|
"รายละเอียดการทดสอบภาวะวิกฤติภาคธนาคารยุโรป"
|
|
xBT> EUROPE:ปุจฉา-วิสัชนา "รายละเอียดการทดสอบภาวะวิกฤติภาคธนาคารยุโรป" บรัสเซลส์--12 ก.ค.--รอยเตอร์ ประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป (อียู) จะดำเนินการทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ในธนาคารหลายแห่งและจะเปิดเผยผลการทดสอบในวันที่ 23 ก.ค. โดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้ตลาดการเงินมีความมั่นใจในสถานะของระบบ การธนาคารของอียู ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการทดสอบภาวะวิกฤติ:- * ธนาคารแห่งใดบ้างที่จะได้รับการทดสอบ ธนาคาร 91 แห่งที่ครองส่วนแบ่ง 65 % ในภาคธนาคารของยุโรป โดยมีตั้งแต่ธนาคารดอยช์ แบงก์ของเยอรมนีจนถึงธนาคารแบงก์ ออฟ วาลเลตตา ของประเทศมอลตา และรวมถึงธนาคารระดับภูมิภาค 7 ใน 8 แห่งของเยอรมนี ด้วย โดยธนาคารระดับภูมิภาคเพียงแห่งเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมไว้ในการทดสอบครั้งนี้ คือธนาคารซาร์ (Saar) ที่มีขนาดเล็กมาก ขณะที่ธนาคารออมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน ในตลาดของสเปน หรือ caja ทั้ง 45 แห่งจะเข้ารับการทดสอบในครั้งนี้ โดยจะเข้า รับการทดสอบในสถานะที่เหมือนกับว่าแผนการควบรวมกิจการธนาคารกลุ่มนี้ได้เสร็จสิ้น ลงแล้ว ซึ่งแผนควบรวมดังกล่าวจะส่งผลให้จำนวน caja ลดลงครึ่งหนึ่ง ในประเทศสมาชิกอียูแต่ละประเทศนั้น ธนาคารที่เข้ารับการทดสอบจะเริ่ม ตั้งแต่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนั้นและธนาคารลำดับรองลงไปเรื่อยๆจนกระทั่ง ครอบคลุมส่วนแบ่งอย่างน้อย 50 % ในภาคธนาคารของประเทศดังกล่าว ในตอนแรกนั้น ผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียูวางแผนที่จะทดสอบเพียงแค่ ธนาคารข้ามพรมแดนขนาดใหญ่ 25 แห่ง แต่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) และ คณะกรรมการผู้กำกับดูแลธนาคารยุโรป (CEBS) กดดันแต่ละประเทศให้เพิ่ม จำนวนธนาคารที่เข้ารับการทดสอบ * วิธีการทดสอบเป็นอย่างไร หน่วยงานกำกับดูแลของแต่ละประเทศ ซึ่งรวมถึงหน่วยงาน Bafin ของเยอรมนีจะทำการทดสอบ ซึ่งจะประสานงานโดย CEBS ซึ่งเป็นกลุ่มผู้กำกับ ดูแลด้านการเงินที่ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน การทดสอบจะจำลองวิธีการรับมือของธนาคารต่อแรงกดดันทางการเงิน ที่มีต่อเงินกู้และสินทรัพย์อื่นๆในภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ย่ำแย่ลง โดยจะมีการเปิด เผยผลการทดสอบสำหรับธนาคารแต่ละราย อย่างไรก็ดี ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนจะอยู่ในระดับที่มากเพียงใด โดยคาดกันว่าการกำหนด รายละเอียดในเรื่องนี้จะเสร็จสิ้นลงในวันที่ 12-13 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่รัฐมนตรีคลัง อียูมาประชุมกันที่กรุงบรัสเซลส์ สถานการณ์ในการทดสอบครั้งนี้จะเป็นการตั้งข้อสมมุติว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์ มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอียูได้หลุดจากกรอบราว 3 % จากตัวเลข คาดการณ์ของอีซีในช่วง 2 ปีข้างหน้า และจะเป็นการสมมุติว่าเกิด "ภาวะตื่น ตระหนกเกี่ยวกับหนี้สินรัฐบาล" ขึ้น โดยในสถานการณ์ดังกล่าวนี้ ราคาพันธบัตร รัฐบาลบางรายการจะร่วงลงไปอีกจากระดับที่ตกต่ำในช่วงต้นเดือนพ.ค. ขณะที่แหล่งข่าวกล่าวว่า พันธบัตรรัฐบาลกรีซจะถูกปรับลดราคาลง 16-17 % จากระดับในช่วงต้นเดือนพ.ค. ซึ่งนั่นหมายความราคาพันธบัตรดังกล่าวจะลดลง ราว 40 % จากระดับปัจจุบันในการทดสอบครั้งนี้ ธนาคารต่างๆจะได้รับการทดสอบเรื่องความแข็งแกร่งของเงินกองทุน ขั้นที่ 1 (Tier 1 capital) ซึ่งเป็นตัววัดสำคัญสำหรับความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ต้องการที่จะดูว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อ สินทรัพย์จะยังคงอยู่เหนือระดับอ้างอิงขั้นต่ำที่ 6 % ของสินทรัพย์ในระหว่างการ ทดสอบหรือไม่ ทั้งนี้ ถึงแม้อัตราที่ใช้ในการทดสอบนี้อยู่สูงกว่าระดับขั้นต่ำทาง กฏหมายที่ 4 % แต่ก็อยู่ต่ำกว่าระดับที่ผู้ถือหุ้นธนาคารส่วนใหญ่พอใจ โดยขณะนี้ ดอยช์แบงก์มีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์สูงกว่า 11% * จะมีการเปิดเผยผลการทดสอบเมื่อใด จะมีการเปิดเผยผลการทดสอบในวันที่ 23 ก.ค. * การทดสอบมีแนวโน้มที่จะบ่งชี้อะไร การทดสอบธนาคารขนาดใหญ่ 25 แห่งนั้นคาดว่าจะไม่บ่งชี้ถึงปัญหาที่รุนแรง โดยธนาคารเหล่านี้มีความแข็งแกร่งขึ้นโดยรวมนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกในปี 2007-2009 และยังคงมีความสามารถที่จะระดมทุนจากตลาดเงินทุนภาคเอกชน โดยแหล่งข่าวกล่าวว่าธนาคารดอยช์ แบงก์, คอมเมิร์ซแบงก์ และบาเยิร์นของ เยอรมนีได้ผ่านการทดสอบไปแล้ว มีความวิตกอย่างมากเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ผลการทดสอบครั้งนี้ จะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอในงบดุลบัญชีของธนาคารชั้นสองและชั้นสามที่มี ขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึงธนาคารระดับภูมิภาคของเยอรมนีและธนาคารออมทรัพย์ ของสเปน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า รัฐบาลในแต่ละแคว้นของเยอรมนี ซึ่งเป็นเจ้าของธนาคารระดับภูมิภาค ไม่ได้เปิดเผยถึงปัญหาของธนาคารกลุ่มนี้ อย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารจำนวนมากในกรีซและโปรตุเกสไม่สามารถเข้าถึงตลาดทุน ภาคเอกชนในช่วงที่เกิดวิกฤติหนี้สินในประเทศตน และต้องขอเงินกู้จากอีซีบี ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จากอีซีบีและรัฐบาลต่างๆในอียูได้ยืนยันว่า การทดสอบภาวะวิกฤติจะแสดงว่าระบบการธนาคารของยุโรปมีความแข็งแกร่ง โดยพื้นฐาน โดยนางคริสติน ลาการ์ด รมว.เศรษฐกิจฝรั่งเศสกล่าวว่า "และคุณก็จะได้เห็นว่าธนาคารในยุโรปมีความแข็งแกร่งและอยู่ในสถานะที่ดี" นักวิเคราะห์และนักการธนาคารหลายรายเชื่อว่า ในการเพิ่ม ความน่าเชื่อถือของการทดสอบครั้งนี้โดยไม่ทำให้ตลาดตื่นตระหนกกับผล การทดสอบนั้น ผู้ควบคุมกฎระเบียบจะเปิดเผยผลการทดสอบที่แสดงให้เห็น ถึงปัญหาในแต่ละจุดที่ไม่เกี่ยวข้องกันในธนาคารบางแห่ง แต่ปัญหาดังกล่าว จะไม่ร้ายแรงมากพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อระบบการธนาคารทั้งประเทศ * การทดสอบจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาดหรือไม่ การทดสอบภาวะวิกฤติในวงจำกัดต่อธนาคารยุโรปจำนวนไม่กี่แห่ง ในปีที่แล้วไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดได้ และไม่ได้มีการเปิดเผย ผลการทดสอบของธนาคารแต่ละแห่งออกมาด้วย การทดสอบครั้งใหม่นี้มีความใกล้เคียงกับการทดสอบภาวะวิกฤติ ในธนาคารสหรัฐ ทั้งในด้านขอบเขต, ความเข้มงวดและความโปร่งใส โดยการทดสอบในสหรัฐในครั้งนั้นประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการ คลายความวิตกของนักลงทุน อย่างไรก็ดี อาจจะเกิดความเสียหายขึ้นได้ถ้าหากนักลงทุนมองว่า สถานการณ์ที่ใช้ในการทดสอบเป็นสถานการณ์ที่ไม่เลวร้ายมากพอ หรือถ้าหาก มีการเปิดเผยผลการทดสอบเพียงบางส่วนต่อสาธารณชน เพราะการทำเช่นนี้ จะทำให้นักลงทุนมองว่าการทดสอบในครั้งนี้เป็นเพียงความพยายามปั่นความเห็น ในตลาด และปกปิดปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในระบบธนาคาร ซึ่งถ้าหากนักลงทุน มองเช่นนี้ การทดสอบในครั้งนี้ก็จะส่งผลให้ความกังวลในตลาดเพิ่มสูงขึ้น อาจมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น "ภาวะตื่นตระหนกเกี่ยวกับหนี้สินรัฐบาล" ที่ใช้ในการทดสอบ ครั้งนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ประเทศสมาชิกยูโรโซนผิดนัดชำระหนี้อย่างเต็มที่ ขณะที่ธนาคารบางแห่งอาจหลีกเลี่ยงการรับรู้ยอดขาดทุนทางพันธบัตรใน สถานการณ์ดังกล่าวด้วยการระบุว่า ทางธนาคารจะถือครองพันธบัตร ดังกล่าวจนครบกำหนดไถ่ถอน แทนที่จะปรับลดราคาพันธบัตรในบัญชีลง ตามราคาในตลาด สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างธนาคารสหรัฐกับธนาคารยุโรปในการ ทดสอบภาวะวิกฤติก็คือว่า ปัญหาสำคัญสำหรับธนาคารยุโรปหลายแห่งไม่ใช่ คุณภาพของงบดุล แต่เป็นความสามารถในการระดมทุนด้วยอัตราดอกเบี้ย ที่ไม่สูงเกินไป โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้นระหว่างธนาคารพุ่งขึ้นมา แล้วเกือบ 0.20 % ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่อีซีบีเริ่มต้นปรับลด ระยะเวลาในการปล่อยกู้แก่ธนาคารในยุโรป และตลาดคาดว่าอีซีบีจะยุติ นโยบายอัดฉีดเงินทุนอย่างไม่จำกัดจำนวนในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อผลการทดสอบออกมา นักลงทุนจะต้องการดูว่า รัฐบาลของ แต่ละประเทศจะเต็มใจและสามารถดำเนินการอย่างรวดเร็วในการแก้ ปัญหาใดๆ ที่ตรวจพบหรือไม่ ถ้าหากธนาคารไม่สามารถระดมทุนได้มาก พอจากตลาด เจ้าหน้าที่อีซีบีได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆรับประกันว่า มีโครงข่ายความปลอดภัยทางการเงินฉุกเฉินเพื่อสกัดกั้นการล้มละลาย อย่างไม่เป็นระเบียบของธนาคารต่างๆที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย การดำรงเงินกองทุนที่ 6% ในการทดสอบ เนื่องจากงบดุลในภาคธนาคารมีความซับซ้อนและมีความ ไม่แน่นอนเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ตลาดอาจจะไม่ มั่นใจในภาคธนาคาร จนกว่าเศรษฐกิจของประเทศต่างๆในยุโรป จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งกระบวนการนี้อาจกินเวลา 1-2 ปีในประเทศทางตอนใต้ของยุโรป * รัฐบาลจะสามารถรับมือกับปัญหาที่ได้รับการเปิดเผย ในผลการทดสอบครั้งนี้หรือไม่ ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะสามารถรับมือกับปัญหาดังกล่าวได้ ถึงแม้ว่ากระบวนการนี้อาจจะต้องใช้เงินจำนวนมาก, ใช้เวลานาน และก่อให้เกิดความคิดเห็นขัดแย้งในทางการเมือง รัฐบาลต่างๆระบุว่า รัฐบาลได้สร้างโครงข่ายความปลอดภัย แล้ว หรือเต็มใจที่จะดำเนินการต่อไปเพื่อปกป้องระบบการเงินหาก จำเป็น สเปนเป็นตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้ โดยมีการจัดตั้งกองทุน สำหรับการปรับโครงสร้างธนาคารเมื่อ 1 ปีที่แล้ว โดยมีทุนขั้นแรก 9 พันล้านยูโรและสามารถกู้ยืมอีก 9 หมื่นล้านยูโรในตลาดตราสารหนี้ ที่รัฐบาลค้ำประกัน แหล่งข่าวกล่าวว่า ถ้าหากธนาคารแห่งใดแห่งหนึ่งของเยอรมนี ไม่ผ่านการทดสอบ ธนาคารกลางเยอรมนีจะขอให้ธนาคารดังกล่าวกู้เงิน จากตลาดทุน หรือกู้เงินจากกองทุน Soffin ของเยอรมนี ซึ่งยังคงมีเงิน ราว 3 แสนล้านยูโรอยู่ในกองทุน ภายใต้ข้อตกลงกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) นั้น รัฐบาลกรีซได้เตรียมออกกฏหมายเพื่อจัดตั้งกลไกสนับสนุนเงินทุน 1 หมื่น ล้านยูโรสำหรับธนาคารต่างๆในกรณีที่อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลง และธนาคารดังกล่าวไม่สามารถระดมทุนจากตลาด นายโอลลี เรห์น กรรมาธิการเศรษฐกิจและการเงินของอียู กล่าวในวันที่ 5 ก.ค.ว่า ถ้าหากรัฐบาลประเทศใดขาดแคลนเงินทุนที่จะ ใช้ในการเพิ่มทุนให้แก่ธนาคาร รัฐบาลประเทศนั้นก็จะสามารถกู้เงินจาก วงเงินปล่อยกู้ฉุกเฉินจำนวน 5 แสนล้านยูโรที่อียูจัดตั้งไว้ในเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา สินเชื่อดังกล่าวอาจต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการเตรียมการ แต่โครงการที่ได้รับการจัดตั้งในเดือนพ.ค.ระบุว่า อีซีบีสามารถเข้าแทรกแซง ตลาดทุนได้ในทันทีเพื่อลดปัญหาด้านการระดมทุน โดยใช้วิธีเข้าซื้อพันธบัตร ที่ธนาคารดังกล่าวถือครองไว้หรือพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหา--จบ-- (รอยเตอร์ โดย จิตร โพธิ์แก้ว แปล; ก้องเกียรติ กอวีรกิติ เรียบเรียง) ((jit.phokaew@thomsonreuters.com; โทร 0-2648-9741; Reuters Messaging: jit.phokaew.reuters.com@reuters.net))
จากคุณ |
:
longde
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ค. 53 18:49:15
|
|
|
| |