|
ความคิดเห็นที่ 2 |
บทสัมภาษณ์เขาน่าสนใจมาก เศรษฐีจากหุ้นคนนี้บอกว่า เขาซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี และเสียใจที่เขาซื้อช้าไป แต่กระนั้นก็ตาม เขาไม่เสียใจที่ใช้เงินออมที่ได้จากงานส่งหนังสือพิมพ์ ซื้อฟาร์มเล็ก ๆ เมื่อเขามีอายุ 14 ปี
ปัจจุบันถึงจะรวยแค่ไหนก็ยังอยู่ในบ้านหลังเล็กเดิมซึ่งมี 3 ห้องนอน ที่ซื้อมาหลังจากแต่งงานเมื่อห้าสิบปีก่อน เขาบอกว่าทุกสิ่งที่เขาต้องการมีอยู่ในบ้านหลังนี้ครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องซื้อใหม่
สำหรับรถยนต์นั้น เขาขับเองไปทุกแห่งหน โดยไม่มีคนขับหรือผู้รักษาความปลอดภัยไปด้วยเลย ยิ่งกว่านั้นเขาไม่มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเหมือนมหาเศรษฐีทั้งหลาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องบินเจ็ตที่ใหญ่ที่สุดของโลก ก็ตาม
เมื่อมีเวลาว่างเขาไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมหาเศรษฐีไฮโซ งานอดิเรกของเขาเมื่อกลับถึงบ้านคือทำข้าวโพดคั่วเอง และกินไปนั่งดูโทรทัศน์ไป เพราะนี่คือความสุขของเขา
ชาย คนนี้ปัจจุบันอายุ 77 ปี เป็นผู้บริหารในบริษัทต่าง ๆ ได้เงินเดือนรวมกันประมาณปีละ 3.6 ล้านบาท แต่ทุกวันนี้ มีเงินทองและทรัพย์สินส่วนตัวมากกว่า 1.8 ล้านล้านบาท และเคยครองแชมป์เป็นมหาเศรษฐีเป็นอันดับ 2 ของโลกนานถึง 4 ปีติดต่อกัน ก่อนจะตกลงมาเป็นอันดับ 3 ในปัจจุบัน
วอร์เรนต์ บัฟเฟท รู้จักคำว่ากำไรครั้งแรก เมื่อขายน้ำอัดลมโค๊กขวดละ 5 เซ็นต์ จากต้นทุนเพียงขวดละกว่า 4 เซ็นต์ ซื้อหุ้นบริษัทแรก เมื่ออายุ 11 ปี ขายได้กำไรครั้งแรกในชีวิตถึงหุ้นละ 5 ดอลลาร์สหรัฐ ซื้อที่ดิน หรือ ฟาร์ม ครั้งแรกในชีวิตเมื่ออายุ 14 ปี ด้วยเงินสะสมจากการส่งหนังสือพิมพ์
ปี 2486 วอร์เรน บัฟเฟท อายุ 13 ปี ได้รับเงินคืนภาษีเป็นครั้งแรกในชีวิต 35 เหรียญสหรัฐ จากงานขายจักรยาน อายุ 15 ปี ใช้เงิน 25 เหรียญสหรัฐ ลงทุนกับเพื่อนในชั้นมัธยมปลาย ซื้อตู้เกมส์พินบอลล์มือ 2 ให้บริการในร้านตัดผมชาย 3 เดือนต่อมา บัฟเฟทและเพื่อน มีตู้เกมส์พินบอลล์ถึง 3 เครื่องให้บริการถึง 3 แห่ง อายุครบ 20 ปี เข้าเรียนที่ โคลัมเบีย บิสสิเนส สกูล มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เพื่อต้องการเรียนกับ 2 นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดัง เบนจามิน กราแฮม และ เดวิด ด๊อดด์
1 ปี ต่อมา จบการศึกษาจากโคลัมเบีย บิสสิเนส สกูลเสนอตัวทำงานฟรีกับ นักวิเคราะห์หุ้นชื่อดัง เบนจามิน กราแฮม แต่ถูกปฏิเสธ เริ่มซื้อหุ้นเล็กน้อยกับบริษัทผลิตน้ำมัน เท็กซาโก้ แต่ล้มเหลว เข้าทำงานเป็นนายหน้าซื้อขายหุ้น ได้โอกาสสอนหนังสือให้นักศึกษาภาคค่ำมีอายุเฉลี่ยแก่กว่า วอร์เรน บัฟเฟทในขณะนั้นถึง 2 เท่า ที่มหาวิทยาลัยเนบราสก้า ปีที่ 22 แต่งงานครั้งแรกกับ ซูซาน ทอมสัน
ปี 2497 เบนจามิน กราแฮม กลับเสนองานให้ วอร์เรน บัฟเฟท ด้วยค่าตอบแทนปีละ 12,000 เหรียญสหรัฐ เพียง 2 ปีต่อมา เบนจามิน กราแฮม เกษียณตัวเอง และปิดธุรกิจหลักทรัพย์ วอร์เรน บัฟเฟท กลับไปเมืองโอมาฮา ตัดสินใจตั้งธุรกิจการลงทุน ของตัวเองใช้ชื่อว่า บัฟเฟท แอสโซซิเอท ลิมิเทด วอร์เรน บัฟเฟท มีเงินเก็บจาก 9,800 มาเป็น 140,000 เหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่จบจากมหาวิทยาลัยมาถึง 6 ปี
ปี 2505 มีอายุครบ 32 ปี วอเรนต์ บัฟเฟท รู้จักบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์ เป็นครั้งแรก ซึ่งทำธุรกิจสิ่งทอ ตัดสินใจซื้อหุ้นมากถึง 49% ในราคาเสนอขายต่ำกว่าหุ้นละ 8 เหรียญสหรัฐ
จากนั้น 3 ปี วอร์เรนต์ บัฟเฟท กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์ ปี 2512 เมื่ออายุได้ 39 ปี วอร์เรน บัฟเฟท ปิดบริษัทของตัวเองที่มีชื่อว่า บัฟเฟท แอสโซซิเอท ลิมิเทด และคืนผลตอบแทนทั้งหมดให้ผู้ถือหุ้น เพียง 1 ปีต่อมา ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์
อายุ 43 ปี ตัดสินใจซื้อหุ้นในหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ในปี 2522 เข้าซื้อหุ้นธุรกิจสื่อเพิ่มเติมจากบริษัท เอบีซี เฉพาะในปีนั้น ราคาหุ้นบริษัทเอบีซีซื้อขายพุ่งขึ้นถึงหุ้นละ 290 เหรียญสหรัฐ วอร์เรน บัฟเฟท มีสินทรัพย์สูงถึง 140 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งที่ได้รับผลตอบแทนในตำแหน่งประธานบริษัทเพียงปีละ 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ และในปี 2522 ราคาหุ้นบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาททะเวย์ ซื้อขายต้นปีที่หุ้นละ 775 เหรียญสหรัฐ พุ่งขึ้นถึง 1,310 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นในสิ้นปี ส่ง วอร์เรน บัฟเฟท ขึ้นแท่น 400 อันดับมหาเศรษฐีโลกเป็นครั้งแรก จัดโดยนิตยสารฟอร์บส
ปี 2531 เข้าซื้อหุ้น 7% ของบริษัท โคคา โคล่า มูลค่ามากถึง 1.02 พันล้านเหรียญสหรัฐ ข้ามมาถึงปี 2545 ในวัย 72 ปี วอร์เรน บัฟเฟท ซื้อตราสารเงินเหรียญสหรัฐล่วงหน้าสูงถึง1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อมาในเดือนเมษายนปี 2549 ได้ผลตอบแทนจากตราสารดังกล่าว มากกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่ออายุได้ 75 ปี ประกาศบริจาคเงินมูลค่ามากถึง 80% ของสินทรัพย์ที่มีอยู่ หรือว่า 37,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับ 5 มูลนิธิในสหรัฐ เดือน เมษายน ปี 2550 เข้าซื้อหุ้นมากกว่า 10% ของบริษัท เบอร์ลิงตั้น นอร์ทเทิร์น ซานตา เฟ มูลค่า 3,200 ล้านบาท ราคาหุ้นพุ่งขึ้นทันที 1.3%
เดือนมิถุนายน ปี 2549 วอร์เรน บัฟเฟท เขย่าวงการพฤติกรรมมหาเศรษฐีโลก ด้วยการตัดสินใจบริจาคเงินมากถึง 80% ของสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมด ให้กับ 5 มูลนิธิแม้วินาทีนี้ในเดือนเมษายน ปี 2550 วอร์เรน บัฟเฟท ไม่สามารถรักษาตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลกต่อไปได้ หลายคนมองว่าคงเป็นช่วงสั้น ๆ ที่สูญเสียอันดับให้กับ เจ้าพ่อสื่อสารแดนเม็กซิโก อย่าง คาร์ลอส สลิม เฮลิว แต่สำหรับตำนาน และความเป็นบัฟเฟท กลับมีเสน่ห์ที่ยังต้องค้นหากันต่อไป แม้แต่อารมณ์ขันของคุณปู่วัย 77 ปีคนนี้
วอร์เรนต์ บัฟเฟท กลับใช้ชีวิตในหลายด้าน ที่หักมุมความคิดของคนหลายคน แม้แต่ บ้านของมหาเศรษฐีวัย 77 ปี กลับตั้งอยู่ชานเมืองห่างจากมหานครนิวยอร์กถึง 1,250 ไมล์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือไว้ติดตัว ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน อาหารง่าย ๆคือ แฮมเบอร์เกอร์ และโค้ก 2 อย่างที่ วอเรนต์ บัฟเฟท ถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 อย่างยาวนานจนถึงทุกวันนี้ ด้วยความเป็นคนที่ติดดิน แต่กลับสร้างอาณาจักรการลงทุนกับหุ้นที่มีคุณค่า ในความหมายของวอร์เรน บัฟเฟทชายชราวัย 77 ปี ขับรถที่ได้มาจากการประมูล ด้วยตัวเอง ไม่ต้องการคนขับรถไม่ว่าจะเป็นวันทำงาน หรือวันหยุด
จากคุณ |
:
กองกำลังปั้นฝัน
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ค. 53 09:50:13
|
|
|
|
|