ความคิดเห็นที่ 1 Q: เค้าว่าตอนนี้บาทแข็งสุดตั้งแต่ต้มยำกุ้งเลยเหรอ? A: จริงครับ เราไม่เคยเห็นเงินบาทต่อดอลลาร์แข็งขึ้นขนาดนี้มาหลายปีแล้ว (ตั้งแต่วิกฤตปี 97 เลยครับ) เอาให้ชัวกว่านั้น ดูจาก NEER* ก้อจะพบว่า มันแข็งขึ้นมาจริงๆ ต่อเนื่องจากต้นปี  (แม้เดือนมิถุนายนแข็งกว่าปัจจุบันอีก แต่ตอนนั้น ยังไม่มีใครพูดถึง) *ดัชนีค่าเงินบาทครับ เป็นตัวที่บอกค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับหลายๆ สกุล ซึ่งจะให้ภาพค่าเงินได้ดีกว่า ดูเปรียบเทียบกับสกุลใดสกุลหนึ่งอย่างเดียว (เช่นดูเทียบกับดอลลาร์อย่างเดียว) เพราะค่าเงินบาทอาจจะแข็งเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่อ่อนเมื่อเทียบกับยูโรหรือเยนก้อได้ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:12:00

ความคิดเห็นที่ 2 Q: บาทที่แข็งขึ้นช่วงนี้เป็นเพราะอะไร? A: โดยสรุป เงินบาทที่แข็งขึ้นมาช่วงนี้ เป็นเพราะเงินไหลเข้าประเทศไทยเยอะมาก ทั้งจาก การส่งออกที่เติบโตต่อเนื่องเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งเงินทุนไหลเข้า ที่เข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตร ซึ่งผมมองว่า เงินที่ไหลเข้ามาลงทุนเนี่ยล่ะ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รูปแรก ตาราง Balance of Payment จะเห็นว่า การส่งออกยังเกินดุลต่อเนื่อง (ครึ่งปีแรก เกินดุลไปแล้ว 6.8 พันล้านดอลลาร์) และไม่ต่างกับปีก่อนๆ แต่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ คือ เงินทุนไหลเข้าที่เพิ่มขึ้นมาถึง 8.5 ในครึ่งปีแรก จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:12:47

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อดูไส้ใน จะเห็นว่ากลุ่มที่เพิ่มขึ้นมาคือ กลุ่ม non-bank ที่เพิ่มขึ้น 4. 2 ในครึ่งปีแรก ไล่ดูไส้ในลงไปอีก จะพบว่า เป็นเงินลงทุนทางตรง (FDI) และ Trade credit อย่างไรก็ดี สัญญาณสำคัญที่น่าสนใจคือ เงินลงทุนใน portfolio (เงินที่ไหลเข้ามาซื้อหุ้น ตราสารหนี้ อะไรพวกนี้อ่ะครับ) เริ่มกลับมาเป็นบวกแล้ว เมื่อดูข้อมูลเดือน ก.ค. จะพบว่า เงินลงทุนเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์สูงถึง 227 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เงินลงทุนในตราสารหนี้ก้อสูงถึง 146 ล้านดอลลาร์ นี่แค่เดือน ก.ค. เดือนเดียวนะครับ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ที่ตามตลาดหุ้น จะพบว่า เงินต่างชาติที่ซื้อหนักๆ น่าจะช่วงเร็วๆ นี้ ผมเลยเดาว่า ถ้าตัวเลขเดือน ส.ค. ออกมา เราน่าจะเห็นตัวเลขเงินลงทุนสูงกว่านี้อีก เงินเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:13:48

ความคิดเห็นที่ 4 Q: บาทแข็งนี่ มันดีหรือไม่ดีอย่างไรเหรอ? A: กระทู้เก่าตอบไปค่อนข้างละเอียดแล้วนะครับ อย่างไรก้อดี โดยสรุป เงินบาทที่แข็งขึ้นนั้น ส่งผลเสียต่อผู้ส่งออก เนื่องจากรายได้ในรูปเงินบาทจะลดลง แม้รายได้ในรูปเงินดอลลาร์จะเท่าเดิม ส่วนคนที่ได้ประโยชน์ ก้อผู้นำเข้าทั้งหลาย เช่น เราๆ ท่านๆ ที่ใช้น้ำมันกันทุกวัน (วานซืน ผมเพิ่งสั่งของแต่งรถจากอเมริกามา เงินบาทที่แข็งขึ้น ช่วยประหยัดไปหลายบาทอยู่ ^^ ) แต่ถ้าจะถามว่า โดยรวมแล้ว เงินบาทที่แข็งเนี่ย ส่งผลเสียหรือผลดี ต่อประเทศไทยมากกว่ากัน อันนี้ตอบยากครับ และคิดว่า ในโลกนี้ ก้อไม่มีใครรู้แน่นอนหรอกครับ ^^" อย่างไรก้อดี ต้องยอมรับ การส่งออกมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยมาก และเราต้องพึ่งพิงการส่งออกไปอีกนานแสนนาน เพราะเศรษฐกิจในประเทศเราไม่ใหญ่พอที่จะรองรับภาคการผลิตได้ ยกตัวอย่างเช่น เดือนๆ หนึ่ง เราผลิต Hard Disk Drive เป็นล้านๆ ชิ้น ถามว่า คนไทยเดือนหนึ่งซื้อ Hard Disk Drive กันถึงล้านชิ้นไหม? ถ้าไม่ถึง ถ้าผู้ผลิตจะผลิตแค่ขายในประเทศเพียงอย่างเดียว ก้อต้องลดปริมาณการผลิตลงมา การลดการผลิตนั่นหมายถึงต้นทุนต่อหน่วยเค้าต้องสูงขึ้น และกำไรเค้าต้องลดลง (ทั้งจากต้นทุนที่สูงขึ้น และยอดขายที่ลดลง) สุดท้าย เค้าก้ออยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงยังต้องพึ่งพิงรายได้จากการส่งออกต่อไป และก้อต้องยอมรับว่า ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเวลาเค้าตกลงราคากัน เค้าตกลงกันเป็นดอลลาร์ ไม่ว่าจะซื้อสินค้าจากประเทศไหนก้อตาม อย่างไรก้อตาม บางครั้งก้อต้องเข้าใจว่า จะบังคับให้ค่าเงินบาทมันเคลื่อนไหวตามใจเราไม่ได้ คนที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินบาท (ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้า ผู้ส่งออก) ควรวางแผน เตรียมความพร้อมรองรับ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่ไม่เป็นใจด้วย ขณะเดียวกัน ภาครัฐก้อต้องป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาทเคลื่อไหวผันผวน หรือเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะผู้ส่งออกเค้าอาจเตรียมตัวไม่ทัน อีกทั้งต้องป้องกันไม่ให้มีการเก็งกำไรในตลาดเงินด้วย และปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ สอคคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ถ้าทำได้ ผมว่า ประเทศเราไปได้ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:14:06

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่มเติมครับ: ดูรูปประกอบความเห็นนี้ได้ที่ คห.52 และ 53 ครับ มึนไปหน่อย ลืมทำรูป (-_-")a Q: คำถามเศรษฐี ค่าเงินบาทในระยะต่อไปจะเป็นอย่างไร? A: ไม่ทราบครับ (ไม่ฮา) ^^" ถ้ารู้ล่ะ รวยไปแล้ว (ใช่ไหมครับเฮียเอนโด ^^" ) อย่างไรก้อดี จากรูปคุณจะเห็นว่า ศก.ในเอเชีย เติบโตดีกว่าพวกเศรษฐกิจของพวก สหรัฐฯและยุโรปมาก และส่วนตัวอัตราดอกเบี้ยระหว่างเอเชียกับ G4 ก็มีแนวโน้มจะห่างออกไปเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะทำให้เงินทุนไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย (แน่นอนว่า รวมทั้งไทย) อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ผมยังมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ รวมถึงต้นปีหน้า น่าจะยังคงอ่อนแอครับ การจ้างงานยังไม่ดีขึ้นเลย เช่นเดียวกับภาคอสังหา ปัจจัยเหล่านี้ น่าจะกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่องในระยะต่อไปครับ ส่วนบาทจะแข็งขึ้นหรือไม่นั้น ไม่ทราบครับ มันมีหลายปัจจัยกว่านั้นเยอะ ;) แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 53 22:11:07 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:14:24

ความคิดเห็นที่ 6 Q: จบเรื่องค่าเงินบาท แล้วมีอะไรมาเม้าเหรอ? A: เรื่องแรกครับ ผมฮาตัวเองจริงๆ นะที่ไปค้นกระทู้เก่าๆ แล้วเจอ กระทู้ที่ว่าไว้ตอนหัวเรื่อง ยิ่งฮาเข้าไปอีก เมื่อมานั่งอ่านดู พบว่า กระทู้นั่นนะ ถ้าอัพเดทตัวเลขให้เป็นปัจจุบัน แทบจะเอามาโพสวันนี้ได้เลย เหตุการณ์เหมือนกันเปี๊ยบบ รู้จักคำว่า "This time is different" syndrome ไหมครับ? This time is different (ขอย่อว่า TTID นะครับ) เป็นคำศัพท์ดังมากในช่วงปีสองปีนี้ ถูกคิดค้นโดย Reinhart และ Rogoff *  ซึ่งเค้าศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลกในช่วง 800 ปีที่ผ่านมา พบว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้น รูปแบบการเกิด จุดเริ่มต้น จุดจบ อะไรเนี่ย ไม่ได้แตกต่างกันเลย แบบเดาได้เลยว่า วิกฤตมันจะเริ่มจากอันนี้นะ แล้วพัฒนาไปเป็นอันนี้ และจบแบบนี้ บลาๆๆ แต่นักเศรษฐศาสตร์และ policy maker บางท่าน มักจะคิดว่า TTID คือ จะไม่ค่อยยอมเชื่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ จะพัฒนาเป็นวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนในอดีต เช่น มักเชื่อว่า โลกพัฒนาไปเยอะแล้ว เรามีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น บลาๆๆ แต่สุดท้าย ก้อเห็นเจ๊งเหมือนเดิม ^^" เค้าเลยเรียกอาการแบบนี้ว่า TTID syndrome ;) จะว่าไป อาการแบบนี้ เราจะเห็นได้เรื่อยๆ ในทุกวงการเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจทั่วๆ ไป ค่าเงินบาท หรือแม้แต่ในตลาดหุ้น เราจะเห็นหุ้นมันขึ้นไปเรื่อยๆ นักวิเคราะห์ก้อจะปรับเป้าไปเรื่อยๆ คนเริ่มเข้ามาเล่นหุ้นมากขึ้น พอหุ้นหมดรอบ ตกลงมา คนขาดทุนกันเยอะแยะ ออกจากตลาดไป หุ้นนิ่งๆ ไม่มีใครสนใจ และค่อยๆ เริ่มขึ้นมาใหม่ เป็นวัฏจักรแบบนี้สืบไป ;) ถ้าท่านคิดว่า เฮ้ย ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิมหรอกน่า งวดนี้ เรา PE ยังต่ำ ต่างชาติเพิ่งเข้ามา บลาๆๆ คุณอาจจะถูกก้อได้นะครับ แต่อย่าเชื่อมั่นมากว่า This time is different ครับ ;) paper นี้ครับ --> http://citeseerx.ist.psu.edu/viewdoc/download?doi=10.1.1.156.3561&rep=rep1&type=pdf เค้ามีหนังสือเขียนออกมาด้วยนะครับ ชื่อเดียวกันเนี่ยล่ะ http://www.amazon.com/This-Time-Different-Centuries-Financial/dp/0691142165 ใครสนใจลองหาอ่านดูครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:15:05

ความคิดเห็นที่ 7 Q: ขอวกกลับไปค่าเงินบาทหน่อย ทำไมเราไม่ fix ค่าเงิน เหมือนชาวบ้าน ชาวช่องล่ะ? A: อันนี้มีคนเสนอมาเรื่อยๆ และผมก้อยินดีที่จะตอบเรื่อยๆ เหมือนกันครับ ;) แต่วันนี้จะขอตอบแนวทฤษฎีหน่อย ดีไหมครับ จะได้ดูวิชาเกินกะเค้ามั่ง ^^" รู้จักทฤษฎีที่ชื่อว่า "Impossible Trinity" ไหมครับ Impossible Trinity เป็นทฤษฎีที่บอกว่า ประเทศๆ หนึ่งจะเลือกเป้าหมายทางเศรษฐกิจ 3 ข้อนี้ ได้เพียง 2 ข้อเท่านั้น เป้าหมาย 3 ข้อที่ว่านี้คือ 1. ปล่อยให้เงินไหลเข้า ไหลออกเสรี (Free Capital Flow) 2. fix ค่าเงิน (Fixed Exchange Rate) 3. ความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน (Independent Monetary Policy) สมมติว่ามีประเทศหนึ่ง ต้องการจะดำรงไว้ทั้ง 3 ข้อ อะไรจะเกิดขึ้นมาดูกัน ;) สมมติว่าประเทศจีน fix ค่าเงินไว้ที่ค่าๆ หนึ่ง และปล่อยให้เงินไหลเข้า/ออกโดยเสรี และมีอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ค่าๆ หนึ่ง ต่อมา เศรษฐกิจเกิดตกต่ำ จีนต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินต้องทำอย่างไรครับ? ถูกต้องครับ เค้าก้อลดดอกเบี้ยแค่นั้นเอง อย่างไรก้อตาม การลดดอกเบี้ย จะส่งผลให้ คนไม่อยากถือเงินหยวน (เพราะได้ดอกเบี้ยต่ำ) และพากันขายหยวนไปซื้อดอลลาร์ (เพราะได้ดอกเบี้ยสูงกว่า) ถ้าไม่มีคนมาซื้อหยวน ค่าเงินหยวนต้องอ่อนลงจริงไหมครับ หรือถ้าจะ fix หยวนไว้ให้ได้ ธนาคารกลางต้องเข้าไปซื้อหยวนแทน การเข้าไปซื้อหยวนได้ ต้องมีดอลลาร์ ใช่ไหมครับ ซึ่งจีนผลิตดอลลาร์เองไม่ได้ อาจจะเข้าไปซื้อได้ในระยะสั้นๆ แต่วันหนึ่งพอดอลลาร์หมด เค้าก้อตาย สุดท้ายก้อต้องยอมปล่อยค่าเงินลอยตัว (ไม่ก้อเพิ่มดอกเบี้ยให้เท่ากับดอลลาร์) ประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่จะเลือกความเป็นอิสระของนโยบายการเงินและการไหลเข้าออกของเงินทุนครับ และจะปล่อยให้ค่าเงินเปลี่ยนแปลงอย่างเสรี ขณะที่ประเทศบางประเทศ อาจจะคิดว่า ผู้ประกอบในประเทศยังไม่พร้อมที่จะรองรับความผันผวนของค่าเงิน จึงเลือกที่จะ fix ค่าเงินไว้ก่อน และอาจจะควบคุมการไหลเข้าไหลออกของเงิน (อย่างจีน) หรืออาจจะยอมสูญเสียความเป็นอิสระของนโยบายการเงิน (อย่างฮ่องกง สิงคโปร์) แล้วประเทศไทยล่ะ ทำไมไม่ fix ถ้าตอบตามทฤษฎี ก้อต้องบอกว่า เราเลือกที่จะมีความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน (กล่าวคือ ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในยามจำเป็น) และปล่อยให้เงินไหลเข้าออกอย่างอิสระครับ เราเลยต้องยอมปล่อยค่าเงินให้เคลื่อนไหวเสรี จริงๆ ถ้าเราต้องการ fix ค่าเงินก้อทำได้ครับ แต่เราต้องเลือกว่า เราจะยอม give up อะไร ระหว่าง ความเป็นอิสระของนโยบายการเงิน หรือไหลเข้าออกของเงินอย่างเสรี ซึ่งมันไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลยใช่ไหมครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:15:43

ความคิดเห็นที่ 8 ลืมรูป T-T จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:16:03

ความคิดเห็นที่ 9 จบแล้วครับ ไม่ทราบจะเขียนอะไรต่อแล้ว สั้นดีมะครับ (ก้อกระทู้เก่า เขียนไปหมดแล้วอ่าา) ความจริงข้างต้น เขียนไปงั้นๆ ล่ะครับ แต่อยากจะให้เป็นตัวเปิดฟอร์มากกว่า ทีนี้ ใครมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับค่าเงินบาท อยากเม้า เชิญเลยครับ ถ้าตอบได้ จะตอบให้ครับ ;) เอ้า คุณ คห.10 ว่าไงครับ ;) v v v จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:18:14

ความคิดเห็นที่ 10 ดีครับ ขอบคุณครับ ถาม; ถ้าจะซื้อเงินดอลล่าตุนไว้ตอนนี้ดีไหมครับ เผื่อไปเรียนต่างประเทศ จากคุณ : จูล่งฝ่าทัพ_รับอาเต๊า เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 01:29:20

ความคิดเห็นที่ 11 คิดว่าเป็นระยะสั้นครับ ความแข็งค่าตอนนี้เหมือนโบนัส สำหรับกลุ่มนำเข้า ฉวยโอกาสนี้ไว้ก็ได้ตัวเลขไม่น้อยเลย ข้อมูลละเอียดดีครับ ขอบคุณที่แบ่งปันจ้า จากคุณ : ZaTaN_KruZZ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 02:16:44

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ กระทู้คุณค่า ต้องโหวตๆ สำหรับผม ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ที่บาทแข็งเพราะดีมานด์มากกว่าซัพพลาย ส่วนสาเหตุจะมาจากอะไร ปล่อยให้นักเศรษฐศาสตร์ไปหามาให้แทน ^^ เพราะผมเชื่อว่า ราคามาก่อน คำอธิบายตามหลัง คำอธิบายจะแปรผันตามราคา (หลังจากเหตุการณ์เกิดจนฝุ่นจางแล้ว จนมีคำล้อเลียนว่านักเศรษฐศาสตร์ถูกเสมอ  เพราะอธิบายหลังมันเกิดไปแล้ว) เรื่องเปเปอร์This time is different น่าสนใจครับ แต่ใครช่วยผมแปลที ตั้ง124หน้า T-T เคยอ่านหนังสือของเฟเบอร์น่าจะใกล้เคียงกัน หรือว่ามีความใกล้เคียงกับทฤษฏีวัฏจักรทางเศรษฐกิจหรือเปล่าครับคุณ m_ple (เพราะพื้นฐานความคิดของผมมาทางแนวๆนี้ จะได้กัดฟันอ่านT-T) (@_@) จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 02:48:22

ความคิดเห็นที่ 13 โหวตด้วยๆ จากคุณ : ขอบฟ้าบูรพา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 02:49:55

ความคิดเห็นที่ 14 โหวตครับ จากคุณ : jinpin เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 05:28:35

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าไม่มีปัญหาการเมืองเกิดขึ้น ครังนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน ถ้าให้เลือกถือ Baht กับ Dollar คุณจะเลือกถืออะไร การพิมพ์เงินออกมามาก Dollar ย่อมด้อยค่าเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้ันต้องไม่ถือ Dollar แต่จะไปถืออะไรนั้น ??????? จากคุณ : casper_eng เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 05:48:44

ความคิดเห็นที่ 16 โหวต ใหญ่ไม่ต้องประกาศ จากคุณ : rchai เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 05:58:21

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 53 06:06:27 จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 06:06:09

ความคิดเห็นที่ 18 ปี 97-98 มีเงิน US$ ในรูปของ Traveler's cheques ถือเข้ามาเมืองไทยอยู่จำนวนหนึ่ง ตอนนั้นไม่ได้แปลงเป็นเงินบาทในทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทย เนื่องจากคิดว่าค่าเงินบาทกำลังอ่อนและถ้าคอยอีกสักพักอาจจะได้กำไรมากขึ้น ถือไปถือมาค่าเงินค่อย ๆ แข็งขึ้นจนคิดว่าจะถือไปเรื่อย ๆ เผื่อว่าค่าเงินจะกลับมาอ่อนอีก หรือมิเช่นนั้นถือไปจนกว่าอนาคตที่ต้องใช้เงิน US$ แน่ ๆ ซึ่งถ้าตอนนั้นค่าเงินอ่อนมาก ก็จะไม่ต้องไปซื้อเงิน US$ ในราคาแพง ถือจนกระทั่งประมาณปี 2007 ทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีประกาศ ให้คนไทยสามารถเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit)ได้ จึงนำ Traveler's Cheques ที่มีอยู่ไปเปิดบัญชีฝากประจำรายปี โดยได้ดอกเบี้ยประจำปีดังนี้ ปี 2007 ดอกเบี้ย 4% ปี 2008 ดอกเบี้ย 1.5% ปี 2009 ดอกเบี้ย 0.75% ปี 2010 ดอกเบี้ย 0.80% ปีนี้เดือนสิงหาคม 2010 ได้มีโอกาสใช้เงิน US$ บางส่วนตามที่คาดการณ์ไว้แล้ว ส่วนที่เหลือก็ยังคงฝากต่อด้วยดอกเบี้ย 0.80% แต่การถือเงิน US$ ตั้งแต่ปี 1997-2007 โดยไม่มีดอกเบี้ย และการได้ดอกเบี้ยจำนวนลดลงในปี 2008-2010 กับค่าเงินที่แข็งขึ้นจากปี 1997 จนถึงปัจจุบัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้นทำให้สูญเสียรายได้ไปเท่าไร??? นับเป็นการคาดการณ์และการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากใช่ไหมคะ?? อยากจะให้คุณ m_ple จขกท ช่วยคำนวณ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์กรณีตัวอย่างข้างต้นให้เห็นภาพชัด ๆ ด้วยค่ะ ตำหนิติเตียนได้เต็มที่ค่ะ แต่ขออย่างเดียว... อย่าหาว่า "โง่" หรือ "โลภมาก ลาภหาย" เลยนะคะ!!!           จากคุณ : ยากแท้หยั่งถึง เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 06:35:52

ความคิดเห็นที่ 19 ลองอ่านดูตรงนี้ไหม แล้วจะรู้สึกว่าทำไมผมถึงมองเงินดอลล์แบบไร้ค่า วันโลกาวินาศแห่งศก.สหรัฐฯ จะได้เห็นกันในเร็ววันแน่นอน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2553 20:40 น.       เอเอฟพี - ระบบเศรษฐกิจรายใหญ่โตที่สุดของโลก ซึ่งก็คือสหรัฐอเมริกา ได้ตกต่ำลงสู่ขอบเหวแห่งการล่มสลายแล้ว เพราะถูกบีบคั้นรอบด้านด้วยปัญหาการว่างงานและปัญหาหนี้ภาครัฐที่ควงสว่านลง สู่ก้นบึ้งของอเวจี เสียงเตือนในประการนี้จากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ค่ายต่างๆ นับวันแต่จะสะท้อนก้องกังวานไปทั่ววงการ             อาทิ กูรูคนดังอย่าง นูรีล รูบินี ผู้เป็นนักเศรษฐศาสตร์คนแรกๆ ที่เตือนถึงหายนะแห่งวิกฤตตลาดหนี้สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์กลุ่มซับไพรม์ ตลอดจนเตือนว่าภาวะฟองสบู่ในตลาดบ้านที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ จะแตกสลายอย่างแน่นอน             เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา รูบินีกล่าวต่อที่ประชุมทางเศรษฐกิจในอิตาลีว่า “สหรัฐฯ นั้น ใช้บุญเก่าหมดแล้ว หากเกิดแรงกระแทกช็อกเข้าไปครั้งใด จะสามารถดึงสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะถดถอยได้”             ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์อื่นๆ ที่อาจไม่ได้เป็นข่าวบ่อยเท่ารูบินี ก็พากันเรียงหน้าเทกันมาในข้างที่เห็นนิมิตอันตรายในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายในอนาคตอันใกล้นี้             ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยบอสตัน ลอเรนซ์ คอตลิคอฟฟ์ ซึ่งเตือนไว้นานมากแล้วตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ว่าให้ระวังอันตรายจากการเดินนโยบายสาธารณะแบบขาดดุล ได้ออกมาย้ำอีกครั้งถึงลางมรณะของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยกล่าวไว้ในสิ่งพิมพ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คือ นิตยสาร F&D Finance & Development Magazine ฉบับเดือนกันยายน 2010 ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว             โดยมีการนำเสนอภาพการปะทะกันทางเศรษฐกิจระหว่างสองมหาอำนาจของโลก คือ สหรัฐฯ กับจีน ประเทศซึ่งถือพันธบัตรกระทรวงการคลังอเมริกันไว้มากกว่า 843,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ท่านศาสตราจารย์ชี้ประเด็นว่า             ความขัดแย้งด้านการค้าอันเป็นประเด็นเล็กๆ ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อาจทำให้คนบางกลุ่มคิดว่า คนอื่นๆ อาจตัดสินใจเทขายระบายความเสี่ยงในการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และเมื่อความเชื่ออย่างนั้นถูกสำทับด้วยความวิตกในภาวะเงินเฟ้อ ย่อมอาจนำไปสู่การแตกตื่นเทกระจาดขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับส่งผลไปกระตุ้นให้สาธารณชนผวาถึงเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจ และโกลาหลกันไปถอนเงินฝากออกจากธนาคาร เพื่อไปซื้อสินทรัพย์ที่คงทนกว่า             สิ่งที่ตามมาคือ การจุดชนวนให้เกิดภาวะสภาพคล่องฝืดเคืองรุนแรงในแวดวงของบรรดาธนาคารพาณิชย์ และตลาดเงิน ตลอดจนบริษัทประกันภัยทั้งปวงเพราะผู้ถือกรมธรรม์ขอไถ่ถอนเพื่อหาความ ปลอดภัยให้ตนเอง             “ในระยะเวลาเพียงสั้นแบบนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ย่อมต้องออกธนบัตรเพิ่มขึ้นมาหลายล้านล้านดอลลาร์ เพื่อแก้ปัญหาและสร้างหลักประกัน แล้วเงินใหม่เหล่านั้นย่อมจะทวีความรุนแรงของปัญหาเงินเฟ้อ จนอาจทำให้ถึงขึ้นไฮเปอร์” ศ.คอตลิคอฟฟ์เขียนเตือน             ด้านสถาบัน StrategyOne Institute รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10) ในเรื่องผลการสำรวจความวิตกต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบใหม่ พบว่าชาวอเมริกัน 65% เชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นแน่             เดวิด บรูกส์ ผู้เขียนบทนำของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ นำเสนอไว้ว่า             “เป็นความจริงที่ว่า ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นปัญหาระดับโครงสร้าง มิใช่ปัญหาชั่วคราวที่มาๆ ไปๆ ตามวงจรขึ้นลง”             นอกจากนั้น บรูกส์ชี้ว่า สหรัฐฯ ทยอยสูญเสียพลังการครอบงำโลก ในลักษณะที่คล้ายมากกับตอนที่อาณาจักรอังกฤษเริ่มเสื่อมสลายเมื่อกว่าหนึ่ง ศตวรรษที่ผ่านมา             “เราอยู่ในท่ามกลางการฟื้นตัวของปัญหาว่างงานรอบใหม่ ความยากลำบากในตลาดแรงงานของเรานั้นลึกซึ้งและตึงตัวมาก” บรูกส์ระบุไว้อย่างนั้น             ในเวลาเดียวกัน จอมกูรูคนดังระดับโลกอย่างพอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ แสดงความกังวลถึงชะตากรรมย่ำแย่ที่จะเกิดขึ้นกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของ สหรัฐฯ ที่ขณะนี้ยังเปราะบางมาก โดยเตือนไม่ให้ประชาชนวิ่งกลับไปดึงพรรครีพับลิกันได้กลับสู่อำนาจ             “ยากที่จะบอกได้ว่ามันจะเสียหายรุนแรงเพียงใดกับความคิดที่เสนอเมื่อ ต้นสัปดาห์นี้โดย จอห์น โบห์เนอร์ ผู้นำเสียข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ ถ้าแนวคิดดังกล่าวถูกนำไปดำเนินการจริง” ครุกแมนเขียนไว้ในบทบรรณาธิการเมื่อเร็วๆ นี้ โดยฟันธงด้วยว่า             “มันคือการที่ปริมาณงานน้อยลงผนวกดับการขาดดุลที่มหาศาลมากขึ้น - ช่างเป็นการผสมผสานที่ลงตัวสมบูรณ์เหลือเกิน”             ส่วนหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ซึ่งปกติจะเชียร์ข้อเรียกร้องของโบห์เนอร์ในเรื่องหั่นภาษี กลับนำเสนอบทวิจารณ์เขียนโดย เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลอีกผู้หนึ่ง ที่พูดฟันธงว่า “ข้อเท็จจริงนี้จำเป็นที่เราจะต้องกล้าเข้าไปเผชิญ นั่นคือ แทบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเราจะถูกตีกระหน่ำอย่างยาวนาน”             และไอเอ็มเอฟเอกก็ส่งเสียงเตือนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเช่นกันว่า หนี้ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงอย่างเหลือเกิน ประกอบกับภาคการเงินที่สั่นคลอน กำลังคุกคามว่าจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ล้มเหลว             “การยึดจำนองและขายทอดตลาดสินทรัพย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ นั้น นับว่ามหาศาลและขยายขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงของการให้ยกเว้นภาษีแก่ผู้ซื้อได้หมดรอบลง สิ่งนี้อาจยิ่งซ้ำเติมสภาพย่ำแย่ในด้านของระดับราคาอสังหาริมทรัพย์สาหัสมาก ยิ่งๆ ขึ้นไป” ไอเอ็มเอฟร้องเตือนไว้อย่างนั้น จากคุณ : ฮะ ว่าไงนะ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 06:45:47

ความคิดเห็นที่ 20 ได้อ่านบทความข้างต้นของคุณ ฮะว่าไงนะ แล้วยิ่งทำให้ใจหายมากขึ้น หรือว่าเงิน US$ ก้อนน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ในบัญชีจะกลายเป็นแบ็งค์กงเต็กในเร็ว ๆ นี้แล้ว??? แล้วถ้านำไปแปลงเป็นเงินบาทตอนนี้จะไม่ยิ่งเข้าตำรา "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" หรือ??? จากคุณ : ยากแท้หยั่งถึง เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 06:56:26

ความคิดเห็นที่ 21 บทความให้ความรู้ดีครับ โหวตให้แล้วครับ  ^ ^ จากคุณ : รัตนาธิเบต เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 07:48:41

ความคิดเห็นที่ 22 ... จากคุณ : pisity เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 08:04:36

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ.. จากคุณ : Pogio เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 08:16:52

ความคิดเห็นที่ 24 ยังไม่ว่างอ่านแต่ลงชื่อก่อนเลย กระทู้พี่ m_ple สาระเน้นๆแต่เข้าใจง่าย ไม่พลาดแน่รอว่างเเล้วจะมาอ่านครับ จากคุณ : Cantaloupe Addict เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 08:20:53

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ  ^ ^ จากคุณ : ชาวดอยคอยผ้าห่ม เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 08:36:19

ความคิดเห็นที่ 26 ขอเวลาย่อยหน่อย ยาวจริงๆ จากคุณ : Pu121 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 08:52:40

ความคิดเห็นที่ 27 สอบถามพี่ๆเพิ่มหน่อยครับ ต้องเรียนก่อนว่าผมไม่ค่อยเข้าใจอะไรแนวนี้เท่าไหร่ คำถามอาจจะดูโง่ๆๆหน่อยนะครับ -_-'' เรื่องค่าเงินแข็ง ผลเสียหลักๆคือกระทบส่งออกใช่ไหมครับ แต่ส่งออกเราควรจะดูค่าเงินของประเทศที่เป็นคู่แข่งเรามากกว่าหรือเปล่าคครับ จากข่าวเท่าที่เห็นเหมือนเทียบกับ US $  ตลอด แต่เห็นบางที่ก็บอกว่าแข้งขึ้นทั้งภูมิภาค แบบนี้ประเทศคู่แข่งเราก็แข็งขึ้นเช่นกัน ก็ไม่น่ากระทบการส่งออกมาก เพราะราคาสินค้าชนิดเดียวกันก็มีแนวโน้มแพงขึ้นเหมือนกัน เอ่อ ผมเขียนงงไหมครับ จากคุณ : +One Side Love+ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 09:00:06

ความคิดเห็นที่ 28 อะโหยย ได้ความรู้เยอะมากๆครับสำหรับผม ขอบคุณมากครับ โหวตแล้วนะครับ จากคุณ : กอล์ฟจ๋า17 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 09:07:36

ความคิดเห็นที่ 29 การส่งออกของไทยตอนนี้ เราส่งไปอาเซียนและทางเอเชีย ซึ่งค่าเงินก็แข็งขึ้นเหมือนๆกับเรา เพียงแต่เป็นเงินยูเอส ถึงเวลาที่จะเอาไอเดียเรื่องเอเชียบอนด์มาปัดฝุ่นใหม่หรือยัง จากคุณ : จอหงวนใหม่ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 09:41:04

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบพระคุณมากครับ  ยังเขียนได้เข้าใจง่ายเหมือนเดิม จากคุณ : ettexo[R] เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 09:41:15

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณครับ สำหรับความรู้ ต้องค่อยๆอ่านครับ. จากคุณ : 826 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 10:33:21

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณสำหรับดีๆนะค่ะ จากคุณ : Kokoro yori เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 10:54:46

ความคิดเห็นที่ 33 แล้ว ธปท. จะแทรกแซงค่าเงิน จนประเทศล่มจม อีกหรือเปล่า จากคุณ : zaffer เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 11:13:29

ความคิดเห็นที่ 34 คห.33 ครับ ไม่อยากให้เปรียบเทียบกับวิกฤตคราวก่อน เพราะคราวที่แล้วค่าเงินไม่ได้ลอยตัวแบบทุกวันนี้ ถ้าไม่แทรกแซงเลยสิจะมีปัญหา เงินแข็งได้แต่ไม่ควรเร็วขนาดนี้ แข็ง 1 บาทต่อไตรมาสนี่ยังพอปรับเปลี่ยนกันทัน แต่ 1 บาทต่อเดือนนี่ สงสารคนส่งออกครับ จากคุณ : พันธุ์ทางหางเทา เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 11:46:04

ความคิดเห็นที่ 35 คราวนี้ ผมคงไม่ตอบทีเดียวทั้งหมดนะครับ แต่จะค่อยๆ ทยอยๆ ตอบไปเรื่อยๆ (อยากให้กระทู้มัน dynamic หน่อย ^^" ) อันไหนตอบง่าย ก้อตอบเร็วหน่อย อันไหนตอบยาก ต้องรอหลังเลิกงานนะครับ ;) คห.10 คุณจูล่งฝ่าทัพ_รับอาเต๊า ผมไม่แนะนำให้รายย่อยซื้อเงินสกุลต่างประเทศไว้เก็งกำไรทุกกรณีครับ เหตุผลคือ 1) เราไม่รู้แน่นอนหรอกครับ ว่าทิศทางค่าเงินจะเป็นอย่างไร มันเหมือนการพนันเปล่าๆ 2) การถือเงินสกุลต่างประเทศมีข้อด้อยอยู่ตรงที่ว่า เราไม่ได้ดอกเบี้ยครับ (อย่างน้อยคุณถือเงินบาท ก้อเอาไปฝากธนาคารได้) แต่ถ้าคุณมั่นใจว่า ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นสูงกว่าผลตอบแทนจากการถือเงินบาท (เอาเงินบาทไปฝากธนาคารหรือไปซื้อ Bland ^^" ) ก้อลุยเลยครับ ;) ลองดูตัวอย่างจากคุณ ยากแท้หยั่งถึง  คห.18 สิครับ เห็นภาพชัดเจนทีเดียว ;) ว่าแต่คุณยากแท้หยั่งถึงครับ ของแบบนี้ มันไม่มีใครรู้แน่นอนหรอกครับ ผิดเป็นครูครับ ;) คห.12 คุณขอบฟ้าบูรพา paper อันนี้ เหมือนเรื่องเล่ามากกว่าครับ (discriptve paper) คือ แบบเล่าไปว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมามั่ง ถ้าคุณไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์แบบโบราณกาล อ่านแค่ abstract ก้อพอครับ (ผมอ่านแค่นั้นเหมือนกัน ฮา) วันๆ มีเปเปอร์ออกเป็นสิบฉบับ ใครจะมานั่งอ่านทุกตัวอักษรได้หมด T-T เรื่องค่าเงิน USD เดี๋ยวคืนนี้จะมาเล่านิทานเรื่อง ตั๊กแตนกับมดให้ฟังครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 13:20:07

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ จากคุณ : ประชาชนคนเดินดิน เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 13:21:24

ความคิดเห็นที่ 37 ปล่อยหมัดไม่เยอะ แต่ว่า แต่ละหมัดนี่ถึงกับซี่โครงหัก ^^ ขอบคุณนะครับ จากคุณ : zylinz เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 13:43:59

ความคิดเห็นที่ 38 ร่วมลงชื่อ ติดตามครับ จากคุณ : NutzGuru เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 13:50:02

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณมากๆครับ  เฟมือนจะฉลาดขึ้นอีกนิดเลยเรา จากคุณ : ภูมิทัศน์ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 14:14:45

ความคิดเห็นที่ 40 หึหึ ............. Contradicting Theory .... Just like the rumor how the Rothschild musters its financial/political prowess to absorb government stimulus around the world, accumulating around 14 - 15 trillion dollars while not provoking the public, the current Thai government may has gotten the western nods by turning SET into a megaspeculation hotpot. Thailand foreign reserve now ranks 12th globally, amounting at 153 billion dollars. However, the medicore increases in the ‘plus’ trade balance and even smaller gains in FDI, doesn't explain how the foreign reserve ended up at the current figure. My suspicion is that the western elites and their Thai counterparts are taking major exploit to gain as much as possible before bailing out. It should be interesting on how’d Thailand economy take its toll on this fiscal policy. แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 53 14:18:11 จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 14:16:44

ความคิดเห็นที่ 41 อยากรู้ว่าตอนนี้ทาง ธปท.ของเรากำลังทำอะไรอยู่หรือเปล่า เพื่อแทรกแซงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งจนเกินไป   และเค้ากำลังมีการหารือมาตรการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ จะมีการทำอะไรรุนแรงเหมือนที่เคยทำหรือเปล่า ผมล่ะเสียวจริง ๆ เห็นว่าตอนนี้นายกก้อให้ข่าวไฟเขียวแล้ว ว่า ธปท.สามารถทำการแทรกแซงได้ ไม่ทราบว่าคุณ m_ple พอจะได้ข่าวบ้างไหมครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ จากคุณ : baggioo เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 14:35:00

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณมากๆ ค่ะ จากคุณ : อย่าอยู่อย่างอยาก ชิมิ 1 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 15:44:37

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณมากๆเลยคะ  กำลังสนใจเรื่องนี้อยู่มากทีเดียวคะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 15:54:41

ความคิดเห็นที่ 44 ความคิดเห็นที่ 35     ลองดูตัวอย่างจากคุณ ยากแท้หยั่งถึง  คห.18 สิครับ เห็นภาพชัดเจนทีเดียว ;) ว่าแต่คุณยากแท้หยั่งถึงครับ ของแบบนี้ มันไม่มีใครรู้แน่นอนหรอกครับ ผิดเป็นครูครับ ;) เรื่องค่าเงิน USD เดี๋ยวคืนนี้จะมาเล่านิทานเรื่อง ตั๊กแตนกับมดให้ฟังครับ ;) จากคุณ : m_ple   เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 13:20:07 ^ ^ ^ แต่ค่าครูงานนี้แพงจังอ่ะ ขอมอบ แทน Give ก่อนนะคะ!! แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 53 16:16:53 จากคุณ : ยากแท้หยั่งถึง เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 16:02:42

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณมากกั๊บ จากคุณ : J<not>K เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 16:08:57

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : I Promise เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 16:35:43

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณมากครับ เข้ามารอตอนต่อด้วยคน จากคุณ : SundayroyaL เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 16:56:26

ความคิดเห็นที่ 48 อืม     รู้งี้ไม่พิมพ์อังกฤษดีก่า     >< จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 17:22:25

ความคิดเห็นที่ 49 มาต่อกันครับ คห.27 คุณ +One Side Love+ (รักเค้าข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือกเนอะ เค้ารักเราเผื่อเลือกหารู้ไม่ ^^" ) ไม่งงครับ คุณเข้าใจถูกแล้วครับ ชาติอื่นๆ ก้อเจอค่าเงินแข็งเหมือนกัน แข็งมากแข็งน้อย ก้อแล้วแต่ประเทศครับ คห. 29 คุณ จอหงวนใหม่ เรื่องเอเชียบอนด์นี่ พูดกันมานานมากๆๆๆๆ แต่ปัญหาเยอะครับ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญคือ ไม่ค่อยมีใครออกบอนด์กัน เพราะแต่ละประเทศมีเงินเยอะแยะ ไม่รู้จะกู้เงินไปทำอะไร ;) คห.33 คุณ zaffer งวดนี้ ไม่น่าจะล่มจมเหมือนปี 97 นะครับ เพราะมันกลับข้างกัน ตอนนั้น เราต้องใช้ดอลลาร์พอแทรกแซงบาท พอดอลลาร์หมด เราก้อเจ๊ง แต่คราวนี้ เราใช้บาทไปแทรกแซงดอลลาร์ ซึ่งบาทเราไม่มีวันหมดครับ ธปท พิมพ์ได้เอง ^^" แต่การพิมพ์บาทออกไปแบบนั้น มันก้อมีต้นทุนครับ อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไร แต่ส่วนตัวคงไม่ถึงขนาดเจ๊งหรอกครับ ;) ส่วนกับคำถามของคุณ baggioo คห. 41 นั้น ผมไม่ทราบครับ ยังไม่เห็นข่าวอะไรเลย แต่จริงๆ ธปท.ก้อแทรกแซงเป็นปกติอยู่แล้วนะครับ (ดูเงินสำรองดิครับ ขึ้นทุกอาทิตย์) แต่มาตรการแปลกๆ นี่ ยังไม่เห็นข่าวนะครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 21:11:13

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณครับ จากคุณ : helga เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 21:46:07

ความคิดเห็นที่ 51 โอเค มาฟังนิทานก่อนนอนกันสักเรื่องครับ วันนี้นำเสนอเรื่อง ตั๊กแตนกับมดครับ หลายๆ ท่านคงเคยได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่เวอร์ชั่นนี้ ตอนจบอาจจะไม่เหมือนเดิมนะครับ ^^" กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีมด กับ ตั๊กแตน อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ตอนหน้าร้อน ตั๊กแตนจะร้องรำทำเพลงไปเรื่อย ขณะที่มดจะเก็บอาหารสะสมไว้ เมื่อหน้าหนาวมาถึง มดก็จะมีอาหารกิน ขณะที่ตั๊กแตนไม่มี แม้จะมาอ้อนวอนมด มดก็ไม่ให้ สุดท้ายตั๊กแตนก็อดตาย ^^~ เคยได้ยินกันบ้างใช่ไหมครับ แต่จริงๆ นิทานไม่ได้จบแค่นี้นะครับ ;) เวลาผ่านหลายร้อยปี มดไปสร้างรังตัวเองชื่อว่า China ขณะที่ตั๊กแตนไปตั้งรกรานแล้วเรียกบ้านว่า USA เวลาหลายร้อยปี ไม่ได้ช่วยให้ตั๊กแตนทำตัวดีขึ้นเลย ตั๊กแตนยังคงเที่ยวเล่นไปเรื่อยๆ ขณะที่มดทำงานหนัก เก็บออมเงินไว้ใช้หน้าหนาว พอหน้าหนาวมาจริงๆ ตั๊กแตนก้อบากหน้าไปขอยืมมดเหมือนเดิม มดก้อแสนดี ให้ยืมมาเรื่อยๆๆๆๆ วันหนึ่ง มดก้อบอกตั๊กแตนว่า ตั๊กแตนจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ คุณเล่นยืมตังผมเรื่อยๆ แบบนี้ แล้วคุณจะเอาที่ไหนมาใช้ผมละเนี่ย ตั๊กแตนก้อสวนกลับว่า ใครใช้ให้คุณผลิตสินค้าถูกๆ ล่ะ เราก้ออยากทำงานไปขายเหมือนกัน แต่สู้คุณไม่ได้อ่ะ มดก้ออ้าว ความผิดผมหรอ นี่ผมขายของถูกอ่ะ สุดท้ายก้อเถียงกันไปเถียงกันมาๆ จนคนเล่าก้อไม่รู้ว่า ตอนจบ จะจบอย่างไร มดก้อนะ ยังเอาเงินไปให้ตั๊กแตนยืมทุกปีๆๆ ซึ่งก้อยังไม่รู้ว่าจะได้คืนหรือเปล่า นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า? ถ้าคุณไม่อยากให้เงินออมสะสมที่เก็บมาช่วยชีวิตมลายหายไป กรุณาอย่าให้ตั๊กแตนยืม ;) จริงๆ นิทานเรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองนะครับ Martin Wolf, Chief Economist ของ Financial Time เขียนไว้คอลัมน์ของเค้าเมื่อ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา (ใครสนใจลองหาอ่านดูในเวป FT นะครับ) ซึ่งถือว่าเป็น talk of the town ช่วงนั้นเลย คนเขียนเก่งมาก กัดเจ็บจิงๆ ^^" ว่าแต่สงสัยไหมครับ ว่าทำไมมดต้องไปให้ตั๊กแตนยืมด้วย? ให้มดด้วยกันเองยืมไม่ดีกว่าเหรอ? พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อนะครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 21:56:14

ความคิดเห็นที่ 52 รูปประกอบ ความเห็น 5 รูปแรกครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 22:07:03

ความคิดเห็นที่ 53 รูปประกอบ ความเห็น 5 รูปที่สองครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 22:07:37

ความคิดเห็นที่ 54 พรุ่งนี้จะมาอ่านต่อว่าทำไมมดต้องให้ตั๊กแตนยืมตังค์ด้วย ถ้าอยากจะขอยืมสักหมื่นสองหมื่นมาซื้อหุ้นเข้าพอร์ตตั๊กแตนจะให้ไหม??         จากคุณ : ยากแท้หยั่งถึง เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 53 22:20:00

ความคิดเห็นที่ 55 จาก คห 49 เรื่องเอเชียบอนด์นี่ พูดกันมานานมากๆๆๆๆ แต่ปัญหาเยอะครับ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญคือ ไม่ค่อยมีใครออกบอนด์กัน เพราะแต่ละประเทศมีเงินเยอะแยะ ไม่รู้จะกู้เงินไปทำอะไร ;) แต่ เร็วๆนี้ เราก็ยังต้องกู้เงิน ตั้ง 4 แสนล้าน ทั้งที่ทุนสำรองมีเยอะ  เพราะอะไร เรียนถามคุณ m_ple จ้ะ จากคุณ : sb*star เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 00:14:39

ความคิดเห็นที่ 56 กระทู้่ดี มีความรู้มากมาย ^_^ จากคุณ : NoNameLFC เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 00:43:22

ความคิดเห็นที่ 57 ผมมีรายได้เป็น usd ทุกเดือนๆละเล็กน้อย ติดตามอัตราแลกเปลี่ยนบ่อยๆแต่ไม่ไ้ด้จดสถิติไว้ ติดใจที่จขกท.บอกว่าเดือนมิย.เงินบาทแข็งกว่าตอนนี้อีก ไม่น่าถูกต้องถ้าเทียบกับ usd และตามกราฟที่เอามาให้ดูค่าเฉลี่ยก็ไม่เห็นบาทจะแข็งกว่าตอนนี้ ที่ว่าเป็นผลดีต่อการนำเข้ายกตัวอย่างน้ำมัน จริงอยู่เงินเท่าเดิมซื้อน้ำมันได้มากกว่าเดิม แต่ผลประโยชน์ตกไปอยู่ไหน โดยเฉลี่ยประชาชนยังให้น้ำมันแพงเหมือนเดิม ถ้าคิดในมุมนี้ก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไรกับประชาชนส่วนใหญ่ ส่วนที่ว่าเงิน usd อ่อนเมื่อเทียบกับเงินในภูมิภาคเอเซียก็แข็งเหมือนกันหมด แต่เท่าที่ดูอยู่เงินบาทเราแข็งกว่าชาวบ้านเขาอยู่เกือบ 5-10 % เมื่อเทียบกับ usd ข้อสังเกตุของผมไม่ได้ใช้ทฤษฎีทางวิชาการ แต่ติดตามจากรูปธรรมที่เห็นเป็นประจำ จากคุณ : fiftydee เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 07:22:33

ความคิดเห็นที่ 58 หุหุ ..... ดูสถิติรายเดือนตั้งแต่ 19 ก.ย. 2549 แล้ว .... ในเมื่อเงินสมทบใน Foreign Reserve มันไม่ได้มาจาก FDI และดุลการค้า + อย่างเป็นสัดส่วนที่แน่ชัด .... ก็แสดงว่ามาจากเงินต่างชาติจริง ..... แปลก ไม่แปลกยังไง ..... คงต้องแก้กฎหมายให้เปิดเผย Final Beneficiary อย่างสมบูรณ์ละ ว่าจะมีฝรั่งหัวดำพูดไทยชัดแจ๋ว มาป่วนตลาดฯ รึเปล่า? ...... หรือว่าจะเป็น Megaspeculator จริงๆ อะ .... ถ้างั้น เกิดตลายวาย ก็ต้องตรวจเรื่อง Conflict of Interest กับ Stakeholder ตัวเบ้งๆ ทั้งหมดดิ ปล. ผมยืนยันว่าไม่ใช่หน้าม้ามาจาก BOT นะ เห็นด้วยกับ คห. 55 และไม่ติดใจกับ คห. 40 ของผมหน่อยหรอคับ แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 53 10:10:21 จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 10:07:38

ความคิดเห็นที่ 59 แวะเข้ามาขอบคุณกระทู้ดีๆของคุณเอมเปิ้ล ไม่ได้ชวนไปมีตติ้งครั้งล่าสุด เพราะคุณเอมเปิ้ลหายหน้าไปจากห้องสินธรนานพอสมควร และผมจำได้ว่า   เมื่อหลายเดือนก่อน  ได้โพสต์บอกไว้ว่า  ออกจากงานที่ทำแล้ว ? ก็เลบนึกว่า  คงไม่ได้เข้าห้องสินธรอีกแล้ว ยังไงถ้าคุณหมูขึ้นมากรุงเทพในช่วงตรุษจีน เดี๋ยวผมจะแจ้งให้ทราบครับ จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 10:17:58

ความคิดเห็นที่ 60 คห.55 คุณ sb*star ช่างสังเกตมากครับ และเป็นคำถามที่ดีมาก ;) ขอแยกตอบเป็นสองประเด็นนะครับ ประเด็นแรกเรื่อง เอเชียบอนด์ ตลาดพันธบัตรมันจะไม่เหมือนตลาดอื่นอยู่หน่อย ตรงที่สินค้าที่ขายมันมีวันหมดอายุ ถ้าวันหนึ่งสัญญาปัจจุบันหมดอายุลง คนก้อไม่รู้จะไปซื้ออะไร สุดท้ายก้อจะไม่มีใครมาเล่น แม้วันดีคืนดี จะมีใครสนใจออกพันธบัตรจำนวนมาก แต่ถ้ามันไม่ออกสม่ำเสมอ (แบบออกทุกเดือนเงี่ย) คนก้อไม่เข้ามาเล่นหรอกครับ จริงไหม กรณีที่ไทยที่ต้องการกู้เงินจำนวนมากเพื่อลงทุนนั้น คงไม่ใช่ปัจจัยบวกที่จะทำให้เอเชียบอนด์เกิดได้ เพราะ 1. ไทยไม่ได้ออกพันธบัตรสม่ำเสมอ แบบ ออกครั้งเดียวเลิกแบบนี้ ตลาดก้อไม่เกิดอยู่ดี 2. เงินจำนวนมากขนาดนี้ ให้ออกพันธบัตรอย่างเดียว อาจทำให้ financing มีความเสี่ยงสูงเกินไป และอาจทำให้ cost of funding สูงครับ 3. แม้จำนวนเงินดังกล่าวจะดูมาก แต่ถ้าไปเทียบกับตลาดเอเชีย มันจิดริดมากเลยครับ ประเทศใหญ่ๆ เช่น จีน เค้ามีเงินมากกว่านี้เยอะมากๆๆๆ และเค้าต้องการช่องทางการลงทุนที่ใหญ่กว่านี้ สม่ำเสมอกว่านี้ครับ 4. บางครั้งเป็นเราซะอีกที่ไม่อยากไปกู้จีน เพราะบางทีเค้าจะมีเงื่อนไขมาอีกเช่น ต้องซื้อของเค้านะ ต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าตลาดบ้านเค้านะ บลาๆๆ 5. การออกไปกู้ข้างนอกประเทศ จะเจอความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอีก และการกู้นอกจะทำให้ความเสี่ยงของประเทศสูงขึ้น ถ้ากู้ในประเทศได้ เค้าก้ออยากกู้ในกันครับ   โดยสรุป ปัญหาทั้งหมด มันเกิดจาก ช่องทางการลงทุนในภูมิภาคมันยังไม่เยอะครับ คนเลยไม่อยากู้ อีกทั้งสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียยังแตกต่างกันเกินไป ที่จะทำให้การกู้ยืมเป็นไปได้อย่างราบรื่นครับ แต่ผมว่า เราก้อคืบหน้าไปมากครับ องค์กรระหว่างประเทศเช่น ADB ไรงี้ ก้อพยายามที่จะช่วยลดอุปสรรคดังกล่าวอยู่ Rome was not built in a day ครับ ;) ประเด็นที่สอง เรื่องทุนสำรองกับการกู้ยืม ผมคิดอยู่นาน ว่าจะตอบอย่างไรให้เข้าใจ ถ้าตอบแล้วยังไม่เข้าใจถามเพิ่มนะครับ ก่อนอื่น ทุนสำรองของประเทศเนี่ย มันเป็น 'หนี้' ของประเทศครับ ไม่ใช่ 'สินทรัพย์' มันเป็นแค่เงินของประเทศต่างๆ ที่เอามาพักไว้ในประเทศเราแค่นั้นเอง วันหนึ่ง ถ้าเค้าต้องการเงินเค้าคืน กล่าวคือ ถ้าคนที่ถือบาทอยู่ในมือวันนี้ ต้องการแลกเป็นดอลลาร์กลับ เราก้อต้องเอาดอลลาร์ที่เรามี คืนให้เค้าไป ครับ ;) เอาดอลลาร์มาแลกบาท ไม่ยากครับ เราพิมพ์บาทได้ แต่ถ้าคนที่มีบาทต้องการไปแลกเป็นดอลลาร์คืน แต่เราดันเอาเงินดอลลาร์ที่เค้าฝากเราไว้ไปทำอย่างอื่นซะแล้ว  วันนั้นเราคงเจ๊งครับ อย่างไรก้อดี จริงครับ มันคงไม่มีใครจะมาแลกเงินดอลลาร์หมดภายในระยะเวลาสั้นๆ เป็นแสนล้าน กระนั้น การที่เราจะเอาหนี้ไปทำอย่างอื่น โดยเฉพาะเอาไปใช้จ่ายที่มีความเสี่ยง เป็นเรื่องที่ต้องการการตัดสินใจที่รอบคอบมากครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 11:03:56

ความคิดเห็นที่ 61 คห.57 คุณ fiftydee ที่ผมบอกว่า เมื่อเดือน มิ.ย แข็งกว่านี้ ผมพูดถึง NEER ครับ (ดูรูปในความเห็น 1ครับ) แต่ถ้าดูค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ ใช่ครับ ปัจจุบันแข็งสุดครับ (ดูรูปแรกสุดเลยครับ) คห.59 เฮียเอนโด Once Sinthorn, always Sinthorn ครับ ;) ช่วงที่ผ่านมางานยุ่งไปหน่อย ไม่ค่อยได้เข้ามาในนี้ครับ ^^" แต่ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนพี่ๆ ถ้าไม่ติดอะไรจริงๆ ไปแน่ครับ :) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 11:04:19

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณขัอมูลดีๆคะ สงสัย? "ทุนสำรองของประเทศเนี่ย มันเป็น 'หนี้' ของประเทศครับ ไม่ใช่ 'สินทรัพย์' " http://www.oie.go.th/seminar/OIEForum10092552/OIEForum_moneyfund.pdf http://www.bot.or.th/Thai/AboutBOT/FinancialReports/Weekly/Doclib_2553%20New/22July2010.pdf เอามาฝาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=381361 แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 53 16:40:29 จากคุณ : whysongk เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 15:05:43

ความคิดเห็นที่ 63 Text Book vs. Off Text Book อ่า ..... กดให้ give เร็วไป ... ลืมไปว่าเป็นบทความเนชั่น ... ต้องกรองเฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมาอีกต่อ  + + แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 53 16:00:03 จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 15:48:26

ความคิดเห็นที่ 64 http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=1036185&page=32 ตามข่าว จากปากคำของคนระดับปฏิบัติการ ..... "นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.สายตลาดการเงิน กล่าวว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ทำให้เมื่อวันที่ 13 ก.ย. การแข็งค่าของเงินบาทเริ่มชะลอตัวลง แข็งค่าช้าและน้อยกว่าหลายสกุลในภูมิภาค แต่ยอมรับว่ายังแข็งค่าต่อเนื่อง เพราะยังมีเงินไหลเข้าลงทุนในตลาดทุนไทย ทั้งในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น ธปท.กำลังติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าเงินที่ไหลเข้ามามีลักษณะเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือไม่ แต่ยังไม่ขอพูดเรื่องมาตรการสกัดการไหลเข้าของเงินทุน หรือการเก็งกำไร" ถ้าเอาตามนี้ แม้จะมีกลไกตรวจสอบแล้ว ขณะนี้ ... ธปท. ก็ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงนะครับ ว่าเงินที่ไหลเข้ามามีลักษณะเก็งกำไรค่าเงินบาทหรือไม่  ^^ จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 16:31:51

ความคิดเห็นที่ 65 ขอบคุณค่ะที่เขียนมาเล่าให้ฟังอย่างสั้น ๆ เข้าใจง่าย จากคุณ : ยัยลีลี เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 19:54:35

ความคิดเห็นที่ 66 ขอบคุณมากค่ะ ... คุณจขกท และ ผู้ตอบ สำหรับเนื้อหาและ ไฟล์ความรู้ น่าสนใจ อ่านไป เข้าใจบ้างแอบเบลอบ้าง แต่ตัวอย่างฝากเงินเป็นดอลล่าร์  ของคุณ ยากแท้ฯ อ่านแล้ว จี๊ด ...แทนค่ะ สงสัยต้องเก็บยาว .... รอ สี่สิบบาท .... เสียโอกาส เป็นปีเลยนะคะเนี่ย .... ทำให้นึกอยากเข้าตลาดเงินแทนตลาดหุ้น .... จะเทรดได้ที่ไหนคะ ต้องเปิดพอร์ตหรืออย่างไร ใคร +เล่นเงิน+ อยู่บ้างคะ วานบอก .... จากคุณ : nijja (nijja) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 20:32:25

ความคิดเห็นที่ 67 มาต่อกันตอนจบของนิทานมดกับตั๊กแตนนะครับ มีคนชอบพูดอยู่เสมอๆ ว่า ทำไมคนชอบไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ หรือยุโรป ทำไมไม่ไปซื้อพันธบัตรพวกประเทศที่เติบโตสูงๆ เฉกเช่นเดียวกับนิทานเรื่องมดกับตั๊กแตนอ่ะครับ ทำไมมดถึงต้องไปให้ตั๊กแตนยืมด้วย ทำไมถึงไม่ให้มดด้วยกันเองยืม หรืออย่างน้อยเอาไว้ให้ลูกหลานมดยืม คำตอบสั้นๆ คือ เพราะโอกาสในการลงทุนในประเทศมดด้วยกันเองมันจำกัดครับ ยกตัวอย่างเรื่องพันธบัตรนะครับ เวลาเราถือเงินดอลลาร์ เราไม่ได้ถือธนบัตรหรือเหรียญดอลลาร์หรอกนะครับ เราต้องถือพันธบัตรครับ (เพราะถือแบงค์เฉยๆ มันไม่ได้ดอกเบี้ยครับ) เพราะอย่างงั้น ถ้าเราอยากถือเงินสกุลไหน ก้อต้องหาพันธบัตรสกุลนั้นมาถือครับ ถ้าประเทศต่างๆ จะไม่ถือดอลลาร์ เค้าก้อต้องไปหาพันธบัตรประเทศอื่นๆ มาถือ ทีนี้ จากข้อมูลของ IMF นะครับ เราจะพบว่า เงินทุนสำรองของโลก ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปีนี้ มีอยู่ 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ และกว่าครึ่งเป็นเงินดอลลาร์ครับ ปัญหาคือเราจะทำไงกับ 8.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 250 ล้านล้านบาทเนี่ยดีล่ะ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 21:43:02

ความคิดเห็นที่ 68 ถ้าเราคิดว่า ดอลลาร์มันจะเน่าแล้ว เราจะไม่ถือมันแล้ว เราจะไปถือเงินสกุลอื่น สมมติว่า ไปถือเงินสกุลยอดฮิตอย่างพวก Commodity Currency อย่าง ดอลลาร์แคนาดา (CAD) และออสเตรเลียดอลลาร์ (AUD) ดีไหมครับ จากการศึกษาของ Morgan Stanley เราจะพบว่า ถ้าธนาคารกลางทั่วโลก นำเงินเพียง 1% ของ reserve ที่ตัวเองมี ไปลงทุนในพันธบัตรออสเตรเลีย จะพบว่า มูลค่าเงินดังกล่าวจะมีสัดส่วนกว่า 74% ของตลาดพันธบัตรทั้งประเทศ o_O" แคนาดาใหญ่ขึ้นมาหน่อยเอ้า แต่ถ้าเราเอา reserve ไปลง 3% นั่นแปลว่า จะต้องใช้พันธบัตร 81% ที่อยู่ในตลาดพันธบัตรแคนาดาเลยอ่ะครับ คิดดู ;) มองกลับไปที่สหรัฐฯ แม้เราจะใช้เงินสำรองทั้งหมดกว่า 57%* ถือดอลลาร์สหรัฐฯ แต่นั่นเป็นเพียง 22% ของตลาดสหรัฐฯ ทั้งตลาดเองครับ เห็นไหมครับ การลงทุนที่ไม่ใช่พันธบัตรสหรัฐฯ มันจำกัดมากๆๆ สุดท้ายประเทศเหล่านี้ ก้อต้องกลับไปหาดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ดีครับ * ตัวเลบเค้าต่างจากตัวเลขของ IMF นิดหน่อยนะครับ เค้าบอกว่า เค้า adjusted for FX ผมก้อไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำอะไร ^^" จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 21:43:39

ความคิดเห็นที่ 69 คห.62 คุณ whysongk กะแล้วว่าจะต้องมีคนงงเรื่องนี้ ^^" หนี้ ในความหมายของผมคือ เงินดอลลาร์มันเป็นของคนอื่นครับ สักวันหนึ่ง เราต้องคืนเค้าไป แต่ที่อาจารย์โอฬารท่านอธิบายนั้น มันเป็นเรื่องการลงบัญชีครับ จริงครับ สำหรับงบดุลของธนาคารกลาง เงินทุนสำรองถือเป็นสินทรัพย์ครับ คนละเรื่องกันครับ อย่าเอามาเกี่ยวกัน บทความของอาจารย์โอฬารชิ้นนี้เขียนดีครับ อยากให้อ่านเหมือนกันครับ เรื่องนี้ต้องอธิบายยาว ขอติดไว้ก่อนนะครับ ^^" คุณ iamdanai ครับ ผมยังไม่ค่อยเกต คห. 40 ของคุณเท่าไร เลยยังไม่ทราบว่าจะติดใจอะไรดี (ฮา) อธิบายอีกนิดได้ไหมครับ _/l\_ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 53 21:54:03

ความคิดเห็นที่ 70 คุณ m_ple และสมาชิกท่านอื่น ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ตอนนี้ดิฉันมีเงินดอลล่าร์อยู่ในมือประมาณหนึ่ง...จะโอนไปเมืองไทยตอนนี้บาทไทยก็แข็งเหลือเกิน แต่เก็บไว้ก็กลัวว่า มันจะลงไปแตะที่ 29 บาทในเร็ววันนี้...ช่วยชี้ทางด้วยค่ะ ฮือๆ ทำงานหนักอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อ Mr. Franklin มาเกือบปี กะจะโอนไปเมืองไทยประมาณเดือนตุลาคม...เจออย่างนี้แล้ว หัวเราะไม่ออกเลย :( เครดิตรูป Dr.Google จากคุณ : One2FLU เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 00:56:26

ความคิดเห็นที่ 71 คุณ iamdanai คะ ดิฉันเข้าใจคุณค่ะ ติดใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน จากคุณ : คนรักแมวตี๋ เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 04:19:09

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณมากมายแต่ขออภัยกิ๊บหมดค่ะ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 06:25:05

ความคิดเห็นที่ 73 สุดยอดกระทู้ ได้ความรู้เติมสมองอีกหลายกิโล ขอบคุณครับ จากคุณ : นิ้วกรม กลมกระดิก (sunk_t) เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 08:52:20

ความคิดเห็นที่ 74 อีกรอบ ............. Contradicting Theory .... Just like the rumor how the Rothschild musters its financial/political prowess to absorb government stimulus around the world, accumulating around 14 - 15 trillion dollars while not provoking the public, the current Thai government may has gotten the western nods by turning SET into a megaspeculation hotpot. Thailand foreign reserve now ranks 12th globally, amounting at 153 billion dollars. However, the medicore increases in the ‘plus’ trade balance and even smaller gains in FDI, doesn't explain how the foreign reserve ended up at the current figure. My suspicion is that the western elites and their Thai counterparts are taking major exploit to gain as much as possible before bailing out. It should be interesting on how’d Thailand economy take its toll on this fiscal policy. ........ จริงๆ แล้ว ถ้าเขียนในภาษาไทยแต่แรก ผมอาจโดนกระหน่ำเพราะนำเสนอความเห็นแนวออกทะเลที่ไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อนในประเทศไทย .... แต่เนื่องด้วยส่วนตัวแล้ว มองไม่เห็นปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลก จะเห็นประเทศไทยเป็นฐานการลงทุนที่ดี (อย่างน้อยก็ไม่ใช่ long run) ทั้งปัญหาความแตกแยก การก่อการร้าย เสถียรภาพของรัฐบาล รัฐประหารที่มีบ่อยที่สุดในโลก และภาคการเงินที่ไม่ค่อยแข็งแรง (วิกฤตเงินบาท 1997 ในไทย ส่งผลให้ตลาดช๊อคไปทั่วเอเชียตะวันออก และลามไปทั่วโลก) เลยมองว่าที่หน่วยงานกำกับทางการละเลยต่อการกำกับป้องกันการปั่นหุ้น หรืออาจมี fiscal policy ที่น่ากลัว เกี่ยวกับ foreign reserve ที่โตเร็วผิดปกติมากๆ (บางประเทศที่มี foreign reserve มากกว่าไทย มีปัญหาทางเศรษฐกิจเยอะมากเช่นกัน) ...... เลยอดสงสัยว่า ทำไมฝรั่งจะขนเงินมาลงทุนในตลาดทุนเยอะมากมายขนาดนั้น คราวนี้ก็พลีชีพแปลและปรับปรุงจากเดิมที่เขียนไว้แต่แรกนะครับ ทฤษฎีคนละขั้ว เมื่อคำนึงถึงข่าวลือเรื่องเครือข่ายทุนของ Rothschild ได้ใช้เครือข่ายพันธมิตร/อิทธิพล ทั้งทางการเงินและการเมือง เพื่อสร้างกลไกไว้ดูดเงินช่วยเหลือวิกฤต Hamberger Crisis เฉพาะแก่สถาบันทางการเงิน ที่แจกจ่ายโดยรัฐบาลประเทศต่างๆ (โดยเฉพาะประเทศเจริญแล้ว) ขณะที่สาธารณชนไม่ทราบถึงข้อเท็จจริงในข่าวลือนี้ (แต่ลือกันแซ่ดในภาคการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะทางยุโรป) .. ลือกันว่าเครือข่าย Rothschild โกยเงิน stimulus จากรัฐบาลทั่วโลกได้รวมเป็นเงินราวๆ 14 – 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากเหตุ Hamberger Crisis ในครั้งนี้   .. จึงเป็นที่สงสัยได้ว่ารัฐบาลไทยของนายกคนปัจจุบัน อาจได้รับการสนับสนุนทางการจากประเทศทางตะวันตก เพื่อให้แสดงท่าทียอมรับ/เป็นมิตร ไม่สนต่อปัญหาที่มาที่ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างแรงในประเทศ .... โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน คือ การปรับ financial infrastructure ของไทยให้เอื้อต่อการการทำกำไรระยะสั้นของทุนต่างชาติ อย่างเป็นกรณีพิเศษ และไม่แยแสต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศ .... ทั้งนี้ด้วยปัจจัยข้อสงสัยต่างๆ จึงเชื่อได้ว่ามีไอ้โม่งที่คุมรัฐบาลหุ่นเชิดของมาร์ค ไปตกลงทางลับกับกลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังของโลก (เบื้องหลังเครือ Rothschild อีกต่อนึง) ร่วมกันกอบโกยผลประโยชน์จากไทยโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะเชิดเงินหนีไป (ปัจจัยข้อสงสัย คือ foreign reserve 153,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่โตเร็วอย่างผิดปกติมาก โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงสัดส่วนการเติบโตของดุลการค้าบวกและ FDI ที่ไทยเริ่มสะสมไว้ เทียบกับอัตราการเติบโตแบบทวีคูณของ foreign reserve ของไทย) สรุปคือ เนียนกว่าการจงใจบริหาร ปรส. อย่างผิดพลาด มากกว่าเยอะ ปล. เรื่อง Rothschild ถือเป็นเรื่องลับของภาคการเงินระหว่างประเทศ และมีแตกประเด็นมากมาย (บางประเด็นออกทะเล) แต่ข้อเท็จจริงประกอบทฤษฎีหลายๆ อย่าง มีข้อมูลแน่ชัด และอ่านแล้วน่ากลัวมาก Timeline http://www.lookingglassnews.org/viewcommentary.php?storyid=121 แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 53 15:56:41 จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 09:33:51

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณมากจ้า จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 15:26:07

ความคิดเห็นที่ 76 จิ้มไปที่ คห.74 คุณ iamdanai อ่านแล้วน่ากลัวจังเลยค่ะ เครือข่ายทุน Rothschild สามารถทำให้ประเทศที่ศักยภาพทางด้านการเงินไม่แข็งแรงล้มได้เลยหรือเปล่าค่ะ เป็นห่วงประเทศไทย... :( จากคุณ : One2FLU เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 18:37:45

ความคิดเห็นที่ 77 ขอโทษค่ะ ซ้ำ พอดีสัญญาณหาย เลยส่งอีกรอบ :'( แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 53 18:41:23 จากคุณ : One2FLU เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 18:38:21

ความคิดเห็นที่ 78 คห.70 คุณ One2FLU เรื่องเดาทิศทางค่าเงินผมจนด้วยเกล้าจริงๆ ครับ ถ้าคุณยังไม่สบายใจกับค่าเงินในปัจจุบัน และไม่ได้รีบใช้เงิน ค่อยๆ ทยอยแลกเงินทีละน้อยๆ ก้อได้ครับ เป็นการป้องกันความเสี่ยงไปในตัวแบบหนึ่ง เอาไว้ได้ราคาที่สบายใจแล้ว ค่อยแลกทีเดียวหมดครับ ;) คุณ iamdanai  ครับ ผมเพิ่งเคยได้ยินชื่อ Rothschild วันนี้เองครับ ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ไม่อยากปล่อยไก่ ขอฟังอย่างเดียวละกันครับ ^^" ขอบคุณครับ ที่เล่าให้ฟัง เปิดหูเปิดตาผมได้ดีทีเดียว :) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 19:38:12

ความคิดเห็นที่ 79 คคห ๗๔ คะ http://www.lookingglassnews.org/viewcommentary.php?storyid=121 เวบ ประวัติตระกูล และ วิเคราะห์ กก. รอธไชล์ด ที่ให้มา .... ทำไม .... เอ่อ .... ไม่รู้จาว่าไงดี .... เป็นตุเป็นตะขาดน้านนนน .... เชื่อถือได้แค่ไหนคะ .... อ่านแล้ว น่ากลัว ... เอฟบีไอ กะซีไอเอ อเมริกาเค้ารู้มั่งปะคะเนี่ย ... ตอบข้อสงสัยเของเราได้หมด ไม่ว่าคดี ลอบสังหาร ปธน เคเนดี้ (ที่ เหตุจูงใจเหมือนการลอบฆ่า ปธน ลินคอน) หรือการถล่มตึกแฝด เวิลเทรดเซนเตอร์ ที่ รบ. อังกฤษ ก็ .... บลา ๆๆ .... พอมาเรื่อง รบ. ไทย อื๋ย ... (ขอบคุณที่แปลค่ะ) เรื่องเงิน ... กำลังหวั่นๆว่า มันจะทำตลาดหุ้นไทย ล่มได้มั้ยเนี่ย ... เงินญี่ปุ่น ... วันนี้ พอ รบ. เเซกเเซง (ทำไรก็ไม่รู้) ที่ตลาด ลอนดอน และ นิวยอร์ค อ่อนลง ใช้ได้ ... ราวสามเยน ... รบ. ไทย จะทำอย่างไร คุณเปิ้ล พอเห็นแนวไหมค้า .... (เข้ามากระตุ้นไม่ให้กระทู้สเตติค ....อิอิ) จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 22:37:32

ความคิดเห็นที่ 80 http://blogs.ft.com/beyond-brics/2010/09/13/thailand-whos-buying-gold/ "The BoT won’t say how much of that is held in dollars, but a straw poll of Bangkok economists suggests that it is somewhere between 60 and 85 per cent, and they’ve already said they are trending away from the US dollar. But if that 60-85 per cent estimate is right, every 1 per cent of appreciation in the baht is costing between $940m and $1.33bn in reserve losses on dollar holdings alone. At the top end, that’s close to 0.5 per cent of GDP, or a little more than 2 per cent of the 2010/11 budget passed last month." >>> "The BoT won’t say how much of that is held in dollars" หืม  ธปท. ปกปิดข้อมูลเงินสำรองต่างประเทศ ในสัดส่วนที่เป็นดอลลาห์สหรัฐ? และ .......... (เดิม) ทุกๆ 1% ที่เงินดอลลาห์แข็งค่าขึ้น ไทยจะมี GDP ลงลง 0.5%? (แก้เป็น) ทุกๆ 1% ที่บาทแข็งขึ้น จะทำให้ foreign reserve ของไทยสูญมูลค่าไปราวๆ 940 - 1330 ล้านเหรียญ ... เทียบได้เป็นราวๆ 0.5% ของ GDP หรือ 2% ของงบประมาณประเทศ (current fiscal year) ผมตีความข่าวนี่ผิดรึเปล่าเนี่ย? แก้ไขเมื่อ 20 ก.ย. 53 18:16:22 จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 53 09:58:55

ความคิดเห็นที่ 81 ขอบคุณ คุณ nijja คห.79 นะครับ แต่รู้สึกกระทู้จะนิ่งไปแล้ว สงสัยคนเขียน เขียนรู้เรื่อง ไม่มีคำถาม (ฮา) ^^" คุณ  iamdanai   คห.80 อ่านจากข่าวอันที่คุณนำมานะครับ ผมว่าตีความผิดนิดหนึ่ง ถ้าคิด logic ตามเค้าอ่ะถูกครับ คือ เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง จะทำให้ทุนสำรองของประเทศด้อยค่าลงไปเมื่อ mark to market ตามการประมาณการของเค้า เค้าบอกว่า ค่าที่เสื่อมลงไปนั้น มีมูลค่าเทียบเท่ากับ 0.5% ของ GDP ครับ เค้าไม่ได้หมายความว่า เงินบาทแข็งค่าหนึ่งบาทจะทำให้ GDP ลดลง 0.5% ครับ ส่วนที่เค้าบอกว่า ธปท. ปกปิดข้อมูล reserve ผมว่าไม่แปลกครับ เท่าที่ผมทราบ ธนาคารกลางทุกแห่งก้อไม่เห็นมีใครบอกครับ ว่าตัวเองถืออะไรไว้เท่าไร อย่างไรก้อดี ที่บอกว่าขาดทุนนั่น มันเป็นเพียงขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น สมมติ ธปท. อยากได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ธปท. แค่กลับไปใช้ Fixed ค่าเงินให้เท่ากับ 100 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ แค่นี้ ธปท. ก้อได้กำไรถึง 35% ของ GDP เลยนะครับ o_O" แต่ทำได้แล้วอะไร ใช่ไหมครับ ;) เช่นเดียวกันครับ การขาดทุนทางบัญชี อาจไม่ได้บอกอะไรเลยครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 53 16:43:24

ความคิดเห็นที่ 82 "............. Contradicting Theory ...." or Conspiracy  Theory ?   - ฟรีเมสัน - อิลลูมินาติ - The skulls ถ้าร่ายมาตั้งแต่ยุคอัศวินจะสนุกมากเลยครับ จากคุณ : จินหยง เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 09:17:01

ความคิดเห็นที่ 83 ตอนนี้ ๓จี มีลุ้นเฮลุ้นโฮ กันอยู่ สมาชิกเลยลืมๆเรื่องค่าเงิน .... อีกอย่าง ที่ สังเกตคือ สื่อไทยไม่ค่อยนำเสนอ ผลของการเเข็งของบาท ที่กระทบ อุตสาหกรรมต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม ปรกติ ไม่ได้สนใจเรื่องค่าเงินมากนักค่ะ เพราะรู้สึกไกลตัว แต่พอมีคนมาเขียนให้เข้าใจได้ก็เลยตามอ่าน .... มาตรการส่งเสริมเงินออก ที่ คุณกรณ์ ออกมานี่ไม่รู้จะได้ผลแค่ไหนนะคะ คิดว่าเอกชนทำอยู่แล้ว แต่เส้นทางเงินอาจจะเเตกต่าง วานก่อนที่ รบ. ญป เอาเงินไปซื้อดอลล่าร์ ในข่าวเค้าทำรูปลูกฟุตบอลใหญ่ให้ดู ว่า เงินในตลาดโลกมีเท่านี้ ส่วนเงินเยนที่เอาออกไป ลูกเท่า ปิงปองเล็กๆ ที่ จริงช่วงนี้ก็ยังมีการตามผลต่อเนื่อง พานนึกได้ว่า เมื่อตอนที่เยนเริ่มเเข็ง จาเข้า ๒๕๐ ต่อดอลล่าร์ (ราวๆนั้น) รบ.ญี่ป. สมัยนั้น สนับสนุนการใช้จ่าย เช่นการซื้อ งานศิลปะ ภาพเขียนเเพงๆ เข้ามิวเซียม ...ฮือฮามากเพราะ ปชช. อย่างเราๆ ไม่เคยรู้ว่า รูปเพนท์ พวกนั้น จะเเพงได้ขนาดนั้น คุยแบบคนฟังข่าว ไม่มีความรู้อะไรพิเศษนะคะ แฮ่ ... จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 09:30:42

ความคิดเห็นที่ 84 แล้วมาจบที่ prison break นำโดย ไมเคิล สกอร์ฟิล 55 :) จากคุณ : กระบี่โลหิต เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 12:12:05

ความคิดเห็นที่ 85 เรียนถามพี่ iamdanai จาก Contradicting Theory . ประเทศไทย จะเสียหายได้มากยังไงครับ ถ้าค่าเงินแข็งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากส่งออกไม่ได้แล้วมีอย่างอื่นอีกไหมครับ อย่างที่พี่พูดเรื่อง ปรส ยังพอเข้าใจสถานการณ์นั้น แต่ตอนนี้ผมยังมองไม่ออก ขอความเห็นด้วยครับผม จากคุณ : กระบี่โลหิต เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 12:23:52

ความคิดเห็นที่ 86 โดยส่วนตัว ผมกลัว นโยบายสินเชื่อมากกว่า คนจะต้องขายทรัพย์สินแบบขาดทุนป่นปี้ หากมีหนี้เกินตัว มันเป็นหลักการทั่วไปอยู่แล้ว ยิ่งเร่งให้คนเป็นหนี้ เท่ากับเร่งให้คนป่นปี้ สิ่งที่เมืองไทยมีเป็นทรัพย์สิน เท่าที่เ็ห็น คือ แรงงาน มนุษย์ ทรัพยากร ที่ดิน เงินสะสม ถ้ามีคนอยากได้มันก็อยู่ในส่วนเหล่านี้แหละครับ ว่าแต่มันจะเป็นอะไรดี จากคุณ : กระบี่โลหิต เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 12:34:25

ความคิดเห็นที่ 87 ..... จากคุณ : CherryBlossom669 เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 16:57:37

ความคิดเห็นที่ 88 เข้ามาเก็บความรู้ ครับ เกมแมงมุมไล่จับเหยื่อ ให้เหยื่อดิ้นจนหมดแรงก่อน จากคุณ : แห้วกับใบบัวบก เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 53 01:48:11

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณครับที่เขียนกระทู้ดีๆออกมา ... ทำให้ย้อนอดีตขุดความรู้สมัยเรียน Inter Finance มาได้อีกครั้ง แถมได้มุมมองเพิ่มเติมจากหลายๆท่านด้วย ยังอ่านไม่หมด แต่เดี๋ยวถ้ามีประเด็นอะไรจะเอามาแชร์นะครับ ให้กิ๊ฟกันไม่ไหวเลยทีเดียว อยากให้ทุกคห.เลย ^^ จากคุณ : ^MoOn_Man^ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 53 18:47:58

ความคิดเห็นที่ 90 จากคุณ : (pantipisfool) (loofsipitnap) เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 53 19:08:52

ความคิดเห็นที่ 91 ตอบ คห. 85 คับ ผมก็ไม่รู้นะ เพราะจะให้เหมาะสม คงต้องเรียกร้องให้ ธปท. มาชี้แจงเหตุผลในการวางนโยบายการบริหารเงินสำรองต่างประเทศก่อน เพื่อชี้แจงต่อนักวิชาการ/สาธารณชน ว่าทำไม มันถึงเติบโตได้ถึงอันดับ 12 ของโลกที่ราวๆ 4,800,000,000,000 (4.8 ล้านล้านบาท) และเทียบได้เป็น 50% ของ GDP ประเทศ และปัจจัยทั้งทาง บวก และ ลบ ที่อาจเกี่ยวข้องทั้งหมด ปล. เอาดัชนีการเติบโตของ foreign reserve เทียบกับ ค่าเงินบาท, trade balance, public debt (external & internal) มาดู 30 ปีย้อนหลัง เทียบกันให้ครบถ้วนด้วยนะคับ !!! ปล. ไม่ทราบ คห.82 ได้เห็นความเห็นผมตรงนี้รึเปล่านะคับ ถึงได้มาแนวประชดฯ  ....... "เรื่อง Rothschild ถือเป็นเรื่องลับของภาคการเงินระหว่างประเทศ และมีแตกประเด็นมากมาย (บางประเด็นออกทะเล) แต่ข้อเท็จจริงประกอบทฤษฎีหลายๆ อย่าง มีข้อมูลแน่ชัด และอ่านแล้วน่ากลัวมาก" จากคุณ : iamdanai เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 53 18:28:15

ความคิดเห็นที่ 92 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 53 19:30:53

ความคิดเห็นที่ 93 ปล. ไม่ทราบ คห.82 ได้เห็นความเห็นผมตรงนี้รึเปล่านะคับ ถึงได้มาแนวประชดฯ  ....... "เรื่อง Rothschild ถือเป็นเรื่องลับของภาคการเงินระหว่างประเทศ และมีแตกประเด็นมากมาย (บางประเด็นออกทะเล) แต่ข้อเท็จจริงประกอบทฤษฎีหลายๆ อย่าง มีข้อมูลแน่ชัด และอ่านแล้วน่ากลัวมาก" จากคุณ : iamdanai   ----- thanks for reply ka ..... จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 09:21:37