ความคิดเห็นที่ 1 TNDT แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE TNDT : (ซื้อ),  ผลประกอบการ 2Q53 กำไร 13 ลบ. (EPS 0.13 บาท/หุ้น) เพิ่มขึ้น 8%YoY และ 79%QoQ  โดยครึ่งปีแรกทำกำไรแล้ว 20.85 ลบ. (EPS 0.21 บาท/หุ้น)     * รายได้ใน Q2 อยู่ที่ 63 ลบ.  ลดลง 2%YoY แต่เพิ่มขึ้น 10%QoQ โดยอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัว ขึ้นมาที่ 34.47% จากช่วงเดี่ยวกันในปีก่อนที่ 32.23% (ไตรมาสก่อนที่ระดับ 27.12%) ทำให้กำไรขั้นต้น ปรับตัวขึ้นมา 4%YoY และ 40%QoQ มาที่ 22 ลบ.       * ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายยังคงอยู่ระดับเดิมจากช่วงเดี่ยวกันในปีก่อน ทำให้กำไรจากการดำเนิน งานอยู่ที่ 17 ลบ. เพิ่มขึ้น 11%YoY และ 56%QoQ และส่งผลให้โดยรวมแล้วมีกำไร13 ลบ. เพิ่มขึ้น 8% YoY       * ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท/หุ้น จะติด XD วันที่ 27 ส.ค. และจ่ายเงินปัน ผลวันที่ 10 ก.ย. 53 ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q53 ที่ออกมายังไม่ดีนักเนื่องจากยังเป็นช่วง Low Season ของบริษัท โดยใน ครึ่งปีแรกทำกำไรได้ 30% ของกำไรที่เราคาดการณ์ (เราคาดกำไรทั้งปีที่ 70.35 ล้านบาท (EPS 0.70 บาท/หุ้น))     * อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มเข้าสู่ช่วง High Season ของบริษัท ซึ่งจะทำให้การรับรู้ รายได้เข้ามามากในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมี Backlog รอรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังประมาณ 150 ลบ.ทำให้ เรามองว่าปีนี้บริษัทจะทำกำไรได้ตามเป้าที่เราคาดหวังไว้             * เราประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานปี 53 ที่ 5.95 บาท  แนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:48:22

ความคิดเห็นที่ 2 SEAFCO แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE SEAFCO (ซื้อ), ผลประกอบการ 2Q53 ขาดทุน 20 ล้านบาท (EPS -0.09 บาท/หุ้น) โดยครึ่งปีแรกมี ขาดทุน 41.94 ลบ. (EPS -0.20 บาท/หุ้น)     * รายได้ใน Q2 อยู่ที่ 341 ล้านบาท ลดลง 19%YoY และ 20%QoQ โดยอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ปรับ ตัวลดลงมาเหลือเพียง 2.40% จากจากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่อยู่ที่ 6.76% (ไตรมาสก่อนอยู่ที่ 1.55%) ส่งผลให้กำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงถึง 71%YoY มาที่เหลืออยู่ที่ 8 ลบ.         * ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายแม้จะปรับตัวลดลง 5%YoY แต่ก็ยังทำให้เกิดขาดทุนจากการดำเนินงาน 7 ล้านบาท (จากในช่วงเดี่ยวกันในปีก่อนที่กำไร 13 ล้านบาท) ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่อยู่ระดับ 7 ลบ. ทำให้โดยรวมแล้วไตรมาสนี้ยังคงขาดทุน 20 ลบ (ไตรมาสแรกขาดทุน 22 ล้านบาท)     ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q53 ที่ออกมาไม่น่าแปลกใจ เนื่องจาก Backlog ที่เหลือในช่วงไตรมาสแรก อยู่ระดับเพียงพันกว่าลบ. บาท และงานของ CK ที่ทำเสาเข็มก็เริ่มเข้าปลาย Q2 ทำให้โดยรวมแล้วไตร มาสนี้ผลประกอบการจะไม่ดี อย่างไรก็ตาม เมื่องานเสาเข็มที่รับจาก CK เข้าเต็ม ๆ ใน Q3 ซึ่งเป็นงาน รับเฉพาะค่าแรง (ไม่รวมวัสดุ) ได้ Margin ดีทีเดียว ทำให้เรามองว่าจุดต่ำสุดของผลประกอบได้ผ่านไป แล้วในช่วง Q2 นี้ และคาดว่าครึ่งปีหลัง SEAFCO จะพลิกกลับมามีกำไรได้     * โดยเราประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานปี 53 ที่ 5.50 บาท  ซึ่งคาดว่าผลประกอบการที่ออกมาไม่ดี จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่เรามองว่าเป็นจังหวะซื้อเนื่องจากคาดว่าแนวโน้มผลประกอบการจะกลับ มาดีขึ้นในครึ่งปีหลัง รวมทั้งบริษัทยังมีโอกาสได้งานจาก CK เพิ่ม หลังจากที่ CK ประมูลได้งานรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นงานใต้ดิน ดังนั้นเราจึงแนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:48:49

ความคิดเห็นที่ 3 DEMCO แนะนำ "ซื้อ" :บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE DEMCO  (ซื้อ),  ผลประกอบการ 2Q53 กำไร(ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่) 56.7 ลบ. เพิ่มขึ้น 747%YoY  และ 242%QoQ (EPS 0.13 บาท/หุ้น) โดยครึ่งปีแรกมีกำไรแล้ว 73.35 ลบ. (EPS 0.17 บาท/หุ้น)     * รายได้ใน Q2 อยู่ที่  914.3 ลบ. เพิ่มขึ้น 236 %YoY และ 102%QoQ โดยอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น อยู่ที่ 12.15% จากช่วงเดี่ยวกันในปีก่อนที่ 5.42% (ไตรมาสก่อน 13.98%) ส่งผลให้มีกำไรขั้นถึง 111 ลบ. เพิ่มขึ้น 625%YoY และ 65%QoQ     * ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น 31%YoY แต่ผลของรายได้ที่เพิ่มขึ้นยังคงทำให้มีกำไรจากการ ดำเนินงาน 69.8 ลบ. (จากในช่วงเดี่ยวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 16.8 ลบ.)     * และไตรมาสนี้ยังมีรายได้อื่น ๆ ที่เข้ามาถึง 13.2 ลบ. ทำให้โดยรวมแล้วไตรมาสนี้มีกำไร (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่) 56.7 ล้านบาท       * ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท/หุ้น ติด XD วันที่ 26 ส.ค. และกำหนดจ่ายเงิน ปันผลวันที่ 10 ก.ย. 53     * บริษัทยังมีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 214 ลบ. โดยมี จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืน 40 ล้านหุ้น คิดเป็น 9.19% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q53 ที่ออกมาน้อยกว่าที่เราคาด (เราคาดกำไร 2Q53 ที่ 65 ล้านบาท) เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ออกมาน้อยกว่าที่เราคาดไว้ (เราคาดที่ 14.17% ออกมาทำได้ 12.15%) โดยในครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว 28% ของกำไรที่เราคาดการณ์ทั้งปี (เราคาดการณ์กำไรปีนี้ที่ 261 ล้านบาท (EPS 0.60 บาท/หุ้น)     * อย่างไรก็ตาม เรามองว่าผลการดำเนินงานจะยังคงเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง จาก Backlog ที่คาดว่าจะมีการรับรู้ประมาณ 2.1 พันลบ. รวมทั้งงานขายที่จะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง     * เราประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานปี 53 ที่ 7.20 บาท ยังคงแนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:49:13

ความคิดเห็นที่ 4 AP แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE AP (ซื้อ),  ผลประกอบการ 2Q53 มีกำไรสุทธิ 286  ลบ. (EPS 0.12 บาท/หุ้น) ลดลง18%YoY และ 77%QoQ  โดยครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิแล้ว 1,523 ลบ. (EPS 0.65 บาท/หุ้น)     * รายได้ใน Q2 ลดลง 10%YoY และ 64%QoQ เนื่องจากมีการเร่งโอนในโครงการคอนโดทั้ง 7 โครงการในช่วง Q1 เพื่อรับมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่หมดลงในเดือน มี.ค. ทำให้มี Backlog มาโอนในช่วง Q2 นี้ไม่มากนัก     * ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 37.43% มากกว่าในช่วงเดี่ยวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 33.88%   (ไตรมาสก่อนอยู่ที่ 35.02%) ส่งผลให้ไตรมาสนี้มีกำไรขั้นต้นไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับช่วงเดี่ยวกันของปี ก่อนโดยมาอยู่ที่ 813 ลบ.     * สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายเพิ่มขึ้น 32%YoY เนื่องจากไตรมาสนี้ต้องกลับมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ที่อัตรา 3.3% ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานลดลง 18%YoY และ 74%QoQ ซึ่งจุดนี้ทำให้โดยรวมแล้ว ในไตรมาสนี้กำไรสุทธิจึงลดลง 18%YoY   ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q53 ที่ออกมาถือว่าใช้ได้ ในภาวการณ์เมืองที่ไม่ดีนักในช่วง เม.ย.-พ.ค. ที่ ผ่านมา โดยในครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว  89% ของที่เราคาดการณ์กำไรทั้งปี  (เราคาดกำไรทั้งปี 53 ที่ 1,706 ล้านบาท)     * สำหรับแนวโน้มในครึ่งปีหลัง เราคาดว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้นจากไตรมาส 2 นี้ เนื่องจากการเมืองที่ดี ขึ้น เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มยังคงเติบโต ความเชื่อมั่นที่มีมากขึ้น รวมทั้งการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทจะ ช่วยกระตุ้นยอดขาย     * ส่วนการปรับประมาณการณ์นั้น เรามีแนวโน้มปรับเพิ่มกำไรปีนี้ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเรามีประชุมกับ ผู้บริหารในวันที่ 17 ส.ค. นี้ แล้วจะมา Update ให้อีกครั้ง       * เราประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานปี 53 ที่ 7.25 บาท แนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:49:46

ความคิดเห็นที่ 5 In The News : TT&T : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE TT&T           คำแนะนำ Not Rated ราคาปิด 0.61 บาท ข่าวบวกเจ้าหนี้รับแผนฟื้นฟูฯ-ปลด SP วันนี้    * เกิดเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจกับหุ้น TT&T คือ ในวันพุธที่ 11 ส.ค.53 ที่ผ่านมา ที่ประชุมเจ้าหนี้ มีมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่รวมมูลหนี้ได้ 1.95 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 66.12% ของมูลหนี้ ทั้งหมดที่สิทธิออกเสียง 2.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่เจ้าหนี้ในส่วนของ บมจ.ทีโอที และกลุ่มจัสมินไม่ยอมรับ แผนฟื้นฟูฯ พร้อมกันนั้นที่ประชุมได้คัดเลือกคณะกรรมการเจ้าหนี้เพื่อดูแลการบริหารแผนฟื้นฟูฯ และเจ้า พนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะแจ้งผลการลงมติในวันนี้ต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อให้คำสั่งต่อไป เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ กล่าวในที่ประชุมว่าเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ต้องได้จำนวนหนี้ไม่น้อยกว่า 50% ดังนั้น ที่ประชุมถือว่าเป็นการรับ แผนฟื้นฟูฯและแผนที่แก้ไข (News Center)    * แต่ในวันที่ 11 ส.ค.นั้นเอง หุ้น TT&T กลับหยุดการซื้อขาย เพราะตลาดฯได้สั่งขึ้นเครื่องหมาย "SP" และ "NP" เนื่องจาก ผู้สอบบัญชีไม่สามารถสรุปผลการสอบทานงบการเงินของบริษัทงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ได้ ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัทที่ปรากฏใน งบการเงินอาจไม่แสดงค่าที่แท้จริงของกิจการ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้ โดยจะอนุญาตให้ซื้อ หรือ ขายหลักทรัพย์ของ TT&T พร้อมกับการขึ้นเครื่องหมาย NP (Notice Pending) ตั้งแต่การซื้อ หรือ ขายรอบเช้า วันที่ 16 ส.ค. 2553 จนกว่า บริษัทดังกล่าวจะนำส่งงบการเงินฉบับแก้ไข หรือ จนกว่าจะได้ข้อสรุปว่า บริษัทไม่ต้องแก้ไข งบการเงินดังกล่าว นอกจากนี้ TT&T ติด Turnover List วันสุดท้ายคือ 11 ส.ค.53 (Setsmart)    * ผลกระทบ เป็นบวกในระยะสั้น เพราะการที่เจ้าหนี้ส่วนใหญ่รับแผนฟื้นฟูฯ ก็เท่ากับเป็นการต่อลม หายใจให้กับบริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้จะทำให้บริษัทเบาตัวในเรื่องหนี้ ไปมากทีเดียว โดยเฉพาะการแปลงหนี้เป็นทุนเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของหนี้ที่ปรับโครงสร้าง แต่การที่ วันที่ 11 ส.ค.53 ที่ผ่านมาหุ้นได้ถูกหยุดการซื้อขายไป ก็ยังไม่ได้สะท้อนข่าวดีในเรื่องนี้นัก อีกทั้งวันนี้เป็น วันแรกที่ไม่ต้องซื้อหุ้นด้วยบัญชีเงินสด (Cash Balance) ดังนั้นจึงคาดว่าเมื่อเปิดการซื้อขายในเช้าวันนี้ ราคาหุ้นจะตอบรับในทางบวก และมีการเข้ามาเก็งกำไรกันมากพอควร แต่ระยะยาว TT&T ยังต้องพิสูจน์ ตัวเองอีกมากว่าจะทำตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเงื่อนไขการทยอยชำระหนี้ตาม แผนใหม่ จะต้องไม่ผิดชำระหนี้ซ้ำอีก ส่วนแผนการเพิ่มทุนให้กับเจ้าหนี้ และ ESOP ด้วยการลดทุนเพื่อล้าง ขาดทุนสะสมนั้น เหมือนกับเป็นการส่งสัญญาณว่าจะจ่ายปันผลได้ แต่ปัญหาคือ เมื่อไรที่จะพลิกกลับมาฟื้นตัวมี กำไรได้ ส่วนการลดพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท จะไม่ทำให้จำนวนหุ้นเปลี่ยนแปลง ส่วนการเพิ่มทุน ตามแผน จะทำให้เกิด dilution effect เป็นจำนวนมากที่ 69%  ทั้งนี้มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ณ 2Q53 เป็น 1.48 บาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 1.26 พันล้านบาท ใน 2Q53    * แผนปรับโครงสร้างหนี้โดยสังเขปคือ จะแบ่งเป็นชำระหนี้เงินสด 925 ล้านบาท ผ่อนชำระ 14,573 หมื่นล้านบาท และแปลงหนี้เป็นทุน 6,761 ล้านบาท ส่วนหนี้ที่หักกลบลบหนี้ 4,516 ล้านบาท โดยเป็นหนี้ ส่วนหนึ่ง บมจ.ทีโอที ที่มีอยู่ 8.5 พันล้านบาท รวมเป็นวงเงินปรับโครงสร้างหนี้ 2.68 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ส่วนต่างกับมูลหนี้เดิมที่รวบรวม 2.95 หมื่นล้านบาทจะมีการโต้ในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และตามแผน ฟื้นฟูฯ TT&T จะลดทุนจดทะเบียนจาก 7 หมื่นล้านบาท เหลือ 3.2 หมื่นล้านบาท โดยตัดหุ้นที่ยังไม่ได้ เรียกชำระออกไป และลดพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท จากนั้นจะเพิ่มทุนจำนวน 7,101 ล้านหุ้น ที่รา คาพาร์ 1 บาท ก็จะทำให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 10,343 ล้านบาท จัดสรรหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 6,763 ล้านหุ้นให้กับเจ้าหนี้ และอีก 338 ล้านหุ้นจะจัดสรรให้กับพนักงานในโครงการ ESOP เพื่อจูงใจให้พนักงาน ตั้งใจทำงาน หุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวจะมีระยะเวลาห้ามจำหน่ายเป็นเวลา 3 ปี (News Center) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:50:12

ความคิดเห็นที่ 6 Results Analyser : SC : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE SC                  คำแนะนำซื้อ ราคาปิด 13.80 บาท    ราคาพื้นฐาน 17.01 บาท กำไรสุทธิ 2Q53 ตามคาด    * กำไรสุทธิ 2Q53 เป็น 188 ล้านบาท อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเทียบกับ y-o-y และสอดคล้องกับที่เรา คาดไว้ก่อนหน้า แต่ถือว่าดีกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยซึ่งกำไรสุทธิส่วนใหญ่จะปรับตัวลงแรง สำหรับ SC แม้ ว่ามีค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่สูงใน 2Q53 เพราะ กลับมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราปกติที่สูงเป็น 3.3% หลังจากหมดอายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายทางการตลาดเพิ่มขึ้น ตามการเปิดขาย โครงการใหม่ แต่ข้อดีที่ต่างจากอุตสาหกรรมคือ บันทึกรายได้จากการขายใน 2Q53 เป็น 1.2 พันล้านบาท ซึ่งสูงกว่า y-o-y ถึง 20% โครงการที่ให้รายได้ใน 2Q53 ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิ 2Q53 กลับลดลงถึง 35% q-o-q เพราะรายได้ที่ลดลง และค่าใข้จ่ายขาย-บริหารที่สูงขึ้น ส่วนกำไรสุทธิ ในรอบ 1H53 ที่ 478 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 54% จากประมาณการทั้งปี 53    * ทางด้านฐานะการเงิน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเป็น 0.3 เท่า ทรงตัวเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้า มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 19.82 บาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1H53 เป็น +47 ล้านบาท ดี ขึ้นกว่า y-o-y ที่ -143 ล้านบาท    * เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 53 และ 54 ไว้เช่นเดิม และเห็นว่ากำไรสุทธิจะกลับมาแข็งแกร่ง อย่างมากใน 4Q53 เนื่องจากการก่อสร้าง Centric รัชวิภา จะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือน ต.ค.53 ขณะที่การขายได้คืบหน้าไปแล้ว 1.7 พันล้านบาท เราคาดว่าเฉพาะใน 4Q53 จะรับรู้รายได้ตามการโอน กรรมสิทธิ์เฉพาะโครงการนี้ประมาณ 1.2 พันล้านบาททีเดียว ผนวกกับรายได้จากแนวราบอีก อีกทั้งค่าใช้ จ่ายการตลาดได้บันทึกไปมากแล้วใน 2Q53-3Q53 ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารจึงจะเบาลงมากใน 4Q53 สำหรับยอดขาย (Presales) ใน 1H53 เป็น 2.0 พันล้านบาท เติบโตดีถึง 17% y-o-y แม้ว่าจะมีการ เปิดขายโครงการใหม่เพียง 3 โครงการ แต่ใน 2H53 จะมีการเปิดขายโครงการใหม่ถึง 9 โครงการ แบ่งเป็นคอนโด 4 โครงการ และแนวราบอีก 5 โครงการ เราคาดว่าการเปิดขายคอนโด 3 โครงการ เดือน ต.ค.53 จะเพิ่มยอดขายได้ดี เพราะมีทำเลใกล้รถไฟฟ้า เราจึงคาดว่าบริษัทจะทำยอดขายทั้งปี 53 เป็น 5.3 พันล้านบาทได้ไม่ยาก    * คงคำแนะนำ ซื้อ ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ กลางปี 53 เป็นประมาณ 2.0 พันล้าน บาท ซึ่งเราคาดว่าจะเป็นการรับประกันการรับรู้รายได้ในปี 53 และ 54 เป็น 55% และ 11% ตามลำดับ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่การที่บริษัทเน้นพัฒนาโครงการส่วนใหญ่เป็นแนวราบ จึงจะมาช่วยเติมเต็มได้ ส่วนอัตราการเติบโตกำไรสุทธิ y-o-y ปี 53 และ 54 เป็น 16% และ 3% ตามลำดับ ถือว่าน่าพอใจ ราคาหุ้นถูก P/E และ P/BV ปี 54 เป็นเพียง 4.8 และ 0.6 เท่า ตามลำดับ ราคาพื้นฐานที่ 17.01 บาท ประเมินจาก P/E ปี 54 ที่ 6.0 เท่า และเทียบเท่ากับ P/BV ปี 54 ที่เพียง 0.7 เท่า ราคาปิดมี ส่วนเพิ่มถึง 23% เทียบกับราคาพื้นฐานใหม่ สำหรับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์น่า ประทับใจเป็น 7.0% และ 7.2% ตามลำดับ ฐานะการเงินก็อยู่ในเกณฑ์ดี ประเมินว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิ ต่อทุนปลายปี 53 ต่ำเป็นเพียง 0.28 เท่า จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:50:33

ความคิดเห็นที่ 7 Results Analyser : PRIN : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE       PRIN                คำแนะนำซื้อ ราคาปิด 2.56 บาท     ราคาพื้นฐาน 3.16 บาท (เดิม 3.26 บาท) กำไรสุทธิ 2Q53 โตโดดเด่นในอุตสาหกรรม    * กำไรสุทธิ 2Q53 เป็น 217 ล้านบาท เติบโตโดดเด่นในอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยเป็น 23% y-o-y และ 78% q-o-q และดีกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้าถึง 23% ที่ 176 ล้านบาท สาเหตุเพราะการรับรู้รายได้ มีเข้ามามาก ตามการโอนกรรมสิทธิ์และอัตรากำไรขั้นต้นมากขึ้นเป็น 26.9% ตามการรับรู้รายได้จาก โครงการใหม่ๆที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าโครงการเดิม ที่พิเศษคือ กำไรสุทธิ 2Q53 เติบโตได้สูงเทียบกับ y-o-y แม้ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารในไตรมาสนี้สูงขึ้นมาก เพราะกลับมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราปกติ หลังหมดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ส่วนฐานเปรียบเทียบ 2Q52 ภาระภาษีธุรกิจเฉพาะต่ำ คืออยู่ในช่วง มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อีกทั้งยังมีรายการพิเศษเป็นบวก 15 ล้านบาท แต่มาถึง 2Q53 ไม่มีรายการพิเศษ ส่วนกำไรสุทธิในรอบ 1H53 ที่ 339 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 58% จากประมาณการทั้งปี 53 แล้ว    * ทางด้านฐานะการเงิน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเป็น 0.2 เท่า ดีขึ้นมากเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้าที่ 0.9  เท่า  มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 2.92 บาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1H53 เป็น +1,290 ล้านบาท ดีขึ้นกว่า y-o-y ที่ +1,080 ล้านบาท    * เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ลงมา เล็กน้อย 2% เพราะ 2Q53 ไม่มีรายการกลับ สำรองเกี่ยวกับต้นทุนโครงการคอนโดมิเนียม อย่างที่เราคาดไว้ ส่วนประมาณการปี 54 ไม่มีการเปลี่ยน แปลง ทั้งนี้อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 53 อยู่ในเกณฑ์ดีเป็น 9% y-o-y ความจริง อัตราการเติบโตกำไรสุทธิปี 53 สูงเป็น 20% y-o-y แต่ผลจากการจ่ายปันผลส่วนหนึ่งเป็นหุ้นในปี 52 ที่ ผ่านมา จึงทำให้เกิด Dilution Effect มากขึ้นในปี 53 สำหรับปี 54 อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ ต่อหุ้นเป็นไปอย่างต่อเนื่องคือ 7% y-o-y    * คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานปรับลดลงเป็น3.16 บาท ตามการปรับลดประมาณการ และประเมิน ด้วย P/E ปี 53 ที่ระดับ 6.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 23.5% ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 53 สูงน่าประทับใจเป็น 8.2% จุดเด่น คือ1) อัตราการเติบโตกำไรสุทธิปี 53 และ 54 เทียบ y-o-y ดี 2) บริษัทเน้นการจำหน่ายทาวน์โฮมที่มีความชำนาญสูง 3) อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง เพราะ ปรับราคาขายคอนโดมิเนียมสูงขึ้นให้ใกล้ราคาตลาด ส่วนบ้านแนวราบ มีการรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆ ที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นสูง 4) รุกสู่การสร้างบ้านด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ คือ ทาวน์เฮ้าส์ใช้ Tunnel Technology และบ้านเดี่ยวใช้ Precast ข้อดีที่จะตามมาคือ การก่อสร้างเสร็จเร็วขึ้น ประหยัดต้นทุน และกระแสเงินสดดีขึ้น และ 5) ประหยัดภาษีเงินได้ จากคอนโดบีโอไอ คือ Smart พระราม 2 และ วัชรพล (ที่จะเปิดขายใหม่) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:50:52

ความคิดเห็นที่ 8 Results Analyser : NWR : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส               16 ส.ค. --บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE NWR                 คำแนะนำซื้อ ราคาปิด 0.97 บาท     ราคาพื้นฐาน 1.11 บาท (เดิม 0.81 บาท) กำไรสุทธิ 2Q53 ดีกว่าคาด    * กำไรสุทธิ 2Q53 เป็น 32 ล้านบาท อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเทียบกับทั้ง y-o-y และ q-o-q แต่ดีกว่า ที่เราคาดไว้ก่อนหน้า เพราะหากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติจากการดำเนินงาน ไม่นับรายการพิเศษใน 2Q53 เป็น  45 ล้านบาท ฟื้นตัวจาก y-o-y ที่มีกำไรปกติเพียง 1 ล้านบาท และดีกว่า q-o-q ที่มีกำไรปกติ เพียง 31 ล้านบาท ถึง 45% สาเหตุคือ 1) รายได้จากการก่อสร้าง และรายได้จากการขาย-บริการเติบ โตดีมาก และ 2) ประหยัดค่าใช้จ่ายขาย-บริหารได้อย่างเห็นผล แม้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นไตรมาสนี้ได้ย่อลง บ้างก็ตาม ส่วนกำไรสุทธิในรอบ 1H53 ที่ 63 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 62% จากประมาณการทั้งปี 53 แล้ว    * ทางด้านฐานะการเงิน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเป็น 0.9 เท่า เพิ่มขึ้นเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้าที่ 0.7  เท่า  มีการเงินกู้ระยะยาวเพิ่มขึ้น มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 0.62 บาท และกระแสเงินสดจาก การดำเนินงาน 1H53 เป็น +737 ล้านบาท ดีขึ้นกว่า y-o-y ที่ +81 ล้านบาท    * เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 53 และ 54 ในอัตรา 14% และ 5% ตามลำดับ จาก ประมาณการเดิม สมมุติฐานที่ดีขึ้นคือ ปรับรายได้จากการก่อสร้าง อัตรากำไรขั้นต้น ให้ดีขึ้น รวมทั้งลดค่า ใช้จ่ายขาย-บริหารลง เพื่อสะท้อน 2Q53 ที่ทำได้ดีกว่าที่คาด    * คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 1.11 บาท ตามการปรับประมาณการที่ดีขึ้น และ ประเมินมูลค่าหุ้นด้วยวิธี P/BV ปี 54 ที่ระดับ 1.0 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่มเทียบกับราคาพื้นฐานใหม่ได้อีก 15% ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 53 อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเป็น 4.3% (กลับมาจ่ายได้เป็นปี แรก หลังจากลดทุน ล้างขาดทุนสะสม) เราเห็นว่า NWR น่าสนใจในเรื่องการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน ในปีนี้ คาดการณ์กำไรปกติปีนี้เติบโตสูงเป็น 197% y-o-y และปี 54 เติบโตอีก 21% y-o-y โครงการที่ มีความสำคัญและมีแนวโน้มที่จะได้รับสูงคือ งานก่อสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าที่มาเลเซีย มูลค่าประมาณ 3.0 พันล้านบาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:51:12

ความคิดเห็นที่ 9 Results Analyser : NOBLE : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส         Distributor - Bisnews AFE NOBLE                Fully Valued ราคาปิด 6.25 บาท     ราคาพื้นฐาน 5.99 บาท (เดิม 5.81 บาท) กำไรสุทธิ 2Q53 ดีกว่าคาด    * กำไรสุทธิ 2Q53 เป็น101 ล้านบาท ลดลง 8% y-o-y และ 48% q-o-q เพราะ 1) ไตรมาสนี้ มีการบันทึกรายได้จากการขายน้อยลง ด้วยปัจจัยหลักสองประการคือ เร่งการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดและบ้าน ไปมากแล้วใน 1Q53 เพราะเกรงว่าหมดอายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ พอมาถึง 2Q53 การโอนจึงแผ่วลง และปัจจัยการเมืองที่มีการชุมนุม นปช.ก็มีส่วนกระทบ ส่วนรายได้จากการให้เช่าและบริการที่ลดลงนั้น ก็ได้ รับผลลบจากการเมืองเช่นกัน 2) ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารเพิ่มขึ้นผิดสังเกต เพราะมีค่าใช้จ่ายเปิดขายคอน โดใหม่และกลับมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราปกติที่สูงแล้ว อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิที่ออกมาดีกว่าที่เรา คาดไว้ก่อนหน้าที่เพียง 73 ล้านบาท เนื่องจากรายได้อื่นไตรมาสนี้สูงผิดปกติเป็น 41 ล้านบาท คือมีดอก เบี้ยรับและค่าปรับจากบริษัทภายนอกที่ผิดนัดชำระค่าเช่าและบริการเพิ่ม อีกทั้งอัตราภาษีเงินได้ก็ต่ำผิดปกติ เป็น 5.4% เราคาดว่าจะมีการฟ้องร้องลูกหนี้เพื่อนำมาเป็นส่วนลดหย่อนภาษีเงินได้เพิ่มเติม ส่วนกำไรสุทธิ ในรอบ 1H53 ที่ 296 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 56% จากประมาณการทั้งปี 53แล้ว    * ทางด้านฐานะการเงิน ณ ปลาย 2Q53 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเป็น 0.3 เท่า ลดลงเทียบกับ หนึ่งปีก่อนหน้าที่ 0.8 เท่า มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 8.72 บาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1H53 เป็น +1,628 ล้านบาท ดีขึ้นกว่า y-o-y ที่ -445 ล้านบาท    * เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ในอัตรา 3% สมมุติฐานที่ดีขึ้น คือ รายได้อื่นๆที่มากขึ้น แม้ว่าได้ปรับเพิ่มในส่วนค่าใช้จ่ายขาย-บริหาร และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มด้วยก็ตาม เพื่อสะท้อนงบการเงิน 2Q53 ที่ออกมา แต่ได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 54 ในอัตรา 1% เนื่องจากค่าใช้จ่ายขาย-บริหาร และ ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้ปรับในส่วนรายได้อื่นเพิ่ม เพราะคาดว่าจะไม่มีดอกเบี้ยรับและค่าปรับ จากบริษัทภายนอกแล้ว โดยรวมคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้เติบโตดีเป็น 18% y-o-y แต่ปี 54 กลับลดลงมากถึง 19% y-o-y เพราะมีสมมุติฐานว่าไม่มีรายการพิเศษมากเหมือนปี 53 แล้ว และกลับมาเสียภาษีธุรกิจ เฉพาะในอัตราปกติเต็มปี    * คงคำแนะนำ เต็มมูลค่า (Fully Valued) ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเล็กน้อยเป็น 5.99 บาท ตาม การปรับประมาณการปี 53 ดีขึ้น และประเมินด้วย P/E ปี 53 ที่ระดับ 5.0 เท่า ราคาปิดขณะนี้สูงกว่า ราคาพื้นฐานใหม่ 4% นอกจากนี้ปัจจัยลบอื่นๆคือ 1) คาดว่ากำไรสุทธิที่สูงสุดในรอบปี ได้เกิดขึ้นไปแล้วใน 1Q53 ที่ 196 ล้านบาท 2) หากในปี 54 มีการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชีเกี่ยวกับนโยบายการรับรู้รายได้ เป็นเกณฑ์การโอนกรรมสิทธิ์เท่านั้น จากปัจจุบันที่บริษัทใช้นโยบายการรับรู้รายได้เป็นเกณฑ์ร้อยละของงานที่ เสร็จ เราคาดว่าผลลบที่จะเกิดขึ้นคือ มีความผันผวนของกำไรสุทธิระหว่างไตรมาสที่สูง โดยเฉพาะในปี 54 นั้น จะมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม 2 โครงการกว่าจะเกิดขึ้นเป็นช่วงปลายปี 54 คือ Noble Reveal และ Noble Reform ดังนั้นผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 54 นั้น เราคาดว่าจะไม่ สดใส และส่งผลลบต่อราคาหุ้นได้ จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:51:30

ความคิดเห็นที่ 10 Results Analyser : MJD : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส               16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE     MJD                 Fully Valued ราคาปิด 3.16 บาท     ราคาพื้นฐาน 3.15 บาท (เดิม 3.06 บาท) กำไรสุทธิ 2Q53 น้อยตามคาด    * กำไรสุทธิ 2Q53 เป็น 61 ล้านบาท ลดลงมากเทียบกับทั้ง y-o-y และ q-o-q ที่ 27% และ 17% ตามลำดับ และสอดคล้องกับที่เราคาดไว้ก่อนหน้า รายการที่บั่นทอนมากที่สุดคือ ค่าใช้จ่ายขาย-บริหารที่ ไตรมาสนี้ถีบตัวสูงขึ้นเป็น 102 ล้านบาท และคิดเป็นสัดส่วนเทียบกับรายได้สูงขึ้นเป็น 16.5% ซึ่งมีผลพวง มาจากการกลับมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราปกติที่สูงเป็น 3.3% หลังจากที่หมดอายุมาตรการกระตุ้น อสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐลง ทั้งนี้รายได้จากการขาย 2Q52 เพิ่มขึ้นได้ดีกว่า y-o-y แต่ลดลงเทียบกับ q -o-q แต่ในทางตรงข้ามอัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q53 เป็น 31.8% ลดลง y-o-y แต่เพิ่มขึ้น q-o-q ส่วน กำไรสุทธิในรอบ 1H53 ที่ 135 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43% จากประมาณการทั้งปี 53    * ทางด้านฐานะการเงิน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเป็น 1.3 เท่า ลดลงเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้าที่ 1.8 เท่า  มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นเป็น 3.47 บาท และกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 1H53 เป็น +1,081 ล้านบาท ดีขึ้นกว่า y-o-y ที่ -332 ล้านบาท    * เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 53 และ 54 ในอัตรา 1% และ 2% ตามลำดับ จากประมาณ การเดิม สมมุติฐานที่เปลี่ยนไปในทางลบคือ ปรับดอกเบี้ยจ่ายให้เพิ่มขึ้น แม้ว่าได้ปรับให้รายได้อื่นๆมากขึ้น และอัตราภาษีเงินได้ก็ลดลงก็ตาม เพื่อสะท้อนงบ 2Q53 ที่ออกมา    * คงคำแนะนำ เต็มมูลค่า (Fully Valued)  ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มเป็น 3.15 บาท ตามการปรับ ประมาณการ และประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E ปี 54 ที่ระดับ 10.0 เท่า จากเดิมที่ใช้ P/E ปี 53 ราคา ปิดใกล้เคียงกับราคาพื้นฐานใหม่แล้ว ส่วนคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 54 อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเป็น 4.7% ปัจจัยลบคือ ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) แม้มีอยู่สูง แต่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ได้เร็ว เพราะการก่อสร้างล่าช้า ส่วนข่าวดีเรื่องการเปิดขายโครงการใหม่ๆใจกลางเมือง แล้วขายดี เช่น พญาไท หรือ สีลม ราคาหุ้นอาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้ดี ก็เป็นจังหวะการขายหุ้นออกไป เพราะกว่าจะรับรู้รายได้จะ เป็นปี 55 เพราะต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:51:52

ความคิดเห็นที่ 11 Results Analyser : BANPU : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE BANPU          คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 616 บาท ราคาตามพื้นฐาน 750 บาท กำไรสุทธิ 2Q53 เติบโต 40%QoQ แต่ลดลง 5%YoY ดีกว่าคาด    * ธุรกิจถ่านหินที่อินโดนีเซียและจีนเป็นปัจจัยหนุนความแข็งแกร่งของกำไรสุทธิใน 2Q53 ส่วนธุรกิจ โรงไฟฟ้าทรงตัว    * ปริมาณขายถ่านหินลดลงเป็น 5.4 ล้านตันใน 2Q53 (จาก 6.2 ล้านตันใน 1Q53) เนื่องจากเป็น ฤดูฝนในอินโดนีเซียทำให้ปริมาณการผลิตลดลงและเหมืองจูร่งปิดชั่วคราว (จะกลับมาดำเนินการตามปกติ สัปดาห์หน้า)    * รายได้จากธุรกิจถ่านหินเติบโต 19%YoY เพราะราคาขายเฉลี่ยสูงขึ้น 17%QoQ และ 5%YoY เป็น 77.8 US$/ตัน ซึ่งชดเชยกับการลดลงของปริมาณขาย    * อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจถ่านหินเพิ่มเป็น 48% จาก 45% ใน 1Q53 แต่ลดลงจาก 53% ใน 2Q52    * มีส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจถ่านหินในจีน 1.5 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 28%QoQ แต่ลดลง 15%YoY    * โรงไฟฟ้า BLCP มีผลดำเนินงานทรงตัว และ BANPU บันทึกส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าใน 807 ล้านบาทใน 2Q53    * EBITDA สำหรับ 2Q53 เท่ากับ 6.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17%QoQ แต่ลดลง 8%YoY โดยมาจาก ธุรกิจถ่านหิน 85% และอีก 15% เป็นของธุรกิจโรงไฟฟ้า    * ความเห็นนักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานของ DBSV : กำไรสุทธิ 1H53 คิดเป็น 46% ของกำไรสุทธิทั้งปี 53 และคาดว่ากำไรสุทธิจะดีขึ้นใน 2H53 โดยหลักมาจากธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย ที่จะมีปริมาณขายเพิ่ม หลังหมดฤดูฝน กำไรสุทธิปี 53 ของบริษัทมีความเสี่ยงขาลงต่ำ เพราะได้ทำสัญญาขายถ่านหินไปแล้ว 72% (ทั้งปริมาณและราคา) ส่วนผลกระทบจากการปิดชั่วคราวของเหมือง Daning ในจีนเพราะมีปัญหาเรื่อง การต่อใบอนุญาตนั้นจำกัดมาก (มีผลกระทบเพียง 1% ของกำไรสุทธิปี 53 เท่านั้น) ยังคงแนะนำซื้อ BANPU ราคาพื้นฐาน 750 บาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:52:10

ความคิดเห็นที่ 12 Company Focus : TVO : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE TVO                  คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 22.90 บาท     ราคาพื้นฐาน 27.25 บาท ปริมาณขาย และอัตรากำไรเติบโตดี    * กำไรสุทธิ 2Q53 ฟื้นตัวดีขึ้นมาก เติบโต 30% q-o-q ที่ 353 ล้านบาท สอดคล้องกับที่เราและ ตลาดคาดไว้ สาเหตุเพราะ ปริมาณขายเพิ่ม 25% และอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น    * แนวโน้มธุรกิจดี เพราะได้รับแรงหนุนจากราคาขายถั่วเหลืองที่ดีในตลาดโลก ขณะที่กำลังการผลิตที่ เพิ่มขึ้น ก็เอื้อให้ปริมาณการขายและกำไรสุทธิใน 2H53 เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทจะเน้นเพิ่ม ปริมาณขาย มากกว่าอัตรากำไร เพราะสินค้าถั่วเหลืองเป็นโภคภัณฑ์ที่ราคาขายมีความผันผวนสูง จึงยากที่ จะบริหารได้    * คงคำแนะนำ ซื้อ ประมาณการและราคาพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ราคาพื้นฐานเป็น 27.25 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 54 ที่ระดับ 11 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับหลักทรัพย์อื่นๆที่ทำธุรกิจคล้ายกัน (peers) ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 54 ที่ 8.3 เท่า และ PEG ที่ 0.4 เท่า ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม ได้อีก 19% เทียบกับราคาพื้นฐาน กอปรกับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 53 และ 54 ก็อยู่ในเกณฑ์ดีมากเป็น 6.2% และ 7.3% ตามลำดับ จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:52:38

ความคิดเห็นที่ 13 Company Focus : VNT : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE VNT                 แนะนำถือ ราคาปิด 8.75 บาท     ราคาพื้นฐาน 9.84 บาท มาร์จิ้นที่แกร่งหนุน Norm Profit 2Q53    * VNT ประกาศกำไรสุทธิ 2Q53 เท่ากับ 400 ล้านบาท เติบโต 104%YoY และ 114%QoQ ดีกว่าที่ คาดการณ์ไว้ โดยในไตรมาสนี้มีการบันทึกรายได้ค่าสินไหมทดแทนเข้ามา 54 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการที่ บริษัทต้องหยุดผลิตในช่วง 10-23 ก.พ.53 เนื่องจากผู้จัดหาวัตถุดิบมีปัญหาในการผลิตเพราะโรงไฟฟ้าและ ไอน้ำ GLOW เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิค สำหรับ กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Norm Profit) ไตรมาสนี้ดีขึ้นมากเป็น 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108%QoQ หลังจากกลับมาผลิตและขายเต็มที่    * อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 17.4% จาก 10.8% ใน 1Q53 แต่ต่ำกว่า 2Q52 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น สูงมากถึง 19.5% เพราะใช้วัตถุดิบต้นทุนต่ำและดีมานด์ฟื้นตัวหลังวิกฤติเศรษฐกิจโลก    * ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ณ สิ้นมิ.ย.53 เป็นเงินสดสุทธิ 653 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดจาก การดำเนินงานในช่วง 6M53 เท่ากับ 613 ล้านบาท    * อุตสาหกรรม PVC มีแนวโน้มอ่อนลงใน 2H53 ผู้เชี่ยวชาญมองว่าอุปสงค์ PVC ในเอเชียมีแนวโน้ม อ่อนลงใน 2H53 เพราะการก่อสร้างในจีนชะลอตัวลงตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการชะลอความร้อนแรง ของภาคอสังหาริมทรัพย์ อุปสงค์ PVC ในจีนคาดว่าจะเติบโต 5% ซึ่งเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของการขยายตัวของ GDP ที่ 10%    * แนะนำถือ เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 53 ของ VNT ขึ้น 5.5% สะท้อน Norm Profit) ของ 2Q53 ที่ดีกว่าคาด และมีรายการพิเศษ คือ ค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยเข้ามา และปรับราคาพื้น ฐานขึ้นเป็น 9.84 บาท โดยเลื่อนไปอิงกับ P/E ปี 54 ที่ 9.5 เท่า หรือเทียบเท่ากับ P/BV ปี 54 ที่ 0.86 เท่า จุดเด่นของ VNT คือ การบริหารงานโปร่งใส และฐานะการเงินแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นขาด Catalyst โดยอุปสงค์ PVC ในเอเชียมีแนวโน้มอ่อนลงใน 2H53 และกำไรสุทธิ 3Q53 มี แนวโน้มลดลงทั้ง YoY และ QoQ (Norm Profit 3Q52 สูงถึง 371 ล้านบาท) เราคาดการณ์ Dividend Yield สำหรับปี 53 ไว้ที่ 4.4% (ให้ Payout ratio เท่ากับ 40% ใกล้เคียงกับปี 52 ที่ 42% และปี 51 ที่ 40%) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:52:58

ความคิดเห็นที่ 14 Company Focus : SPALI : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE SPALI               คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 12.00 บาท    ราคาตามพื้นฐาน 14.30 บาท คาด 4Q53 จะมีผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์    * กำไรสุทธิ 2Q53 ลดลง 35%YoY เป็น 446 ล้านบาท โดยหลักมาจาก 1) การรับรู้รายได้ที่ลดลง 17%YoY เพราะยอดโอนคอนโดมิเนียมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน, 2) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 42.4% ใน 2Q53 จาก 45.3% ใน 2Q52 เนื่องจากสัดส่วนการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมน้อยลง ซึ่ง อัตรากำไรขั้นต้นของคอนโดมิเนียมสูงกว่าที่พักอาศัยแนวราบ และ 3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่ม ขึ้น 63%YoY หลังจากอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะที่บริษัทต้องจ่ายกลับสู่ระดับปกติ 3.3% ตั้งแต่ 1 เม.ย.53 เป็นต้นมา    * ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับ 1H53 เท่ากับ 0.30 บาท กำหนด XD วันที่ 23 ส.ค.53 และชำระเงินวันที่ 8 ก.ย.53    * แนวโน้มดี คาดว่า 4Q53 จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เราคาดว่ากำไรสุทธิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในช่วง 2H53 โดยเฉพาะใน 4Q53 ซึ่งจะมีการโอนรับรู้รายได้คอนโดมิเนียมหลายโครงการ บริษัทมียอด ขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นมิ.ย.53 เท่ากับ 18.7 พันล้านบาท สูงเป็นอันดับสองในอุตสาหกรรม ยังผลให้การรับรู้รายได้มีความมั่นคงสูง และคิดเป็น 96% และ 51% ของยอดรับรู้รายได้ที่เราประมาณการ ไว้สำหรับปี 53-54 ตามลำดับ บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่ 13 แห่งใน 2H53 มูลค่าโครงการรวม 13 พันล้านบาท และยังมีที่ดินเปล่าอีก 14 แปลง สำหรับเปิดโครงการใหม่เพื่อขายในปี 54-55    * ยังคงคำแนะนำซื้อ ทั้งนี้ Valuation ของหุ้น SPALI ยังต่ำ โดยซื้อขายที่ P/E ปี 54 ต่ำเพียง 6.9 เท่า เราให้ราคาตามพื้นฐาน 14.30 บาท อิงกับ RNAV และเทียบเท่ากับ P/E ปี 54 ที่ 8.2 เท่า ราคาตามพื้นฐานมี Upside จากราคาปิด 19% และคาดการณ์ Dividend Yield ปี 54 เท่ากับ 6.5% จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:53:30

ความคิดเห็นที่ 15 Company Focus : MODERN : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE MODERN              คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 41.75 บาท    ราคาตามพื้นฐาน 50.77 บาท กำไรสุทธิ 2Q53 ออกมาดีตามคาด    * บริษัทประกาศกำไรสุทธิ 2Q53 เท่ากับ 86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%YoY เป็นไปตามคาด โดยการ ขยายตัวก้าวกระโดดมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น 21%YoY (ยอดขายเฟอร์นิเจอร์ที่พักอาศัยเติบโตดีมาก ซึ่ง เป็นไปตามยอดขายและยอดโอนที่พักอาศัยที่เพิ่มขึ้น) และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลง เป็น 25.4% จาก 28.0% ในงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น 2Q53 เท่ากับ 35.% เพิ่ม เล็กน้อยจาก 34.5% ใน 2Q52    * มีส่วนแบ่งกำไรใน 2Q53 เท่ากับ 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%YoY โดยมาจาก TPAC (MODERN ถือหุ้น 48%) 12 ล้านบาท, บ.อินเตอร์เฟส โมเดอร์นฟอร์ม (ถือหุ้น 30%) 12 ล้านบาท และ MFEC (ถือหุ้น 28%) 6 ล้านบาท    * คาดกำไรสุทธิ 2H53 จะแข็งแกร่งขึ้นอีก กำไรสุทธิ 1H53 เท่ากับ 171 ล้านบาท เติบโต 50%YoY และคิดเป็น 45% ของกำไรสุทธิทั้งปี 53 ที่เราคาดการณ์ไว้ แต่เราไม่มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิ เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิ 2H53 จะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบ HoH เพราะบริษัทมี Backlog ที่รอส่งมอบจำนวน มาก ซึ่งใน 2Q53 ผลิตและส่งมอบล่าช้าไปบางส่วนเนื่องจากมีปัญหาการเมืองรุนแรงในประเทศ เราคาด การณ์ว่ายอดขายปี 53 จะเติบโตได้ 21% เป็น 2.7 พันล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นใน 2H53 เมื่อมีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น และประเมินว่าทั้งปี 53 จะอยู่ที่ 37% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 36.3% ด้านกำไรสุทธิปี 53 จะเติบโตก้าวกระโดด 28% เป็น 384 ล้านบาท โดยหลักมาจากยอดขายเฟอร์นิเจอร์ ที่พักอาศัยที่ขยายตัวดีมาก 20-30% ส่วนเฟอร์นิเจอร์สำนักงานเติบโต 5-10%    * แนวโน้มปี 54 ยังไปได้ดี โดยคาดว่ายอดขายเฟอร์นิเจอร์สำนักงานจะขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น เพราะการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวหลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย ยังผลให้ยอดสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์สำนักงานมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นและเห็นชัดเจนในปี 54 นอกจากนั้น คาดว่าธุรกิจ Trading จะทำรายได้และกำไรได้ดีขึ้น ซึ่งปัจจุบันธุรกิจนี้คิดเป็น 25% ของยอดขายรวม    * บริษัทมีโครงการซื้อหุ้นคืนในครั้งที่ 3 โดยจะซื้อหุ้นคืนทั้งหมด 8.323 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 10 บาท หรือ 10% ของทุนเรียกชำระ ใช้เงินสูงสุด 350 ล้านบาท ระยะเวลาซื้อคืน 1 มิ.ย.53 - 30 พ.ย.53 และมีระยะเวลาจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนในช่วง 1 มิ.ย.54 - 30 พ.ย.57 (ภายหลังซื้อคืนเสร็จ 6 เดือนแต่ ไม่เกิน 3 ปี) ทั้งนี้หุ้นที่บริษัทซื้อคืนจะไม่มีสิทธิรับเงินปันผล ทั้งนี้ ณ สิ้นมิ.ย. 53 บริษัทมีหุ้นที่ซื้อคืนแล้ว 14.374 ล้านหุ้น ทำให้หุ้นที่เรียกชำระแล้วที่มีสิทธิรับเงินปันผล ณ สิ้นมิ.ย.53 จะอยู่ที่ 68.861 ล้านหุ้น ( จากหุ้นเรียกชำระแล้วทั้งหมด 83.235 ล้านหุ้น)    * ฐานะการเงินดี ณ สิ้นมิ.ย.53 เป็นเงินสดสุทธิ 22 ล้านบาท ลดลงจากสิ้น 1Q53 ที่ 278 ล้านบาท เพราะบริษัทมีการซื้อหุ้นคืน ประกอบกับสินค้าคงคลังและลูกหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าสินค้า คงคลังใน 2H53 จะลดลงจากการที่ส่งมอบงานให้กับลูกค้ามากขึ้น    * แนะนำซื้อ  โดยให้ราคาตามพื้นฐาน 50.77 บาท (Sum-of-parts) จุดเด่นของบริษัท คือ เป็น ผู้นำในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์สำนักงานและครัว มีแบรนด์เป็นที่นิยมของผู้บริโภค บริษัทมีแผนขยายธุรกิจ Trading อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนการเติบโตในอนาคต ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และจ่าย ปันผลสูงอย่างสม่ำเสมอ คาดการณ์ Dividend Yield ปี 53-54 ปีละ 10% (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:54:00

ความคิดเห็นที่ 16 Company Focus : IVL : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE IVL                 คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 22.60 บาท    ราคาตามพื้นฐาน 28 บาท กำไรสุทธิ 2Q53 ดีว่าคาด    * IVL รายงานกำไรสุทธิ 2Q53 เพิ่มขึ้น 37%QoQ และ 1%YoY เป็น 2.09 พันล้านบาท และกำไร สุทธิ 1H53 คิดเป็น 57% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 53 ทั้งนี้บริษัทมีการใช้กำลังการผลิต PET 95% เพิ่มขึ้นจาก 1Q53 ที่ 94% แต่ลดลงจาก 107% ใน 2Q52 ส่วน PTA ใช้กำลังการผลิต 98% ลดลงจาก 100% ใน 1Q53 และ 101% ใน 2Q52 ด้านโพลิเอสเตอร์ใช้กำลังการผลิต 106% ลดลงจาก 113% ใน 1Q53 แต่เพิ่มขึ้นมากจาก 93% ใน 2Q52    * บริษัทจะตั้งโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกแบบ Solid State Polymerization กำลังการผลิต 7.5 หมื่นตันต่อปีในไนจีเรีย โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ใน 3Q54 โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นโรงงานแรก ของกลุ่ม IVL ในทวีปแอฟริกา ซึ่งมีอุปสงค์ PET ปีละ 4.5 แสนตัน และขณะนี้มีผู้ผลิต PET ในทวีป แอฟริกาเพียงรายเดียวเท่านั้น    * IVL อยู่ในช่วงของการเติบโต โดยอุปสงค์ PET ในตลาดโลกคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 7.6% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เราแนะนำซื้อ โดยให้ราคาตามพื้นฐาน 28 บาท (DCF) หรือเทียบเท่ากับ P/E ปี 54 เท่ากับ 15 เท่า จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:54:22

ความคิดเห็นที่ 17 Company Focus : HMPRO : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE HMPRO              คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 8.30 บาท     ราคาพื้นฐาน 10.10 บาท (เดิม 4.95 บาท) แนวโน้มเติบโตสูง    * กำไรสุทธิ 2Q53 ออกมาดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้เป็น 375 ล้านบาท เติบโตถึง 49% y-o-y และ 11% q-o-q เพราะ 1) อัตราการเติบโต same store sales (SSS) ทำสถิติสูงสุดที่ 18.1% เทียบกับ y-o-y และ q-o-q ที่ 3.3% และ 12.7% ตามลำดับ สาเหตุคือ การใช้จ่ายของผู้ซื้อที่ดีขึ้น การใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มาตรการกระตุ้นอสังหาฯจากภาครัฐ และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าขายดีใน ช่วงแข่งขันบอลโลก 2) ได้ประโยชน์จากสาขาใหม่ที่เปิด และ 3) อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 25% จาก สัดส่วนการจำหน่ายสินค้าที่เป็นตราของบริษัทที่เพิ่มมากขึ้น    * บริษัทเพิ่มการเติบโตด้วยการจำหน่ายสินค้าที่เป็นตราตัวเองมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเปิดสาขาใหม่ 4 แห่งต่อปี อย่างสม่ำเสมอ เราเห็นว่า HMPRO มีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมาก จากขนาดของตลาดที่ สามารถขยายได้ รวมทั้งการแทนที่ตลาดจำหน่ายสินค้าตกแต่งและทดแทนที่ใช้ในบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมี ระบบการบริหารแบบเดิม ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เดือน ก.ค.53 อัตราเติบโต SSS ยังเป็น สองหลักได้ นอกจากนี้ยังคาดว่าการเติบโตใน 2H53 จะเหนือกว่า 1H53 เสียอีก เพราะเข้าสู่ฤดูกาลที่ การจำหน่ายดีมาก อีกทั้งอัตราเติบโต SSS ก็ฟื้นตัวต่อเนื่อง พิจารณาจากดัชนีความเชื่อมั่น CCI (ก.ค.53 เป็น 79.1) ได้ประโยชน์จากสาขาใหม่ รวมทั้งปัจจัยการเมืองคลายความตึงเครียดลง หลังผลการดำเนิน งาน 2Q53 ออกมาดีกว่าคาดมาก เราจึงได้ปรับประมาณการปี 53 และ 54 เพิ่มขึ้น 23% และ 33% ตามลำดับ    * คงคำแนะนำ ซื้อ เราได้ปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 10.10 บาท ด้วยการใช้ P/E ปี 54 ที่ 20 เท่า (ค่าเฉลี่ย 5 ปี +1SD) แทนการใช้ P/E ปี 53 HMPRO มีจุดเด่นเรื่อง แนวโน้มการเติบโตที่สูง และเป็น ผู้นำในตลาดวัสดุตกแต่งที่ใช้ในบ้าน ราคาหุ้นปัจจุบันยังไม่แพง P/E ปี 54 เป็น 16 เท่า (0.8 PEG) ราคาปิดมีส่วนเพิ่ม 22% เทียบกับราคาพื้นฐาน อีกทั้งอัตราผลตอบแทนเงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจที่ 4% จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:54:50

ความคิดเห็นที่ 18 Company Focus : BEC : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE BEC                 คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 29.50 บาท    ราคาพื้นฐาน 35.00 บาท ปรับขึ้นค่าโฆษณา ส่งผลดีเต็มปีในปีหน้า    * กำไรสุทธิ 2Q53 เป็น 779 ล้านบาท (+10% y-o-y +5.8% q-o-q) ถือว่าน้อยกว่าที่เราและ ตลาดคาดไว้ก่อนหน้า พร้อมกันนี้บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในรอบ 1H53 เป็น 0.65 บาท ขึ้น XD วันที่ 24 ส.ค.53 และจ่ายปันผลวันที่ 9 ก.ย.53 อัตราการจ่าย (payout ratio) เป็น 86% สอดคล้องกับที่เราและตลาดคาดไว้ ส่วนเงินปันผลในงวดสิ้นปี เราคาดว่าเป็น 0.78 บาท ซึ่งอัตราการ จ่ายเป็น 100% แม้ว่าปกติแล้วเดือน ก.ค. และส.ค.จะอยู่ในช่วงฤดูกาลที่การโฆษณาอ่อนลง แต่ปีนี้กลับมี สัญญาณที่ดีคือ มีเม็ดเงินเข้ามาจองโฆษณาอย่างแข็งแกร่ง    * ข่าวดีคือ BEC ได้ปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณา 9-13% สำหรับบางโปรแกรมที่ได้เลือกไว้ รวมทั้ง primetime มีผลตั้งแต่เดือน ก.ค.53 และจะมีการปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณา 6% สำหรับช่วง super- primetime ช่วงละคร (20:20-22:30) มีผลเดือน ต.ค.53 เราเห็นว่าผลกระทบทางบวกจากการปรับ ขึ้นอัตราค่าโฆษณาที่มีต่อการเติบโต จะเห็นผลชัดเจนในปี 54 หรือปีหน้า    * คงคำแนะนำ ซื้อ เพราะเราเห็นว่าการเติบโตจะเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกใน 2H53 ตามการใช้จ่าย เม็ดเงินโฆษณาที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งอัตราผลตอบแทนเงินปันผลก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีเป็น 4.8% ในปี 53 และ 5.9% ในปี 54 จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:55:28

ความคิดเห็นที่ 19 Company Focus : AMATA : บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     16 ส.ค.--บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส     Distributor - Bisnews AFE AMATA               คำแนะนำ ซื้อ ราคาปิด 10.70 บาท    ราคาพื้นฐาน 12 บาท ได้รับประโยชน์จาก FDI ที่ฟื้นตัว    * กำไรสุทธิ 2Q53 ของ AMATA เพิ่มก้าวกระโดดเป็น 132 ล้านบาท (จากขาดทุนสุทธิ 24 ล้าน บาทใน 2Q52) โดยมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเป็น 117 ไร่ใน 2Q53 จาก เพียง 2 ไร่ใน 2Q52 หากเทียบกับ 1Q53 พบว่ากำไรสุทธิเติบโต 24%QoQ แม้ว่ายอดขายที่ดินจะน้อยลง และอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติ แต่บริษัทได้รับเงินปันผลและรายได้อื่น รวมถึงอัตราภาษี จ่ายลดลงในไตรมาสนี้    * โครงสร้างรายได้ใน 2Q53 ประกอบด้วย รายได้จากการขายที่ดิน 48% ของรายได้รวม, รายได้ จากธุรกิจสาธารณูปโภค 30%, รายได้ค่าเช่า 13% และเงินปันผลรับ & รายได้อื่นๆ 9%    * มีโอกาสขายที่ดินแปลงใหญ่ เราเชื่อว่า AMATA เป็นหนึ่งในบริษัทที่จะได้รับประโยชน์มากจากการ ฟื้นตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) โดยขณะนี้ บริษัทกำลังเจรจากับผู้สนใจซื้อที่ดินหลายราย ซึ่งรวมถึง Canadoil และ Holley ที่กำลังหาซื้อที่ดินแปลง ใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยองด้วย ผู้บริหารยังคงตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 900 ไร่ ซึ่งฟื้นตัวอย่างมากจากปี 52 ที่มียอดขายเพียง 254 ไร่ อย่างไรก็ดี เรายังคงใช้สมมติฐานยอดขายที่ดินปี 53 อย่างอนุรักษ์นิยมไว้ที่ 400 ไร่ในปี 53 และ 600 ไร่ในปี 54 ซึ่งทำให้กำไรสุทธิปี 53-54 จะขยายตัว 26% และ 51% ตามลำดับ    * แนะนำซื้อ แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่เราให้ไว้ที่ 12 บาท (อิงกับ RNAV) โดยมี Upside เหลืออยู่ 12% จากราคาพื้นฐานดังกล่าว และราคาพื้นฐานที่เราประเมิน ยังไม่รวมโครงการใหม่ที่เวียดนาม ซึ่งทาง AMATA ได้รับอนุมัติโครงการจากรัฐบาลกลางแล้ว และขณะนี้ กำลังรอการอนุมัติขั้นตอนสุดท้ายจากหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่น จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:55:52

ความคิดเห็นที่ 20 EARNINGS RESULTS : BJC : บมจ.บัวหลวง     16 ส.ค.--บมจ.บัวหลวง     Distributor - Bisnews AFE               เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ คำแนะนำพื้นฐาน:     ซื้อ เป้าหมายพื้นฐาน:     22.40 บาท ราคา (11/08/10):  17.60 บาท ผลประกอบการดี     เหนือคาดการณ์ของเราอยู่ 6%: BJC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 ที่ 478 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 76% YoY แต่ลดลง 7% QoQ กำไรสุทธิมากกว่าที่เราคาดการณ์ 6% เนื่องจากมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงเกินคาดสำหรับสายธุรกิจอุตสาหกรรม กำไรสุทธิในครึ่งแรกของปีคิดเป็น 49% ของประมาณการกำไรสุทธิของปี 2553     ประเด็นหลักจากผลประกอบการ: สายธุรกิจอุตสาหกรรมรายงานผลประกอบการแข็งแกร่งมากใน ไตรมาส 2/53 โดยกำไรสุทธิของสายธุรกิจนี้เติบโตสูงถึง 417% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วและ 12% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบลดลงทั้งในส่วนของธุรกิจโรงแก้วและกระป๋อง อะลูมิเนียม การเพิ่มขึ้นอย่างมากของกำไรสุทธิของธุรกิจสายนี้นั้นสามารถชดเชยการลดลงของกำไรจาก ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้ากลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ทั้งหมด โดยกำไรสุทธิของกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภคนั้นได้รับผลกระทบจากต้นทุนเยื่อกระดาษที่สูงขึ้นและยอดขายขนมขบเคี้ยวที่ลดลงในช่วงการประท้วง ของกลุ่มคนเสื้อแดง ในขณะที่กำไรจากธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ลดลงเนื่องจากการชะลอการใช้ จ่ายของโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข ดูส่วนประกอบของรายได้และกำไรสุทธิในแต่ละ สายธุรกิจจากแผนภาพที่ 2 และ 3     แนวโน้ม: เราคาดว่ากำไรในครึ่งปีหลังจะดีกว่าในครึ่งปีแรก เนื่องจากการซื้อโรงแก้วมาลายากลาส (Malaya Glass) กอปรกับการฟื้นตัวของธุรกิจกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้ากลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์     การเปลี่ยนแปลง: เราได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2553 ขึ้น 2% เพื่อให้สอดคล้องกับ อัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจอุตสาหกรรม โดยราคาเป้าหมายของเรายังคงเดิม     คำแนะนำ: เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมายปี 2553 ที่ 22.40 บาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:56:15

ความคิดเห็นที่ 21 EARNINGS RESULTS : ERAWAN : บมจ.บัวหลวง     16 ส.ค.--บมจ.บัวหลวง     Distributor - Bisnews AFE ดิ เอราวัณ กรุ๊ป คำแนะนำพื้นฐาน:     ซื้อ เป้าหมายพื้นฐาน:     3.50 บาท ราคา (11/08/10):  2.46 บาท ราคาหุ้นสะท้อนการขาดทุนไตรมาส 2/53 แล้ว     ไม่แปลกใจที่ขาดทุน: ERAWAN รายงานขาดทุนที่ 192 ล้านบาทในไตรมาส 1/53 เทียบกัน ขาดทุน 115 ล้านบาทในไตรมาส 2/52 และกำไรสุทธิ 59 ล้านบาทในไตรมาส 1/53 ตัวเลขขาดทุนสอดคล้องกับ ประมาณการของเราและตลาด     ประเด็นน่าสนใจ: เหตุการณ์ความไม่สงบส่งผลกระทบต่อ ERAWAN มากที่สุดในบรรดาผู้ประกอบการ โรงแรม เนื่องจากสองโรงแรมหลักของบริษัท - แกรน ไฮแอท เอราวัน และ Courtyard by Marriott ต้องปิดไปร่วมสองเดือน ทำให้รายได้รวมไตรมาส 2/53 ลดลง 23% YoY และ 51% QoQ ไปอยู่ที่ 495 ล้านบาท เนื่องจากค่าเฉลี่ย RevPar ลดลง 37% YoY และ 57% QoQ อัตราผู้เข้าพักเฉลี่ย ลดลงไปอยู่ที่ 40% ในไตรมาส 2/53 ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์(50% ในไตรมาส 2/52 และ 70% ใน ไตรมาส 1/53) ค่าห้องเฉลี่ยลดลง 21% YoY และ 24% QoQ อัตรากำไรเบื่องต้นลดลง 37.6% จาก 48.1% ในไตรมาส 2/52 และจาก 55.4% ในไตรมาส 1/53 EBITDA อยู่ที่ 30 ล้านบาทในไตร มาส2/53 ไม่เพียงพอที่สำหรับค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับดอกเบี้ย ถึงแม้ว่า อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน จะสูงที่ 2.6 เท่า ณ สิ้นเดือนมิย. แต่เราไม่กังวลเกี่ยวกับฐานะทางการเงิน เนื่องจากผู้ให้กู้ได้อนุมัติให้ เลื่อนการชำระหนี้เงินต้นในไตรมาส2-4/53     แนวโน้ม: เราคาดว่าไตรมาส2/53จะเป็นจุดต่ำสุดของบริษัท เราคาดว่าไตรมาส3/53 ผลประกอบ การจะขาดทุนใกล้เคียงปีที่แล้วแต่ขาดทุนลดลง QoQ ทั้งนี้เราคาดว่าอัตราผู้เข้าพักจะเพิ่มขึ้น QoQ เนื่อง จากธุรกิจโรงแรมในกรุงเทพฯฟื้นตัวโดยเฉพาะแกรน ไฮแอท เอราวัน และไฮซีซั่นของนักท่องเที่ยวจาก ตะวันออกกลาง(ซึ่งพักที่ JW Marriott)     สิ่งที่เปลี่ยนไป: ครึ่งปีแรกบริษัทขาดทุนสุทธิ 134 ล้าบาท เรายังคงประมาณการปีนี้ไว้ที่เดินที่ขาดทุน สุทธิ 210 ล้านบาท เราคาดว่าบริษัทจะได้กำไร 58 ล้านบาทในปี 2554 ตลาดน่าจะประมาณขาดทุนน้อย เกินไปสำหรับปีนี้(ตลาดประมาณการขาดทุนปีนี้ไว้เพียง 54 ล้านบาท)     คำแนะนำ: ราคาหุ้นได้สะท้อนขาดทุนสุทธิในไตรมาส2-3/53 เราคาดว่าในครึ่งปีหลัง ตัวเลขจะดีขึ้น YoY และ HoH (เราคาดว่าบริษัทจะเท่าทุนในไตรมาส 4/53) เรายังคงแนะนำให้ซื้อด้วยราคาเป้าหมายปี 53 ที่ 3.5 บาท 50% ถูกกว่ามูลค่า DCF(14% WACC และ 1% Terminal Growth) ขณะนี้ บริษัทซื้อ ขายที่มลค่าถูก - PBV ปี 2553 อยู่ที่ 1.5 เท่าซึ่งสูงกว่าช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบเล็กน้อยและถูกกว่าค่า เฉลี่ยปี 2549-52 ซึ่งอยู่ที่ 2.1 เท่าอยู่มาก อีกทั้งเราคิดว่าโอกาสในการขายสินทรัพย์ให้กองทุนอสังหาริม ทรัพย์จะเป็นวิธีที่ทำให้สะท้อนได้มูลค่าจริงของสินทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ได้ (เราคาดว่า replacement value อยู่ที่ 7.64 บาทต่อหุ้น - 5 เท่าของมูลค่าทางบัญชี) โดยมองว่ากำไรจากการขายสินทรัพย์ให้กอง ทุนอสังหาริมทรัพย์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันราคาหุ้นได้ในที่สุด จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:56:53

ความคิดเห็นที่ 22 Company Results : KCAR : บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป        16 ส.ค.--บมจ.หลักทรัพย์ ฟิลลิป        Distributor - Bisnews AFE Company Results                         วันที่ 16 สิงหาคม 2553 กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส - KCAR ราคาพื้นฐาน : 10.10 บาท   คำแนะนำ : ซื้อ    ราคาปิด (11 สิงหาคม 2553): 8.15 บาท กำไรไตรมาส 2 ยังขยายตัวต่อเนื่อง YoY, QoQ        กำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 86.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.3% YoY, 11.8% QoQ แม้ในช่วง เวลาดังกล่าวมีปัญหาการเมืองในประเทศ ทั้งนี้มาจากการขยายตัวของรายได้รวมและ Effective Tax Rate ที่ปรับลง        กำไรงวดครึ่งปี 2553 เทียบเท่า 57.4% ของประมาณการทั้งปี 2553 ที่ 286.25 ล้านบาท โดยทางฝ่ายได้ปรับประมาณการขึ้นอีก 13.5% มาที่ 324.90 ล้านบาท บนมุมมองต่อ เศรษฐกิจที่ดีขึ้น        กำไรปี 2554 คาดขยายตัวต่ออีก 10.9% มาที่ 360.40 ล้านบาท โดยราคาพื้นฐานจะอยู่ที่ 10.10 บาท/หุ้น จาก upside ที่เหลือ ในเกณฑ์ดีและปันผลของปี 2553 อีก 0.65 บาท/หุ้น ทำให้ทาง ฝ่ายปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" กำไรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 39.3% YoY, 11.8% QoQ มาที่ 86.75 ล้านบาท        กำไรสุทธิในไตรมาส 2 แสดงการขยายตัวได้ดี โดยปรับเพิ่มขึ้น 39.3% YoY, 11.8% QoQ แม้ในช่วงเวลาดังกล่าวมีปัญหาการเมืองในประเทศ ทั้งนี้เป็นผลจาก:        รายได้รวมปรับขึ้น 9.6% YoY , 3.9% QoQ โดยเฉพาะจากกำไรจากการขายรถ เช่าที่ขาย ออกไป 310 คันใน 2Q53        อัตรา Gross Profit Margin ปรับขึ้น QoQ จากต้นทุนขายรถที่ต่ำลง ขณะต้นทุนรถเช่า ทรง ตัว        อัตรา Cost/Income ปรับเพิ่มขึ้น QoQ จากกำไรขายรถเช่าและรายได้อื่นที่ลดลง        Effective Tax Rate เฉลี่ยอยู่ที่ 6.2% เทียบ 15.3% QoQ, 11.4% YoY จากการลงทุนใน รถยนต์เช่าเพิ่มขึ้นทำให้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี        Net Profit Margin ปรับขึ้นมาที่ 24.5% เทียบ 23.7% QoQ, 18.3% YoY ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.36 บาท/หุ้น        KCAR ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2553 ในอัตรา 0.36 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตรา Payout ที่ 54.5% ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 ส.ค. 2553 และจ่ายปันผลใน วันที่ 9 ก.ย. 2553 กำไรสุทธิในครึ่งปีแรกขยายตัว 33.5% YoY        กำไรสุทธิในครึ่งแรกของปี 2553 ขยายตัว 33.5% มาที่ 164.32 ล้านบาท โดยคิดเป็น 57.4% ของ ประมาณการทั้งปีที่ 286.25 ล้านบาท รายได้รวมเติบโต 12.7% ขณะ Gross Profit Margin อ่อนตัว ลงมาที่ 15.5% จากต้นทุนรถเช่าที่ขยับสูงขึ้น อย่างไรก็ตามกำไรการขายรถเช่าที่เพิ่มขึ้น 59.4% YoY ช่วยให้อัตรา Cost/Income ปรับลงมาที่ 72.1% เทียบ 74.7% YoY ณ สิ้นมิ.ย. 2553 บริษัท มี รถเช่าจำนวน 5,947 คันเพิ่มขึ้น 163 คันจาก 5,784 คันเมื่อสิ้นมิ.ย. 2552        จากผลประกอบการที่โตได้ต่อเนื่องและดีกว่าคาดทำให้ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรปี 2553 ขึ้นอีก 13.5% มาที่ 324.90 ล้านบาทโดยมีปัจจัยสนับสนุนได้แก่มุมมองต่อเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจากใน ครึ่งปีแรก โดยราคาพื้นฐานปี 2553 ปรับขึ้นมาที่ 9.00 บาท/หุ้นจาก 7.30 บาท/หุ้น อิงค่าเฉลี่ย P/BV และ P/E ที่ 1.2 เท่าและ 9.1 เท่า ตามลำดับ ทางฝ่ายปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" โดยราคาพื้นฐานปี 2554 อยู่ที่ 10.10 บาท/หุ้น        กำไรปี 2554 คาดขยายตัวต่ออีก 10.9% มาที่ 360.40 ล้านบาท โดยราคาพื้นฐานจะอยู่ที่ 10.10 บาท/หุ้น ราคาหุ้นล่าสุดยังมี upside ในเกณฑ์ดีจากราคาพื้นฐานอีกทั้งยังมีปันผลของปี 2553 อีก 0.65 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนราว 7.9% ทำให้ทางฝ่ายปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:57:35

ความคิดเห็นที่ 23 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : PTT : บมจ.เคจีไอ     16 ส.ค.--บมจ.เคจีไอ     Distributor - Bisnews AFE บมจ. ปตท* ผลประกอบการไตรมาส 2/53: ตามคาด  ซื้อ   ราคาปัจจุบัน (บ.)      250 ราคาเป้าหมาย (บ.)    310 Upside (%)           24 สรุปประเด็นสำคัญ และข่าวล่าสุด     - กำไรสุทธิ 16.7 พันล้านบาท ลดลง 16.1% YoY และ 27.5% QoQ     - คาดจ่ายเงินปันผล 4.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ 1.8%     - คงประมาณการกำไรไว้ที่ 74.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% YoY     - คงแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายที่ 310 บาท กำไรสุทธิ 16.7 พันล้านบาท ตามคาด     PTT รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/53 ที่ 16.7 พันล้านบาท ลดลง 16.1% YoY และ 27.5% QoQ ตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับประมาณการของเราที่ 17.0 พันล้านบาทและค่าเฉลี่ยของตลาดซึ่งอยู่ ระหว่าง 17.0-18.0 พันล้านบาท เมื่อหักกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 334 ล้านบาท (ลดลงจาก 2.8 พันล้านบาทใน ไตรมาส 2/52 และ 3.8 พันล้านบาทใน 1Q10) กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 16.4 พันล้านบาท ลดลง 4.1% YoY และ 15.1% QoQ โดยกำไรที่อ่อนตัวลงเกิดจากส่วนแบ่งกำไรในธุรกิจโรง กลั่นและปิโตรเคมีที่ลดลง นอกจากนี้ ธุรกิจหลัก (น้ำมันและท่อส่งก๊าซ) ยังรายงานกำไรลดลงเล็กน้อย จากราคาผลิตภัณฑ์ในโรงแยกก๊าซและอัตรากำไรในธุรกิจน้ำมันที่ลดลง อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบYoY ผประกอบการปกติลดลงไม่มาก เนื่องจากธุรกิจผลิตและสำรวจ (PTTEP)* รายงานกำไรที่เพิ่มขึ้น YoY   รายการสำคัญใน ไตรมาส 2/53:     * กำไรลดลง QoQ จากธุรกิจก๊าซ: ไตรมาส 2/53 EBITDA ในธุรกิจก๊าซอยู่ที่ 11.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% YoY แต่ลดลง 9.3% QoQ แม้ว่ายอดขายก๊าซจะเพิ่ม 12.5% YoY และ 6.7% QoQ เป็น 4,055 ล้านลบฟุต่อวัน (mmscfd) ราคาผลิตภัณฑ์โรงแยกก๊าซกลับลดลง QoQ ตามราคาอ้างอิงจากผลิต ภัณฑ์ปิโตรเคมี และเป็นเหตุผลที่ทำให้กำไรในธุรกิจก๊าซลดลง     * ธุรกิจน้ำมันรายงานอัตรากำไรลดลง: EBITDA ในธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท ลดลง 26.7% YoY และ 31.8% QoQ เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ลดลงทั้งในธุรกิจค้าส่งน้ำมันและธุรกิจ การตลาด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยที่ 0.22 ต่อลิตร ลดลง 9.9% YoY และ 22.3% QoQ     * ธุรกิจผลิตและสำรวจรายงานผลประกอบการดี: PTTEP รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/53 ที่ 10.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.4% YoY และ 1.4% QoQ จากยอดขายและราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นเป็นหลัก     * ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีลดลง: ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครืออยู่ที่ 2.9 พันล้านบาท ลดลง 64.3% YoY และ 43.7% QoQ จากค่าส่วนต่างราคาปิโตรเคมี ที่ลดลงรวมถึงผลขาด ทุนจากสินค้าคงคลังตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงในระหว่างไตรมาส ใน ไตรมาส 2/53 ค่าการกลั่นทาง บัญชีเฉลี่ยของโรงกลั่นของ PTT อยู่ที่ 3.64 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจาก 8.81 เหรียญต่อบาร์เรลใน ไตรมาส 2/52 และ 4.09 เหรียญต่อบาร์เรลใน ไตรมาส 1/53 คาดจ่ายเงินปันผล 4.5 บาทต่อหุ้น     เราคาดว่า PTT จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 1H10 ที่ 4.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ 1.8% สำหรับในปี 2553 เราคาดว่าบริษัทฯ จะจ่ายเงินปัน ผล 10.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่ 4.0% คงประมาณการกำไรของเราไว้ที่ 74.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% YoY     จากผลประกอบการที่เป็นไปตามคาดในช่วงครึ่งแรกปี 53 ที่ 39.7 พันล้านบาทคิดเป็น 53.2% ของ ประมาณการเต็มปีของเรา เราจึงคงประมาณการของเราไว้ตามเดิมที่ 74.6 พันล้านบาท คงแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายที่ 310.00 บาท     ในระยะสั้น การประกาศรายชื่อโครงการที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในปลายเดือนนี้จะเป็นปัจจัย บวกสำคัญต่อราคาหุ้น เนื่องจากเป็นที่คาดการณ์กันว่าโรงแยกก๊าซจะไม่ถูกรวมอยู่ในรายการดังกล่าว อย่าง ไรก็ดี แม้แต่ในกรณีเลวร้าย เรายังคาดว่าโรงแยกก๊าซ #6 จะสามารถเริ่มได้ในตอนต้นปี 2554 ซึ่งจะ ช่วยหนุนกำไรในปีหน้าของบริษัทฯ ให้เพิ่มขึ้น 16.7% YoY คงแนะนำ 'ซื้อ' โดยมีราคาเป้าหมายที่ 310.00 บาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:58:17

ความคิดเห็นที่ 24 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : CPF : บมจ.เคจีไอ     16 ส.ค.--บมจ.เคจีไอ     Distributor - Bisnews AFE บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)* ผลประกอบการไตรมาส 2/53: กำไรเพิ่ม 25.3% YoY ตามคาด   ถือ ราคาปัจจุบัน (บ.)     24.70 ราคาเป้าหมาย (บ.)   24.20 Upside (%)         -2.02 สรุปประเด็นสำคัญ และข่าวล่าสุด     - กำไร ไตรมาส 2/53 เพิ่ม 25.3% YoY และ 24.1% QoQ     - คาดกำไรทรงตัวในไตรมาส 3/53 และปี 2554     - จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.5 บาทต่อหุ้น     - คงแนะนำ 'ถือ' โดยมีราคาเป้าหมายที่ 24.20 บาท กำไร ไตรมาส 2/53 อยู่ที่ 4.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% YoY และ 24.1% QoQ     CPF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/53 สูงถึง 4.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3% YoY และ 24.1% QoQ ผลประกอบการดังกล่าวใกล้เคียงกับประมาณการของเราและของตลาด ทั้งนี้ผลประกอบการที่ดีดัง กล่าวเกิดจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น โดยธุรกิจในต่างประเทศเป็นปัจจัยหนุนสำคัญโดยมียอด ขายเติบโตในระดับสูงถึง 74.0% YoY เทียบกับธุรกิจในประเทศทรงตัวที่ 5.0% ธุรกิจสัตว์น้ำสร้างอัตรา กำไรขั้นต้นสูงสุดที่ 23.0% ในไตรมาส 2/53 เพิ่มขึ้นจาก 21.0% ในไตรมาส 2/52 ด้วยสัดส่วนยอดขาย 20.7% ส่วนในด้านธุรกิจสัตว์บกซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างยอดขายสูงสุดที่ 52.0% ของยอดขายรวม อัตรากำไร ขั้นต้นทรงตัวจากไตรมาส 2/52 ที่ 20.0% กำไรในรอบครึ่งปีแรก คิดเป็น 53.8% ของประมาณการตลอด ปีของเรา ฐานะทางการเงินดี     จากความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ค่า ROE ของ CPF เพิ่มขึ้นเป็น 6.9% จาก 6.7% ในไตรมาส 2/52 สัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงเหลือ 1.0x จาก 1.2x ในไตรมาส 2/52 ในขณะที่สัดส่วน หนี้สินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อทุน ต่ำเพียง 0.6x เราเห็นว่า CPF เป็นบริษัทฯ ที่มีฐานะทางการเงินมั่นคงดี กำไรทรงตัวในไตรมาส 3/53 และปี 2554     จากกำไรที่ดีในครึ่งปีแรก CEO ของบริษัทฯ (คุณอดิเรก) มั่นใจว่าบริษัทฯ จะสามารถบรรลุเป้า อัตราการเติบโตของกำไรที่ 20.0% ในปี 2553 ได้ แม้ว่ากำไรในรอบครึ่งปีแรก จะคิดเป็น 53.8% ของ ประมาณการตลอดปีของเรา เรายังคงประมาณการของเราในปี 2553 ไว้ตามเดิม เนื่องจากเราบริษัทฯ คาดว่าราคาเนื้อสัตว์จะปรับตัวลดลงในไตรมาส 3/53 เนื่องจากมีอุปทานเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ยอดขาย ที่อยู่ในระดับสูงจะชดเชยราคาเนื้อสัตว์ที่ลดลงได้ ดังนั้นเราจึงคาดว่ากำไรจะทรงตัวในไตรมาส 3/53 และในปี 2554 คุณอดิเรกคาดว่าราคาวัตถุดิบจะเพิ่มขึ้นจากปี 2553 แต่ราคาเนื้อสัตว์จะลดลง เนื่องจากมี อุปทานเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดีเราคาดว่าธุรกิจในต่างประเทศจะเติบโตดีต่อเนื่องในปี 2554 ซึ่ง หมายถึงกำไรที่ทรงตัวจากปีก่อน จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.5 บาทต่อหุ้น     CPF ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลตามคาดที่ 0.5 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทฯ จะจ่าย 0.2 บาท จากกำไรที่ได้รับยกเว้นภาษี ซึ่งจะทำให้ผู้ถือหุ้นไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ตลาดฯ จะขึ้น XD ในวันที่ 23 ส.ค. 2553 และจ่ายเงินในวันที่ 10 ก.ย. 2553 เราคาดว่าเงินปันผลต่อหุ้นรวมทั้งปีจะอยู่ที่ 0.85 บาท     เราคงแนะนำ 'ถือ' โดยมีราคาเป้าหมายที่ 24.20 บาทจากการคำนวนด้วยวิธี sum-of-the- part โดยมีค่าตัวคูณ PE สำหรับกำไรจากการดำเนินงานหลักที่ 12.0x จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:58:44

ความคิดเห็นที่ 25 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : SMT : บล.กิมเอ็ง        16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ. สตาร์ส ไมโครอิเล็กโทรนิคส์ (SMT)  ซื้อ         ราคาปิด (บาท)      12.30 ราคาเป้าหมาย (บาท) 15.00 SET Index        862.16 SAA Consensus Rating                 ถือ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (บาท) 10.29 สูงสุด (บาท)            13.00 ต่ำสุด (บาท)             7.40 ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 53-54 หลังประกาศกำไรสูงกว่าคาดถึง 20%        การประกาศกำไรไตรมาส 2 เติบโตก้าวกระโดดและสูงกว่าคาดถึง 20% ทำให้เราปรับ ประมาณการกำไรปกติปี 2553-2554 ขึ้น 10-11% เป็น 459 ล้านบาทหรือ 1.24 บาท/หุ้น (โตถึง 104% yoy) และ 553 ล้านบาทหรือ 1.50 บาท/หุ้น (โตถึง 21% yoy) ตามลำดับ แนวโน้มกำไรเติบโตก้าว กระโดดนี้ทำให้หุ้น SMT มีความเหมาะสมที่จะซื้อขายที่ระดับ P/E สูงขึ้น เราจึงปรับเพิ่มการอ้างอิง P/E ปี 2554 จาก 8 เท่า เป็น 10 เท่า โดยการปรับเพิ่มทั้งระดับ P/E และคาดการณ์กำไรทำให้เราปรับเพิ่ม ราคาเป้าหมายจาก 10.80 บาทเป็น 15.00 บาท * กำไรปกติไตรมาส 2/53 โตก้าวกระโดด 54% qoq เป็น 120 ล้านบาทด้วยการเติบโตของธุรกิจ high-end และลูกค้าใหม่        SMT รายงานกำไรไตรมาส 2/53 เติบโตก้าวกระโดดด้วยกำไรสุทธิ 128 ล้านบาท และกำไร ปกติ (หลักหักกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 8 ล้านบาท) 120 ล้านบาทโตถึง 54% qoq และ 96% yoy และสูงกว่าคาดถึง 20% (เนื่องจากอัตรากำไรที่สูงกว่าคาด)  โดยเป็นการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ โดย เฉพาะธุรกิจระดับ high-end และใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ได้แก่ 1) ระบบจอสัมผัสสำหรับเครื่องโทรศัพท์ เคลื่อนที่ smart phone 2)  ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะวัดระดับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System หรือ TPMS) 3) IC packaging และ 4) การเริ่มผลิตโมดุลสำหรับเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ แบบพกพา (pico projector) ที่ใช้เลเซอร์  ทั้งนี้ SMT มีลูกค้ารายใหญ่ใหม่ 2 รายในไตรมาส 2/53 หนึ่งให้นั้นให้ SMT ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ป้อนให้กับลูกค้าปลายทางในกลุ่ม smart phone, กลุ่ม LED TV รวมถึง iPad, iPod และ iPhone  กลุ่มสินค้า high-end เหล่านี้ให้อัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูง (เกินกว่า 20%) แต่สัดส่วนรายได้จาก PCBA สำหรับฮาร์ดดิสค์ไดร์ฟ (ยอดขายสูงอัตรากำไรต่ำ) ที่สูงถึง 80% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของ SMT อยู่ที่ 4.4% ในไตรมาส 2/53 (เพิ่มจาก 3.2% ในไตรมาสก่อน หน้าเนื่องจากการเติบโตของธุรกิจ high-end) * แนวโน้มกำไรโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง        แนวโน้มกำไรของ SMT ยังโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลังจากความต้องการระบบจอสัมผัสโทรศัพท์ เคลื่อนที่ที่ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง ลูกค้าใหม่ที่เข้ามาในไตรมาส 2/53 รวมถึงการเริ่มธุรกิจ pico projector สำหรับเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นลูกเล่นที่นิยมในอนาคต ปัจจุบันมีการใช้กำลังการผลิต 80 -90% แล้ว บริษัทจึงอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 20% ด้วยเงินลงทุน 400-460 ล้านบาทในปีนี้ * ปรับเพิ่มประมาณการกำไร คาดกำไรปกติปี 53 โตเท่าตัวเป็น 459 ล้านบาท        การประกาศกำไรที่สูงกว่าคาดมากและแนวโน้มอัตรากำไรที่จะปรับตัวขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจ high-end ทำให้เราปรับเพิ่มสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2553 จาก 3.8% เป็น 4.2% (และ 4.3% ในปี 2554) และทำให้ปรับคาดการณ์กำไรปี 2553-2554 ขึ้น 10-11% โดยคาดหมายกำไรปกติโตถึงเท่า ตัวจากปีที่แล้วเป็น 459 ล้านบาทหรือ 1.25 บาท/หุ้น หลังรวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในครึ่งแรกได้ คาดการณ์กำไรสุทธิ 491 ล้านบาทในปี 2553  และคาดกำไรโตต่อเนื่องอีก 21% เป็น 553 ล้านบาทหรือ 1.50 บาท/หุ้นในปี 2554 จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:59:12

ความคิดเห็นที่ 26 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : MFEC : บล.กิมเอ็ง          16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ. เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC)     ถือ         ราคาปิด (บาท)       4.42 ราคาเป้าหมาย (บาท)  4.50 SET Index        862.16 กำไรไตรมาส 2/53 ยังมีฐานที่ต่ำเพียง 20 ล้านบาท  ปกติแล้วกำไรครึ่งปีหลังจะดีขึ้นคิดเป็นสัดส่วน 60% -70%        กำไรไตรมาส 2/53 ยังน่าผิดหวังด้วยฐานที่ต่ำเพียง 20 ล้านบาท (-5%qoq, -1%yoy)   จากการส่งมอบงานวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยี่สารสนเทศในไตรมาสนี้ลดลง  ปรับ ประมาณการลง คาดยอดขายและกำไรปีนี้จะไม่เติบโต  เราประเมินเงินปันผลในปีนี้ประมาณ 0.32 บาท หรือ คิดเป็นเงินปันผลตอบแทนเท่ากับ 7.2% ซึ่งสูงกว่าตลาด  ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ถือ จากเดิม ขาย  เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 4.5 บาท บนฐาน P/E ปี 2554 เท่ากับ 9 เท่า          * กำไรไตรมาส 2/53 ยังน่าผิดหวังด้วยฐานที่ต่ำเพียง 20 ล้านบาท (-5%qoq, -1%yoy) บมจ. เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC)  ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/53 ที่ยังน่าผิดหวังต่อเนื่อง มีกำไร ด้วยฐานที่ต่ำเพียง 20 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.08 บาท) ลดลงจากไตรมาสก่อน 5% และ 1% จากปีก่อน เนื่องจากการส่งมอบงานวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายงานเทคโนโลยี่สารสนเทศในไตรมาสนี้ลดลง เหลือเพียง 520 ล้านบาท (-28%qoq, -9%yoy)  ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 21% เทียบ กับ 17% ในไตรมาสก่อน และ 19% ในปีก่อน  ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 100 ล้านบาท คิดเป็นสัด ส่วนต่อยอดขายค่อนข้างสูงเท่ากับ 19% เทียบกับ 15% ในไตรมาสก่อนและปีก่อน  และ ดอกเบี้ยจ่ายค่อน ข้างทรงตัวที่ 3 ล้านบาท   * ปรับประมาณการลง คาดยอดขายและกำไรปีนี้จะไม่เติบโต        ยอดขายและกำไรในครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 42% และ 33% ของประมาณการทั้งปี  และ ลูกค้าหลักของ MFEC จะอยู่ในภาคเอกชนประมาณ 60%-65% โดยเฉพาะเทเลคอมเอกชน ซึ่งปีนี้มีการลง ทุนด้านไอทีที่ค่อนข้างจำกัด  ดังนั้น เราจึงปรับประมาณการลดลง โดยประเมินยอดขาย และ กำไรในปีนี้ แทบจะไม่เติบโต โดยจะใกล้เคียงกับปีก่อน คือ ประเมินยอดขายเท่ากับ 2,700 ล้านบาท  และ มีกำไร สุทธิเท่ากับ 105 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.40 บาท) * ประเมินราคาเหมาะสม 4.5 บาท  แนะนำ ถือ        ปกติแล้วผลประกอบการของ MFEC ในครึ่งปีแรกจะต่ำกว่าครึ่งปีหลังในสัดส่วนประมาณ 30-40% : 60-70%  ทำให้เราคาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก  โดย MFEC เป็นหุ้นที่มีปันผลอย่างเสม่ำเสมอ และ คิดเป็นเงินปันผลจ่ายสูงถึง 70%-85% ของกำไรสุทธิ  เรา ประเมินเงินปันผลในปีนี้ประมาณ 0.32 บาท หรือ คิดเป็นเงินปันผลตอบแทนเท่ากับ 7.2% ซึ่งสูงกว่าตลาด   ดังนั้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ถือ จากเดิม ขาย  เราประเมินราคาเหมาะสมเท่ากับ 4.5 บาท บนฐาน P/E ปี 2554 เท่ากับ 9 เท่า จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 53 23:59:41

ความคิดเห็นที่ 27 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : SVI : บล.กิมเอ็ง          16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ. เอสวีไอ (SVI)    ซื้อ         ราคาปิด (บาท)         2.90 ราคาเป้าหมาย (บาท)    3.25 SET Index          862.16 SAA Consensus Rating                   ถือ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (บาท)  2.70 สูงสุด (บาท)             2.84 ต่ำสุด (บาท)             2.55 กำไรปกติไตรมาส 2 โต 7% qoq เป็น 166 ล้านบาท ใกล้เคียงคาด        กำไรปกติของ SVI ในไตรมาส 2/53 โต 7% qoq และ 11% yoy เป็น 166 ล้านบาทใกล้ เคียงคาด และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในครึ่งหลังของปีทั้งจากลูกค้าใหม่ที่ทยอยเข้ามาตั้งแต่ต้นปี และ การเติบโตของธุรกิจรับจ้างประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม เราคงคาดการณ์ กำไรปกติโต 20% เป็น 685 ล้านบาทในปี 2553 และขยายโตอีก 16% เป็น 793 ล้านบาทในปี 2554 สำหรับราคาเหมาะสมนั้นได้ถูกปรับเพิ่มจาก 3.06 บาทเป็น 3.25 บาทหลังปรับการอ้างอิง P/E 8 เท่า จากปี 2553 เป็นปี 2554  คงคำแนะนำ ซื้อด้วยแนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่องและระดับอัตราเงินปันผล ตอบแทนที่น่าสนใจ * ไตรมาส 2/53 รายงานกำไรสุทธิ 171 ล้านบาท กำไรปกติโต 7% qoq เป็น 166 ล้านบาท        SVI รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/53 มีกำไรสุทธิ 171 ล้านบาท หลังหักกำไรจากอัตรา แลกเปลี่ยน 5 ล้านบาทแล้วบริษัทมีกำไรปกติ 166 ล้านบาทใกล้เคียงคาด โต 7% qoq และ 11% yoy จากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม ยอดขายสินค้ากลุ่มอุปกรณ์ระบบสำนักงาน และ อุปกรณ์โสตวีดิทัศน์ที่ขยายตัว รายได้โดยรวมโต 3% qoq และ 15% yoy เป็น 1,843 ล้านบาทแต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 12.1% ในไตรมาสก่อนหน้าเป็น 10.1% เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทและปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบโดยเฉพาะตัว วงจรอิเล็กทรอนิกส์ (IC) ที่ยังคงมีอยู่ (แต่คาดว่จะคลี่คลายลงในครึ่งหลัง) * คาดการณ์กำไรโตต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง คงคาดหมายกำไรปกติโต 20% เป็น 685 ล้านบาทในปี 2553        ผลประกอบการมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ด้วยลูกค้าใหม่ที่ทยอยเข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นปี และการขยายธุรกิจสู่กลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ รวมถึงการคาดว่าปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบจะคลี่คลายลง ดังนั้นเราคงคาดหมายกำไรปกติปี 2553 โต 20% เป็น 685 ล้านบาทหรือ 0.38 บาท/หุ้น (fully- diluted รวมสมมติฐานการใช้สิทธิ SWI-W2) โดยกำไรปกติครึ่งแรก 320 ล้านบาทนั้นเทียบเท่า 47% ของประมาณการทั้งปี สำหรับปี 2554 เราคงคาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 16% เป็น 793 ล้าน บาทหรือ 0.41 บาท/หุ้นในปี 2554 * คาดจะจ่ายเงินปันผลอีก 0.20 บาท/หุ้นสำหรับการดำเนินงานไตรมาส 2-4/53        SVI ยังไม่ประกาศเงินปันผลเพิ่มเติม (หลังจ่ายแล้ว 0.1 บาท/หุ้นสำหรับไตรมาส 1/53) แต่ เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลอีก 0.2 บาท/หุ้นสำหรับการดำเนินงานช่วงไตรมาส 2-4/53 เนื่องจาก งบประมาณซื้อหุ้นคืน 280 ล้านบาท (หรือ 0.167 บาท/หุ้น) ในช่วง 15 มีค-14 กย ของบริษัทนั้นไม่ได้มี การใช้เลยเพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจาก 2.02 บาทในช่วงที่อนุมัติแผนซื้อหุ้นคืน  รวมทั้งปีจึงคาด หมายเงินปันผล 0.30 บาท/หุ้นเทียบเท่าอัตราตอบแทนถึง 10.3% ณ ราคาปัจจุบัน จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:00:09

ความคิดเห็นที่ 28 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : IRC : บล.กิมเอ็ง          16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ.อิโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) (IRC)  ถือ         ราคาปิด (บาท)        14.30 ราคาเป้าหมาย (บาท)   15.00 SET Index          862.16 ผลประกอบการไตรมาส 3/53 ทรุดลง ถูกกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้น ปรับประมาณการลง ลดเกรดเป็น ถือ        กำไรไตรมาส 3/53 น่าผิดหวังทรุดลงเหลือเพียง 55 ล้านบาท (-37%qoq, -15%yoy)   ถูกกระทบอย่างหนักจากต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้น โดยเฉพาะยางพารา  แม้ว่ายอดขายจะยังเติบโตโดดเด่น   ปรับประมาณการกำไรลดลง  ราคาหุ้นปัจจุบัน 14.30 ได้ปรับขึ้นมาใกล้ราคาเหมาะสมที่ 15 บาท  ลด เกรดคำแนะนำลงเหลือ ถือ จากเดิม ซื้อ * กำไรไตรมาส 3/53 ทรุดลงเหลือเพียง 55 ล้านบาท (-37%qoq, -15%yoy)        บมจ.อิโนเว รับเบอร์ (ประเทศไทย) (IRC)  ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/53 (งวด เม.ย. - มิ.ย. 2553) มีกำไรที่ลดลงเหลือ 55 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.27 บาท) ทรุดลง 37% จาก ไตรมาสก่อน และ 15% จากปีก่อน  แม้ว่ายอดขายจะยังขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากการเติบโตสูงของ อุตสาหกรรมยานยนต์ โดยมียอดขายในไตรมาส 3/53 เท่ากับ 1,342 ล้านบาท (+0%qoq, +43%yoy)   แต่ถูกกระทบจากต้นวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นยางสังเคราะห์ และ ยางดิบ  โดยเฉพาะ ยางพารา ปรากฏว่าพุ่งขึ้นเป็น 121,133 บาท/ตัน (+15%qoq, +105%yoy) ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเหลือ เพียง 9% จาก 12% ในไตรมาสก่อน และ 14% ในปีก่อน  ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นเล็ก น้อยเป็น 56 ล้านบาท (+2%qoq, +8%yoy)  ด้านดอกเบี้ยจ่ายปรับลดลงมาเหลือเพียง 1 ล้านบาท (- 4%qoq, -44%yoy) * ถูกกระทบอย่างหนักจากต้นทุนวัตถุดิบ ปรับประมาณการลง        แนวโน้มยอดผลิตรถยนต์รวมปี 2553 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรม ประเมินยอด ผลิตรถยนต์ในปีนี้มีแนวโน้มที่จะสูงถึง 1.56 ล้านคัน หรือ เติบโต 56%  โดยยอดขายของ IRC นับว่ามี การกระจายไปในผลิตภัณฑ์ต่างๆ คือ 1.) ชิ้นส่วนยางอุตสาหกรรมยานยนต์  และ 2.) ยางนอก-ในรถ จักรยายนต์ มีการกระจายไปยังตลาด OEM, ทดแทน และ ส่งออก ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน  เราประเมิน ยอดขายของ IRC ในปี 2553 (งวด ต.ค. 2552 - ก.ย. 2553) จะเติบโต17% เป็น 5,283 ล้านบาท แต่ ผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบ ยางสังเคราะห์ และ ยางพาราที่พุ่งขึ้น เราจึงปรับประมาณการกำไรลง โดยประเมินกำไรในปีนี้เท่ากับ 303 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.52 บาท) เพิ่มขึ้น 16%  สำหรับในปี 2554 เราประเมินยอดขายจะยังเติบโตต่อประมาณ 10% เป็น 5,811 ล้านบาท ในขณะที่กำไรคาดจะเพิ่มขึ้นเล็ก น้อย 2% เป็น 310 ล้านบาท เนื่องจากถูกกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่ยังมีราคาสูง * ลดเกรดคำแนะนำลงเหลือ ถือ ราคาหุ้นใกล้ราคาเหมาะสม 15 บาท        ราคาหุ้น IRC ปัจจุบัน 14.3 บาท ได้ปรับขึ้น 40% จากต้นปี  ปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี 2553 เท่ากับ 9.4 เท่า, EV/EBITDA 4.4 เท่า  และ เงินปันผลตอบแทน 3.7%  จากประมาณการที่เราปรับ ลดลง และ ฐาน P/E ปี 2554 เท่ากับ 10 เท่า เช่นเดียวกับหุ้นอื่นๆในกลุ่มยานยนต์  เราคงประเมิน ราคาเหมาะสมเท่ากับ 15 บาท  ราคาหุ้นปัจจุบันใกล้ราคาเหมาะสม บวกผลประกอบการน่าผิดหวัง  ดังนั้น เราจึงลดเกรดคำแนะนำลงเหลือ ถือ จากเดิม ซื้อ จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:00:33

ความคิดเห็นที่ 29 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : ILINK : บล.กิมเอ็ง          16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK)    ถือ         ราคาปิด (บาท)        7.35 ราคาเป้าหมาย (บาท)   8.80 SET Index         862.16 ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ยังน่าผิดหวังต่อ กำไรยังต่ำเพียง 7 ล้านบาท  งานในมือสูงจะหนุนกำไร ครึ่งปีหลังดีขึ้น        ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ยังน่าผิดหวังต่อ มีกำไรต่ำเพียง 7 ล้านบาท  อย่างไรก็ตามใน ปัจจุบัน ILINK มีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะรับรู้ในครึ่งปีหลังนี้   ดังนั้น เรายังคงประมาณการ โดยประเมิน ยอดขายในปี 2553 จะโตประมาณ 10% เป็น 1,275 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 110 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.1 บาท) ลดลง 4% จากปีก่อน  ราคาหุ้น ซื้อขาย P/E ต่ำ เงินปันผลตอบแทน 6.0%  คงคำแนะนำ ถือ * ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ยังน่าผิดหวังต่อ มีกำไรต่ำเพียง 7 ล้านบาท        บมจ. อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น (ILINK)  ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/53 ที่ยังน่า ผิดหวังหนักต่อเนื่องอีก โดยมีกำไรสุทธิเพียง 7 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.07 บาท) แม้ว่าจะดีขึ้นจากไตร มาสก่อน 57% แต่ยังทรุดลงจากปีก่อนถึง 61%  กำไรที่ยังตกต่ำอย่างหนักเนื่องจากในไตรมาสสองมีการส่ง มอบงานธุรกิจวิศวกรรมเพียง 11 ล้านบาท (+24%qoq, -91%yoy)  สำหรับรายการต่างๆสรุปได้คือ   1.) ยอดขายลดลงเหลือ 188 ล้านบาท (-13%qoq, -33%yoy) เป็นผลจากการส่งมอบงานธุรกิจ วิศวกรรมต่ำมาก  ส่วนธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณยังเติบโตจากปีก่อน 13% เป็น 177 ล้านบาท  2.) อัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวดีขึ้นเป็น 21% เทียบกับ 18% ในไตรมาสก่อน และ 20% ในปีก่อน  3.) ค่าใช้ จ่ายในการขายและบริหารค่อนข้างทรงตัวทั้งจากไตรมาสก่อน และ ปีก่อนที่ 32 ล้านบาท  4.) ภาระ ดอกเบี้ยเท่ากับศูนย์ เนื่องจาก ILINK ไม่มีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยเลย * งานในมือค่อนข้างสูง จะหนุนกำไรในครึ่งปีหลัง        ยอดขายและกำไรในครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 32% และ 11% ของประมาณการทั้งปี   อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ILINK มีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะรับ รู้ในครึ่งปีหลังนี้ เทียบกับที่มีการส่งมอบงานเพียงแค่ 20 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก  และ ในไตรมาสสามจะ ทราบผลการประมูลงาน มูลค่างานประมาณ 500-600 ล้านบาท  ดังนั้น เรายังคงประมาณการ โดย ประเมิน ยอดขายในปี 2553 จะโตประมาณ 10% เป็น 1,275 ล้านบาท และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 110 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.1 บาท) ลดลง 4% จากปีก่อน เนื่องจากปีนี้จะเริ่มเสียภาษี 30% จากปีก่อนที่เสีย 20%  ซึ่งยังต่ำกว่าประมาณการของผู้บริหารที่ตั้งเป้าหมาย ยอดขายเท่ากับ 1,500 ล้านบาท โตประมาณ 30% และ ตั้งเป้าหมายกำไรเท่ากับ 130 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 1.3 บาท) เพิ่มขึ้น 20% * ซื้อขาย P/E ต่ำ เงินปันผลตอบแทน 6.0%  คงคำแนะนำ ถือ        ราคาหุ้น ILINK ปัจจุบัน ซื้อขาย P/E ปี 2553 ที่ค่อนข้างต่ำเท่ากับ 6.7 เท่า และ มีเงินปัน ผลตอบแทนเท่ากับ 6.0%  รวมถึงบริษัทมีฐานะการเงินแข่งแกร่งไม่มีภาระหนี้เงินกู้เลย  เราประเมิน ราคาเหมาะสมเท่ากับ 8.8 บาท โดยอิงกับ P/E ปี 2553 เท่ากับ 8 เท่า  โดยยังเป็นเป็นระดับ P/E ที่ไม่สูงนัก เป็นการเผื่อกรณีงานประมูลธุรกิจวิศวกรรม และ จัดจำหน่ายไม่ได้ตามเป้าในปีนี้  ดังนั้น รวม แล้วเราคงคำแนะนำ ถือ จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:01:23

ความคิดเห็นที่ 30 2Q53 Earnings Review : BECL : บล.ฟาร์อีสท์         16 ส.ค.--บล.ฟาร์อีสท์     Distributor - Bisnews AFE BANGKOK EXPRESSWAY PCL. (BECL) Recommendation "Buy on weakness" Close Price :  Bt  18.50 Target Price : Bt  21.50 2Q53 Earnings Review     - 2Q53 ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กำไรสุทธิลดลง 12.6% YoY มาอยู่ที่ 432 ล้านบาท     - แม้ราคาหุ้นจะตอบสนองกับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 54 ที่ลดลงไปแล้ว  แต่ระยะสั้นยังขาด ปัจจัยบวก แนะนำเพียง "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" อิงมูลค่าเหมาะสมที่ 21.50 บาท 2Q53 ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม กำไรสุทธิลดลง 12.6% YoY มาอยู่ที่ 432 ล้านบาท     BECL รายงานกำไรสุทธิ 2Q53 ที่ 432 ล้านบาท ลดลง 12.6% YoY ผลจากการชุมนุมที่ทำให้ ปริมาณการใช้ทางด่วนในช่วง 2Q53 ลดลง โดยใน พ.ค. นั้นลดลงมากถึง 8% YoY ประกอบกับเงินปันผล ที่ได้รับจาก TTW เทื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อนนั้นลดลง 15% มาอยู่ที่ 62.7 ล้านบาท ภาพรวม 1H53 BECL ทำกำไรสุทธิได้ 823 ล้านบาทลดลง 7% YoY และคิดเป็น 49% ของประมาณการทั้งปี 53 ของเรา อย่างไรก็ดีเราคาดว่าปริมาณการใช้ทางด่วนในช่วง 2H53 น่าจะกลับมาสู่ระดับปกติได้หลังจากตัว เลขการใช้ทางด่วนเริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัวในช่วง มิ.ย.-ก.ค. ที่มีการเติบโต 4% YoY  และ 7%   YoY ตามลำดับ     แม้ราคาหุ้นจะตอบสนองกับแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 54 ที่ลดลงไปแล้ว  แต่ระยะสั้นยังขาดปัจจัยบวก แนะนำเพียง "ซื้อเมื่ออ่อนตัว" อิงมูลค่าเหมาะสมที่ 21.50 บาท     แม้ว่าราคาหุ้น BECL จะปรับตัวลดลงมาแล้ว 11% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จากประเด็นผลประกอบการ ในปี 54 ที่มีแนวโน้มอ่อนตัว เนื่องจากถึงกำหนดปรับส่วนแบ่งรายได้ค่าผ่านทางจากเดิมได้ที่ได้รับ 50% จะ ลดเหลือ 40% ตั้งแต่ มี.ค. 54 เป็นต้นไป โดยเราประเมินว่าผลประกอบการปี 54 ของ BECL จะลดลง ราว 31% YoY จากประเด็นดังกล่าว แต่เรามองว่าที่ราคาหุ้น ณ. ปัจจุบันมีความเหลือความน่าสนใจเพียง ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ระดับราว 6% ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตที่จะมาชดเชยรายได้ที่หายไปนั้นยัง มีโอกาสล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นกรณีเงินลงทุนใน SEAN (ธุรกิจรับสัมปทานผลิต/จำหน่าย ไฟฟ้าจากรัฐบาลลาว) ซึ่ง BECL ถืออยู่ 16.7% ด้วยมูลค่าเงินลงทุนราว 1 พันล้านบาทนั้น เรามองว่า Upside ที่สำคัญคือการ เข้าจดทะเบียนใน SET นั้นจะเกิดได้อย่างเร็วในปี 55 หลังจากเริ่มดำเนินงานอย่างจริงจังได้ในปี 54 ส่วนประเด็นการเจรจากับ กทพ. เพื่อไกล่เกลี่ยในหลายกรณี โดยเฉพาะคดีการปรับขึ้นค่าทางด่วนปี 41 และ 46 ที่เคยประเมินกันไว้ถึง 18,000 ล้านบาทนั้น  เรายังไม่ให้น้ำหนักมากนักเนื่องจากเรื่องนี้ยังมี ความไม่แน่นอนอยู่พอสมควร  และมีโอกาสที่เรื่องจะเงียบหายไปอย่างที่ผ่านมา ครั้งนี้เราจึงมองว่า BECL ยังขาดความน่าสนใจในระยะสั้น และแนะนำเพียง "ซื้อเมื่ออ่อนตัว"  โดยอิงมูลค่าเหมาะสมที่เราประเมิน ไว้ 21.50 บาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:02:05

ความคิดเห็นที่ 31 News : PTTEP : บล.ฟาร์อีสท์     16 ส.ค.--บล.ฟาร์อีสท์     Distributor - Bisnews AFE รัฐมนตรีพลังงานของออสเตรเลีย ยอมรับแผนปฏิบัติงานของ PTTEP     PTTEP เปิดเผยข้อมูลล่าสุดให้กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 ส.ค.53 ที่ผ่านมาว่า นายเฟอร์กูสัน รัฐมนตรีพลังงานฯ ของประเทศออสเตรเลียให้ความเห็นในการประชุมเกี่ยวกับความปลอดภัยทางด้านก๊าซ ธรรมชาติและน้ำมันของ APPEA (Australian Petroleum Production & Exploration Association) ซึ่งมีใจความสำคัญส่วนหนึ่งกล่าวถึง การยอมรับแผนปฏิบัติงานที่พัฒนาขึ้นมาโดย PTTEP และการทดสอบเกี่ยวกับปัญหาบ่อน้ำมันมอนทาราได้ดำเนินการแล้ว ทั้งนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การ ปฏิบัติงานในอนาคตต่อไป           Comment :     ประเด็นข้อสรุปเกี่ยวกับการเกิดเพลิงไหม้ของโครงการ Montara ยังคงต้องรอเวลาอีกระยะหนึ่ง กว่าที่สาธารณะจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งจะประกาศโดยรัฐบาลออสเตรเลีย เนื่องจากยังคงต้องรอผลสรุปที่ จะได้รับการพิจารณาตัดสินตามอำนาจของรัฐมนตรีของออสเตรเลียเป็นหลัก ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลีย ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่แน่นอนต่อการนำเสนอผลสรุปให้กับสาธารณะได้ทราบ ส่วนการเปิดเผยข้อมูลล่าสุด ข้างต้น เราเห็นว่า ในที่สุดแล้วจะสอดคล้องกับมุมมองของเราที่ว่า PTTEP น่าจะได้รับการลงโทษ เช่น จ่ายค่าปรับ หรือมีกฎเกณฑ์ในการดำเนินการขุดเจาะในอนาคตที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ไม่เชื่อว่าจะต้องยุติ การดำเนินโครงการ Montara ไปเลยตามที่เรานำเสนอมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ PTTEP ได้ตั้ง สำรองค่าปรับจากเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้วประมาณ 30 ล้านบาทในช่วง 4Q09 แม้มีความเป็นไปได้ว่าจะ ต้องจ่ายค่าปรับเพิ่มเติม แต่ PTTEP ก็มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นได้และไม่กระทบฐานะการเงินของบริษัทแต่ อย่างใด เนื่องจาก PTTEP มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) ที่ต่ำเพียง 0.39 เท่า (สิ้นงวด 1H53) นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มได้รับเงินประกันภัย (insurance claim) จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วและไฟ ไหม้โครงการ Montara ซึ่งยังมีส่วนที่เหลืออีกประมาณ 210 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัทคาดว่า จะทยอยเกิด ขึ้นในช่วง 2H10 ต่อเนื่องไปถึง 2011     เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิของ PTTEP ในปี 2553-54 ไว้ที่ระดับปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงผล การดำเนินงานที่เติบโตถึง 68% และ 21% y-o-y ตามลำดับ เนื่องจากราคาขายปิโตรเลียมเฉลี่ยที่คาด ว่ามีโอกาสสูงขึ้น (จากการปรับราคาขายในเดือน เม.ย. และ ต.ค. ของปี) ขณะที่ปริมาณขายจะยังคง เพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในอนาคต (ในส่วนของเอเชีย) ส่วน Montara คาดว่าจะมีผลกระทบทางลบ ไม่มากนัก ยังแนะนำ "ซื้อสะสม" โดยมีราคาเป้าหมายปี 2553 ไว้เท่ากับ 180 บาท (อิง PE 16 เท่า) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:02:39

ความคิดเห็นที่ 32 VNG แนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE VNG (ซื้อเก็งกำไร), ผลประกอบการ 2Q53 มีกำไรสุทธิ 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% QoQ และพลิกจาก ขาดทุนในปีก่อนที่ 49 ล้าบาท  สำหรับ 1H53  มีกำไรสุทธิ 563 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 357 ล้านบาท ในปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจาก     * ใน 2Q53 ยอดขายเพิ่มขึ้น 45% YoY และ 11%QoQ เนื่องจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นตามความต้อง การไม้แปรรูปในต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยส่งออกเพิ่มขึ้นในจีน + 10% และตะวันออกกลาง +15%       * อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่ 31% จากเดิม 29%(1Q53)  สาเหตุหลักมาจากแม้ต้นทุนไม้ ยางพาราเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนวัตถุดิบส่วนอื่นลดลง ประกอบกับราคาขายไม้ PB และ MDF เพิ่มขึ้นเล็ก น้อย(+2%)     * นอกจากนี้ได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 14 ล้านบาท จากที่กำไร 2 ล้านบาทใน 2Q52     * คาดว่ามีโอกาสจ่ายเงินปันผล 1H53 เท่ากับ 0.15 บาท/หุ้น ความเห็น:       * ผลประกอบการใน 2Q53 ที่ประกาศออกมาดีกว่าที่คาด และเติบโตต่อเนื่อง ทำให้มีโอกาสปรับ ประมาณการณ์รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น  ถือว่ายังเป็นปีที่ VNG ยังรักษาผลการดำเนินงานได้ดี     * ในช่วงนี้แม้จะถูกกดดันจากการแข่งขันจากผู้ผลิตไม้แปรรูปจากยุโรป  แต่คาดว่าใน 2H53 การ แข่งขันจะไม่รุนแรงมาก เนื่องจากโรงงานในยุโรปบางแห่งเริ่มปิดโรงงาน     * ในเบื้องต้นคาดว่าทั้งปี 53 มีปริมาณขายไม้ MDF 9 แสนลบม. เพิ่มขึ้น 57% และไม้ PB ปริมาณ 7.5 แสนลบม. เพิ่มขึ้น 20% เนื่องจากยังคงเติบโตจากการส่งออกและมีสัดส่วนการส่งออกเป็น 55-60% ประกอบกับการใช้กำลังการผลิตใหม่ของไม้ MDF ให้เต็ม 100% จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าประมาณ 27-29%   จึงมีแนวโน้มที่กำไรจะเท่ากับ 859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5 เท่าตัว     * ในปัจจุบัน VNG ซื้อขายกัน ณ ระดับ P/E เท่ากับ 9x ของกำไรต่อหุ้นปี 53 เราประเมินราคา เป้าหมายโดยอิงจากค่า P/Eที่ระดับ 10x ซึ่งจะได้ราคาเป้าหมาย 6.6 บาท/หุ้น มี Upside gain 10% และอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 5%  เราจึงแนะนำ "ซื้อเก็งกำไร" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:03:49

ความคิดเห็นที่ 33 TICON แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE TICON (ซื้อ), ผลประกอบการ 2Q53 มีกำไรสุทธิ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30%YoY แต่ลดลง 22% QoQ และสำหรับกำไร 1H53 เท่ากับ  204  ล้านบาทเพิ่มขึ้น 41%  ทั้งนี้เป็นผลมาจาก     * ใน 2Q53 มีรายได้จากค่าเช่าดีขึ้นจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10.7%YoY เนื่องจากพื้นที่ให้ เช่ากระเตื้องขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมยานยนต์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ฟื้นตัวชัดเจน       * ไม่มียอดขายโรงงานในไตรมาสนี้  แต่รายได้จากการบริหารจัดการบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นเป็น 19 ล้านบาท จึงทำให้รายได้โดยรวมในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 15%YoY     * อัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจโรงงานให้เช่าใน 1Q53 ยังอยุ่ในระดับทรงตัว  และบริหารค่าใช้จ่ายใน การขายในระดับ 19% ต่อยอดขายรวม ใกล้เคียงไตรมาสก่อน ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q53 ใกล้เคียงที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้  เนื่องจากไม่มีการขายโรงงาน และมองว่าพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดี       * แนวโน้มใน 2H53 รายได้การเช่าพื้นที่โรงงานและคลังสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามลูกค้าหลักใน กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีโอกาสขยายกำลังการผลิตตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์  และโครง การอีโค่คาร์ที่ค่ายรถต่างๆเตรียมเปิดตัวในปี 54-55       * นอกจากนี้ใน 4Q53 จะขายโรงงานจำนวน 30 แห่ง มูลค่ารวมประมาณ 1.8-1.9 พันล้านบาท ให้กับกองทุน TFUND ซึ่งคาดว่าน่าจะขายได้ประมาณช่วงเดือนตุลาคม ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ารายได้โดยรวม ปีนี้โต 20% เป็น 3 พันล้านบาท  และคาดว่ากำไรปี 53 ฟื้นตัวไม่ต่ำกว่า 20%       * กรณีปัญหามาบตาพุดไม่ได้กระทบต่อธุรกิจโรงงานให้เช่าโดยตรง เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ใน อุตสาหกรรมเบา เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น     * เราประเมินมูลค่าโดยใช้ PER  12x เนื่องจาก TICON เป็นผู้นำตลาดโรงงานให้เช่า และราย ได้หลักจากการขายโรงงานเข้ากองทุนเติบโตในปี 53 เราจึงแนะนำ  "ซื้อ"  โดยมีราคาเป้าหมายปี 53 เท่ากับ 12.5 บาท และเป้าหมายปี 54 เท่ากับ 15 บาท  โดยจ่ายเงินปันผลไม่-ต่ำกว่าปีละ 0.8 บาท/ หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 7-8% จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:04:42

ความคิดเห็นที่ 34 MK แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE MK (ซื้อ),  ผลประกอบการ 2Q53 มีกำไรสุทธิ 79 ลบ. (EPS 0.09 บาท/หุ้น) ลดลง 27%YoY และ 59%QoQ  โดยครึ่งปีแรกมีกำไร 273.8 ลบ. (EPS 0.32 บาท/หุ้น)     * รายได้ใน Q2 อยู่ที่ 528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%YoY แต่ลดลง 42 %QoQ เนื่องจากการเร่งโอน ก่อนหมดมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์ในช่วง Q1 ทำให้ Backlog ที่มีโอนใน Q2 มีอยู่ไม่มากนัก โดย อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 39.03% ลดลงจากช่วงเดี่ยวกันในปีก่อนที่ 41.97% (ไตรมาสก่อนอยู่ที่ 39.90%) ส่งผลให้กำขั้นต้นอยู่ที่ 206 ลบ. ลดลง 4%YoY       * ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวขึ้นมาที่ 96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 56%YoY เนื่องจาก ไตรมาสนี้ต้องกลับมาเสียภาษีธุรกิจเฉพาะที่อัตรา 3.3% ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานลดลง 28%YoY     * อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้โดยรวมแล้วกำไรสุทธิลดลงที่ 27%YoY มาที่ 79 ลบ.   ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q53 น้อยกว่าที่คาดไว้ (เราคาดกำไรที่ 95 ล้านบาท ) สาเหตุหลักคืออัตรา กำไรขั้นที่ออกมาน้อยกว่าที่คาดไว้ (เราคาด 40.25%) ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการขายที่มากกว่าคาดไว้ สำหรับกำไรที่ทำได้ในครึ่งปีแรกคิดเป็น  46.6% ของประมาณการณ์กำไรทั้งปี (เราคาดกำไรสุทธิปี 53 ที่ 587 ล้านบาท (EPS 0.68 บาท/หุ้น))     * โดยเรามองว่าจาก Backlog ที่ 940 ล้านบาท จะรับรู้ในครึ่งปีหลังถึง 900 ลบ. ทำให้เรา มองว่ารายได้ใน 1H ที่ทำได้ 1.44 พันลบ. + 900 ลบ. จะมีรายได้แน่  ๆ ที่ 2.34 พันลบ. ซึ่งคิดเป็น 78% ของประมาณการณ์รายได้ทั้งปีที่ 3 พันลบ.     * โดยเรามองว่าในช่วงครึ่งปีหลังยอดขายจะดีขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ปรับตัวดีขึ้น + เศรษฐกิจที่คาดว่าจะยังขยายตัว และความเชื่อมั่นที่มีมากขึ้น รวมทั้งการเปิดโครงการใหม่ของ MK จะช่วย กระตุ้นยอดขาย ทำให้เราคาดว่ารายได้ปีนี้ของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้     * โดยเราประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานของ MK ที่ 4.08 บาท แนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:05:20

ความคิดเห็นที่ 35 LH แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE LH (ซื้อ),  ผลประกอบการ 2Q53 มีกำไรสุทธิ(ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่) 793 ลบ. (EPS 0.08 บาท/หุ้น) ลดลง 28%YoY และ 32%QoQ โดยครึ่งปีแรกจะมีกำไรสุทธิที่ 1,963 ลบ. (EPS 0.20 บาท/ หุ้น)     * รายได้ใน Q2  ลดลง 22%YoY และ 11%QoQ เนื่องจากยอดขายและยอดโอนที่เร่งเข้าใน Q1 เพื่อให้รับผลประโยชน์ของภาษีธุรกิจเฉพาะที่หมดลงในเดือน มี.ค.       * ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาที่ 32.37% จากช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 31.49% (ไตรมาส ก่อนอยู่ที่ 31.35%) ช่วยทำให้กำไรขั้นต้นลดลงที่ 20%YoY มาที่ 1,232 ลบ. ส่วนไตรมาสนี้ที่ต้องกลับมา เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริษัทปรับตัวขึ้นมาถึง 35%YoY ทำให้มีกำไรจาก การดำเนินงานกลับมาลดลง 38%YoY มาที่ 704 ลบ.       * และไตรมาสนี้ยังมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน 316 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 6%YoY ทำให้โดยรวม แล้วกำไรสุทธิปรับตัวลดลงที่ 28%YoY       * บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการในครึ่งปีแรก 0.16 บาท/หุ้น โดยจะติด XD วันที่ 24 ส.ค. นี้ และจะจ่ายเงินในวันที่ 10 ก.ย. 53   ความเห็น:       * ผลประกอบการ 2Q52 ที่ออกมาถือพอใช้ โดยครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว 51.4% ของกำไรที่เรา คาดการณ์ทั้งปี (เราคาดกำไรปี 53 ที่ 3,821 ล้านบาท (EPS 0.38 บาท/หุ้น))         * โดยจากสถานการณ์การเมืองที่ดีขึ้น การฟื้นตัวของความเชื่อมั่น แนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัว ต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง รวมทั้งการเปิดโครงการใหม่  ๆ ของ LH คาดจะช่วยกระตุ้นยอดขายในครึ่งปีหลัง ดังนั้นเราจึงยังคงประมาณการณ์กำไรไว้ที่ 3.82 พันลบ. สำหรับปีนี้     * โดยเราประเมินราคาปัจจัยพื้นฐานปี 53 ที่ 8.00 บาท แนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:05:52

ความคิดเห็นที่ 36 HEMRAJ แนะนำ "ซื้อ" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE HEMRAJ (ซื้อ), ผลประกอบการ 2Q53 มีกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท ลดลง 58%YoY และ 69% QoQ   และสำหรับกำไร 1H53 เท่ากับ 490  ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22%  ทั้งนี้เป็นผลมาจาก     * ใน 2Q53 มีรับรู้รายได้จากการขายที่ดินลดลง 71%QoQ และ 50%YoY เนื่องจากแม้ไตรมาสนี้ ขายที่ดินได้เพียง 58 ไร่ จากไตรมาสแรก 565 ไร่  แต่ได้รับรู้รายได้จากธุรกิจคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 139  ล้านบาท  ประกอบกับขายโรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 110 ล้านบาท ทำให้รายได้โดยรวมใน 2Q53 เพิ่มขึ้น 2%YoY     * นอกจากนี้ขาดทุนจากส่วนแบ่งจากเงินลงทุน 16 ล้านบาท จากเดิมที่กำไร 75 ล้านบาท     * อัตรากำไรขั้นต้นในการขายที่ดินใกล้เคียงไตรมาสก่อนในระดับ 39% และบริหารค่าใช้จ่ายในการ ขายทรงตัวในระดับ 110 ล้านบาท     * ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับ 1H53 เท่ากับ 0.025 บาท/หุ้น ความเห็น:       * ผลประกอบการใน 2Q53 ที่ประกาศออกมา ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้  โดยรับรู้ราย ได้จากการขายที่ดินในไตรมาสนี้น้อยกว่าที่คาดไว้ แต่อย่างไรก็ตามทางบริษัทแจ้งว่ามีรายได้ที่ยังไม่รับรู้จาก 2Q53 อีก 887 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ 3-18 เดือนข้างหน้า       * แนวโน้ม 2H53 ทางบริษัทคาดว่าจะขายที่ดินได้ 377 ไร่ รวมเป็น 1,000 ไร่ในปีนี้ เพราะคาด หวังว่าการขยายตัวของลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์  ประกอบกับปัญหามาบตาพุดจะเริ่มคลี่คลายในช่วง ปลายปี และสามารถดึงกลุ่มลูกค้าปิโตรเคมีกลับมาลงทุนได้อีกครั้ง       * การร่วมทุนสร้างโรงไฟฟ้า มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 660 MW  โดยใช้เงินลงทุน 4,500 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสร้างเสร็จในเดือน ก.ย. 2554  และเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการในระยะยาว     * ในปัจจุบัน HEMRAJ ซื้อขายกัน ณ ระดับ P/E เท่ากับ12x ของกำไรต่อหุ้นปี 54  เราประเมิน ราคาเป้าหมายโดยอิงจากค่า P/Eที่ระดับ 15x ซึ่งจะได้ราคาเป้าหมาย 1.95 บาท/หุ้น มี Upside gain 20% และกำไรของบริษัทในปี 56 เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้า เราจึงแนะนำ "ซื้อ จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:06:32

ความคิดเห็นที่ 37 BAFS แนะนำ "ถือลงทุน" : บล.ยูไนเต็ด จก.(มหาชน)     16 ส.ค.--บมจ. ยูไนเต็ด     Distributor - Bisnews AFE BAFS : (ถือลงทุน), บริษัทรายงานผลประกอบการ 2Q53       * มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.29 บาท เพิ่มขึ้นทั้ง +19%YoY, +19%QoQ ส่วนกำไร สุทธิ 1H53 อยู่ที่ 270 ล้านบาท หรือ 0.53 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น +17% จากปีก่อน       * กำไร 2Q53 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน สาเหตุหลักมาจาก 1) รายได้ค่าบริการและค่าเช่าเพิ่มขึ้น +8% YoY เป็น 517 ล้านบาท มาจากปริมาณเติมน้ำมัน 2Q53 เพิ่มขึ้นเป็น 996 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น +2%YoY เนื่องจากภาวะธุรกิจท่องเที่ยว/การบินดีขึ้น ตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว (ส่วนปริมาณเติมน้ำมัน 2Q53 ลดลง -12%QoQ เพราะใน 2Q-3Q ของทุกปีเป็นช่วง low season) 2) ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้นเพียง +5% YoY เป็น 216 ล้านบาท และ 3) ดอกเบี้ยจ่ายลดลง -17%YoY ตามยอดเงินกู้ที่ลดลงจากการชำระหนี้คืน         * บริษัทประกาศจ่ายปันผล 1H53 ที่ 0.18 บาท/หุ้น หรือให้ Dividend Yield ที่ 2% สำหรับ 1H53 กำหนดขึ้น XD วันที่ 23 ส.ค.นี้ และจ่ายปันผลในวันที่ 7 ก.ย.53 ความเห็น:       * กำไร 2Q53 ดีกว่าที่คาดมาก และเพิ่มขึ้นจาก 1Q53 เป็นผลจากบริษัทสามารถลดต้นทุนการให้ บริการและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าปริมาณเติมน้ำมัน 2Q53 ลดลง -12% QoQ ทำให้กำไร 1H53 สูงกว่าประมาณการ โดยคิดเป็น 57% ของกำไรทั้งปี 53 ที่ 471 ล้านบาท คิดเป็น 0.92 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น +2%YoY ตามการฟื้นตัวอย่างช้าๆของเศรษฐกิจโลกและธุรกิจท่องเที่ยว/การบิน อีกทั้งได้รับผลกระทบจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ     * แม้กำไร 3Q53 ชะลอตัว แต่มีโอกาสดีกว่าที่คาด หากบริษัทยังคงควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีเหมือนใน 2Q53 รวมทั้งกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัวใน 4Q53 และต่อเนื่องไปในปี 54 ตามปริมาณเติมน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เพราะเข้าสู่ช่วง high season ของธุรกิจท่องเที่ยว/การบิน และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า     * คาดกำไรปี 54 อยู่ที่ 498 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.98 บาท (+5%YoY) ตามเป้าหมายปริมาณ เติมน้ำมันปี 54 เดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น +3%YoY เป็น 4,333 ล้านลิตร ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ระมัดระวัง และปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 9.75 บาท โดยอิงค่า P/E ปี 54 ที่ 10x เพื่อสะท้อนผลประกอบ การของบริษัทที่ดีกว่าคาด       * แนะนำ "ถือลงทุน" จากแนวโน้มกำไร 2H53-ปี 54 ฟื้นตัว แต่ราคาหุ้นเมื่อวันที่ 11/8/53 ได้ ปรับตัวขึ้นแรง +4% มาที่ 9 บาท ทำให้มี upside gain เหลือ 9% จากราคาเป้าหมายปี 54 ที่ 9.75 บาท จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:07:38

ความคิดเห็นที่ 38 SBL: IRPC : บล.กิมเอ็ง        16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE SBL: IRPC                                                                       IRPC ราคาปิด 3.86 บาท        - ผลประกอบการไตรมาส 3/53 มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ตามทิศทาง spread margin ในธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลง ในขณะที่ความชัดเจนในประเด็นการควบรวมอาจต้องรอถึงในช่วงต้นปี 54        - ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับมูลค่าเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ 4.00 บาท มี Upside เพียง 3.6%        - ปัจจัยเสี่ยง : ราคาหุ้นอาจผันผวนตามแนวโน้มอุตฯการทิศทางส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ และทิศ ทางค่าการกลั่น        - ปัจจัยทางเทคนิค: แท่งราคาปรับตัวลงทำจุดต่ำใหม่ระยะสั้น หลังจากที่ชะลอตัวเหนือเส้นค่า เฉลี่ย จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:08:25

ความคิดเห็นที่ 39 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : SGP : บล.กิมเอ็ง        16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลล์ (SGP)  ซื้อลงทุน         ราคาปิด (บาท)       14.80 ราคาเป้าหมาย (บาท)  19.50 SET Index         862.16 SAA Consensus Rating                 ซื้อ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (บาท) 16.57 สูงสุด (บาท)            19.50 ต่ำสุด (บาท)            14.70 รายงานกำไรไตรมาส 2/53 ที่ 254 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด 18%            บริษัทรายงานกำไรไตรมาส 2/53 ลดลง  9% yoy และ 23% qoq ต่ำกว่าคาด 18% เนื่อง จากผลของฤดูกาล, ความวุ่นวายทางการเมือง และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลง เนื่องจาก ต้นทุนสินค้า ผลิตภัณฑ์แอมโมเนียที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่ากำไรครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยได้แรง หนุนจากการรับรู้รายได้ในจีนในไตรมาส 4/53 และสิงคโปร์ในไตรมาส 3/53  คงคำแนะนำ ซื้อลงทุน ด้วยราคาเป้าหมาย 19.50 บาท * รายงานกำไรไตรมาส 2/53 จำนวน 254 ล้านบาท ลดลง 9% yoy        บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/53 ออกมามีกำไรสุทธิ 254 ล้านบาท คิดเป็นกำไร ต่อหุ้น 0.27 บาท ลดลง 9% yoy และ 23% qoq ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 310 ล้านบาทอยู่ 18% สาเหตุที่ผลกำไรชะลอตัวลงทั้งแบบ yoy และ qoq เนื่องจากผลของฤดูกาล, ความวุ่นวายทางการเมือง ในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้ยอดขายในภาคการท่องเที่ยว และบริการชะลอตัว และอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับ ตัวลงจากระดับ 11% และ 10% ในไตรมาส 2/52 และไตรมาส 1/53 ลงมาเหลือ 8.8% เพราะ บริษัท ต้องแบกรับต้นทุนสินค้าผลิตภัณฑ์แอมโมเนียที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเกิดภาวะ supply shortage เป็น การชั่วคราว เพราะเครื่องจักรของผุ้จำหน่ายรายหลักเกิดปัญหาขัดข้อง ขณะที่ในไตรมาส 3/53 ปัญหาดัง กล่าวได้คลี่คลายไปแล้ว ล่าสุดบริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.20 บาท คิดเป็นอัตรา เงินปันผลตอบแทน 1.4% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 26 สิงหาคม * คาดกำไรครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยได้แรงหนุนจากการรับรู้รายได้ในจีน และสิงคโปร์          แม้กำไรครึ่งปีแรกจะคิดเป็นเพียง 40% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเราที่ 1,441 ล้านบาท แต่เรายังคงประมาณการกำไรทั้งปีที่ระดับ 1,442 ล้านบาท (หรือ 1.52 บาทต่อหุ้น) เติบโต 15%yoy และกำไรสุทธิปี 2554 ที่1,851 ล้านบาท หรือ 1.95 บาทต่อหุ้น เติบโต 28%yoy ตามเดิม โดยคาดว่า กำไรครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยได้แรงหนุนจากความต้องการใช้ LPG ในประเทศที่ยังเติบโตได้ดี ในช่วงครึ่งปีหลังตามทิศทางการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ, การเริ่มรับรู้รายได้จาก Shell Gas ตั้งแต่ ไตรมาส 3/53 และรายได้จาก COGEL (บริษัทลูกที่จีน) ในช่วงไตรมาส 4/53 ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง และสามารถตั้งราคาขายได้ตามราคาในตลาดโลกซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 585 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (สูงกว่าราคา ขายในประเทศที่ 333 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน)  ก็จะช่วยหนุนให้ยอดขายในครึ่งปีหลัง และอัตรากำไรขั้นต้น สูงกว่าครึ่งปีแรกด้วย * คงคำแนะนำ ซื้อลงทุน ด้วยราคาเป้าหมายที่ 19.50 บาท อิง P/E ปี 2554 ที่ 10 เท่า        ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ PER ปี 2553 ที่ 9.8 เท่า, อัตราเงินปันผลตอบแทน 4.1% และมี upside อีก 32% จากราคาเป้าหมายของเราที่ 19.50 บาท อิง P/E ปี 2554 ที่ 10 เท่า เราคงคำ แนะนำ ซื้อลงทุน สำหรับ SGP โดยนักลงทุนอาจหาจังหวะเข้าซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นอ่อนตัว เพื่อรอเก็บเกี่ยว ผลประโยชน์จากการขยายธุรกิจในจีน และเวียดนาม ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ และปี 2554 จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:09:07

ความคิดเห็นที่ 40 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : TTCL : บล.กิมเอ็ง        16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ. โตโย-ไทย คอร์ปอเรชั่น (TTCL)   ซื้อเมื่ออ่อนตัว         ราคาปิด (บาท)       6.90 ราคาเป้าหมาย (บาท)  7.50 SET Index        862.16 SAA Consensus Rating                  ซื้อ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (บาท) 7.88 สูงสุด (บาท)            8.10 ต่ำสุด (บาท)            7.70 กำไรกลับมาชะลอตัวอีกครั้งในไตรมาส 2/53        ยอดรับรู้รายได้จากการก่อสร้างที่ลดลง ทำให้กำไรไตรมาส 2/53 ลดลง 22% yoy เป็น 63 ล้านบาท แนวโน้มกำไรคาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง เมื่อบริษัทรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างของโครงการ ใหม่ได้มากขึ้น แนวโน้มการได้งานใหม่ยังคงสดใส จากการเข้ายื่นประมูลหลายโครงการมูลค่ารวม 1.45 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีหลัง เราจึงคาดกำไรปีหน้าโต 10% เป็น 360 ล้านบาท เราปรับราคาที่เหมาะสมขึ้น เป็น 7.50 บาท คิดจาก PER ปี 2554 ที่ 10 เท่า TTCL ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อ หุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผล 2.2% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 25 ส.ค. เนื่องด้วย sentiment เชิงลบในระยะสั้นจากผลประกอบการไตรมาส 2/53 ที่อ่อนแอ และราคาหุ้นปัจจุบันมี upside ที่จำกัด เราจึงแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว * กำไรไตรมาส 2/53 ลดลง 22% yoy และ 23% qoq        ผลประกอบการของ TTCL กลับมาชะลอตัวอีกครั้งในไตรมาส 2/53 โดยลดลง 22% จากปีก่อน และ 23% จากไตรมาสก่อนเป็น 63 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากยอดรับรู้รายได้จากการก่อสร้างที่ลดลงเพราะ เป็นช่วงเริ่มต้นของงานใหม่ซึ่งความคืบหน้าของงานยังเป็นไปได้ช้า ทำให้รายได้จากการก่อสร้างลดลง 41% จากปีก่อนและ 28% จากไตรมาสก่อนเป็น 1.31 พันล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 14.2% จาก 11.7% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากการปรับต้นทุนในบางโครงการ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี ผล ประกอบการครึ่งปีแรกลดลง 34% จากปีก่อนเป็น 145 ล้านบาท * งบดุลยังคงเป็นสถานะ Net cash        งบดุล ณ สิ้นไตรมาส 2/53 ของ TTCL ยังคงแข็งแกร่งด้วยสถานะ Net cash โดยไม่มีหนี้ เงินกู้ และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด รวมกับเงินลงทุนชั่วคราวเป็นมูลค่ารวม 1.96 พันล้านบาท หนี้สินของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเจ้าหนี้การค้าและต้นทุนงานก่อสร้างค้างจ่าย เนื่องจาก TTCL เป็น EPC contractor ซึ่งงานส่วนใหญ่เป็นการออกแบบทางวิศวกรรม ทำให้ TTCL ไม่ต้องลงทุนเครื่องจักร อุปกรณ์จำนวนมากเหมือนผู้รับเหมาทั่วไป * รอลุ้นผลประมูลงานใหม่มูลค่ารวม 1.45 หมื่นล้านบาทในครึ่งปีหลัง        TTCL ได้งานใหม่ในไตรมาส 2/53 เป็นโครงการเล็กๆ หลายโครงการ มูลค่ารวมประมาณ 700 ล้านบาท โดยคาดว่าปัจจุบันบริษัทมี Backlog จำนวน 7.5 พันล้านบาท แนวโน้มกำไรคาดว่าจะฟื้น ตัวในครึ่งปีหลัง เมื่อบริษัทรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างของโครงการใหม่ได้มากขึ้น บริษัทเตรียมยื่นประมูล อีกหลายโครงการในครึ่งปีหลัง โดยโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการ VCM Plant ของกลุ่มปูนซีเมนต์ ไทยที่ประเทศเวียตนาม มูลค่า 6.5 พันล้านบาท, โครงการปิโตรเคมีในประเทศสิงคโปร์ มูลค่า 4.0 พัน ล้านบาท และโรงไฟฟ้า SPP ขนาด 110 เมกะวัตต์ มูลค่า 4.0 พันล้านบาท โดยโครงการ VCM Plant และโครงการปิโตรเคมีในประเทศสิงคโปร์คาดว่าจะทราบผลประมูลในช่วงปลายปี ส่วนโครงการโรงไฟฟ้า SPP คาดว่าจะรู้ผลประมูลในเดือนต.ค. ส่วนโครงการโรงผลิตปุ๋ยที่ประเทศโมรอกโกได้เลื่อนออกไป เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวของประเทศในยุโรป จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:09:45

ความคิดเห็นที่ 41 Analyst Comment : GRAMMY : บล.เกียรตินาคิน     16 ส.ค.--บล.เกียรตินาคิน     Distributor - Bisnews AFE GRAMMY: ประกาศกำไรไตรมาส 2/53 เท่ากับ 118 ล้านบาท ลดลง 43% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 1/53 ใกล้เคียงกับที่คาด ราคาตลาดล่าสุด: 15.80 บาท 08.30, 16 สิงหาคม 2553     ประเด็น: ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (11 ส.ค.) GRAMMY ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/53 ออกมามีกำไรเท่ากับ 118 ล้านบาท ลดลง 43% จากปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาส 1/53 สาเหตุ หลักที่ทำให้กำไรหดตัวจากปีก่อนเนื่องจากธุรกิจเพลงหดตัวจากปีก่อน 6% และไม่มีผลประโยชน์ทางภาษีกว่า 50 ล้านบาทเหมือนในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสื่อของบริษัทยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อ เนื่องมีรายได้เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนและเพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาส 1/53 นำโดยสื่อทีวีและทีวีดาวเทียม นอกจากนี้ การบันทึกเงินปันผลรับจากเงินลงทุนในไตรมาส 2 ของทุกปีจึงทำให้ผลประกอบการยังเติบโตได้ จากไตรมาส 1/53 รวมผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 53 GRAMMY มีกำไรเท่ากับ 231 ล้านบาท ลดลง 26% จากปีก่อน แม้บริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจสื่อจะเพิ่มขึ้นชดเชยการหดตัวของธุรกิจเพลง แต่อย่างไรก็ตาม จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นและการไม่มีผลประโยชน์ทางภาษีเหมือนปีก่อนจึงเป็นผลทำให้ ในครึ่งปีแรกปี 53 บริษัทมีกำไรลดลงจากปีก่อน โดยจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกปี 53 บริษัทประกาศ จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.40 บาท/หุ้น (XD 24/08/53 จ่าย 09/09/53) คิดเป็นผลตอบแทน จากเงินปันผล (Dividend Yield) 2.5% (ที่มา: www.set.or.th 11 ส.ค. 53)     ความเห็น: ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ของ GRAMMY ที่ประกาศออกมาใกล้เคียงกับที่คาด (เราคาดกำไรสุทธิเท่ากับ 126 ล้านบาท) ธุรกิจสื่อของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่งจึงทำให้กำไรยังเติบ โตได้จากไตรมาส 1/53 แม้ธุรกิจเพลงจะชะลอตัว กำไรในครึ่งปีแรกคิดเป็น 50% ของประมาณการกำไร ทั้งปี 53 ของเรา ในขณะที่มีแนวโน้มว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังของบริษัทจะดีกว่าในครึ่งปีแรกตาม Seasonal Effect และการฟื้นตัวของภาะวเศรษฐกิจ จึงมีแนวโน้มที่เราจะปรับประมาณการกำไรปี 53 และราคาเหมาะสมปี 53 ของ GRAMMY เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เราคาดว่าจะมีกำไร 460 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน และราคาเหมาะสมเท่ากับ 12.86 บาท เบื้องต้นเราจึงยังคงคำแนะนำ "ถือ" เพื่อรอการ ทบทวนประมาณการและราคาเหมาะสมของบริษัทใหม่อีกครั้งหลังเข้าร่วมงานแถลงผลประกอบการของบริษัท ในวันที่ 19 ส.ค. 53 ส่วนมุมมองในระยะยาวเรายังคงมองว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันจาก การมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในธุรกิจบันเทิงอันดับเป็นต้น ๆ ในประเทศไทยในหลาย ๆ ด้าน ไม่ ว่าจะเป็น เพลง, ละคร, หนัง และการจัดกิจกรรมต่าง ๆ  นอกจากนี้ ยังมองว่า Brand ของ GRAMMY เป็นที่ยอมรับจากผู้บริโภคทางด้านคุณภาพของความบันเทิงที่จะได้รับอีกด้วย จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:10:39

ความคิดเห็นที่ 42 Analyst Comment : LANNA : บล.เกียรตินาคิน     16 ส.ค.--บล.เกียรตินาคิน     Distributor - Bisnews AFE LANNA: ประกาศกำไร 2Q53 ราคาตลาดล่าสุด:  LANNA     21.10 บาท               8.00, 16 สิงหาคม 2553     บริษัทประกาศกำไร 2Q53 อยู่ในเกณฑ์แข็งแกร่งต่อเนื่องจาก 1Q53 แต่ต่ำกว่าที่เราคาด 9%: กำไร 2Q53 อยู่ที่ 200 ล้านบาท ลดลง 10%yoy แต่เพิ่มขึ้น 2%qoq (เทียบกับ 2Q52 และ 1Q53 ตามลำดับ) กำไรออกมาต่ำกว่าที่เราคาด 9% ขณะที่ 1H53 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 61%yoy (เทียบ 1H52) กำไรที่อ่อน ตัวลดลงกว่าคาดมาจากต้นทุนธุรกิจเอทานอลที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจาก 1Q53 ขณะที่ราคาขายอ่อนตัว ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ธุรกิจเอทานอลมีผลขาดทุน 19 ล้านบาท ทำให้กำไร 2Q53 ออกมาต่ำกว่าที่ เราคาด     แนวโน้มกำไร 2H53 อ่อนตัว จากธุรกิจเอทานอลที่มีปัญหาด้านต้นทุนการผลิต และวัตถุดิบการผลิต: กำไร 1H53 คิดเป็น 62% ของเราประมาณกาไว้ทั้งปี 53 ที่ระดับ 637 ล้านบาท ลดลง 3%yoy ผล ประกอบการ 2H53 ธุรกิจถ่านหินยังแข็งแกร่งต่อเนื่องจากการฟ้นตัวของยอดขาย และราคาถ่านหิน แต่ ธุรกิจเอทานอลยังเป็นปัจจัยลบต่อผลประกอบการ โดยเฉพาะประเด็นต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ ราคาเอทานอลยังไม่มีการฟื้นตัว เป็นปัจจัยลบต่อกำไร 2H53     ประเด็นขยายการลงทุน และการนำ TAE เข้าตลาดใน 4Q53 หนุนระดับราคาหุ้น แต่ปัจจุบันสูงกว่า มูลค่าเชิงพื้นฐานมาก เราอยู่ระหว่างการปรับคำแนะนำ: ประเด็นการนำหุ้น TAE เข้าตลาดใน 4Q53 รวมทั้งอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเหมืองถ่านหินใหม่ ทำให้ LANNA ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 25% ในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่สูงกว่าราคาที่เหมาะสมที่เราประเมินไว้ที่ 18 บาท ราคาหุ้นตอบรับปัจจัยบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2554 ขณะที่ระยะสั้นผลประกอบการ 2H53 คาดจะอ่อนตัว ลดลงจาก 1H53 ทำให้เรามองว่าระดับราคาหุ้นปัจจุบันมี Down side risk เพิ่มขึ้น เป็นจังหวะที่ดีต่อ การทำกำไร และเราจะมีการปรับคำแนะนำเชิงพื้นฐานต่อไป (เดิมเรามีคำแนะนำเชิงพื้นฐาน ซื้อลงทุน) จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:11:17

ความคิดเห็นที่ 43 วิเคราะห์หุ้นรายวัน : EGCO : บล. กิมเอ็ง        16 ส.ค.--บล.กิมเอ็ง        Distributor - Bisnews AFE บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO)          ถือ         ราคาปิด (บาท)          86.75 ราคาเป้าหมาย (บาท)     91.00 SET Index            862.16 SAA Consensus Rating                   ซื้อ ราคาเป้าหมายเฉลี่ย (บาท) 89.98 สูงสุด (บาท)           100.00 ต่ำสุด (บาท)            78.90 กำไรไตรมาส 2/53 ลดลง 5% yoy ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง          รายได้ค่าไฟฟ้าที่ลดลงของโรงไฟฟ้าระยอง (REGCO), BLCP และ KK2 ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ ลดลงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้  EGCO รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/53 ออกมามีกำไรสุทธิ 2,274 ล้านบาท หรือ 4.32 บาท/หุ้น ลดลง 5% yoy เราประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 ยังคงชะลอ ตัวลงตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง เราแนะนำ ถือ ลงทุนเพื่อเงินปันผลโดยมีราคาเป้าหมาย 91 บาท รายงานกำไรไตรมาส 2/53 ที่ 2,274 ล้านบาท ลดลง 5% yoy        บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/53 ออกมามีกำไรสุทธิ 2,274 ล้านบาท คิดเป็น กำไรต่อหุ้น 4.32 บาท เติบโต 10% qoq ตามผลของฤดูกาล เนื่องจากไตรมาส 2 เป็นฤดูร้อนมีความ ต้องการใช้ไฟฟ้าสูงจนความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในปีนี้เพิ่มขึ้น 8.9% yoy เป็น 24,010 เมกะวัตต์ แต่ ลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามรายได้ค่าไฟฟ้าที่ลดลงของโรงไฟฟ้าระยอง (REGCO), BLCP (EGCO ถือหุ้น 50%) และกัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด (จีพีจีหรือ KK2 กำลังการผลิต 1,468 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้น 50% ) ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) กับการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) โดยรายได้ค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอม (KEGCO) เพิ่มขึ้น 29% yoy เป็น 744 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ของโรงไฟฟ้าระยอง ลดลง 31% yoy เป็น 639 ล้านบาท ใน ส่วนของส่วนแบ่งผลกำไรของโรงไฟฟ้า BLCP ก็ลดลง 37% yoy เป็น 765 ล้านบาทและส่วนแบ่งผลกำไร ของโรงไฟฟ้าแก่งคอย 2 ก็ลดลง 21% yoy เป็น 569 ล้านบาท จากอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง ในไตรมาสนี้ บริษัทเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 (EGCO ถือหุ้น 25%) กำลังการผลิต 1,086.80 เมกกะวัตต์ (มีสัญญาจำหน่ายให้กับ EGAT 995 เมกกะวัตต์) หลังจากที่ได้เลื่อนกำหนดการเปิดดำเนินการ ผลิตเชิงพาณิชย์ออกไปจากเดือนมีนาคมเป็นวันที่ 30 เมษายน 2553 ทำให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทเพิ่ม ขึ้น 7% yoy หรือ 271.7 เมกะวัตต์เป็น 4,252.40 เมกะวัตต์ คาดผลกำไรไตรมาส 3/53 ยังชะลอตัวต่อตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง        แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 ของบริษัทคาดว่าจะยังชะลอตัวลงต่อจากไตรมาส 2/52 ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลงของ REGCO, BLCP และ KK2 แม้ในไตรมาสนี้บริษัทจะรับรู้รายได้และ ผลกำไรจากโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 2 ได้เต็มไตรมาส ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับ EGCO ได้ 125-150 ล้านบาทในไตรมาสนี้และทั้งปีประมาณ 500-600 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่มากเพียงพอที่จะชดเชยรายได้และ ผลกำไรของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ของบริษัทที่ลดลง เราประเมินในเบื้องต้นว่าผลกำไรปกติในไตรมาส 3/53 จะลดลงจากไตรมาส 3/52 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,013 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.82 บาท คงคำแนะนำ ถือ เพื่อเงินปันผล ราคาเป้าหมาย 91 บาท        เราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีแรก 2.50 บาท/หุ้นและครึ่งปีหลังอีกอย่างน้อย 2.50 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนทั้งปี 5.8% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 2554 ที่ 7.3 เท่าและมี upside อยู่ 5% จากราคาที่เหมาะสมของเราที่ 91 บาท ราคาหุ้นขาดปัจจัยบวกมากระตุ้นในปีนี้ บวกกับ แนวโน้มผลกำไรที่ชะลอตัวลงและ upside ที่จำกัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำ ถือ เพื่อเงินปันผล สำหรับ EGCO จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:12:36

ความคิดเห็นที่ 44 CFRESH - Spotlight : บมจ.ซิกโก้         16 ส.ค.--บมจ.ซิกโก้     Distributor - Bisnews AFE CFRESH กำไรสุทธิ 2Q10A เติบโต 51.1% YoY และ 65.5% QoQ Sector Food and Beverage Price     : Bt 5.50 Fair Value: Bt 7.10 Rating    : BUY ประเด็นสำคัญ    * กำไรสุทธิ 2Q10A เติบโตถึง 51.1% YoY และ 65.5% QoQ    * ปรับกำไรสุทธิ FY10E ลงเท่ากับ 206 ลบ. จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า    * คาด FY11E ความสามรถในการทำกำไรจะปรับตัวดีขึ้น    * แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 7.10 บาท กำไรสุทธิ 2Q10A เติบโต 51.1%YoY และ 65.5% QoQ     จากรายงานกำไรสุทธิ 2Q10A ของ CFRESH ที่ออกมาเท่ากับ 46 ลบ. หรือเติบโตถึง 51.1% YoY และ 65.5% QoQ โดย SSEC มองว่า ส่วนหนึ่งมาจากอานิสงส์ของการเกิดโรคระบาดในอินโดนีเซีย และ ภัยธรรมชาติในบราซิล จนเป็นผลให้ทั้งราคาและยอดส่งออกกุ้งของไทยสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เงินบาทที่แข็ง ค่าขึ้นส่งผลให้รายได้ในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นเพียง 2.2% YoY แต่เพิ่มขึ้นถึง 43.7%QoQ แต่อย่างไรก็ดี CFRESH มีการทำ Hedging ค่าเงินที่มีประสิทธิภาพขึ้น ทำให้ใน 2Q10A กลับมามีกำไรจากอัตราแลก เปลี่ยน จาก 2Q09A ที่ขาดทุนเท่ากับ 20.7 ลบ. และเนื่องจาก CFRESH มีการระบายสินค้าคงคลังออก ไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ได้โอนกลับค่าเผื่อการลดมูลค่าสินค้ามูลค่า 24.59 ล้านบาทขณะที่อัตราการทำ กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ใน 2Q10A ปรับลดลงมาอยู่ระดับ 14.0% จาก 2Q09A ที่ 16.5% และ 1Q10A ที่ 15.2% สำหรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (SG&A/Sale) อยู่ที่ 12.0% เพิ่มขึ้น จาก 2Q09A ที่8.3% และ 1Q10A ที่ 11.6% เนื่องจากจำนวนผลผลิตของ Supplierที่ลดลงทำให้ต้องหา รายใหม่ๆ เพิ่ม ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กำไรสุทธิ1H10A คิดเป็นร้อยละ 32.0 ของกำไรสุทธิเดิมที่ SSEC คาดการณ์ไว้ที่ 228 ลบ.ขณะที่ GPM เฉลี่ย 1H10A อยู่ที่ 14.5% จากเหตุผลของการแข็งค่าเงินบาท และแนวโน้มการขาดแคลนกุ้ง จะเป็นผลให้มีต้นทุนสูง ทำ ให้ SSECมีการปรับลด GPM ลดลง ซึ่งส่งผลให้ กำไรสุทธิ FY10E ลดลงเป็น 206 ลบ. แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม FY11E เท่ากับ 7.10 บาท     SSEC คาดแนวโน้มการส่งออกกุ้งของไทยใน FY11E จะยังคงเติบโตต่อเนื่องโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมา จากการขาดแคลนผลผลิตในตลาดโลก รวมถึงคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะทำให้ ความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นปรับสูงขึ้น ขณะที่ประเมินราคาเหมาะสม FY11E ไว้ที่ 7.10 บาทจาก Prospective PER เท่ากับ 12 เท่า ซึ่งเมื่อเทียบราคาหุ้นปัจจุบันกับราคาเหมาะสมที่ SSEC ให้ไว้มี Upside Gain ถึง 29.1% จึงแนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:13:35

ความคิดเห็นที่ 45 GFPT - Spotlight : บมจ.ซิกโก้     16 ส.ค.--บมจ.ซิกโก้     Distributor - Bisnews AFE GFPT กำไรสุทธิ 2Q10A เพิ่มขึ้น 49.8% YoY แต่ลดลง 0.1% QoQ Sector Agribusiness Price     : Bt 9.55 Fair Value: Bt 10.90 Rating    : BUY ประเด็นสำคัญ    * กำไรสุทธิ 2Q10A เพิ่มขึ้น 49.8% YoY แต่ลดลงเล็กน้อยที่ 0.1% QoQ    * FY11E รับรู้ส่วนแบ่ง GFN เต็มๆปี รวมถึงประสิทธิภาพในการผลิตที่สูงขึ้น    * แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม FY11E เท่ากับ 10.90 บาท กำไรสุทธิ 2Q10A เพิ่มขึ้น 49.8% YoY แต่ลดลง 0.1% QoQ     จากรายงานผลประกอบการ 2Q10A ของ GFPT มีกำไรสุทธิอยู่ 287 ลบ. หรือเพิ่มขึ้นถึง 49.8% YoY โดย SSEC มองว่า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาก ระดับราคาไก่มีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ยใน 2Q10A (ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน) สูงขึ้นจาก2Q09A เท่ากับ 17.0% ขณะที่ผลของค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ทำให้ รายได้ 2Q10Aเติบโตเพียง 3.2% YoY และ 5.4% QoQ ส่วนอัตราการทำกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin: GPM) ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ระดับ 16.2% จาก 2Q09A ที่ระดับ12.2% จากราคาไก่และ กำลังการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิ 2Q10A ลดลง เล็กน้อยที่ 0.6% QoQเนื่องจากราคาไก่ที่เริ่มปรับตัวลดลง และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ GPM ลดลงจาก 1Q10A ที่ระดับ 16.6% รวมถึงมีค่าใช้จ่ายจากการเปิดโรงงานในบริษัทย่อย GFN ทำให้ สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (SG&A/Sale) ใน 2Q10Aเพิ่มขึ้นเป็น 7.1% จาก 2Q09A ที่ 6.0% และ 1Q10A ที่ 6.7% สำหรับการลงทุนในบริษัทร่วมยังคงทำกำไรเติบโตดี โดย 2Q10A มีกำไรจากการลงทุน เพิ่ม 39.5% YoY และ 13.0% QoQ ทั้งนี้ เป็นผลให้กำไรสุทธิ 1H10A มีสัดส่วนเท่ากับ 50.0% ของ กำไรสุทธิที่ SSEC คาดการณ์ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม FY11E เท่ากับ 10.90 บาท     SSEC ประเมินราคาเหมาะสม FY11E ของ GFPT ไว้เท่ากับ 10.90 บาท ซึ่งอิงProspective PER ของอุตสาหกรรมที่ 12 เท่า โดยคาดผลประกอบการ FY11Eจะสามารถเติบโต จากการรับรู้ส่วน แบ่งกำไรของบริษัทย่อย GFN อย่างเต็มๆปีและการเพิ่มประสิทธิภาพของกำลังการผลิต เพราะคำสั่งซื้อที่จะ สูงขึ้นเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานของ GFN และรายได้จากการให้เช่าโรงงานแปรรูปกับMCKEY ทั้งนี้ ราคาหุ้น ปัจจุบันเทียบกับราคาเหมาะสมที่ SSEC ให้ไว้ มีผลตอบแทนรวม (Total Return) เท่ากับ 17.1% (Upside Gain ที่ 14.1% และDividend Yield เท่ากับ 3.0%) จึงแนะนำ "ซื้อ" จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:16:18

ความคิดเห็นที่ 46 2Q10 Earnings Result : CPALL : บล.ฟาร์อีสท์            16 ส.ค.--บล.ฟาร์อีสท์        Distributor - Bisnews AFE CP ALL (CPALL) Recommendation  Buy Current Price:  Bt32.50 Target Price:   Bt36.20 2Q10 ๊ ทำลายสถิติเก่าอีกแล้ว     - CPALL ทำกำไรสุทธิงวด 2Q10 เป็น record ใหม่     - มุมมองต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาวยังเป็นบวก     - คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยมีราคาพื้นฐานใหม่ 36.20 บาท (PE 23 เท่าในปี 2554)   ผลประกอบการงวด 2Q10 โดดเด่นต่อเนื่อง     CPALL ประกาศผลการดำเนินงานงวด 2Q10 อย่างน่าประทับใจและเกินความคาดหมายของตลาด โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,769 ล้านบาท (ทั้งๆ ที่ช่วง 2Q เป็นฤดูกาลของผลการดำเนินงานที่แผ่วลง q-o-q) ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าวเพิ่มขึ้น 43% y-o-y และ 6% q-o-q โดยบริษัทรับรู้รายได้ 33,188 ล้านบาท (+21% y-o-y และ +4% q-o-q) เป็นผลจาก (1) การขยายสาขาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีก 102 สาขาในงวด 2Q10 ทำให้สาขารวมคิดเป็น 5,511 สาขา) (2) same-store sales growth ที่สูงถึง 12.6% และ (3) การเพิ่มสัดส่วนอาหารและเครื่องดื่มมาที่ระดับ 73.6% ในขณะนี้ จึงเป็นผลดีต่อความ สามารถในการทำกำไรของบริษัทได้อย่างมั่นคง โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (gross margin) อยู่ที่ระดับ 27.1% ดีขึ้นจาก 26.5% ในงวด 1Q10 และ 26.6% ในงวด 2Q09 ทั้งนี้ กำไรสุทธิงวด 1H10 เทียบเท่า 55% ของประมาณการกำไรสุทธิในปี 2553 ของเรา CPALL ยังคงเป็น Top Buy ของเรา ...คงคำแนะนำ "ซื้อ"     จะเห็นได้ว่า CPALL ยังคงสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งมาโดยตลอด แม้ในภาวะที่การเมือง ในประเทศมีความวุ่นวายในช่วงปลาย 1Q-2Q10 แต่บริษัทแทบไม่มีผลกระทบในเชิงการดำเนินงาน เรายัง คงมุมมองบวกต่อ CPALL เนื่องจาก (1) การขยายสาขาที่ต่อเนื่อง (2) เสถียรภาพของการทำกำไรที่มั่น คงและฐานะการเงินแข็งแกร่ง (เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นประมาณ 14,000 ล้านบาท) (3) เป็นผู้นำ อันดับ 3 ในตลาดโลก (อิงสาขาร้าน 7-Eleven, รองจากญี่ปุ่นและสหรัฐ) เราปรับราคาเป้าหมายใหม่ เป็น 36.20 บาท (อ้างอิง PE 23 เท่าปี 2554, ด้วย ROE เกือบ 30% ในปีหน้า) ยังมี upside อีก 11% รวมกับ dividend yield อีกกว่า 3% ที่ราคาปัจจุบัน จากคุณ : LoknaR เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:17:30

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : หอมจัง เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 00:46:03

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณครับ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 01:03:32

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณค่ะ.... จากคุณ : memai เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 07:48:51

ความคิดเห็นที่ 50 ส่วนใหญ่ มีแต่แนะนำ ซื้อ กับ ถือ ไม่มีแนะนำขาย แนะนำให้ซื้อ เพื่อเขาจะได้ขาย จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 08:12:17

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณมาก สำหรับข้อมูลดีดี จากคุณ : จอมโจรกลับใจ เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 08:45:50

ความคิดเห็นที่ 52 เยี่ยม ขอบคุณครับ จากคุณ : thakoop เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 08:58:50

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณมากค่ะพี่LoknaR จากคุณ : น้องไผ่ (p.sapad) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 53 09:40:09

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณมากๆ ค่ะ จากคุณ : Halloweeny เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 53 20:48:12