|
ความคิดเห็นที่ 10 |
เงินมากน้อยไม่สำคัญเท่า"อยู่ในที่ปลอดภัย"หรือเปล่า ..ต่างหาก
ช่วงสงกรานต์(ว่างมาก).. ผมจึงตะลุยอ่านหนังสือ และบทความต่างๆมากมาย (ซึ่งจะหมกมุ่น กับการลงทุนเป็นหลักฮิ ฮิ..)ยิ่งผมศึกษา ประวัติของระบบการเงิน และระบบทุนนิยม --ผมยิ่งรู้สึกถึงความ"เสียว" .."ความเสียว"ที่ว่า ก็คือ "ความไม่จีรัง" --คนส่วนใหญ่ที่"ยังไม่มีเงิน" มักมุ่งแสวงหาโดยไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เรียก Zero Base แต่พอคุณเริ่มมีเงิน..คราวนี้คุณจะเริ่มกลัวที่จะสูญเสียมากขึ้น อันนี้เรียกว่า คุณ "มีต้นทุน"เข้าให้แล้ว
ผมเชื่อว่า รุ่นลูก รุ่นหลาน ของคนที่ทางบ้าน พอจะมีกิจการ ให้สืบทอด จะกลัวการสูญเสียมากๆ --ผมมีเพื่อนคนนึง ตอนนี้ดูแลธุรกิจต่อจากพ่อ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีขนาดหลายร้อยล้านทีเดียว --สิ่งที่ผมพบ เมื่อคุยกับเพื่อนก็คือ "ความกลัว" .. จะว่าไปแล้ว คนที่"มีเงิน" ย่อมต้องกลัวสูญเสียเป็นธรรมดา ดังนั้น การตัดสินใจทั้งหมดจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมองที่"แคบ"
ใช่แล้วครับ ...อารมณ์ "ความกลัว" กลายเป็นพื้นฐานหลักของการดำเนินธุรกิจ ของรุ่นที่ 2 และ 3 ในการสืบทอดกิจการ --ข้อดีของกิจการที่ได้รับสืบทอดคือ มีทรัพยากรที่มาก ทำให้การบริหารต่างๆทำได้ง่าย แต่ข้อเสียคือ การมองว่าทุกอย่างเป็น"ความเสี่ยง" ทำให้ธุรกิจ ตั้งแต่ได้รับสืบทอดมานั้น ไม่ได้เติบโตขึ้น กลับมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ (การที่ธุรกิจเรา ไม่โตขึ้น ก็เท่ากับเล็กลง โดยปฏิยาย เพราะเศรษฐกิจ และตลาดโตขึ้น ค่าเงินก็ลดลง ดังนั้น ถ้าเราได้เงินเท่าเดิม ก็คือ การเดินถอยหลังนั่นเอง)
การลงทุนก็เช่นกัน ตั้งแต่ผมกลับมาเมืองไทย ผมเริ่มเข้ามา"บริหารPort ของครอบครัวอย่างจริงจัง" ส่งแรกที่ผมเจอคือ ครอบครัวผม ไม่ได้บริหารให้เงินเพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปี ดังนั้น การที่ตลาดภายนอกโต ขึ้นก็เท่ากับว่า เราจนลง โดยที่เรา"อยู่เฉยๆ ไม่เสี่ยง เช่น ฝากธนาคาร หรือ การซื้อพันธบัตร รัฐบาล--- ด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้ผมทุ่มเท เวลาอย่างหนักในการศึกษาถึง Risk& Return ของ การลงทุนอย่างจริงจัง
หลังจากที่ศึกษาโอกาสในตลาดเมืองไทย พบว่า "ทางเลือกของนักลงทุนไทย"น้อยมาก.. แม้ตลาดหุ้นเองยังเล็กมากๆ คือ ทั้งตลาดเรายังเล็กกว่า บริษัทเดียวของจีนเลย (ขนาดว่า ตลาดเขาเกิดหลังเราตั้งนาน) นี่ยังไม่นับตลาดเพื่อนบ้านอย่าง อินโด มาเล ที่แซงเราไปไหนต่อไหนแล้ว (ไม่ต้องพูดถึงทางเลือกอื่นเลย อย่าง Commodity แทบไม่มีให้ลง)ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมทุกๆปี คนไทยจะ "จนลงเรื่อยๆ" แต่คุณ รู้ไหมมีคนอยู่กลุ่มนึง ที่"รวยขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ" เขาเรียกตัวเองว่า Value Investor
หลักการของพวกเขาคือ การมองหาหุ้นราคา"ถูก" จากนั้นก็ซื้อ "ไม่ขาย" จะขายอีกทีก็เมื่อราคามันสูงเกินไปแล้ว --คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยมาแต่เกิด เพียงแต่เขาลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น ดร.นิเวศน์ จากปี 1997 เขาลงทุนด้วยเงินไม่กี่ 10 ล้าน จนปัจจุบัน port เหยียบ 1,000 ล้านบาท
--คุณ คิดดูว่าแล้ว ลูกเศรษฐีที่สืบทอดกิจการใหญ่ๆของครอบครัว --มีเงินเท่าไหร่ (ทำได้อย่าง ดร.นิเวศน์ อ่ะเปล่า --"ไม่ได้") คุณรู้ไหมว่าทำไม ---(ถูกต้อง) --"ความเสี่ยง" นั่นเอง
..Value Investor โดยมากถือหุ้น 100% เกือบตลอดเวลา (ผมยังไม่กล้าทำเลย) ส่วนลูก เศรษฐี ส่วนมาก(ผมพนันเลย)ว่าเงินเขาส่วนใหญ่อยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด คือ "เงินฝากธนาคาร หรือ พันธบัตรรัฐบาล" ..และที่ปลอดภัยที่สุด ฉะไหน!!! กลายเป็นที่ "ที่เสี่ยงที่สุด" ไปได้ (งง) ....(งง) ไปเลย
--นิทาน เรื่องนี่มันสอนให้รู้ว่า "หากคุณกลัวสูญเสีย คุณจะยิ่งเสีย ... หากคุณไม่กลัวที่จะเสีย คุณกลับกลายเป็นเปิดโอกาสอันมหาศาลสำหรับตัวเอง" ปีที่ผ่านมา 2009 คนที่ซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นปีแล้วไม่ขาย จะได้ผลตอบแทนสูงกว่า "คนที่ซื้อๆขายๆมาก" ประเด็นคือ คนนึงกล้าเสี่ยงที่จะ"ถือหุ้น" ในขณะที่อีกคน"ไม่กล้า--ขึ้นนิดก็กลัวตก รีบขาย!!"
ดังนั้น การ"ซื้อๆขายๆแบบ Trader" ไม่ได้แสดงว่าคุณ "ใจถึง" มันหมายถึงว่า คุณ"ไม่กล้าที่จะเสี่ยง"นั่นเอง ..ผลตอบแทนของ Trader จึงต่างจาก Value Investor อย่าง "ฟ้ากับเหว" --(ที่นี้คุณก็เข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า Risk & Return มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร)......... เขียนโดย pawawit ที่ http://pawawit.=ไม่ใช่ลิขวิด=.com http://www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=13788
จากคุณ |
:
ยากแท้หยั่งถึง (yai-cho)
|
เขียนเมื่อ |
:
28 มิ.ย. 53 14:21:45
|
|
|
|
|