่างหลักเกณฑ์ไลเซนส์ 3G ใหม่...ผู้ให้บริการลุ้นความชัดเจนเพื่อปรับแผนลงทุน                                (ฉบับส่งสื่อมวลชน)        เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ประกาศ ร่างสรุปข้อสนเทศฉบับใหม่สำหรับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT หรือ 3G and Beyond ในย่านความถี่ 2.1 GHz โดยในเนื้อหาได้มีการแก้ไข และเพิ่มเติมรายละเอียดในบาง ประเด็นที่เป็นข้อสงสัย และเป็นที่ถกเถียงกันจากในร่างฯ เดิม ที่ประกาศไว้เมื่อเดือนกันยายน 2552 ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รวบรวมประเด็นสำคัญที่มีการแก้ไข ดังตาราง        การเปลี่ยนแปลงร่างหลักเกณฑ์ใบอนุญาตฉบับเดิม และฉบับล่าสุด ประเด็น                     ร่างหลักเกณฑ์ที่ประกาศใน            ร่างหลักเกณฑ์ที่ประกาศใน                           เดือนกันยายน 2552                เดือนมิถุนายน 2553 1. จำนวนใบอนุญาต และความ    รวมทั้งสิ้น 4 ใบ             สูงสุด 3 ใบ (หากมีผู้เข้าร่วม กว้างแถบความถี่ (bandwidth)   2x10MHz จำนวน 3 ใบ       ประมูลตั้งแต่ 4 รายขึ้นไป ส่วน                           2x15MHz จำนวน 1 ใบ       กรณีที่มีผู้ร่วมประมูลน้อยกว่า 4 ราย                                                    จะมีใบอนุญาตเท่ากับ จำนวนผู้ร่วม                                                    ประมูล-1) โดยทุกใบจะได้ความ                                                    กว้างแถบความถี่ 2x15MHz 2. มูลค่าขั้นต่ำของใบอนุญาต     4,600 ล้านบาท สำหรับ 2x10MHz   ใบละ 10,000 ล้านบาท                          5,200 ล้านบาท สำหรับ 2x15MHz 3. การชำระค่าใบอนุญาต       ชำระงวดเดียวภายใน 14 วัน       แบ่งชำระเป็น 3 งวด                          หลังปิดประมูล                   4. เงื่อนไขความครอบคลุม      ครอบคลุมจำนวนประชากรไม่น้อย    เปิดให้บริการให้ได้ภายใน 1 ปี   การให้บริการ             กว่าร้อยละ 50 ในปีที่ 2 และ      และให้บริการครอบคลุมทุก                          ร้อยละ 80 ในปีที่ 4             จังหวัดภายในปีที่ 2 ส่วน                                                      เงื่อนไขการคลอบคลุมจำนวน                                                      ประชากรยังคงเดิม 5. การให้บริการบน           ไม่มีกำหนดในร่างฯ              ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องประกัน  โครงข่ายเสมือน (MVNO)                                 ความจุของโครงข่ายอย่างน้อย                                                      ร้อยละ 40 ให้แก่ผู้ให้บริการ                                                      เสมือน (MVNO) ที่มา : รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย                      ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบในการเปลี่ยนแปลงร่างดังกล่าวที่น่าจะมีต่อผู้ ให้บริการ และสภาพตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ดังนี้        * มูลค่าใบอนุญาตที่สูงขึ้น...อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจกระทบต้นทุน        จากการที่เนื้อหาในร่างฯ ฉบับใหม่ ได้ปรับมูลค่าขั้นต่ำของใบอนุญาตเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว ในขณะที่ ลดจำนวนใบอนุญาตลง น่าจะทำให้ผู้ให้บริการต้องเผชิญต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าแผนการณ์เดิมตามราคาที่ กำหนดไว้ในร่างฯฉบับก่อน ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระค่าใบอนุญาตให้สามารถแบ่งชำระ เป็น 3 งวด ซึ่งน่าจะบรรเทาปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และการจัดหาเงินลงทุนไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ภาย ใต้เงื่อนไขด้านความครอบคลุมการให้บริการที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดการให้บริการใน ระบบใหม่ต้องครอบคลุมทุกจังหวัดในปีที่ 2 ซึ่งทำให้ผู้ให้บริการไม่สามารถเลือกลงทุนในตลาดที่มีศักยภาพที่ จะสร้างรายได้ในช่วงเริ่มต้นของการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดผู้ใช้บริการเสริมที่ยังกระจุกตัวอยู่ใน เขตเมือง จึงอาจจะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนในการลงทุนของผู้ให้บริการในระยะแรก        ทั้งนี้การเข้าร่วมการประมูลใบอนุญาต 3G ของผู้ให้บริการแต่ละราย น่าจะพิจารณาจากต้นทุนที่ จะเกิดขึ้น และประโยชน์ที่จะได้รับจากการให้บริการในระบบใหม่ ต้นทุนเบื้องต้น และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการให้บริการในระบบ 3G ต้นทุนเบื้องต้น 1.ค่าใบอนุญาต 2.ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตรายปีในอัตราร้อยละ 2 ของรายได้ 3.ค่าธรรมเนียมสนับสนุนกองทุนเพื่อการให้บริการอย่างทั่วถึง (USO) ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี 4.ค่าลงทุนในโครงข่าย และระบบใหม่     ประโยชน์ 1. การขยายขีดความสามารถในการรองรับการใช้งานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเสริม   ที่มีบทบาทในการสร้างอัตราการเติบโตของรายได้ของผู้ให้บริการมากขึ้น 2. การลดต้นทุนส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้รัฐวิสาหกิจที่เป็นคู่สัญญาสัมปทาน                    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ร่างฯฉบับใหม่ อาจทำให้ต้นทุนในการให้บริการในระบบ 3G เพิ่ม ขึ้น แต่ยังคงเห็นว่า ประโยชน์จากต้นทุนรายปีที่อาจลดลงในส่วนที่ผู้ให้บริการเอกชนในระบบ 2G เดิมต้อง เสียให้กับรัฐวิสาหกิจในอัตราร้อยละ 20-30 ต่อปี หรือราว 5,000-20,000 ล้านบาท (ขึ้นกับรายได้ของ ผู้ให้บริการแต่ละราย) น่าจะเป็นส่วนสำคัญให้การลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งการเปิดบริการในระบบ 3G มีความ คุ้มค่า และยังคงดึงดูดให้ผู้ให้บริการเอกชนตัดสินใจเข้าร่วมประมูล        แต่อย่างไรก็ดีการใช้กลยุทธ์ในการโน้มน้าวให้ผู้ใช้บริการย้ายจากระบบ 2G มายังระบบใหม่ที่ผู้ ให้บริการมีใบอนุญาตเอง เป็นโจทย์ท้าทายผู้ให้บริการ เพราะจะสะท้อนถึงความคุ้มค่าของการลงทุนในเม็ด เงินมหาศาลนี้ หากผู้ให้บริการรายใดมีความพร้อมในการเปิดให้บริการก่อนคู่แข่ง อีกทั้งมีอัตราค่าบริการ หรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจ ก็น่าจะจูงใจลูกค้าให้ย้ายมาระบบใหม่ได้เร็ว และยังอาจเป็นโอกาสดีในการช่วง ชิงส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งโดยมีมาตรการคงสิทธิเลขหมายที่ กทช. กำหนดให้เปิดให้บริการภายในเดือน สิงหาคม 2553 เป็นปัจจัยหนุนให้ผู้ใช้ตัดสินใจเปลี่ยนเครือข่ายได้ง่ายขึ้น * สร้างโอกาสให้แก่ผู้ให้บริการรายใหม่ในฐานะ MVNO        ตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบัน ส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 95 ถือครองโดยผู้ให้บริการ เอกชนรายใหญ่เพียง 3 ราย เนื่องจากการลงทุนด้านโทรคมนาคมต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากทั้งการลงทุน ในโครงข่าย ระบบ และอุปกรณ์ ประกอบกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมค่อนข้างจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด จากหน่วยงานรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น เนื่องจากเป็นบริการพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ทั้ง นี้แม้ว่าช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ให้บริการที่เป็นรัฐวิสาหกิจจะเพิ่มบทบาทในการดำเนินงานเชิงธุรกิจมากขึ้น แต่อาจ ยังไม่สามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากเอกชนได้มากนัก เนื่องจากความครอบคลุมของโครงข่ายที่ยังจำกัด อยู่ในบางพื้นที่ รวมถึงยังเป็นช่วงต้นของการลงทุนซึ่งอาจต้องอาศัยเวลาในการสร้างความเชื่อมั่นในบริการ ให้แก่ผู้ใช้โดยทั่วไป        ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เห็นว่า การกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการ รายอื่นเข้าร่วมใช้โครงข่ายเพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลักษณะ MVNO (Mobile Virtual Network Operators) น่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ที่อาจมีทุนไม่มากนักเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น โดยในเบื้องต้นธุรกิจที่น่าจะขอเข้าร่วมเช่าใช้โครงข่าย น่าจะเป็นธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม หรือเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมโทรคมนาคม เช่น ธุรกิจบริการอินเทอร์เน็ต ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการเพิ่มบทบาทของผู้ให้บริการเอกชนที่ได้รับใบอนุญาตในฐานะผู้ค้าส่งบริการ ซึ่ง อาจจะนำมาซึ่งแหล่งรายได้ใหม่ๆ แต่อย่างไรก็ดีก็อาจจะส่งผลต่อการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปบางส่วน อัน เนื่องจากผู้ใช้บริการมีทางเลือกมากขึ้น * สร้างความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ได้รับใบอนุญาตในแง่ประสิทธิภาพของความถี่        การเปิดประมูลใบอนุญาต 3G โดยปรับความกว้างแถบความถี่ (Bandwidth) ให้เท่ากับ 2x15 MHz ทุกใบ จะทำให้ผู้ได้รับใบอนุญาตทุกรายมีปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เท่ากัน แต่อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ว่าความเหลื่อมล้ำของคุณภาพความถี่จะคลี่คลายลงไป แต่ความสามารถใน การบริหารจัดการความถี่ จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การให้บริการในแต่ละเครือข่ายมีความแตกต่างกัน โดยผู้ได้รับใบอนุญาตที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งกว่าน่าจะได้เปรียบ ทั้งการพัฒนาระบบ อุปกรณ์ เพื่อให้ สามารถใช้ประโยชน์จากความถี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และการขยายความครอบคลุมพื้นที่ให้บริการก่อนคู่ แข่ง รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆเสริม เช่น การโฆษณาที่เข้มข้น การออกโปรโมชั่น และการ ใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่จูงใจผู้ใช้ได้เสมอ ประเด็นที่ต้องติดตาม        * มูลค่าใบอนุญาตขั้นต่ำที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะหาก มูลค่าต่ำเกินไป ก็อาจกระทบต่อรายได้ที่จะกลับเข้าสู่รัฐ และหากมูลค่าสูงเกินไป อาจกีดกันผู้ให้บริการบาง ราย ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องถึงภาวะการแข่งขันในตลาด รวมถึงค่าบริการในระบบใหม่ที่อาจสูงขึ้นและจะเป็น ภาระของผู้บริโภคในที่สุด จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:58:49

ความคิดเห็นที่ 30 ADD1/1 ร่างหลักเกณฑ์ไลเซนส์ 3G ใหม่...ผู้ให้บริการ...:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย        * ความชัดเจนในการใช้เทคโนโลยีในความถี่ที่เปิดประมูล เนื่องจากการเปิดประมูลใบอนุญาต ให้ใช้คลื่นความถี่ 2.1 GHz มีความล่าช้ามานาน ดังนั้น กทช. จึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ผู้ได้รับใบอนุญาต ได้ก้าวผ่านระบบ 3G ไปสู่ระบบ 3.9G ที่มีความเร็วที่สูงกว่าถึง 20 เท่า แต่อย่างไรก็ดีร่างฯฉบับใหม่มิ ได้กำหนดว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องเปิดให้บริการในระบบใด ในขณะเดียวกันก็ยังคงกำหนดอัตราการส่ง ข้อมูลจากสถานีฐานไปยังผู้ใช้บริการขั้นต่ำอยู่ที่ 700 kbps เช่นเดิม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้สนใจเข้าร่วม ประมูลควรติดตามความชัดเจน เนื่องจากจะกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านโครงข่ายและระบบ ที่น่า จะเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้เดิม        * แนวคิดการแปรสัญญาสัมปทานก่อนเปิดประมูล แนวคิดนี้ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง เนื่องจากความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรัฐวิสาหกิจเจ้าของสัมปทานที่ต้องขาดส่วนแบ่งรายได้ที่ถือว่า เป็นรายได้หลัก หากผู้ให้บริการเอกชนที่เป็นคู่สัญญาย้ายลูกค้าจากระบบสัมปทานไปยังระบบ 3G ที่มีใบ อนุญาตเอง ซึ่งการแปรสัญญาสัมปทานอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงภายใต้สัญญาสัมปทานเดิม หรือ มีเงื่อนไขบางอย่างเพื่อมาชดเชยกับระยะเวลาสัมปทานที่เหลืออยู่ ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งที่ผู้ให้บริการ เอกชนที่สนใจเข้าร่วมประมูลควรจะนำมาพิจารณา        * ความคืบหน้าของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ที่ระบุถึงการจัดตั้งคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่จะมีอำนาจโดยตรงใน การจัดสรรคลื่นความถี่ และการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่น ความถี่ พ.ศ. ... ผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาเรียบร้อยแล้ว โดยเบื้องต้นวุฒิสภาและคณะกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างดังกล่าวประเมินว่า การจัดตั้งกสทช. น่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2554 โดย กสทช. จะมีบทบาทในการกำหนดสภาพแวดล้อมการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมในอนาคต ซึ่งผู้ให้บริการ เอกชนที่เข้าร่วมประมูลอาจต้องพิจารณาประกอบด้วย        กล่าวโดยสรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงเนื้อหา และการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมบางส่วนในร่าง สรุปข้อสนเทศการจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT หรือ 3G and Beyond ย่านความถี่ 2.1 GHz ฉบับใหม่นี้ อาจนำมาซึ่งต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ให้บริการ ในขณะเดียวกันก็อาจเพิ่มภาวะ การแข่งขันในตลาดบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ จากการเปิดโอกาสให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ๆที่มีทุนไม่มากนัก เข้ามาทำตลาดในลักษณะผู้เช่าใช้โครงข่าย (MVNO)        อย่างไรก็ดีแม้ว่าการปรับปรุงร่างฯใหม่จะมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ยังมีหลายประเด็นที่ต้องจับตา เช่น มูลค่าขั้นต่ำของใบอนุญาตที่เหมาะสม ความชัดเจนในการกำหนดระดับการใช้เทคโนโลยีในคลื่นความถี่ ใหม่ การแปรสัญญาสัมปทานก่อนการเปิดประมูล ซึ่งล้วนแล้วส่งผลกระทบต่อการวางแผนทางการเงินของผู้ ให้บริการทั้งสิ้น โดยผู้ให้บริการยังคงต้องติดตามการทำประชาพิจารณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 25 มิถุนายน นี้ ที่ อาจก่อให้เกิดประเด็นใหม่ๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขบางประการ และอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่จะ กำหนดกรอบเวลาว่าจะสามารถเปิดประมูลภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2553 ตามที่ กทช. คาดการณ์ไว้ใน เบื้องต้นหรือไม่        ระบบ 3G ความถี่ 2.1GHz จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดย เฉพาะอย่างยิ่งบริการเสริมที่ต้องอาศัยคุณภาพโครงข่าย และคลื่นความถี่ที่มีความกว้างเพียงพอที่จะทำให้ การรับส่งข้อมูลมีความรวดเร็ว ซึ่งน่าจะทำให้อัตราการเติบโตของตลาดบริการเสริมมีทิศทางที่ดีขึ้นจากที่ ผ่านมาที่แม้ว่ามูลค่าตลาดจะมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่ลดลง อันเนื่องจากข้อจำกัด ด้านคุณภาพคลื่นที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าสู่ตลาด        ทั้งนี้แม้ว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เอกชนจะเปิดให้บริการ 3G บนความถี่เดิมบ้างแล้ว แต่ เนื่องจากการให้บริการยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่ อีกทั้งประสิทธิภาพของความถี่ที่มีข้อจำกัด จึงอาจกระตุ้นการ เติบโตของบริการเสริมในปีนี้ได้ไม่มากนัก สำหรับปีนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตลาดบริการเสริมน่าจะมี มูลค่าประมาณ 27,000-28,000 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.5-14.6 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขยายตัว ร้อยละ 15.22 แต่หลังจากการเปิดให้บริการด้วยเทคโนโลยี 3G บนความถี่ 2.1 GHz อย่างเต็มรูปแบบ แล้ว มูลค่าตลาดบริการเสริมน่าจะมีโอกาสขยายตัวได้ในระดับสูงขึ้นในปีข้างหน้า จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:59:02

ความคิดเห็นที่ 31 ฟุตบอลโลก2010 : โอกาสสินค้าอาหาร..: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย        24 มิ.ย.--ศูนย์วิจัยกสิกรไทย        Distributor - Bisnews AFE                                ปีที่ 16 ฉบับที่ 2859 วันที่ 24 มิถุนายน 2553                ฟุตบอลโลก2010 : โอกาสสินค้าอาหารและเกษตรของไทยในแอฟริกาใต้                                (ฉบับส่งสื่อมวลชน)        มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลโลก2010 ที่จัดแข่งขันในประเทศแอฟริกาใต้ นับได้ว่าเป็นโอกาส สำคัญของการเจาะขยายตลาดส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรของไทยในแอฟริกาใต้ และเป็นโอกาสในการ ประชาสัมพันธ์สินค้าอาหารและเกษตรของไทยให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากขึ้น ทั้งผู้บริโภคในประเทศอื่นๆใน ทวีปแอฟริกา นักท่องเที่ยว และแฟนฟุตบอลที่เดินทางไปติดตามเชียร์ได้รู้จัก และสนใจบริโภคอาหารไทย มากขึ้น อีกทั้งเป็นการปูรากฐานขยายตลาดส่งออกอาหารไทยในอนาคตด้วย  ทั้งนี้ แฟนบอลที่ติดตามเชียร์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีฐานะ มีกำลังการใช้จ่ายสูง และมาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จึงเป็นเป้าหมายดีให้ไทยเจาะขยายตลาด นอกจากนี้ ยังมีสื่อมวลชน รวมถึงการถ่ายทอดสดการแข่งขัน บรรยากาศก่อนแข่งขัน สกู๊ปพิเศษ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ออกไปทั่วโลก กระแสฟุตบอลโลกจึงจะสร้างประโยชน์ให้กับสินค้าอาหารและเกษตรของไทยได้อย่างมาก        แม้ว่าตลาดแอฟริกาใต้ไม่ได้เป็นตลาดหลักของการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร แต่ก็เป็นตลาด ใหม่และตลาดเป้าหมายที่ทางรัฐบาลและเอกชนที่เกี่ยวข้องต้องการเจาะขยายตลาด ในช่วง 5 เดือนแรก ของปี 2553 มูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปยังตลาดแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นเป็น 612.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.1 โครงสร้างสินค้าส่งออกไปยังตลาด แอฟริกาใต้แยกสัดส่วนเป็น สินค้าเกษตรกรรม(กสิกรรม ปศุสัตว์ ประมง)ร้อยละ 30.7 สินค้าอุตสาหกรรม เกษตรร้อยละ 9.0 สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 57.7 และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงร้อยละ 2.6 มูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารและเกษตรจากไทยของตลาดแอฟริกาใต้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 166.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.4 โดยสินค้าอาหารและเกษตรที่มีแนวโน้มเติบโตดีในตลาดแอฟริกาใต้ โดยเรียงตามลำดับอัตราการขยายตัว ดังนี้ ดอกไม้และใบไม้ที่ใช้ประดับ (+388.0%) ผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็งและแห้ง(+250.5%) พืช น้ำมัน(+243.5%) อาหารทะเลแปรรูปเบื้องต้น(+107.13%) กาแฟ ชา และเครื่องเทศ(+80.6%) ของ ปรุงแต่งจากพืช(+56.8) แป้งจากธัญพืช(+28.9%) ข้าว(+27.7%) ยางและผลิตภัณฑ์         (+22.1%) เครื่องหนัง(+21.2%) และของปรุงแต่งจากผักและผลไม้(+19.6%)        มูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารและเกษตรจากไทยในตลาดแอฟริกาใต้ในช่วง 4 เดือนแรกในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 166 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.4        สัดส่วนการนำเข้าสินค้าอาหารและเกษตรจากไทยในตลาดแอฟริกาใต้เป็นร้อยละ 8.6 ในช่วง 4 เดือนแรกในปี 2553 จากที่อยู่ในระดับร้อยละ 5.8 ในปี 2548        ส่วนสินค้าอาหารและเกษตรของไทยที่มูลค่าการส่งออกติดอันดับ 1 ใน 10 ของสินค้าแต่ละ รายการในตลาดแอฟริกาใต้นั้นแสดงอยู่ในตารางข้างล่างนี้ สินค้าอาหารและเกษตรที่ไทยติดอันดับ 1 ใน 10 อันดับแรกของการนำเข้าในตลาดแอฟริกาใต้ สินค้า                   อันดับของไทยใน  อัตราการขยายตัว            คู่แข่งสำคัญ                       ตลาดแอฟริกาใต้  ในช่วง4 เดือนแรกปี 2553    ในตลาดแอฟริกาใต้ ข้าว (ข้าวนึ่ง ปลายข้าวหอมมะลิ)         1          +27.7%         บราซิล จีน อินเดีย ปากีสถาน                                                        เวียดนาม อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (ปลาซาร์ดีนกระป๋องฯลฯ)           1          -13.5%         จีน อินโดนีเซีย นิวซีแลนด์ แป้งหยาบและแป้งละเอียด (แป้งข้าว แป้งมันสำปะหลัง)         3          +28.9%         แคนาดา อาร์เจนตินาร์ อาหารทะเลแปรรูปขั้นต้น (สด แช่เย็น แช่แข็ง)              4         +107.1%         อินเดีย นอร์เวย์ นิวซีแลนด์                                                        จีน น้ำตาลและขนมทำจากน้ำตาล         6          +56.8%         บราซิล โคลัมเบีย จีน สหรัฐฯ                         ผักและผลไม้กระป๋อง (รวมน้ำผลไม้)                  10          +60.2%         จีน อาร์เจนตินา อิตาลี                                                        บราซิล ฝรั่งเศส ที่มา : Global Trade รวบรวมโดย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด        หมายเหตุ : มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปหดตัว เนื่องจากแอฟริกาใต้หัน ไปนำเข้าจากประเทศคู่แข่ง        ไทยยังมีโอกาสในการผลักดันการส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรไปยังตลาดแอฟริกาใต้ แม้ว่า แอฟริกาใต้จะไม่ใช่ประเทศคู่ค้าอันดับต้นๆของไทย แต่ก็ถือว่าเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพที่น่าสนใจ ทั้งการ เจาะขยายตลาดในแอฟริกาใต้เอง เนื่องจากประเทศแอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่นคงที่สุดในทวีป แอฟริกาและเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด สำหรับการส่งออกของไทย ด้วยเป็นประเทศอันดับ 1 ของแอฟริกา ที่มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอาหารและเกษตรจากไทยมากที่สุด และการใช้แอฟริกาใต้เป็นประตูการค้าไปสู่ ตลาดภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ เนื่องจากแอฟริกาใต้เป็นศูนย์กลางการค้าและการขนส่งสินค้า โดยสินค้าส่วน ใหญ่นอกจากใช้เพื่อการบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังส่งผ่านไปยังประเทศใกล้เคียงด้วย โดยไม่ต้องเสีย ภาษี หรือเสียภาษีในอัตราที่ต่ำ เนื่องจากถือเป็นการนำเข้าระหว่างกันในกลุ่มประเทศสมาชิก นอกจากนี้ ผลดีของความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างแอฟริกาใต้กับสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อปี 2543 ทำให้สินค้ามี ยี่ห้อของอียูเข้าไปครองตลาด และมีอิทธิพลต่อรสนิยมของผู้บริโภคต่อสินค้าคุณภาพราคาสูงในปัจจุบัน จึงส่ง ผลต่อสินค้าอาหารและเกษตรไทยที่ได้เปรียบสินค้าจีนที่เข้าไปเจาะตลาดก่อนหน้านี้ ผู้บริโภคแอฟริกาใต้ส่วน ใหญ่นิยมสินค้าที่มีคุณภาพและผลิตตามกรรมวิธีที่ถูกสุขอนามัย รวมทั้งได้รับการรับรองคุณภาพจากหน่วยงาน ของรัฐ ซึ่งสอดคล้องกับคุณสมบัติของสินค้าไทยส่วนใหญ่ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ขณะที่สินค้าจีน ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดแอฟริกาใต้ค่อนข้างมาก กลับประสบปัญหาด้านคุณภาพจึงได้รับความนิยมน้อยลง ซึ่งนับ เป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปขยายตลาดในแอฟริกาใต้โดยเฉพาะการเข้าไปขยายตลาด สินค้าอาหารและเกษตร        ผู้ส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรของไทยสามารถใช้โอกาสในช่วงมหกรรมฟุตบอลโลก2010 ที่จัด ขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้เป็นโอกาสสำคัญในการเจาะขยายตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งใน ตลาดแอฟริกาใต้เอง และการใช้แอฟริกาใต้เป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าไปยังประเทศอื่นๆในทวีป แอฟริกา รวมทั้ง ใช้เป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์สินค้าอาหารและเกษตรของไทยให้เป็นที่รู้จักของ บรรดานักท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบรรดากองเชียร์ฟุตบอลทีมต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลัง ซื้อได้รู้จักกับสินค้าอาหารและเกษตรของไทย ทำให้มีส่วนอย่างมากในการเจาะขยายตลาดสินค้าอาหารและ เกษตรของไทยในอนาคต จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:59:25

ความคิดเห็นที่ 32 *เจ๊ง เครียด ด่าโบรก ถ้าไม่ใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี Company Update : DTAC : บล.คันทรี่ กรุ๊ป                24 มิ.ย. --บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)        Distributor - Bisnews AFE บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น DTAC        จากการเข้าพบผู้บริหารของ DTAC เมื่อวานนี้ เราประเมินแนวโน้มผลประกอบการของ DTAC ในช่วงไตรมาส 2 ปี 53 คาดกำไรสุทธิ 2,164 ลบ. (+58% YoY และ -12%QoQ) หรือคิดเป็น EPS ที่ 0.91 บาท/หุ้น โดยรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 2/53 คาดว่าจะปรับตัวลดลงราว 2.9%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 6.6%YoY มาอยู่ที่ 1.7 หมื่นลบ. เนื่องจากการเข้าสู่ Low Season ของธุรกิจให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้ปริมาณการใช้งาน (MOU) และรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) ในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้รายได้การโทรทางไกลระหว่างประเทศ (IR) ยังมี แนวโน้มที่จะลดลง ตามปริมาณนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง จากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ส่งผลให้รายได้จากการให้บริการ (Service Revenue-Excl. IC) คาดว่าจะลดลง 2.7%QoQ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมีปัจจัยบวกจาก 1.) การรับรู้รายได้การขาย IPHONE เต็มไตรมาส เทียบกับในช่วงไตรมาส 1/53 ที่บริษัทฯมีรายได้จากการขาย IPHONE เพียง 15 วัน 2.) Net IC จ่าย คาดว่าจะลดลงจาก -146 ลบ. ในไตรมาส 1/53 มาอยู่ที่ -100 ลบ. ในไตรมาส 2/53 3.) แผนการ ควบคุมต้นทุนของบริษัทฯ ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปีก่อน รวมทั้งค่าใช้จ่ายการตลาด ที่ลดลงในช่วงที่มีปัญหาการ เมือง คาดว่าจะช่วยทำให้ต้นทุนการให้บริการ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ปรับตัวลดลงได้ราว 1%QoQ และ 3.8%QoQ ตามลำดับ 4.) ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนราว 18 ลบ. หลังจากที่บริษัทฯ ได้มีการชำระคืนหนี้ในช่วง 2Q53 ไปแล้วราว 1.2 พันลบ. ทั้งนี้เราคาดว่า EBITDA จะลดลงจาก 6.0 พันลบ. ในไตรมาส 1/53 มาอยู่ที่ 5.7 พันลบ.          แนะนำ "ซื้อลงทุน" ที่มูลค่าเหมาะสม 44 บาท แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 2 และ 3 จะ เข้าสู่ช่วง Low Season ของธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่เนื่องจากบริษัทฯ ยังสามารถควบคุมต้น ทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้ผลประกอบการทั้งปี 53 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงถึง 8.8 พันลบ. (EPS 3.71 บาท) ซึ่งณ.ระดับ Dividend Payout ที่ 50% เราคาดว่าปี 53บริษัทฯ จะจ่ายปันผลได้ราว 1.85 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนราว 5.1% ต่อปี นอกจากนี้ราคาหุ้นในปัจจุบันยังซื้อขายที่ระดับ PER ปี 53 เพียง 9.8 เท่า (โดย PER เฉลี่ยในช่วง 3 ปีย้อนหลังของ DTAC อยู่ที่ 15 เท่า) ขณะที่ อุตสาหกรรมยังมีประเด็นบวกจากเรื่องความคืบหน้าในการดำเนินการออกใบอนุญาต 3G ของ กทช. ดังนั้น เราแนะนำ "ซื้อลงทุน" ที่มูลค่าเหมาะสม (ไม่รวม 3G) ปี 53 ที่ 44 บาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 19:59:59

ความคิดเห็นที่ 33 *เจ๊ง เครียด ด่าโบรก ถ้าไม่ใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี Company Update : ADVANC : บล.คันทรี่ กรุ๊ป        24 มิ.ย.--บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)        Distributor - Bisnews AFE บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)        คาดผลประกอบการไตรมาส 2/53 ของ ADVANC จะมีกำไรสุทธิ 4,433 ลบ. (EPS 1.49 บาท/หุ้น) เราคาดว่า รายได้จากการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ไม่รวม IC) ในไตรมาส 2/53 จะดีขึ้น ราว 4.4% YoY แต่ลดลง 4.3%QoQ เนื่องจาก 1.) ในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวอย่าง สงกรานต์ ประกอบกับในปีนี้มีวันหยุดราชการพิเศษในช่วงที่เกิดความไม่สงบในกรุงเทพฯ ทำให้ปริมาณการ ใช้งาน (MOU) และรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) ในช่วง 2Q53 น่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตร มาสก่อน 2.) รายได้โรมมิ่งต่างประเทศ (IR) ในช่วง 2Q53 คาดว่าจะลดลง 20%QoQ จากผลกระทบ ของเหตุการณ์ความไม่สงบในกรุงเทพฯช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. และการเข้าสู่ช่วง Low Season ของ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่ทางด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียง กับไตรมาสก่อน และลดลงถึง 8%YoY เนื่องจากจากแผนการความคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพของบริษัทฯ และค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ลดลงในช่วงที่มีความไม่สงบ โดยเราประเมินกำไรปกติในช่วง 2Q53 อยู่ที่ 4,703 ลบ. (+12%YoY, -13%QoQ) ขณะที่คาดว่าบริษัทฯจะทยอยบันทึกรายจ่ายพิเศษจากการด้อยค่า ความนิยมของ DPC ในไตรมาส 2/53 ประมาณ 270 ลบ. ( ค่าความนิยมของ DPC ณ.สิ้นไตรมาส 1/53 อยู่ที่ 2.7 พันลบ. และอายุสัญญาสัมปทาน DPC จะหมดในเดือน ก.ย. 56) ดังนั้นกำไรสุทธิในช่วง 2Q53 คาดว่าจะลดลงจาก 4,972 ลบ. ในช่วง 1Q53 มาอยู่ที่ 4,433 ลบ. ในช่วง 2Q53 หรือลดลง 11%QoQ          ปีนี้ไม่มีปันผลพิเศษ แต่มีโอกาสเห็นการประมูล 3G-2.1GHz เนื่องจากกทช.ได้กำหนดกรอบ ระยะเวลาการออกใบอนุญาต 3G-2.1GHz ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยในวันที่ 25 มิ.ย. 53 จะมีการทำประชา พิจารณ์ และคาดจะประกาศรายละเอียดเอกสารเชิญชวนเข้าร่วมประมูล (IM) ในราชกิจจานุเบกษา ใน ต้นเดือน ก.ค. 53 รวมทั้งคาดว่าจะเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ได้ภายในเดือน ก.ย. 53 ดังนั้นเราคาด ว่าทางบริษัทฯจะไม่มีการจ่ายปันผลพิเศษออกมาเหมือนเช่นช่วงครึ่งหลังของปี 52 เนื่องจากบริษัทฯ ต้องเตรียมพร้อมเพื่อลงทุนขยายโครงข่าย 3G ในอนาคต ดังนั้นสำหรับปี 53 เราคาดว่าบริษัทฯ จะจ่ายปัน ผลตามปกติที่ 6.30 บาท/หุ้น (จ่ายปันผลระหว่างกาล 3 บาท/หุ้น) และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนราว 7.4% ต่อปี แนะนำ "ซื้อลงทุน" ที่มูลค่าเหมาะสม (ไม่รวม 3G) 94 บาท        จากผลการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ ที่ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้เรามีโอกาสที่จะปรับ เพิ่มประมาณการกำไรปกติทั้งปี 53 จากเดิมที่ 1.77 หมื่นลบ. เป็นประมาณ 1.9 หมื่นลบ. อย่างไรก็ตาม เมื่อสุทธิกับรายการพิเศษจากการตั้งสำรองด้อยค่า DPC ที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1.2 พันลบ. ทำให้เรายังคง ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 คงเดิมที่ 1.77 ลบ. (EPS 5.96 บาท) สำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว เราแนะนำ "ซื้อลงทุน" ใน ADVANC เพื่อรับปันผลในระดับ 7.4% ต่อปี และรอประเด็นบวกจากการ ประมูลใบอนุญาต 3G-2.1GHz ซึ่งจะเริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ค. 53 ทั้งนี้เราประเมิน มูลค่าเหมาะสมของ ADVANC (ไม่รวม 3G) อยู่ที่ 94 บาท ณ.ราคาหุ้นในปัจจุบันที่ 84.75 บาท ยังมี Upside Gain จากมูลค่าเหมาะสมของเราอยู่ถึง 11% จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:00:39

ความคิดเห็นที่ 34 *เจ๊ง เครียด ด่าโบรก ถ้าไม่ใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี Company Update : KSL : บล.คันทรี่ กรุ๊ป        24 มิ.ย.--บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)        Distributor - Bisnews AFE บมจ. น้ำตาลขอนแก่น - KSL "ปี 53 ธุรกิจผันผวน มองการฟื้นตัวในปี 54" แนะนำ                   ถือ Sector                  อาหารและเครื่องดื่ม Share Price (23/6/53)   12.40 บาท Target Price            12.60 บาท Up Side Gain            1.61% ลักษณะการดำเนินธุรกิจ :        บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายรายใหญ่เป็นอันดับ 5 ของประเทศไทย ผลิตภัณฑ์หลักคือ น้ำตาลทราย โดยแบ่งได้ 4 ประเภท คือ น้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายดิบคุณภาพสูง น้ำตาลทรายขาว และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และผลิตภัณฑ์เสริมที่เกี่ยวเนื่องกับกระบวนการผลิตน้ำตาลทราย ได้แก่ กากอ้อย และกากน้ำตาล สรุปประเด็นสำคัญ        - 2Q53 ถูกผลขาดทุนจากอนุพันธ์กดดันผลประกอบการ          - ภัยแล้ง อาจฉุดให้ปริมาณอ้อยฤดูกาลหน้าลดลง        - กำไรสุทธิ 1H53 ทรุดเกินคาด ปรับกำไรใหม่ลดลง 29%YoY 2Q53 ถูกผลขาดทุนจากอนุพันธ์กดดันผลประกอบการ        KSL รายงานผลประกอบการในงวด 2Q53 มีรายได้ 3,918 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 54%QoQ และ 28%YoY การปรับเพิ่มขึ้นเกิดนี้เป็นผลดีจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มมากขึ้นในช่วงต้นปี แต่การ บันทึกผลขาดทุนจากการลงทุนในตราสารอนุพันธ์เข้ามาถึง 645 ล้านบาท (เพิ่มจากในงวด 1Q53 ที่บันทึก เข้ามา 237 ล้านบาท) ทำให้รวมแล้วในงวด 2Q53 KSL มีกำไรสุทธิเหลือเพียง 101 ล้านบาทเท่านั้นลด ลงถึง 64%YoY และ 50%QoQ แต่หากไม่รวมผลจากตราสารอนุพันธ์จะมีกำไรสุทธิ 256 ล้านบาท           ภัยแล้ง อาจฉุดให้ปริมาณอ้อยฤดูกาลหน้าลดลง          จากปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าปริมาณผลอ้อยของประเทศไทยในฤดูกาล ผลิตปี 53/54 น่าจะยังออกมาทรงตัวจากฤดูกาลที่ผ่านมา (52/53) ที่ระดับ 69 ล้านตันอ้อย และจะทำให้ เป้าหมายที่ทาง KSL คาดว่าจะมีอ้อยเข้าหีบที่ระดับ 5-6 ล้านต้นอ้อย อาจจะเป็นระดับที่สูงเกินไป อย่าง ไรก็ตามเราคาดว่าปริมาณอ้อยเข้าหีบในปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 52 ที่มีเพียง 4.4 ล้านตันอ้อยได้ หลังจากเปิดเดินเครื่องโรงงานน้ำตาลบ่อพลอยเฟส 1 ได้เต็มที่ ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 14,000 ตันอ้อย/วัน        ส่วนที่ลาวและกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งมากนัก โดยคาดว่าในฤดูกาลผลิตหน้าจะ สามารถหีบอ้อยได้เพิ่มขึ้นจากปีนี้ได้ แต่คาดว่าจะยังพบกับผลขาดทุนอยู่เล็กน้อย (ต่ำกว่าปี 53 ที่เราคาดว่า จะขาดทุนประมาณ 200 ล้านบาท)         บ่อพลอยอยู่ระหว่างสร้างเฟส 2 ส่วนโรงใหม่รอไปอีก 3 ปี          ด้านความคืบหน้าโครงการบ่อพลอย ปัจจุบันเฟส 1 ก่อสร้างเสร็จแล้วเตรียมเดินเครื่องเต็มปีใน ฤดูกาลผลิตหน้า ส่วนเฟส 2 อยู่ระหว่างก่อสร้างซึ่งเมื่อสร้างเสร็จในปี 54 จะทำให้มีกำลังการหีบอ้อยเพิ่ม ขึ้นอีก 14,000 ตัน/วัน (และมีเฟส 3 ที่จะลงเครื่องจักรเพิ่มกำลังการหีบอ้อยอีก 4,000 ตัน/วันในปี 55) ส่วนการก่อสร้างโรงงานใหม่อีก 2 แห่งคือโรงน้ำตาลที่จังหวัดเลย และการย้ายโรงงานจากจังหวัดชลบุรี ไปยังจังหวัดสระแก้ว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาโดยคาดว่าใช้เวลาอีก 3 ปีจึงจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จ         1H53 กำไรหดเกินคาด ปรับกำไรสุทธิใหม่ ลดลง 29%YoY          กำไรสุทธิในช่วง 1H53 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 42% ของกำไรสุทธิทั้งปีที่เราคาดไว้ ขณะที่ในช่วง 2H53 ยังมีปัจจัยลบจากธุรกิจเอทานอลที่เริ่มมีปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากราคากากน้ำตาลที่อยู่ในระดับ สูง แต่จะไม่มีแรงกดดันจากธุรกิจอนุพันธ์เข้ามาเหมือนในช่วง 1H53 เราจึงปรับกำไรสุทธิลงเหลือ 640 ล้านบาทลดลง 29%YoY ขณะที่ในปี 54 เราคาดว่า KSL จะได้ประโยชน์จากการเดินหน้าโรงงานบ่อพลอย ที่จะทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเราคาดกำไรสุทธิในปี 54 อยู่ที่ 901 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการ ในปี 54 จะกลับมาฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงด้านปริมาณอ้อยอยู่จากปัญหาภัยแล้ง เราจึงแนะนำเพียง "ถือ" เท่านั้นโดยประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 54 อยู่ที่ 12.60 บาท (DCF, WACC 8.30%) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:02:10

ความคิดเห็นที่ 35 ข่าวหมดแล้วจ้า ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาฟังเราบ่น ฮ่าๆ ...... วันนี้ตลาดโดนทุบ ขอให้ระวังตัวกันให้ดีน้า ไว้พรุ่งนี้เจอกันในกระทู้ของวันพรุ่งนี้จ้า คืนนี้ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ทุกคนนะ Sweet dream to all !~* เรนเบอร์รี่~* จากคุณ : เรนเบอร์รี่~* (LoknaR) เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:05:57

ความคิดเห็นที่ 36 . จากคุณ : ยากแท้หยั่งถึง เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:08:24

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาให้กำลังใจค่ะ คนเก่าช่างมัน หาใหม่ก็ได้ค่ะ เอาแบบแจ๋วๆไปเลย .. จากคุณ : โป๊ะโกะน้อย เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:13:16

ความคิดเห็นที่ 38 เป็นกำลังใจให้ครับ อย่าไปยึดติดมันเลย ถือว่าเป็นบททดสอบชีวิตให้แกร่งขึ้น จากคุณ : LadyYoung เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:19:28

ความคิดเห็นที่ 39 ก็ยังดีนะคะ ยังเอากลับมาได้ ^^ (เข้มแข็งมากค่ะ) และหุ้นพื้นฐานดีๆ ในตลาดมีมากมายหลายตัว สู้ๆ เป็นกำลังใจให้นะคะ จากคุณ : When you love someone เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:20:13

ความคิดเห็นที่ 40 เข้ามาเป็นกำลังใจให้ครับ ... รักมาก ติดดอยมาก ... สู้ๆครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:45:19

ความคิดเห็นที่ 41 you will never walk alone จากคุณ : phisak เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:50:16

ความคิดเห็นที่ 42 เป็นโสด ดีกว่า อิสระกว่ากันเยอะ จากคุณ : หอมจัง เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:50:51

ความคิดเห็นที่ 43 สู้ๆ ครับ ยังมีสิ่งดีๆ ในวันข้างหน้าครับ จากคุณ : เกือบไม่ได้มาแล้ว เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 20:52:45

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ  และให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ คิดว่าเป็นสีสัน/เขียนถูกไหมนะ/ของชีวิต แล้วมันก็จะผ่านไป สู้สู้ จากคุณ : กินลม เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 21:01:16

ความคิดเห็นที่ 45 เดี๋ยวเวลาก็จะช่วยให้ดีขึ้นครับ มีเค้าหรือไม่มีเค้า ยังไงพรุ่งนี้เช้าดวงอาทิตย์ก็ยังขึ้นเหมือนเดิม สู้ๆครับ จากคุณ : babeheart เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 21:49:40

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าศึกษาธรรมะ จะเข้าใจถึงความไม่เที่ยงในสรรพสิ่ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทำใจให้เข้าใจเสียโดยเร็ว แล้วเดินต่อไปบนเส้นทางหัวใจครับ จากคุณ : เป็ด เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 22:50:00

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณทุกกำลังใจจ้า ในที่สุด ความเหงามันก็มาเคาะประตูหน้าบ้านเรียกเราอีกแล้ว เหมือนเป็นเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย ... เพียงแต่จะไม่ได้เห็นกันก็ตอนเราหัวใจซุกซน การตัดใจนี่มันยากกว่าการ Cut Loss ขายขาดทุนตอน -20% อีกนะเนี่ย ฮ่าๆๆ ใครที่มีแฟนแล้ว .... ขอให้รู้ไว้เถอะ ว่าโชคดีแค่ไหน ที่มีใครซักคนให้เราคิดถึง ให้เราห่วงใย ให้ชีวิตมีชีวิตชีวา สุขทุกข์เคล้ากันไป ... ถึงแม้บางคู่อาจจะอยู่ไกลกัน เราอิจฉาพวกคุณนะ !! จากคุณ : เรนเบอร์รี่~* (LoknaR) เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 53 23:22:43

ความคิดเห็นที่ 48 < Get well soon ka > จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 00:27:52

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณมากค่ะสำหรับข้อมูลและขอเป็นกำลังใจใหเข้มแข็งต่อไปนะค่ะเดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีขึ้น สู้ๆๆคะ จากคุณ : beckandbobo เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 04:40:11

ความคิดเห็นที่ 50 ให้เพลงเป็นเพื่อน จากคุณ : WindReturn เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 06:07:23

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณและให้กำลังใจค่ะ คู่แล้วย่อมไม่เเคล้วกัน   แต่ไม่แน่ในอนาคตข้างหน้าอาจจจะได้เจอคนที่ดีกว่านี้แน่ค่ะ จากคุณ : nonny b เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 09:26:20

ความคิดเห็นที่ 52 TOPNEWS:ข่าวเด่นในประเทศวันนี้ ภาคเที่ยง : 25/06/2010 จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 14:42:55