|
ความคิดเห็นที่ 1 |
สำหรับนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก มักนิยมใช้ดัชนี MSCI ระดับภูมิภาค เช่น ดัชนี MSCI EAFE (Europe, Australasia, Far East) ดัชนี MSCI AC Asia Pacific ex Japan ดัชนี MSCI AC World เป็นต้น เป็นมาตรฐานในการวัด ผลตอบแทนการดำเนินงาน (benchmark) ของตนเอง สำหรับดัชนี MSCI ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาด ทุนของไทยซึ่งท่านผู้อ่านมักได้ยินชื่อบ่อยครั้งก็คือ ดัชนี MSCI Far East ex Japan ซึ่งประกอบไป ด้วยหุ้นของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกไกล ยกเว้นญี่ปุ่น รวมทั้งสิ้น 9 ประเทศ คือ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และประเทศไทย
ในการคำนวณน้ำหนักการลงทุนของแต่ละประเทศในดัชนี MSCI ซึ่งในที่นี้ขอยกตัวอย่าง ดัชนี MSCI Far East ex Japan นั้น จะคิดจากสัดส่วนของมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดที่เป็น องค์ประกอบในดัชนีประเทศนั้น ๆ เทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดทุกประเทศในดัชนี MSCI Far East ex Japan (มูลค่าตลาดรวมของหุ้นทั้งหมดคำนวณเฉพาะส่วนที่ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถ เข้ามาทำการซื้อขายได้ หรือส่วนที่ไม่มีข้อจำกัดการถือครองของผู้ลงทุนต่างประเทศซึ่งได้อธิบาย เมื่อตอนที่แล้ว)
สมมติว่ามูลค่าตลาดของหุ้นที่อยู่ในดัชนี MSCI Thailand รวมทั้งสิ้นคิดเป็น 40,000 ล้าน เหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดรวมทั้ง 9 ประเทศที่อยู่ในดัชนี MSCI Far East ex Japan อยู่ที่ 1,700,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น น้ำหนักการลงทุนของประเทศไทยจึงเป็น 2.4% (40,000 ล้าน/1,700,000 ล้าน) นั่นหมายความว่า หากมูลค่าตลาดของหุ้นทั้ง 9 ประเทศโดยรวมทั้งหมดอยู่ที่ 100 ส่วน มีส่วนของหุ้นไทยอยู่ในนั้น 2.4 ส่วนนั่นเอง
จากตัวอย่างนี้ ลองนึกภาพดูว่า หากผู้จัดการกองทุนต่างประเทศมีเงินทุน 100 ล้านเหรียญ สหรัฐเพื่อเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ และนำดัชนี MSCI Far East ex Japan มาเป็น benchmark ของตน ซึ่งหากจะลงทุนโดยมุ่งหวังให้ผลตอบแทนของกองทุนใกล้เคียงกับตัว benchmark เขาก็จะนำเงิน มาลงทุนในตลาดทุนไทยเพียงประมาณ 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น แต่หากต้องการบริหารกองทุน ให้ชนะตัว benchmark นี้ เขาก็อาจพิจารณาลงทุนในประเทศไทยในจำนวนเงินที่มากหรือน้อยกว่า สัดส่วนนี้ก็ได้
ดังนั้น การที่ประเทศใดมีน้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI ในระดับภูมิภาคน้อย จึงมี แนวโน้มว่าผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกอาจเจียดเงินไปลงทุนในประเทศนั้นน้อยด้วย ที่ผ่านมา ทางการ ไทยจึงได้พยายามผลักดันให้น้ำหนักการลงทุนในดัชนี MSCI เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเปน็ การให้บริษัท MSCI Barra นำใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) เข้ามานับรวม ในการคำนวณดัชนีประเทศไทย การส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเพิ่มฟรีโฟลตของหุ้นให้มากขึ้น เป็นต้น
โดยปกติแล้ว บริษัท MSCI Barra จะมีการปรับปรุงองค์ประกอบของหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี ทุกไตรมาส คือ กุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และพฤศจิกายน เพื่อให้ข้อมูลให้มีความทันสมัย โดยอาจเพิ่มหุ้นเข้าไป หรือปรับหุ้นใดออกจากดัชนีของประเทศไหนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าหุ้นนั้น ๆ เข้าเงื่อนไขหรือไม่ รวมถึงมีการปรับเพิ่มหรือลดค่า FIF ของหุ้นใดหรือไม่ด้วย ซึ่งในการปรับปรุง ดัชนีแต่ละครั้ง แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อน้ำหนักการลงทุนในแต่ละประเทศให้เปลี่ยนแปลงเพิ่ม หรือลดไปบ้างไม่มากก็น้อย โดยหากประเทศอื่นมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์มาเป็นองค์ประกอบมากขึ้นก็อาจ เบียดน้ำหนักการลงทุนของไทยให้ลดลง นอกจากนั้น หากหุ้นของประเทศใดมีราคาเพิ่มสูงขึ้น มากกว่าประเทศอื่น ก็จะทำให้น้ำหนักการลงทุนของประเทศนั้นเพิ่มขึ้นได้ หรือประเทศใดมีค่าเงิน ที่แข็งค่าขึ้นมากกว่าประเทศอื่น มูลค่าตลาดรวมของดัชนีประเทศนั้นก็จะเพิ่มขึ้นและอาจส่งผลให้ ประเทศนั้นมีน้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากทราบพื้นฐานสักเล็กน้อย ย่อมทำให้ ท่านผู้อ่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับดัชนี MSCI มากขึ้น และไม่ตื่นตระหนกเกินไปเวลาพบเจอข่าวที่ เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในดัชนี MSCI ตามหน้าหนังสือพิมพ์
www.sec.or.th
แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 53 22:44:31
จากคุณ |
:
กองกำลังปั้นฝัน
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ก.ค. 53 22:34:32
|
|
|
|
|