|
ความคิดเห็นที่ 60 |
หวัดดีครับคุณ ahcmos กระทุ้นี้ผมเห็น ความคิดเห็น และคำแนะนำดีๆ เยอะแยะเลยนะครับ เสียดายที่กีบหมดแล้ว เลยไม่มีให้ใคร
---
มาตอบบางความเห้นนะครับ
" ความกล้ามันหายไปหมด พร้อมกันกับ เงินที่หายไป ไอ้ที่เหลืออยู่ ก็พยายามถนุถนอมเต็มที่ กลัวจะเสียอีก"
-----อันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับคนที่อยู่ตลาดหุ้นมานานพอ ที่จะเจอวงจรตลาดในช่วงที่ "รุนแรงและเกรียวกราด"
ถ้าเราอยู่ในตลาดนานพอ นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอครับ
"นี่เป็นเรื่องที่จะต้องผ่านไปให้ได้ครับ" เป็นทั้งบททดสอบคุณสมบัติของใจเรา ว่าเราจะเอาชนะตัวเองได้หรือเปล่า และเราจะสามารถเปลี่ยนวิกฤติ(ประสบการณ์) เป็นโอกาสได้หรือเปล่า
***
" จากเล่นหุ้นปั่น รายวัน ตอนนี้ นั่งมองหุ้นตัวเอง เป็นเดือน ยังไม่ค่อยวิ่ง หาหุ้นพื้นฐานเล่น เค้าเล่นกันยังไง นะ ถึงได้เข้าถูกจังหวะ และ ขายได้ถูกจังหวะ "
-----อันนี้ต้องถามตัวเองครับ ว่า ที่ว่า "หุ้นปั่น" นั้นมันยังไง (การเลิกเล่นหุ้นประเภทนี้ได้ถือว่าดีแล้วในความเห้นผม)
แต่ที่ว่า "หาหุ้นพื้นฐาน" นั้นมันยังไง? คำว่าหุ้นพื้นฐานถูกใช้ในหลายแง่มุม , ถ้าพูดถึงหุ้นพื้นฐานประเภท ที่ชาว VI เค้าเล่นกัน การถือหุ้นแล้วเห็นมันนิ่งๆ อย่าว่าแต่ 6 เดอืนเลย , 2 ปี ถ้าหุ้นนั้นยังดีอยู่ แต่ราคาไม่ไปไหน VI แท้ๆ เค้าก็รับได้ กินปันผล รอเวลา ที่"เพชรจะพ้นจากตรม"
แต่ถ้าคำว่า "หุ้นพื้นฐาน" แบบที่ราคาควรเคลื่อนไหวตามตลาดสม่ำเสมอ พวกนี้มักเป็นหุ้นตามตลาด , ในตลาดไทย มักอยู่ใน set50-100 พวกนี้ การเข้าซื้อขาย ต้องดุจังหวะสำคัญ
..ส่วนเรื่องการเข้าซื้อขาย ให้ถูกจังหวะ เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝนกันเอาครับ , ที่สำคัญ ต้องไม่ใจร้อนครับ
ลองคิดเล่นๆ นะ , เราเรียนหน้งสือ ตั้งแต่เด็กจนโต ป.1 ถึง ม. 6 , รวมเวลาไปแล้ว 12 ปี , ต่อ ป. ตรี อีก 4 ปี บางคนต่อ โท. อีก 2 ปี ใช้เวลาเรียนไปทั้งสิ้น เกือบๆ 20 ปี!!
บางคนเรียนจบแล้วแทบไม่ได้ใช้สิ่งที่ตัวเองเรียนในการประกอบการงาน บางคนเรียนไป เกือบ ยี่สิบปี เพื่อทำงาน หาเงิน เดือนละ 2-3 หมื่น
ถามว่าเวลาขนาดนี้ และต้องใช้เงินขนาดไหน ระหว่างนั้น เพื่อมีวิชาความรู้ ประกอบตัวไว้เป็นเครื่องมือหากินตลอดชีวิต
ตลาดหุ้น ถ้าเราใจเย็นๆ และมองไหลหน่อย และอย่างมีเป้าหมาย ค่อยๆ ทำไป การลงทุน ใช้เวลา+เงิน ในตลาดหุ้น , ถ้าใจรับ และจริงจังมากพอ ผมว่า 3-5 ปี ได้วิชาความรู้ เอามาใช้หาเงิน อาจจะมากกว่า เรียนมาตั้งเกือบ 20 ปี
เพียงแต่ต้องถามตัวเองว่า "นี่ใช่ที่ทางของเราหรือเปล่า? ถ้าเราคิดว่า 'ใช่' ต้องไม่ใจร้อนครับ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ค่อยๆ ทำ แต่ต้องทำอย่างจริงจัง อย่าคาดหวังผลเลิศเกินไป และไม่ต้องไปเทียบกับใครที่ไหน , และพยายามเรียนรู้หลายๆ แนวทาง เพื่อเรียนรู้ตัวเองด้วยครับ อาจจะยังหาแนวทางตัวเองไม่เจอก็ได้ อย่าไปยึดติดกับ "ชื่อเรียก" ของแนวทางลงทุนต่างๆ
พวก vi vs หรืออะไรอื่น พวกนี้ เราไปยึดกรอบมันตายตัวไม่ได้ มองโดยหลักกว้างๆ ก็พอ , อย่าไปลงรายละเอียดตามคนอื่น เพราะอันที่จริงแล้วแนวทางของแต่ละคน ก็เป็นแนวทางหนึ่งๆ นั้นเลย มันผสมผสานรายๆ ความคิด และประสบการณ์ของตัวเองอยู่ในนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องจริงจังกับมันจริงๆ ถือว่าทำปริญญาอีกใบ เพิ่งเข้าเรียนปี2 จะทำข้อสอบ ปี4 มันคงลำบาก ใจเย็นๆ มองตามเนื้อผ้า ยินดีในสิ่งที่ตัวเองมี ทำของเราไป เดี๋ยวดีเอง (แต่ขอวงเล็บว่า ต้องทำจริง และใจรักนะครับ) แบนี้ รับรองได้ว่า "เดี๋ยวดีเอง"
ปล. ผมเคยคุยกับคุณมอส รู้เลยว่าเป็นคนใจร้อนมากๆ นะครับ และน่าจะดื้อด้วย ประมาณว่า อยากเห็นผลลัพท์เร็ว , คอมเม้นท์ที่ผมมีกับคุณบ่อยๆ คือเรื่อง "ใจ-เย็นๆ" สังเกตุมั้ยครับ
ได้มากย่อมดีกว่าได้น้อย ได้น้อยดีกว่าไม่ได้เลย ไม่ได้เลยดีกว่าเสียหาย ขาดทุนน้อย ดีกว่าขาดทุนมาก
วันนี้เท่าที่ฟัง คือไม่ได้ขาดทุน แต่ "ได้ไม่ทันใจ" เท่านั้น
ได้ไม่ทันใจเพราะ 1. ลงทุนน้อยกว่าคราวที่เสีย 2. หุ้นเราขึ้นไม่เท่าตัวอื่นๆ หรือตลาด 3. ยังระแวงว่าตัวเองเลือกหุ้นผิด เข้า-ออกผิดจังหวะ
ข้อ 1. เป็นเรื่องของความโกรธ/ความกลัว(ไม่กล้า เพราะฝังใจความผิดพลาด) ข้อ 2. เป็นเรื่องของความโลภ(อยากได้มากกว่านี้ หรือไปเทียบกับคนอื่น) ---สองข้อแรกเป็นเรื่องของใจล้วนๆ ข้อ 3. เป็นเรื่องฝีมือ และการเรียนรู้ ---ข้อนี้เป้นสิ่งที่ฝึก ที่เรียนได้ , ค่อยๆ มั่นใจข้อ 3. เมื่อไหร่เดี๋ยวข้อ 1-2 จะดีตามมาเอง
สรุปคือ ต้อง ฝึก ฝึก ฝึก และฝึกครับ
เอาใจช่วยครับ สู้ๆๆ
จากคุณ |
:
บุญทับ
|
เขียนเมื่อ |
:
23 ส.ค. 53 03:47:10
|
|
|
|
|