ความคิดเห็นที่ 1 ก่อนอื่นต้องดูที่ "นโยบายการจ่ายปันผล" ของแต่ละบริษัท และดูว่าในอดีตที่ผ่านมา บริษัทมีความสามารถในการจ่ายปันผลอย่างไร สม่ำเสมอ (เติบโตขึ้นเรื่อยๆ) หรือไม่ ? หลักการก็คือ เทียบราคา ณ ปัจจุบัน กับ อัตราการจ่ายปันผล ดังนั้น จึงกำหนดตายตัวไม่ได้ว่าหุ้น A หรือ B จะมี yield ที่สูงกว่ากัน เพราะสิ่งสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักก็คือ eps หมายความว่า ถ้าบริษัทใดมีอัตราการเติบโตของ eps ที่แน่นอนและมั่นคงกว่า สิ่งนี้จะทำให้เราคาดการณ์ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น ผิดกันกลับบริษัทที่ eps ผันผวน ... นั่นจะทำให้ yield ที่ได้ในแต่ละปีแตกต่างกัน อย่างนี้จะค่อนข้างลำบากครับ ส่วนใหญ่แล้วหุ้นปันผล p/e จะค่อนข้่างคงที่ หรือเพิ่มขึ้นอย่างไม่หวือหวา เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะ eps มักจะไม่ค่อยเติบโตแบบก้าวกระโดด ผิดกับหุ้น growth หรือ หุ้น cyclic ครับ ส่วน p/bv นั้น  ในแง่ของปันผลแล้วไม่ค่อยมีนัยสำคัญเท่าไหร่  ส่วนใหญ่จะมองไปในเรื่องส่วนต่างของราคามากกว่าครับ รอท่านอื่นมาชี้แนะเพิ่มนะครับ ผมพูดเท่าที่ผมรู้ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 12:52:55

ความคิดเห็นที่ 2 (A) 50*200 3.50% = 350 บาท (B) 100*100 5.25% = 525 บาท A ปันผลเยอะกว่า ?? 3.5% นะครับ ไม่ใช่ 3.50 บาทต่อหุ้น ผมเข้าใจอะไรผิดไปหรือป่าวเนี่ย?? จากคุณ : Teddiez เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 12:54:48

ความคิดเห็นที่ 3 เงิน 10000 บาท ซื้อหุ้น A ได้ 200 หุ้น ซื้อหุ้น B ได้ 100 หุ้น หุ้น A มี eps = 3.5 (2800/800) หุ้น B มี eps = 6.25 โจทย์ที่ จขกท. ให้มา บอกได้แค่ eps นะครับ สิ่งที่ยังขาดก็คือ "นโยบายการจ่ายปันผล"  (จขกท. ต้องกลับไปดูก่อน) สมมติว่า หุ้น A และ B มีนโยบายการจ่ายปันผลที่เหมือนกันคือ ประมาณร้อยละ 50 ของกำไร/ต่อ นั่นคือ หุ้น A จะจ่ายปันผล 1.75 บาท/หุ้น หุ้น B จะจ่ายปันผล 3.125 บาท/หุ้น นั่นคือ จะได้เงินปันผลหุ้น A = 350 บาท และ จะได้เงินปันผลหุ้น B = 312.50 บาท ประมาณนี้ครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:02:04

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ถูกครับ.... 3.5%, 5.25%....คิดจากเงิน 10000 บาทครับ เพราะฉะนั้นหุ้น B จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่ตรงนี้จะเป็นตัวเลขของเงินปันผลของงวดที่แล้ว  เมื่อเทียบกับราคา ณ ปัจจุบันนะครับ... ดังนั้น 3.5% หรือ 5.25%....จะเป็นตัวเลขที่ไม่แน่นอนครับ เงินปันผลขึ้นอยู่กับ กำไรที่ได้ และ นโยบายปันผลครับ.... นักลงทุนแนวปันผลจะพยายามคาดเดา(อย่างมีเหตุผล)เกี่ยวกับการจ่ายปันผลในงวดที่จะมาถึง....แล้วเปรียบเทียบกับราคา ณ ตอนนั้น จากคุณ : luangrit เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:06:00

ความคิดเห็นที่ 5 ขอโทษทีครับขอแก้โจทย์นิดนึงครับเนื่องจากได้คำตอบเร็วเกินคาด เลยขอถามอีกแบบ อิอิ ขอบคุณคห.บนทุกท่านด้วยครับ ^^ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 13:25:16 จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:18:45

ความคิดเห็นที่ 6 เอาโจทย์แบบนี้มาทำไมครับ คุณลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไปหรือเปล่า? ต่อให้หุ้นที่มีปัจจัยภายในทุกอย่างเหมือนกันหมด ยกตัวอย่าง A1 และ A2 แต่ถ้าอยู่ต่างอุตสาหกรรมกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันสุดขั้วครับ เช่นถ้า A1 อยู่ในภาคส่งออก แต่ A2 อยู่กลุ่มนำเข้า ถ้าเงินบาทแข็งเกิดอะไรขึ้นครับ ??? A1 จะพัง แต่ A2 จะรวยครับ การนำข้อมูลสมมติแบบนี้มา มองได้แค่ว่า "ในอดีต" และ "ปัจจุบัน" อะไรดีกว่ากัน แต่ไม่ได้บอกเลยว่า อนาคตใครจะอยู่ใครจะไป หุ้นที่ดีกว่า อาจจะกำลังขาลง แต่หุ้นที่ด้อยกว่า อาจจะอยู่ในช่วง turn around ก็เป็นได้ ฝากไว้อีกมุมหนึ่งครับ ไม่ต้องมา A หรือ B หรอกครับ เอาชื่อหุ้นมาเลย จะได้ช่วย ๆ กันวิเคราะห์กันตามข้อมูลที่มี สมมติมาแบบนี้ไม่ไหวหรอกครับ โอกาสพลาดสูงมาก ๆ จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:27:45

ความคิดเห็นที่ 7 เอาอดีตเป็นพื้นเพื่อคาดการณ์อนาคตครับ อย่ายึดติดกับผลประกอบกาณ์ในอดีตมากไป   อนาคตสำคัญกว่า ถ้า PV BV ROE EPS ใกล้เคียงกันก็ดูว่าตัวไหนเติบโตเร็วกว่า จากคุณ : OrbLink เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:31:56

ความคิดเห็นที่ 8 เราดูง่ายๆเลยค่ะ ... จำนวนเงินปันผลต่อหุ้น เป็นกี่เปอร์เซนต์ ของราคาที่เราจ่ายต่อหุ้น ตัวเลขอื่นๆ ค่า ต่างๆ เป็นตัวช่วย ตัดสินใจ ว่าจะถือหุ้นตัวนั้นไปนานเเค่ไหน นโยบายจ่ายปันผล มากน้อย ก็อาจจะไม่สำคัญ เพราะ บางกิจการ เค้าต้องกันกำไรสะสมไว้ เผื่อวัสดุ วัตถุดิบแพงขึ้น แต่บางกิจการ เจ้าของเคี่ยวเกินไป แถมยึกยักในปีที่กำไรมาก เราก็จะไม่สนใจหุ้นตัวนั้นเลย จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:33:51

ความคิดเห็นที่ 9 โอ๊วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว โอ๊วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว โอ๊วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว จากคุณ : ตงฟาง (GodWinA) เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 13:53:24

ความคิดเห็นที่ 10 คห.6 ครับ ผมไม่ได้ถามว่าตัวไหนดีกว่ากันระหว่างAกับBนะครับ ผมถามว่า มันมีเครื่องมือหรือการคำนวณแบบที่ผมพูดถึงเอาไว้อยู่แล้วหรือเปล่า ผมจะได้ไปดูไม่ต้องมาคิดเองไงครับ คือถ้าเอาตามตำราหุ้นปันผล หรือแนว VI  เค้าว่าให้เลือกหุ้นที่กำไรดีกว่า เพราะฉะนั้นก็ต้อง หุ้น A ซึ่งเอาเข้าจริง หุ้น B ได้ปันผลคุ้มกว่าซะงั้น จริงอยู่ที่มันมีองค์ประกอบส่วนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่ผมถามหาก็คือ จากกำไรที่เรารู้เนี่ย มันมีการคำนวณต่อออกไป หรือมีการเอาองค์ประกอบทั้งหมดมาคำนวณ จนสามารถคาดเดาเงินปันผลได้ หรือไม่เท่านั้นเองครับ ถ้ามีผมจะได้ไปดูตรงนั้น ไม่มาหลงกับแค่ตัวเลขกำไรอย่างเดียวไงครับ ปล.ทำไมพูดเหมือนไม่ให้สนใจงบการเงินซะงั้นล่ะครับ - -" ปล.2 คห. 9 เป็นอะไรไปครับ จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 15:51:07

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรับเราแล้ว ปันผล เอาไว้เป็นแค่ MOS  รองจาก pe p/bv roe roa เอา growth นำหน้า   แต่คาดการณ์ยาก แต่ต้องคาดเพราะเราซื้อหุ้นวันนี้ก็คือ ซื้ออนาคต หุ้นต่างกลุ่ม นำมาเปรียบเทียบกันลำบากมาก  เราไม่ทำยกเว้น เซคเตอร์เดียวกัน ธุรกิจใกล้เคียงกันค่ะ จากคุณ : boozy bird เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:21:16

ความคิดเห็นที่ 12 หุ้น A ราคา 50 บาท กำไร 3.5 บาทต่อหุ้น หรือ 7% ปันผล 30% = 1.05 บาท >> Yield = 2.10% หุ้น B ราคา 100 บาท กำไร 6.25 บาทต่อหุ้น หรือ 6.25% ปันผล 40% = 2.50 บาท >> Yield = 2.50% คุณคำนวณผิดหรือว่าผมคำนวณผิดกันแน่ครับ ? ดูแต่เงินปันผล หุ้น B น่าสนใจกว่าแน่นอน ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วมันจะไม่น่าสนใจเลยทั้ง A และ B เพียงแต่ถ้าดูที่กำไรต่อหุ้น หุ้น A นั้นทำได้มากกว่า แต่จ่ายปันผลน้อยกว่าเป็นเพราะนโยบายการปันผล แต่ประเด็นคือ คุณอยากได้เครื่องมือที่บอกว่า จะซื้อ A หรือ B ดี .... เครื่องมือที่ว่ามันไม่มีหรอกครับ คุณต้องตัดสินใจเอาเอง ด้วยปัจจัยที่ผมบอกว่าเป็น "อนาคต" นั่นแหละ ตำรา VI ที่ไหนก็ไม่ได้บอกว่าให้เลือก A หรือ B หรือตัวที่กำไรดีกว่านะครับ เพราะการดูแค่ "กำไร" น่ะ ทำเอา VI ชั่วคราวตายมานักต่อนักแล้วครับ เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายตัวที่ต้องมาประกอบกัน ไม่ใช่แค่กำไรที่เห็นอยู่ อยากคาดเดาเงินปันผลได้เหรอครับ ผมจะบอกเคล็ดลับให้ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการคาดเดาเงินปันผล และแม่นยำสูงสุด ไม่ว่าหุ้นนั้นจะกำไรดีหรือไม่ดี คือ ...... ..... ..... ..... ไว้จะมาตอบในความเห็นหลังจาก #20 ครับ จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:52:03

ความคิดเห็นที่ 13 งั้นตัดเรื่องเปรียบเทียบคนละกลุ่มออกไปก็ได้ครับเอาเป็นว่ากลุ่มเดียวกันหุ้น A กับ B ตามที่ตั้งกระทู้เนี่ยแหล่ะ แล้ว roe กับ roa มัน เอามาคำนวณในเรื่องของอะไรบ้างอ่ะครับ จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:53:45

ความคิดเห็นที่ 14 13 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:54:19

ความคิดเห็นที่ 15 15 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:57:54

ความคิดเห็นที่ 16 16 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:58:12

ความคิดเห็นที่ 17 17 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:58:25

ความคิดเห็นที่ 18 18 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:58:39

ความคิดเห็นที่ 19 19 จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 16:59:04

ความคิดเห็นที่ 20 พี่ Morning Star ครับ พี่คำนวณไม่ผิดครับ แบบว่าผมอุตริไปเปลี่ยนคำถามอ่ะครับ ขอโทษด้วยครับ - -' ผมเปลี่ยนคำถามจากกำไรต่อหุ้น 3.5 บาท กลายเป็นเงินปันผล 3.92 %จากมูลค่าหุ้น(คือจริงๆผมตั้งใจจะหมายความถึงอย่างหลังครับ แต่สื่อความหมายผิดไปครับ) แต่พอมาอ่านทบทวน+กับทำความเข้าใจใหม่ก็เลยได้คำตอบเรื่องที่ตัวเองเข้าใจผิด ก็เลยเปลี่ยนคำถามด้วยการแก้ไขข้อความครับ แต่คิดว่าระหว่างนั้นพี่ กำลังพิมตอบผมอยู่ก็เลยมาเป็นคห.ต่อท้ายผมไปครับ แล้วผมเองนึกว่าพี่ตอบคำถามใหม่ผมครับ ขอโทษอีกทีครับ - -' จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:01:59

ความคิดเห็นที่ 21 21 อิอิ ขอตัวไปธุระนอกบ้านก่อนแล้วดึกๆมาใหม่ครับ ^^ จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:02:44

ความคิดเห็นที่ 22 หุ้นปันผล ต้องดูว่าปันผลเทียบเป็นกี่%ของกำไรในปีนั้น (ไม่ควรเทียบกับราคาหุ้น) เพราะในธุรกิจมี 4 stage คือ 1. introduction stage เป็นช่วงเริ่มธุรกิจ ธุรกิจอาจจะยังไม่มีกำไร แต่มี potential growth ที่สูงมาก 2. growth stage เป็นช่วงboomของธุรกิจ การเติบโตสูงในระดับก้าวกระโดด ในระดับนี้ เงินปันผลที่ได้จะต่ำเมื่อเทียบกับกำไรในแต่ละปี(คืออาจจะได้เพียง 20%-40% ทั้งนี้ส่วนมากบริษัทที่อยู่ใน growth stage มักจะปันผลไม่เกิน 50%ของกำไรสุทธิในปีนั้นๆ) 3. mature stage เป็นช่วงอิ่มตัวของธุรกิจ ถ้าเป็นในBCG จะเรียกว่า cash cow คือบริษัทจะจ่ายปันผลในสัดส่วนที่สูง อาจจะสูงถึง80%-90%ของกำไรในปีนั้นๆเลยทีเดียว 4. decline stage เป็นช่วงถดถอยของธุรกิจ หากผู้บริหารเก่งอาจจะสามารถนำพาบริษัทเข้าสู่การแข่งขันหรือผลักดันสินค้าใหม่ๆให้บริษัทกลับเข้าสู่ growth stageได้ (เพราะอาจจะใช้ฐานลูกค้า และฐานsupplierเดิม จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องไปเริ่มที่ intro stage) แต่ถ้าผู้บริหารหมดไฟ หมดใจ บริษัทก็มอดไปเอง กำไรบริษัทจะเริ่มลดลงเรื่อยๆจนถึงขั้นขาดทุน ถ้าผู้บริหารใจถึงหน่อยก็อาจจะขายบริษัทหรือปิดกิจการในขณะที่กิจการยังมีกำไรอยู่ ถ้าเป็นผม ผมจะดูตัวธุรกิจก่อนเป็นหลักว่ามีแนวโน้มขยายตัว หรือแนวโน้มหดตัว จากคุณ : clientuser เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:11:15

ความคิดเห็นที่ 23 เข้ามาอ่านครับ...เพราะไม่รู้เรื่อง..คำนวนไม่เป็น.. จบแค่ มศ. 3 ตอนเรียน/หนีไปแทงสนุ๊กประจำ..หุหุ ดีครับ...ได้ความรู้ดี... ไม่มีใครแก่เกินเรียน... และ...ไม่มีใครแก่เกินเจ๊งหุ้น...555.. จากคุณ : เล้ง// (แก้วบางจาก) เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:12:19

ความคิดเห็นที่ 24 คห. 13 ลองอ่านดูนะค่ะ พี่ โยโย่ เขียนไว้  ROE - ย่อมาจาก Return on Equity หรือกำไรสุทธิหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นอัตราส่วนที่ Buffett นั้นให้ความสำคัญค่อนข้างมาก ความหมายของ ROE นั้นเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเงินที่บริษัทนั้นเก็บเอาไว้ทุกบาทนั้นบริษัทสามารถ นำไปทำให้งอกเงยได้ในอัตราผลตอบแทนเท่าไหร่ ... เพราะฉะนั้น ROE ยิ่งสูงก็ยิ่งดี ตัวเลขมาตราฐานที่มักจะใช้กันคือความสูงกว่า 12-15% อย่างต่อเนื่องหลายๆปีอันนี้ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนนะ แต่สำหรับเราแล้ว roe ถ้ามากกว่า 20 ติดต่อกันหลายปี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นหุ้นโตเร็ว  roa ก็เหมือนกัน ต่างกันตรงแค่ เป็น Return on Assets ความหมายก็เหมือนกันค่ะ ต่างแค่เป็นกำไรต่อสินทรัพย์ จากคุณ : boozy bird เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:13:42

ความคิดเห็นที่ 25 คุณ คนจนที่อยากรวย ทำได้ดีมากเลย วันหลังผมจะเปลี่ยนเป็นขอ 20 กีบแทนละกัน เฉลยก็ได้ ปัจจัยในการดูอัตราปันผลที่แม่นยำที่สุด คือสิ่งที่คุณหาไม่เจอในงบการเงิน แต่จะพบในรายงานประจำปี ไม่ใช่ตัวเลขทางการเงิน หรือ indicator ใด ๆ ทั้งสิ้น ปัจจัยที่ว่านั่นคือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ และ บอร์ดบริหารครับ ..... แป่ววว ดังนั้น การที่คุณจะรู้ได้ว่า หุ้นตัวไหนอนาคตจะปันผลดีหรือห่วย ไม่ได้อยู่ที่ว่าบริษัทนั้นทำกำไรได้ดีหรือเลวร้ายแค่ไหน โตขึ้นหรือลดลง นโยบายปันผลก็เป็นแค่ผลของการตัดสินใจของคน 2 กลุ่มนี้เท่านั้น ยกตัวอย่าง WG, TR หรือ SUC ในอดีต เป็นหุ้นที่เงินสดเหลือเยอะมาก กำไรต่อปีก็ดีมาโดยตลาด แต่ปันผลไม่ได้สมเหตุสมผลกับผลประกอบการเอาซะเลย นั่นเป็นเพราะปัจจัยหลักเค้าต้องการแบบนั้น รายย่อยยับอย่างเราทำอะไรไม่ได้ครับ หรืออย่าง GC, PATO เป็นหุ้นที่ผลกำไรคิดเป็น % ก็ไม่ได้ต่างกันกลุ่มบน ๆ มากนัก แต่ปันผลมาในอัตราที่สูงมาก เนื่องจากความต้องการของผู้ถือหุ้นใหญ่และบอร์ดมันเป็นเช่นนั้นนี่เอง หรือ SNC เองปีที่แล้วก็กำไรไม่มากเลย แต่ว่าผู้บริหาร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย ต้องการช่วยเลือกผู้ถือหุ้นรายย่อย จากการที่หุ้นถูก diluted หลังเพิ่มทุน และผลประกอบการไม่ดี จึงปันผลออกมาเกินกว่า 100% เป็นการช่วยเหลือกันเฉพาะคราวไป อย่างนี้ไงครับ ถามว่า ADVANC แต่ก่อนปันผลรีดเลือดปูอย่างปัจจุบันมั๊ย แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เพราะนโยบายขอเงินคืนของเทมาเสก ทำให้ ADVANC ปันผลแบบรีดเงินออกมาทุกบาททุกสตางค์ อย่างปีที่แล้วก็ปันผลออกมาเกินกำไรประจำปี ต้องไปเอาเงินจากกำไรสะสมมาปันผลพิเศษเท่าที่กระแสเงินสดจะอำนวย นี่แหละครับที่ผมบอกว่า ปัจจัยที่หาไม่ได้ในงบการเงินคืออะไร ถ้าคุณอยากได้หุ้นปันผลที่ดี การดูว่ากิจการทำกำไร และมี growth หรือเปล่านั้นสำคัญ แต่สำคัญกว่าอย่างที่ว่าไว้ข้างบน ... ขาใหญ่ และ บอร์ด ... เค้าอยากจะเอากำไรมาปันผลหรือเปล่า ?? ถ้าใช่ .. ลุย ... ถ้าไม่ใช่ .. ลุยไปก็ดอยสิครับ ส่วนถ้ามองแค่การปันผลอิงกับผลประกอบการ อ่าน #22 ไว้ก็ดีครับ และไปทำความเข้าใจกับ BCG Matrix ด้วย คุณจะได้รู้ว่า หุ้น A ถ้าเป็นประเภท Star ในวันนี้ ถึงแม้จะปันผลน้อยกว่าหุ้น B ที่อาจจะเป็น Cash Cow แต่มันจะมี growth ที่จะเป็นตัวทำให้ A มีอนาคตผลตอบแทนดีมากกว่า B ในไม่ช้าครับ ตรงกันข้าม ถ้าคุณมัวแต่ถือแม่วัว โดยไม่ได้ดูเลยว่ามันแก่เกินจะรีดนมแล้ว ... ซักวันหนึ่งวัวของคุณมันก็จะตายครับ คุณจะไม่เหลืออะไรเลย ทั้งนมก็ไม่ได้ เนื้อก็ขายไม่ออก ... เคลียร์เปล่าครับ ? แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 17:32:29 จากคุณ : Morning Star เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:27:57

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับพี่ Evening Star ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ หุ้น Super Star กับ หุ้นแม่วัว(ที่แก่เกินจะรีดนม) ได้เห็นภาพมากๆครับ จากคุณ : คนจนที่อยากรวย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 17:37:54

ความคิดเห็นที่ 27 รบกวนแวะไปที่กระทู้ต่อเลยนะครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9401606/I9401606.html ดูงบการเงิน (ขอบคุณทุกท่าน) จากคุณ : superman2007 เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 18:22:34

ความคิดเห็นที่ 28 A คือ BIGC B คือ MAKRO เข้ามาเดาเฉยๆ ช่วยอะไร จขกท ไม่ได้เลย 55+ จากคุณ : potojae เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 19:04:04

ความคิดเห็นที่ 29 ... แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 53 20:57:06 จากคุณ : potojae เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 53 19:06:10

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณครับ เจอศัพท์เพิ่มอีกแล้วว  ~~>.<~~ ขอบคุณ พี่คนจนฯ พี่morning และเจ๊boozy bird มั่กๆครับ ^^ มีคนมาเฉลยหุ้นให้ด้วยเสร็จสรรพ 555+ จากคุณ : ทายาทจูล่ง เขียนเมื่อ : วันต่อต้านยาเสพติดโลก 53 01:08:22