ความคิดเห็นที่ 1 ดูวิชาการดีมาก เข้ามาปูเสื่อรอครับ จากคุณ : snsell เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:27:42

ความคิดเห็นที่ 2 เล่นมาแค่สามปี ไม่เก๋า ที่ง่ายและคลาสสิกที่สุด คือ ยอดซื้อขายต่างชาติ หรั่งลุย เราลุย หรั่งถอย เราถอย จากคุณ : กะโหลกกับกะลา เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:28:48

ความคิดเห็นที่ 3 สั้น ๆ ง่าย ๆ "ซื้อบริษัทที่ดี มีผู้บริหารที่มีคุณธรรมและความสามารถ โดยซื้อในราคาที่ถูกหรือไม่แพง จากนั้นให้ถือไว้ตราบที่มันยังดีอยู่" เครดิต จาก Warren E. Buffett จากคุณ : icute123 เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:40:36

ความคิดเห็นที่ 4 วิธีเอาตัวรอด .... ก. ศึกษาก่อนลงทุน        ศึกษาทั้งตัวหุ้น และ ตัวเรา ข. เมื่อลงทุนไปแล้ว เมื่อผิด ต้อง ยอมรับผิด        รู้ตัวว่าผิด กลับตัวให้เร็วที่สุด เพื่อที่เจ็บตัวน้อยที่สุด                 อย่าไปเที่ยวหาคนผิด กว่าจะเจอ มันก็สายเสียแล้ว                          อย่าหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับ ความฝัน และ จินตนาการ เพราะ นั่น สำหรับ นักเขียน ศิลปิน และ เด็ก ค. ข่าวลือ ข่าว นสพ. ข่าวที่ออกมา ล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์ ถ้าตีข่าวไม่แตก ห้ามเล่นตามข่าว ง. ก่อนจะเข้าลงทุน ต้องมีจุดยืน สั้น กลาง ยาว        อย่าลงทุนสั้น แต่ติดหุ้นยาว               อย่ากำไรสั้น แต่ขาดทุนยาว                         กฎ การลงทุน (ของใครไม่รู้) ก. ห้ามปล่อยให้กำไรเป็นขาดทุน ข. ก่อนจะเอาเงินเค้า จงหาวิธีปกป้องเงินเราให้ได้เสียก่อน ค. เราไม่ใช่แชมป์เปี้ยนโลก ... ดังนั้น "แพ้บ้างก็ได้" จากคุณ : อาหนิว เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 13:51:21

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าค่าเงินบาทยังแข็ง ตลาดก็ยังซู่ซ่าครับ จากคุณ : ประชาชนคนเดินดิน เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 14:16:38

ความคิดเห็นที่ 6 - Study and Speculating the big trend - Do not take profit and buy back on reactions - Keeping the position all way of the big trend From The Reminiscence of The Stock Operator จากคุณ : จิ้งจกเขียว เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 14:34:48

ความคิดเห็นที่ 7 เคยได้ยินมาว่า “ไม่ช้าก็เร็ว ตลาดกระทิงดุ ทุกครั้งจะต้องจบลงอย่างเจ็บปวด" จำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากไหน แต่มันเป็นประโยคที่ฟังดูโหดร้ายจริง ๆ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 14:48:41

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่ค่อยอยากเชื่อว่าคุณขาหมูเพิ่งลงทุนไม่นาน เพราะจากหลายๆ กระทู้ที่นำมาลงในห้องนี้ หรือ หลายความคิดเห็น ล้วนแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ที่โชกโชน ตัวผมเองต่างหากที่เพิ่งลงสนามการลงทุนไม่นาน สิ้นอาทิตย์หน้าก็จะครบ 6 เดือนเต็มยังต้องเรียนรู้อารมณ์ของตลาดการลงทุนอีกเยอะ แต่เห็นสภาวะของตลาดแบบนี้ เดาทิศทางของมูลค่าหุ้นแต่ละตัวไม่ถูกเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ขอแอบเข้าห้องเรียน โดยหวังว่าจะมีผู้มากประสบการณ์ หรือ หนอนหนังสือจะมาให้ความรู้ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ผู้ไม่รู้เช่นผม ขอแอบเข้าห้องเรียน ของคุณขาหมูด้วยคนนะครับ จากคุณ : เตร็ดเตร่ เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:03:16

ความคิดเห็นที่ 9 ไปหามาแปะ อ่านแล้วได้ข้อคิดไปอีกแบบคะ ................................................................................ จากประสบการณ์จริงของผมนะครับ ในช่วงที่อดีตนายกทักษิณชนะเลือกตั้งเป็นครั้งแรก หุ้นของสถาบันการเงินวิ่งขึ้นอย่างมากมาย  Warrant วิ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ผมเองถือหุ้นที่ไม่ได้อิงกับตลาดมากนัก  ต้องทนทุกข์  อดทน  ต่อกิเลสอย่างมาก   จนผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งยากลำบากที่สุดในการลงทุน ผมได้แต่คอยย้ำเตือนตัวเองจากประสบการณ์ที่เคยเห็นมาในอดีต และแล้วเมื่อราคาของหุ้นเหล่านั้นปรับตัวลดลงตามสภาพความเป็นจริง ก็ทำให้ผมมั่นใจในแนวทาง VI มากขึ้น แต่สำหรับบางท่านที่มีความสามารถพิเศษ  อาจคิดว่าตลาดกระทิงก็เปลี่ยนไปซื้อหุ้นตลาดชั่วคราว  ตลาดซบค่อยกลับมาหาหุ้น VI สำหรับผมแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรตลาดจะจบรอบกระทิง  เมื่อไรแค่ปรับฐานแล้ววิ่งต่อ  ชีวิตสับสนวุ่นวายครับ  ผมเลยไม่เอาดีกว่า ................................................................................ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:04:02

ความคิดเห็นที่ 10 สำหรับคนชอบเล่นแบบเก็งกำไร ของแบบนี้ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือคือการ cut loss ถ้าราคามันลงกว่าที่เราซื้อแล้วแนวโน้มดูว่ามันก็ลงไปอีก อย่างไรเสียก็ต้องยอมตัดขาย มิฉะนั้น แล้วจะมานั่งเสียใจภายหลัง ของแบบนี้พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะทิฐิคนเรามันเยอะ จากคุณ : jengchai เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 15:24:43

ความคิดเห็นที่ 11 สิ่งที่ขาหมูต้องอดทนมากที่สุดในตอนนี้ (ขอเล่าให้ฟังหน่อย ไหน ๆ ก็ตั้งกระทู้แล้ว หุ หุ หุ) อย่างแรกเลย คือ ความแรงของหุ้นตัวที่เคยศึกษาไว้ แต่ไม่ได้ซื้อ เนื่องจากว่าเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี แต่ราคาแพงแล้ว ดูมาเรื่อย ๆ จะรอให้ราคาตกแล้วค่อยซื้อ แต่ไป ๆ มา ๆ พุ่งเอ๊าพุ่งเอา ยิ่งดูยิ่งปวดใจ แว๊ปหนึ่งก็คิดไปว่า นี่ถ้าเราซื้อตั้งแต่ตอนที่ดูไว้นะ ป่านนี้รวยแล้ว ได้แต่คิดคะ แล้วก็ปิดมันไป .. กลับมาตั้งสติใหม่ บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร  ไว้หาตัวอื่นก็ได้........เชอะ!!!! อย่างที่สอง คือ เห็นหุ้นบางตัวราคาพุ่งน่าดู ทั้งที่ขาดทุน ทั้งที่ยอดขายน้อย แต่ก็ไม่ทราบว่าพุ่งด้วยเหตุใด เห็นเช่นนั้น เกิดความรู้สึกอยากเป็นแมลงเม่าขึ้นมาทันที อยากจะเข้าไปซื้อแล้วรีบขาย ทำกำไรนิด ๆ หน่อย ๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ศึกษาหุ้นตัวนั้นแต่อย่างใด ข่าวก็ไม่ได้ดู เพียงแต่เห็นราคาขึ้นอยู่ทุกวี่ทุกวัน เปิดดูแล้ว ก็ได้แต่ปิดไปคะ กลับมาทบทวนเป้าหมายและวิธีการของตนเอง เชื่อมั่นในแนวความคิดของตนเอง ในเมื่อเราก็รู้อยู่แล้วว่าหุ้นตัวนี้กำไรน้อย ขาดทุนมานับไม่ถ้วน ยอดขายน้อยนิด  ก็ปล่อยมันไป.......... ทั้งสองอย่างที่เล่ามา เป็นเรื่องยากนะคะที่จะอดทนต่อแรงยั่วเย้าได้ ช่วงนี้เพื่อความเสถียรของความคิดตัวเอง จึงตั้งเป้าไว้ว่า จะเปิดดูหุ้นวันละ 1 รอบ หากสนใจหรือใส่ใจตัวไหนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด จะจดใส่สมุดเอาไว้ แล้วกลับไปดูที่บ้านตอนเย็น ไปหาคำตอบที่บ้าน ให้เวลากับมัน ใช้เหตุและผลในการวิเคราะห์หาคำตอบ ได้ผลดีนะคะ เพราะตอนอยู่บ้านตลาดปิดแล้ว ได้คิดแบบไม่มีแรงผลักดันใด ๆ ^_^ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:04:59

ความคิดเห็นที่ 12 มีคนเขียนไว้น่าฟังดี "อย่าให้ความโลภและความกลัวมามีอิทธิพลเหนือการตัดสินใจ" แรกๆ อาจจะไม่ชิน ซักพักก็จะมองการขึ้นลงเป็นเรื่องธรรมดา "กำหนดจุดคัท แล้วดูมันทำ ถ้ามันไปต่อ ก็ปรับจุดคัทตามไป" กลยุทธ์อาจารย์ปลา จากคุณ : WindReturn เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:46:16

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้ามีเวลา ซื้อหนังสือ ลงทุนแบบ John Neff มาอ่านครับ ผมถือหลักการลงทุน แล้วเอามาประยุกต์ใช้ ผมศึกษา หาหุ้นที่ดี ชนิดที่ผู้บริหารถือมากๆ และไม่เคยขาย มีค่า p/e ต่ำๆ ค่า p/e ที่ดูนั้น ผมดูล่วงหน้าคาดการณ์กำไรที่จะเกิดขึ้น และค่า p/e ย้อนหลัง ตลาดจะขึ้นหรือลง ผมไม่กังวล ตราบใดที่ผลประกอบการของบริษัทยังดีอยู่ ผมไม่ขาย หากพื้นฐ่านเปลี่ยนเ่ช่น อยู่ดีๆ มีข่าวว่า ขาดทุน ผู้บริหารฉ้อฉล จึงจะขาย หรือว่า เจอหุ้นที่ดีกว่า มีโอกาสโตกว่า ผมก็จะขายไปซื้อตัวใหม่ ครับ จากคุณ : tsetwk เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 16:49:51

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณมากนะคะ สำหรับท่านที่เข้ามาตอบ คุณ กะโหลกกับกะลา  / คุณ icute123 / คุณ  อาหนิว / คุณ ประชาชนคนเดินดิน / คุณ จิ้งจกเขียว /  คุณ jengchai / คุณ WindReturn / คุณ tsetwk ได้แนวความคิดดี ๆ เพียบเลยคะ ส่วนหนังสือของ John Neff ที่คุณ tsetwk แนะนำ น่าสนใจมากจริง ๆ คะ เอาแนวคิดของ John Neff มาแปะ เผื่อท่านอื่น ๆ ด้วยคะ ..................................................................... เนฟฟ์ เรียกได้ว่าเป็นนักลงทุนแบบผสมผสาน เขามองบริษัทด้วยลักษณะทางธุรกิจ ผลตอบแทนในรูปของการเติบโตของบริษัทนั้น ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล และความเสี่ยงในราคาของหุ้นนั้นๆ ตลอดจนวิเคราะห์ทั้งพอร์ตโดยรวมเมื่อเทียบกับตลาด (ไม่ใช่วิเคราะห์ลำพังเฉพาะรายหุ้น) เรียกได้ว่าหลักการทำงานของ เนฟฟ์ นั้นน่าสนใจมากจริงๆ จอห์น เนฟฟ์เป็นนักลงทุนมืออาชีพที่ทำงานทั้งเป็นผู้จัดการและเป็นผู้บริหารกองทุนหลายกอง เนื่องจากได้รับความไว้วางใจสูงมาก ผลงานการบริหารที่โด่งดังคือครั้งเมื่อเขาเข้าซื้อหุ้นของฟอร์ดเมื่อใครๆ ก็พากันขายหุ้นนั้นออกมาด้วยราคาที่ต่ำเนื่องจากเกรงว่าบริษัทจะเจ๊งไม่เป็นท่า ตอนนั้นอัตราส่วน p/e ของหุ้นมีค่าต่ำระดับไม่เกิน 3 เท่าในปี 1984 และหลังจากนั้นสามปี เขาสามารถทำกำไรให้กองทุนได้กว่า 500 ล้านเหรียญเมื่อหุ้นของฟอร์ดมีราคาเปลี่ยนแปลงจาก 14 เหรียญไปเป็นกว่า 50 เหรียญ เนฟฟ์เป็นนักลงทุนที่สนใจค่า P/E, อัตราเติบโตของรายได้, และปันผลจากหุ้นของบริษัทที่เขาลงทุน เขาเรียกค่านี้ว่าอัตราส่วน Growth and Yield to P/E ratio (ย่อว่า GYP) ซึ่งคำนวณได้ดังนี้: GYP = (ร้อยละของการเติบโตของรายได้ + ร้อยละของปันผล) / (P/E ratio) ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดีเพราะแสดงถึงรายได้และเงินปันผลที่สูงมากในขณะที่ราคาหุ้นให้ผลตอบแทนต่อการลงทุน (สะท้อนในรูปของ P/E ratio) ในเวลาอันสั้น ปกติแล้วค่านี้ที่สูงกว่า 1 ถือว่าดีมาก อย่างไรก็ตามจะต้องเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรมนั้น หรือกับของทั้งตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม เนฟฟ์ให้ความสำคัญต่อจำนวนร้อยละของเงินปันผลมากกว่า เนื่องจากเขาถือว่าเป็นผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของตัวเงินจริง นั่นหมายความว่าหากมีหุ้นสองบริษัท บริษัทแรกมีการเติบโต 5% จ่ายปันผล 10% และมี P/E เป็น 6 แต่บริษัทที่สองหนึ่งมีการเติบโต 10% แต่จ่ายปันผล 5% และมีค่าอัตราส่วน P/E เป็น 6 เท่ากัน เนฟฟ์ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกหุ้นของบริษัทแรกมากกว่า จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 18:50:01

ความคิดเห็นที่ 16 หลักการเลือกหุ้นลงทุนของ จอห์น เนฟฟ์ 1. มีค่าอัตราส่วน P/E ต่ำ 2. มีอัตราเติบโตของกำไรสูงกว่า 7% 3. มีการจ่ายปันผลที่สม่ำเสมอ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตลอดเวลา (แสดงถึงการสามารถนำกำไรที่มากขึ้นมาทำให้เกิดประโยชน์ในการขยายกิจการ) 4. ผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องสูงกว่าค่าอัตราส่วน P/E (เช่นหากค่า P/E เป็น 5 จะต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 5%) 5. ต้องเป็นธุรกิจขาขึ้นของรอบ (ถ้าเป็นรอบ) หรือหากเป็นขาลง จะต้องมีค่า P/E ที่ต่ำมากพอต่อความเสี่ยงในขาลงของมัน 6. มีการเติบโตที่แข็งแรง (คือโตแล้ว ยืนอยู่ได้ ไม่ใช่ขึ้นๆ ลงๆ ล้มๆ ลุกๆ) 7. มีพื้นฐานแข็งแกร่ง (อันนี้พูดง่าย แต่ต้องดูกันเยอะหลายอย่างครับ คือต้องวิเคราะห์ธุรกิจด้วย) คราวนี้มาดูบ้างว่า เซียนอย่าง จอห์น เนฟฟ์ จะตัดสินใจขายหุ้นเมื่อใด 1. พื้นฐานเปลี่ยนไปในทางที่เลวลง จนอาจจะเกิดผลกับการดำเนินงานในอนาคต 2. เมื่อราคาเพิ่มสูงขึ้นถึงจุดที่กำหนดไว้ 3. ดูการเติบโต (ราว 4-5 ปีต่อเนื่องกัน) หากถดถอยลงก็พิจารณาขาย 4. มองที่อัตราส่วน GYP ของพอร์ตของเราเป็นหลัก หากของตลาดดีกว่าก็ถือเงินสดไว้บ้างเพื่อรอซื้อเมื่อโอกาสอำนวย 5. โอกาสซื้อที่ดี มักอยู่หลัง Panic Sell เคล็ดการลงทุนในแบบของ เนฟฟ์: วิธีการหาหุ้นเพื่อลงทุน เนฟฟ์จะมองหุ้นที่ราคาทำนิวโลว์ หรือราคาตกต่ำลงมามากๆ เมื่อพบแล้วก็มาพิจารณาโดยใช้หลักการเลือกหุ้นของเขา หากเห็นว่าธุรกิจยังดี สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ ราคาน่าลงทุน ค่าสัดส่วนต่างๆ ยังดีอยู่ ก็อาจจะพิจารณาซื้อไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม เนฟฟ์มักจะไม่ไล่ซื้อหุ้นที่เป็นที่นิยม และทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นไปมากแล้ว เพราะว่าความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ............................................................ ที่มา http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=15160.0 จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 18:50:47

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 23:13:48

ความคิดเห็นที่ 18 ด้วยความยินดี   จากคุณ : WindReturn เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 53 23:46:27

ความคิดเห็นที่ 19 จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว จากบัฟเฟตครับ ตอนนี้น้องๆกระทิงครับ คนที่เข้าใหม่ระวังหน่อยครับ จากคุณ : Rick_Kiss เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 53 01:54:57