ความคิดเห็นที่ 1 คุณ ขาไก่ซุปเปอร์ .................................................................................................................. สวัสดีทุกท่านครับ วันนี้มาต่อจากคราวที่แล้วเลยครับ (ขาหมู : ดูเป็นคนพูดน้อยจังนะคะ ^_^) 8.P/E คือ Price to Earnings Ratio หมายถึง อัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ลงทุนยินดีจะจ่ายเงินซื้อหุ้นนั้นเป็นกี่เท่าของทุก ๆ 1 บาทของกำไรสุทธิของบริษัท ผมจะดูเบื้องต้นว่า หุ้นตัวนี้ได้ปรับราคาขึ้นมาสูงแล้วหรือไม่ เปรียบเทียบกับข้อมูลย้อนหลัง จากหุ้น ABC ณ ข้อมูลล่าสุด P/E เท่ากับ 6.93 ซึ่งอยู่ในช่วงค่ากลาง ๆ เมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีต ไม่ได้สูงไปกว่าอดีต ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สม่ำเสมอครับ ข้อนี้หุ้น ABC ผมให้ผ่าน โดยทั่วไปค่า P/E ที่สูงนั้นควรจะพิจารณาควบคู่ไปกับการเติบโตของบริษัทด้วย  หากบริษัทสามารถทำกำไรได้สูง มีอัตราการเติบโตสูง นักลงทุนก็ยอมที่จะซื้อหุ้นที่มีราคาแพง ซึ่งก็เป็นเหตุเป็นผลกันครับ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 12:25:16

ความคิดเห็นที่ 2 9.P/BV คือ Price/Book Value คิดมาจาก Equity/Number of Shares โดยทั่วๆ ไปแล้วค่า P/BV นี้ยิ่งต่ำยิ่งดี ตัวเลขมาตรฐานที่มักจะใช้เป็นฐานก็คือ 1 เท่า หากสามารถซื้อหุ้นที่มีค่า P/BV น้อยกว่า 1 ได้ก็หมายความว่านักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัท ในเบื้องต้นผมจะไม่สนใจมันมากนัก จะดูแค่ว่ามีค่าไม่สูงจนเกินไป คือ หากมีค่ามากกว่า 2 ผมถือว่าสูงครับ  ส่วนหุ้น ABC ค่า P/BV เท่ากับ 1.09 ถือว่าอยู่ในระดับที่โอเคครับ ข้อนี้ผมให้ผ่านเช่นกัน 10.อัตราส่วนเงินปันผล อันนี้ก็ตามแต่ความชอบใจของแต่ละท่านครับ หุ้น ABC ผมก็ว่าปันผลน้อยไปหน่อย แค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ หากนักลงทุนที่จะลงทุนเพื่อรับเงินปันผลตัวนี้ไม่ผ่านเกณฑ์ แต่บางบริษัทก็มีนโยบายนำกำไรไปลงทุนเพิ่มแล้วจ่ายปันผลน้อย เป็นการต่อยอดธุรกิจ ทำให้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นตามการเติบโตของบริษัทได้เช่นกัน แต่เนื่องจากตัวนี้มีอัตราการทำกำไรดี ผมถือว่ามีแนวโน้มพอได้ สามารถชดเชยในส่วนเงินปันผลได้ครับ 11.ราคาล่าสุด เอาไว้คำนวณราคาที่แท้จริงครับ ดู ๆ ไว้พอ ว่าราคา ณ ปัจจุบันไม่สูงไปกว่าในอดีตจนเกินไปเช่น อดีต รายได้ผลกำไรเท่ากับตอนนี้ ราคา 1 บาท แต่ตอนนี้ 5 บาทแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ถึงผลประกอบการจะดีแต่หุ้นราคาสูง ก็ไม่น่าลงทุนครับ ตอนคำนวณราคาจะนำมาใช้เปรียบเทียบดูกับราคาที่แท้จริงว่าสูงกว่าหรือไม่ ทั้งหมดที่ได้วิเคราะห์ไปนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่ดี เพียงแต่เป็นการคัดสรรเบื้องต้นว่า หุ้นตัวนี้สมควรแก่การลงรายละเอียดหรือไม่ สำหรับ ABC ผมประทับใจพอสมควรและตัดสินใจ ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียดครับ .................................................................................................................. จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 12:25:46

ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีวันพฤหัสฯคะ พรุ่งนี้ก็วันศุกร์แล้ว อิอิ มาดูต่อกันกับ LALIN คะ 8.P/E ณ ล่าสุดอยู่ที่ 5.86 ซึ่งเมื่อดูเปรียบเทียบกับที่ผ่านมา ค่อนข้างต่ำเลยคะ ผ่านไปอีกข้อ LALIN เอ๋ยยยย 9.P/BV ณ ล่าสุดอยู่ที่ 0.58 ว๊าววววว ปลื้มใจนัก ข้อนี้ก็ผ่านคะ *o* 10.อัตราส่วนเงินปันผล อยู่ราว ๆ  6 เปอร์เซ็นต์คะ อันนี้ขาหมู่ไม่ได้สนใจมาก ถือว่าปันผลกลาง ๆ นะคะ 11.ราคาล่าสุด 2.64 บาท เทียบกับที่ผ่านมาก็ไม่ได้สูงมากนะคะ ต้องลองประเมินราคาที่แท้จริงดูก่อน อิอิ สรุปว่า LALIN ผ่านการวิเคราะห์เบื้องต้นไปแบบสวยงามคะ ต่อไปจะวิเคราะห์อะไรต่อ ต้องรอติดตามคะ ^_^ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 12:26:28

ความคิดเห็นที่ 4 มาถึงคำถามของขาหมูอีกเช่นเคยคะ 1.P/E ยิ่งต่ำยิ่งดีก็ไม่ใช่ แล้วเท่าไหร่ถึงจะถือว่าดีคะ? 2.P/E สูงเราจะทราบได้อย่างไรว่า เป็นบริษัทที่เติบโตและควรลงทุนเพื่อคาดหวังผลในอนาคต? จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 12:27:36

ความคิดเห็นที่ 5 ตอบคำถามคุณขาหมูครับ ---- คุณขาไก่ซุปเปอร์ 1.P/E ยิ่งต่ำยิ่งดีก็ไม่ใช่ แล้วเท่าไหร่ถึงจะถือว่าดีคะ? ตอบ หากเป็นบริษัทกำลังเติบโต P/E จะสูงเกินกว่า 20 ขึ้นไป เนื่องจากหวังผลกำไรในอนาคต แต่สำหรับผมชอบหุ้นที่ P/E ต่ำ ยิ่งถ้า P/E ต่ำ ผลกำไรดี ยิ่งดีครับ ไม่มีตายตัวว่าเท่าไรดี แต่ให้เปรียบเทียบกับตัวบริษัทเองและบริษัทในกลุ่มเดียวกัน 2.P/E สูงเราจะทราบได้อย่างไรว่า เป็นบริษัทที่เติบโตและควรลงทุนเพื่อคาดหวังผลในอนาคต? ตอบ ให้ดูที่รายได้รวมและผลกำไรครับ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือไม่ หากนักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลกำไรในอนาคตได้อย่างน้อย 1 ปี จะทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ แม้ว่า P/E จะสูงก็ตาม ........................................................................... จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 12:28:30

ความคิดเห็นที่ 6 วันนี้ขาหมูมาซะบ่ายเลย เมื่อเช้านี้ตื่นสายคะ =_= พอมาทำงานก็งานใหญ่เข้าแต่เช้าเลย อาทิตย์นี้โหดมากเลยคะ งานรุมเร้าเต็มไปหมด -_-" จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 12:29:49

ความคิดเห็นที่ 7 อรุณสวัสดิ์ครับคุณขาหมู นึกว่างานประจำเยอะจนโดดงานพิเศษซะแล้ว อิอิ ทานข้าวด้วยนะครับ จากคุณ : รอสิ่งที่ดี เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 13:16:21

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนเที่ยงยังมีเวลาอัพเดทความรู้ให้เพื่อนๆ อีก แสดงว่า งานใหญ่ไม่คณามือคุณขาหมู จากคุณ : เตร็ดเตร่ เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 13:17:14

ความคิดเห็นที่ 9 ผมว่า lalin ไม่ค่อยดี(ความคิดเห็นส่วนตัว) เพราะ roe  roa ยังไม่ค่อยคงที่ ลุ่มๆดอน แต่ถ้าบริษัทสามารถรักษายอดแบบปีนี้ต่อไปได้เรื่อยซัก 1-2ปีบริษัทนี้จะน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะแสดงถึงความสามารถของบริษัทต่อคู่แข่งในตลาดได้ จากคุณ : emannigol เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 13:24:32

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามารับความรู้ครับ ติดตามมาทุกตอนเลย ชอบมาก ๆ จากคุณ : 9TonEos เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 13:34:25

ความคิดเห็นที่ 11 สวัสดีคะ คุณรอสิ่งที่ดี -- วันนี้มื้อเที่ยงที่บริษัทเป็นต้มจืดกระดูกหมูใส่หน่อไม้ และผะแนงหมู ไม่ถูกใจเลย กินได้นิดเดียว สงสัยจะผอมละ อิอิ สวัสดีคะ คุณเตร็ดเตร่ งานใหญ่ผ่านไปแล้วคะ ตอนนี้รอผู้ใหญ่สรุป เดี๋ยวคงมีมาอีก เหอะ เหอะ สวัสดีคะ คุณ emannigol ขอบคุณที่เข้ามาแชร์ความเห็นคะ จริง ๆ อยากให้เข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดกันเยอะ ๆ จะได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ กันคะ สวัสดีคะ คุณ 9TonEos ยินดีมากเลยคะ ^_^ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 13:58:49

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีครับ กลับมาตอบคุณขาหมูที่เคยถามว่าหลังจากลงทุนมา 1ปีรู้เรื่องถึงชั้นไหนแล้ว ชั้นนี้ยังผ่านได้ครับ แต่เริ่มติดๆบ้างแล้ว เริ่มกังวลแล้วครับว่าชั้น ป.4 ผ่านไปแล้ว ป.5 จะผ่านหรือเปล่า ^_^ จากคุณ : scp1234 เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 14:09:44

ความคิดเห็นที่ 13 ดีคับ คุณขาหมู........ จากคุณ : Miracle_X เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 14:40:39

ความคิดเห็นที่ 14 สวัสดีครับ มิน่าเมื่อเช้าไม่ได้เข้าห้องเรียน เลยหนีไปเที่ยว(โรงหมอ) ดีที่ไม่โดนนักเลงในชุดนักเรียนที่อื่นรังแก อิอิ ยังกลับมาเข้าห้องได้ทัน เอ. ชั่วโมงสุดท้ายของวันรึเปล่านี่ จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 14:54:43

ความคิดเห็นที่ 15 มารายงานตัว เข้าเรียนสายครับ หนีไปเดินห้างมา จากคุณ : ฒ.สุรา (sunsam) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 14:59:54

ความคิดเห็นที่ 16 สวัสดีคะ คุณ scp1234, คุณ Miracle_X, คุณ ฮะ ว่าไงนะ, คุณ ฒ.สุรา ไปไหนมาไหนระวังตัวกันด้วยนะคะ อย่าใส่ชุดนักเรียน นักศึกษาไปนะจ๊ะ แต่วัยนี้คงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะเนอะ หุ หุ หุ จากคุณ : ขาหมู (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 53 16:28:45

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาขอบคุณครับ จากคุณ : kakashi (SteamPower) เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 11:03:36

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณครับ แวะเข้ามาเรียนด้วยคนครับ :) จากคุณ : yos3000trip2story เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 53 15:16:47

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่ทราบว่าคุณขาหมูจะได้เห็นคำถามนี้และตอบหรือเปล่านะครับ จากที่คุณขาไก่ฯ บอกว่า "... 10.อัตราส่วนเงินปันผล อันนี้ก็ตามแต่ความชอบใจของแต่ละท่านครับ หุ้น ABC ผมก็ว่าปันผลน้อยไปหน่อย แค่ 2-3 เปอร์เซ็นต์ หากนักลงทุนที่จะลงทุนเพื่อรับเงินปันผลตัวนี้ไม่ผ่านเกณฑ์ แต่บางบริษัทก็มีนโยบายนำกำไรไปลงทุนเพิ่มแล้วจ่ายปันผลน้อย เป็นการต่อยอดธุรกิจ ทำให้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นตามการเติบโตของบริษัทได้เช่นกัน แต่เนื่องจากตัวนี้มีอัตราการทำกำไรดี ผมถือว่ามีแนวโน้มพอได้ สามารถชดเชยในส่วนเงินปันผลได้ครับ..." ผมสงสัยว่า ถ้าหากบริษัททำกำไรได้มาก เอาไปต่อยอดการเติบโตของบริษัท จ่ายปันผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แล้วอะไรจะมาชดเชยแทนเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นควรจะได้จากการทำกำไรครับ??? หรือว่าหากบริษัทนำกำไรที่ควรปันผลแก่ผู้ถือหุ้นไปต่อยอดเพื่อเติบโต ก็จะทำให้ราคาหุ้น (ทั้งในแง่ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น และมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด) ขึ้นครับ??? ถ้าเป็นกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัท (ทำกำไรได้มาก) ถูกนำไปต่อยอดและสะท้อนผลกำไรออกมาในรูปของราคาหุ้น สมมติว่าวันใดวันหนึ่งผู้ถือหุ้นต้องการกำไรนั้นออกมาในรูปของตัวเงินจริงๆ เขาไม่ต้องไปรับความเสี่ยงอีกครั้งหนึ่งจากการขายหุ้นในตลาดหรือครับ? หมายถึง การซื้อขายในตลาดบางทีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด มันก็ไม่ได้ไปทางเดียวกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี ใช่ป่ะครับ อย่างนี้นักลงทุนไม่ควรมองหุ้นที่เน้นการจ่ายเงินปันผลไม่ดีกว่าหรือครับ? หรืออาจจะนำเงินไปต่อยอดเพื่อเติบโตได้ แต่ก็เป็น low priority กว่าการจ่ายปันผล... หรือว่าแนวคิดทั้งสองแบบ (เน้นรับเงินปันผล ได้แน่นอน กับเน้นการเติบโตแต่ต้องไปเสี่ยงกับความผันผวนของราคาในเวลาที่ผู้ถือหุ้นต้องการแปลงผลกำไรเป็นตัวเงินจริงๆ ในเวลาขายหุ้น) เป็นสองสไตล์ให้นักลงทุนเลือกเดินครับ? ได้ทั้งสองแบบ? มีคำแนะนำเพิ่มเติมไหมครับว่า แบบไหนดีกว่ายังไง ความเสี่ยงอื่นๆ มีอะไรบ้าง? จากคุณ : Little Humming Bug เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 53 07:26:06

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบคุณ Little Humming Bug ครับ ผมเองก็เคยช่วงเวลาหนึ่งที่มีคำถามเช่นเดียวกับคูณ Little Humming Bug ครับ ผมของพูดถึงส่วนนี้แบบนี้ครับ โดยปกติแล้วถ้าไม่นับเรื่องการผันผวนของราคาหุ้น อันเนื่องมาจากจิตวิทยามวลชลของตลาด ปัจจัยที่จะทำให้ราคาหุ้นมากขึ้นนั้น มาจากการเติบโตของผลกำไรในปีนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าบริษัทไม่มีนโยบายลงทุนสินทรัพย์อย่างอื่นเพิ่มเติมกว่าที่เป็นอยู่ ขีดความสามารถในการทำกำไรก็จะเท่าเดิม ซึ่งทางคุณ Little Humming Bug สามารถดูพฤติกรรมเช่นนี้ได้จากหลาย ๆ บริษัท ที่อัตราการทำกำไรไม่มีการเติบโตขึ้นเลยหรือเติบโตน้อยมาก ส่งให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนมาไหนเท่าไร แต่ในทางกลับกันหากบริษัทที่มีการลงทุนเพิ่มเติม นักลงทุนสามารถคาดเดาการเติบโตของการทำกำไรของบริษัทในอนาคตได้ หากในอนาคตบริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้น จะส่งผลต่อราคาหุ้นที่จะสูงขึ้นเช่นเดียวกัน นักลงทุนต้องคอยประเมินการเติบโตของบริษัทอยู่ตลอดและสามารถตีมูลค่าที่แท้จริงในอนาคตได้ นักลงทุนก็จะสามารถเปรียบเทียบได้ว่าผลตอบแทนในรูปการเติบโตในอนาคตนั้นสามารถชดเชยเงินปันผลได้หรือไม่ ซึ่งถ้านักลงทุนประเมินแล้วว่าไม่คุ้มค่าก็เลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าครับ ตอบคำถาม "แล้วอะไรจะมาชดเชยแทนเงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นควรจะได้จากการทำกำไรครับ???" ตอบ -- ราคาในอนาคตที่นักลงทุนคาดการณ์โดยผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วว่าคุ้มค่ากว่าเงินปันผลที่จะได้รับ โดยราคาหุ้นในอนาคตอาจประเมินได้มากกว่าเงินปันผลที่จะได้รับหลายเท่าตัวนัก "หรือว่าหากบริษัทนำกำไรที่ควรปันผลแก่ผู้ถือหุ้นไปต่อยอดเพื่อเติบโต ก็จะทำให้ราคาหุ้น (ทั้งในแง่ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น และมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด) ขึ้นครับ???" ตอบ-- ไม่เสมอไปครับ การนำกำไรไปลงทุนเพิ่มเติม อาจไม่สามารถทำกำไรเพิ่มเติมในอนาคตก็เป็นได้ ทำให้ราคาหุ้นไม่ไหนมาไหนเช่นเดิมก็ได้ครับ ขึ้นอยู่กับการประเมินของนักลงทุนด้วย แต่สิ่งที่จะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ตัวเลขผลกำไรต่อหุ้นในแต่ละปีว่าเติบโตขึ้นหรือเท่าเดิมหรือแย่ลงครับ "ถ้าเป็นกรณีที่ผลการดำเนินงานของบริษัท (ทำกำไรได้มาก) ถูกนำไปต่อยอดและสะท้อนผลกำไรออกมาในรูปของราคาหุ้น สมมติว่าวันใดวันหนึ่งผู้ถือหุ้นต้องการกำไรนั้นออกมาในรูปของตัวเงินจริงๆ เขาไม่ต้องไปรับความเสี่ยงอีกครั้งหนึ่งจากการขายหุ้นในตลาดหรือครับ? หมายถึง การซื้อขายในตลาดบางทีมูลค่าหุ้นตามราคาตลาด มันก็ไม่ได้ไปทางเดียวกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี ใช่ป่ะครับ อย่างนี้นักลงทุนไม่ควรมองหุ้นที่เน้นการจ่ายเงินปันผลไม่ดีกว่าหรือครับ? หรืออาจจะนำเงินไปต่อยอดเพื่อเติบโตได้ แต่ก็เป็น low priority กว่าการจ่ายปันผล... ตอบ -- หากนักลงทุนตัดสินใจลงทุนในหุ้นที่ปันผลน้อยแต่ทำกำไรในอนาคตได้ เมื่อวันที่ผลกำไรส่งผลต่อราคาในอนาคต นั่นหมายถึงว่า ราคาหุ้นในอนาคตได้สูงขึ้นแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น นักลงทุนประเมินอีกครั้งว่า บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้อีกแล้ว นักลงทุนสามารถขายหุ้น ในราคาที่สูงกว่าเงินปันผลที่ควรได้ครับ หากนักลงทุนไม่มั่นใจในการประเมินผลกำไรในอนาคตของตนเอง นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในบริษัทที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอในเปอร์เซนต์ที่พอใจได้ครับ เพราะการคาดการณ์บริษัทที่มีการเติบโตในอนาคตนั้นจำเป็นต้องอาศัยพละกำลัง ความขยันและความอดทนสูงครับ และที่ขาดไม่ได้เลยคือประสบการณ์ของนักลงทุนเองครับ จากคุณ : ขาไก่ซุปเปอร์ (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 53 13:34:42

ความคิดเห็นที่ 21 ตอบคำถามต่อไปครับ "หรือว่าแนวคิดทั้งสองแบบ (เน้นรับเงินปันผล ได้แน่นอน กับเน้นการเติบโตแต่ต้องไปเสี่ยงกับความผันผวนของราคาในเวลาที่ผู้ถือหุ้นต้องการแปลงผลกำไรเป็นตัวเงินจริงๆ ในเวลาขายหุ้น)เป็นสองสไตล์ให้นักลงทุนเลือกเดินครับ?  " ตอบ -- ถูกต้องแล้วครับ นักลงทุนจำเป็นต้องประเมินออกมาเป็นตัวเงินให้ได้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดแล้วเลือกลงทุนในรูปแบบที่ให้ผลตอบแทนที่พอใจครับ "ได้ทั้งสองแบบ? มีคำแนะนำเพิ่มเติมไหมครับว่า แบบไหนดีกว่ายังไง ความเสี่ยงอื่นๆ มีอะไรบ้าง?" ตอบว่า ได้ทั้งสองแบบครับ ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของนักลงทุน โดยทั่วไปจะเรียกบุคลลทั้งสองประเภทนี้ว่า นักลงทุนเชิงรับ - เน้นรูปแบบการลงทุนที่ปลอดภัยและแน่นอน แต่จะได้ผลตอบแทนต่ำกว่านักลงทุนเชิงรุก นักลงทุนเชิงรุก - เน้นรูปแบบการลงทุนที่มุ่งหาผลตอบแทนในระดับสูง สิ่งที่ตามมาคือ ความเสี่ยงสูงตามไปด้วย ดังนั้นนักลงทุนประเภทนี้จึงต้องทำงานหนักกว่าเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ครับ ........................................................................................ จากคุณ : ขาไก่ซุปเปอร์ (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 53 13:43:44

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณทั้งคุณขาไก่ฯ และคุณขาหมูมากครับ แสดงว่าผมเข้าใจถูกแล้ว ขอสรุปให้ตัวเองฟังอีกครั้งว่า 1. เน้นดูปันผลเยอะๆ แสดงว่าต้องการความมั่นใจว่าผลกำไรจากการดำเนินงานออกมาเมื่อไหร่ ผู้ถือหุ้นต้องได้เป็นเงินออกมาเลย อุ่นใจ ฮ่าๆๆๆ 2. ไม่เน้นดูปันผล ยอมให้ปันผลน้อยแต่เน้นผลกำไร ถ้าเอาผลกำไรไปต่อยอดให้ธุรกิจเติบโต ราคาหุ้นในอนาคตก็จะขึ้นไปด้วย และน่าจะขึ้นในอัตราที่คิดกลับมาเป็นผลตอบแทนแล้วดีกว่าการเก็บกินเงินปันผล แต่ในเมื่อมีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน การต่อยอดอาจจะล้มเหลวก็ได้ ไม่มีใครรู้ high risk high return สุดท้ายครับอีกนิดส์นุงอย่าเพิ่งรำคาญครับ อย่างนี้มีโอกาสไหมครับว่า บ.ที่ไม่จ่ายเงินปันผล หรือจ่ายน้อยกว่าที่ควร ทั้งที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมมีผลกำไรงาม จะแค่ "อมเงิน" เอาไว้เฉยๆ หรืออาจจะหาทางยักย้ายถ่ายเท เล่นแร่แปรธาตุตกแต่งบัญชีจนเงินส่วนนั้นไม่ได้ตกสู่ผู้ถือหุ้น แต่ไปตกสู่ผู้บริหารหรือเฉพาะผู้ถือหุ้นใหญ่??? จากคุณ : Little Humming Bug เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 53 16:18:41

ความคิดเห็นที่ 23 สำหรับผมคงให้คำตอบเรื่อง มี หรือ ไม่มี ไม่ได้ เพราะเรื่องเกี่ยวกับการจ่าย ไม่จ่ายปันผล หรือจ่ายน้อยนั้น ต้องถือให้เป็นอำนาจนโยบายของทางทีมผู้บริหารครับ ทางผู้ถือหุ้นอาจแจ้งในตอนประชุมผู้ถือหุ้นได้ แต่ก็ต้องเคารพในการตัดสินใจของทางโน้นด้วย ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทางเราตั้งข้อสงสัยไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่ได้คาดหวัง ซึ่งถ้าผู้ถือหุ้นกังวลเกี่ยวกับว่าจะมีปัญหาเรื่องธรรมภิบาลหรือไม่นั้น ต้องขอบอกว่าเป็นหน้าที่ของทางผู้ถือหุ้นที่จะตรวจสอบบริษัทนั้นๆก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นครับ เพราะเงินเราอยู่กับเรา เรามีอิสระในการตัดสินใจคับ ถ้าไม่แน่ใจในตัวนี้ ก็สามารถหาตัวอื่นที่มั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไรแบบนี้ครับ จากคุณ : ขาไก่ซุปเปอร์ (Ooh 1234) เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 11:07:22