ความคิดเห็นที่ 1 สวัสดีคะ 1. ในความเห็นเรา ยิ่งพบว่าคุณแม่เป็นความดันโลหิตสูง  ยังไงก็ต้องทำประกันนะคะ ถึงเบี้ยจะแพงยังไงก็ควรทำ  เพราะเป็นโรคที่เข้าโรงพยาบาลบ่อยมากๆ ยิ่งแก่ตัวยิ่งเข้าบ่อยคะ  ถ้ารอนานกว่านี้อายุคุณแม่เกินที่จะทำก็จะลำบากนะคะ 2. เรื่องคอนโด ไม่มีความเห็นคะ 3. คุณ จขกท เสียภาษีเยอะไหมคะถ้าตอนนี้ยังเสียไม่มาก รอซื้อปีหน้าก็ได้ค่ะ   ตอนนี้ก็เก็บเงินเข้ากองทุนอื่นๆไปพลางๆ รอราคาหน่วยต่ำกว่านี้ค่อยซื้อก็ได้คะ  แต่ถ้า ต้องเสียภาษีเยอะมาก  ก็เริ่มซื้อเลยก็ได้คะ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 13:28:56

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณคุณกันดัมจังนะคะที่กรุณาให้ความเห็นเข้ามาอย่างรวดเร็ว เรื่องประกันสุขภาพนี่ เราก็คิดหนักอยู่ค่ะ บางคนบอกว่าเบี้ยแพง (เพราะอายุมาก และมีโรคก่อนทำประกัน และไม่แน่ใจว่าเขาจะคุ้มครองโรคความดันโลหิตสูงและโรคที่เกี่ยวเนื่องด้วยรึเปล่า) เก็บเงินเองดีกว่า แล้วใช้บัตรทองเอา บางคนก็แนะนำเหมือนคุณกันดัมจังค่ะ นี่ก็เลยกำลังชั่งใจอยากทราบความคิดเห็นมากกว่านี้น่ะค่ะ เรื่องเสียภาษี เราก็คำนวนไม่ค่อยเป็นน่ะค่ะ คือว่า ถึงจะซื้อกองทุนประมาณ 70000 บาทแล้ว ก็ยังต้องเสียภาษีเพิ่มอยู่อีกนะค่ะ เลยไม่รู้ว่าเยอะรึเปล่า และที่แนะนำให้เก็บเข้ากองทุนอื่นๆ ...ไม่ทราบว่าพอจะช่วยยกตัวอย่างกองทุนให้ได้รึเปล่าคะ? ขอบคุณอีกครั้งนะคะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 13:47:43

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องบัตรทองก็ดีนะคะ แต่ต้องดูโรงพยาบาลที่เราจะไปรับการรักษาด้วย  คุณภาพโรงพยาบาลประจำจังหวัดแต่ละแห่งไม่เท่ากัน  การดูแลต่างกัน อย่างเช่น ถ้าอยู่เชียงใหม่ก็ทำประกันไปเลย  แต่ถ้าอยู่สุรินทร์ใช้บัตรทองก็เหลือรับประทานแล้ว  แบบนี้เป็นต้นคะ ลองคำนวณภาษีดูก่อนนะคะ  จะได้วางแผนการเงินได้สะดวก อันนี้เป็นเวปดาวโหลดโปรแกรมคำนวณภาษีคะ http://www.itac.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=153:91-&catid=37:express-tip-technic-faq&Itemid=69 อีกอย่างที่สำคัญที่สุด คือ บริหารเงินอย่าให้ตัวเองต้องหนักจนเกินไปนะคะ ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อย จะท้อง่ายในช่วงหลังๆ จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 14:20:16

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณคุณกันดัมจังอีกครั้งนะคะ เราอยู่กรุงเทพฯค่ะ รพ.ในสิทธิ์บัตรทองก็รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ น่าจะเป็นรพ.ระดับกลางๆ คงเปรียบกับรพ.ศิริราชหรือรามาฯไม่ได้น่ะค่ะ ยังไม่เคยลองใช้บัตรทองก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ลองคำนวนภาษีจากโปรแกรมที่คุณกันดัมจังให้มาแล้วค่ะ โดยคร่าวๆถ้าไม่ได้นำเงินจากการซื้อกองทุน LTF มารวมด้วย จะต้องเสียภาษีเพิ่มอีกประมาณ 20,000 บาท (ถ้ารวมกับที่บริษัทหักไปทุกเดือนแล้วก็ประมาณ 4-5 หมื่นบาทค่ะ) แต่ถ้าซื้อกองทุนเพิ่มอีก 70,000 บาท ก็ยังต้องเสียภาษีเพิ่มอีกประมาณ 10,000 บาทอยู่ดีค่ะ คิดว่ายังไงคะ? แนะนำว่าควรซื้อไหมคะ? และซื้อตัวไหนดี? หรือยอมจ่ายภาษีไปดีกว่า? หรือมีวิธีอื่นบ้างไหมคะ? จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 15:09:57

ความคิดเห็นที่ 5 อะโห จ่ายเยอะเหมือนกันนะคะ  ได้รวมเลี้ยงดูบิดามารดาเข้าไปรึยังคะ เป็นแนวคิดส่วนตัวนะคะ แต่ยังไงคุณ จขกท รอความเห็นจากเพื่อนๆท่านอื่นพิจารณาประกอบด้วยนะคะ วิธีที่นิยมในการลดภาษีโดยทั่วไปเท่าที่เห็นจะมี 1. กองทุนลดหย่อนภาษี LTF RMF   : สำหรับ RMF ตัดทิ้งไปก่อนเพราะนานมาก จนมีคำแซวที่ว่า ฝาก RMF เอาไว้หลานใช้     ถ้ามีเงินเก็บเยอะและไม่เดือดร้อนรอซื้อ LTF ช่วงเทศกาลกองทุนก็ดีนะคะ     2. เครดิตภาษีหุ้น : ซื้อหุ้นที่มีเครดิตภาษี ซึ่งอันนี้ให้เพื่อนๆที่หุ้นมาอธิบายจะได้รายละเอียดที่เยอะคะ ถ้าเป็นเรา เราก็จะยังไม่ลง LTF ในเดือนนี้  แต่จะรอตลาดหุ้นลงก่อนแล้วค่อยซื้อคะ ถ้าปีนี้ไม่ลงมาเลย ก็จะรอไปซื้อปีหน้ายอมจ่ายภาษีปกติ  เพราะโดยส่วนใหญ่พอหลังปีใหม่ตลาดจะลงตลอด ก็เป็นช่วงเก็บของ  ..........โดยปกติเท่าที่เห็นนะคะ แต่อาจจะไม่เป็นอย่างนั้นตลอดก็ได้คะ ในการเก็บเงินรอ ถ้าสมมติเป็นลูกค้า SCBAM ก็มักจะฝากไว้กับ SCBTMF ซึ่งได้ดอกเบี้ยดีและ รอจังหวะเข้าซื้อกองทุนตัวอื่น ในช่วงนี้ ตัวที่ราคาลง และการดำเนินการเหมาะถือรอไปเรื่อยๆ ก็คงเป็น SCBDV เพราะเพิ่งจะปันผล ทำให้ราคาตกกว่าที่เป็นจริงคะ.......ซื้อตอนนี้และไม่รอปันผลก็น่าที่จะได้กำไรเมื่อขายยามปลายปี (ทุกปลายปีตลาดมักจะขึ้นคะ) ส่วนกองทุนของ บลจ อื่น เราไม่มีความรู้เลยคะ  เพราะลงทุนแต่ SCBAM คะ  >.< จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 16:27:27

ความคิดเห็นที่ 6 ขโมย กราฟ SCBDV ของพี่ป่าน parn 256 ของกระทู้ AEM มาให้ดูนะคะ กราฟพื้นสีเหลืองจะเป็นกราฟราคา SCBDV  ซึ่งคุณ จขกทจะเห็นว่า จู่ๆ กราฟก็ตกลงมาเป็นเส้นสีแดง........ทั้งๆที่ตลาดหุ้นขึ้นตลอด นั่นเป็นเพราะ กองทุนนี้จ่ายปันผลค่ะ (เป็นกองทุนปันผลที่จะลงทุนเฉพาะหุ้นที่จ่ายปันผลตลอดไม่เคยขาด  ถ้าขาดกองทุนจะถอนการลงทุนทันที) เมื่อราคาตกปุ๊ปก็ ขึ้นต่อทันที เพราะตลาดยังไปต่อ  อย่างน้อยก็ต้องขึ้นไปถึงราคาที่ควรจะเป็น ดังจะปรากฎอมยิ้มเขียว (แปลว่า ซื้อโลด)    อมยิ้มแดงหน้าบึ้ง(แปลว่า ขายซะ ฮือๆ) อย่างในรูปก็แสดงการ สับเปลี่ยนกองทุนจาก scbtmf (กองที่พักเงิน) เข้า scbdv  ต่อเลยคะ เรียกว่าตอนนี้เป็นช่วงเข้าซื้อ scbdv ถ้าหัดสับเปลี่ยนกองทุนช่วงแรกๆ ยังไม่เป้นอะไรก็ซื้อตามกราฟไปก่อน สงสัยตรงไหนก็ตั้งกระทู้ถามพี่ๆได้ หรือถามในกระทู้ AEM ก็ได้คะ  พี่ๆใจดีมาก จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 16:38:39

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณคุณกันดัมจังมากนะคะ เรื่องการสับเปลี่ยนกองทุนคงต้องศึกษาใหม่ทั้งหมดเลย เพราะไม่มีความรู้มาก่อน ต้องคอยเช็คกองทุนและสับเปลี่ยนบ่อยไหมคะ? เอาเท่าที่เราเดาๆจากความไม่รู้เรื่องเลย คือ เปิดกองทุน SCBTMF ไว้จำนวนนึง เช่น 10,000 บาท พอมีกองทุนไหนน่าสนใจราคาต่ำก็ขาย SCBTMF ซึ่งเงินจะเข้ามาอีกวันนึง แล้วก็ไปซื้ออีกกองทุนต่อ แล้วก็รอดูว่าตัวที่ซี้อราคาขึ้นเมื่อไหร่ก็ขาย...แบบนี้ใช่ไหมคะ? มีข้อควรระวังอะไรสำหรับมือสมัครเล่นก่อนเข้าไปซื้อไหมคะ จริงๆเคยซื้อหุ้นบ.ก่อสร้างไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยความไม่รู้นี่แหละค่ะ จนถึงตอนนี้เงินก็ยังติดอยู่ตรงนั้น เลยไม่ค่อยอยากยุ่งกับพวกหุ้น หรือกองทุนเปิดเท่าไหร่ ลังเลนิดนึงน่ะค่ะ แต่ก็ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆของคุณกันดัมจังอีกครั้งนะคะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 17:04:48

ความคิดเห็นที่ 8 ใช้บัตรทอง ถ้ามีความอดทนรอคิวในการหาหมอได้ ยิ่งถ้าเป็นรพ.รัฐด้วย หายห่วง  คนไข้ไปรอกันตั้งแต่ รพ.ยังไม่เปิด ยกตัวอย่าง รพ.ราชวิถี  พ่อเราหมอนัดบ่าย ต้องไปยื่นบัตรเช้า กว่าจะได้พบหมอ ก็ประมาณ บ่าย 2-3 แม่เรา ถ้านัดหมอเฉพาะทาง ก็จะไปตั้งแต่ 6 โมง เพราะเดี๋ยวหมดเวลา ไม่ได้เจอหมอ ถ้าไม่นัดหมอเฉพาะทาง  ก็ไม่รีบ แต่ก็รอเป็นชั่วโมงอยู่ แม่เรา หาหมอ 2 รพ. ที่สถาบันประสาท จ่ายเงินเอง หมอให้ผ่าตัด ที่ราชวิถี บัตรทอง หมอไม่ผ่าให้  ให้ทำกายภาพ ต้องไปทำทุกวัน สุดท้าย ขี้เกียจแล้ว เลยไปให้หมอที่รพ.ประสาทผ่าให้ เบิกประกันเอา ลืมบอกไป ของเราทำประกันชีวิต พ่วงประกันสุขภาพ ของเราถ้าทำมาเกิน 2 ปี เค้าจะไม่เช็คประวัติการป่วย แต่ละรพ. จ่ายยาไม่เหมือนกันอีก บาง รพ. ยาตัวนี้จ่าย บาง รพ.ไม่จ่าย เพราะหมอก็ต้องบริหารค่าใช้จ่ายของรพ.เหมือนกัน ถ้าทำได้ ก็ทำประกันไว้ดีกว่า จากคุณ : geerin (geerin) เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 17:50:09

ความคิดเห็นที่ 9 ขออภัยค่ะ ดูผิดอัน ^^" แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 53 18:09:49 จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 18:06:22

ความคิดเห็นที่ 10 คุณ ocha chan เข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ จริงๆแล้วการสับเปลี่ยนกองทุนก็มีหลายเทคนิค แต่โดยพื้นฐานก็คือ รอจังหวะกองทุนราคาลง แล้วเข้าซื้อ   จากนั้นก็รอขายเมื่อราคาขึ้น แต่ก็เป็นอะไรที่ใช้เวลาศึกษาน้อย ไม่ซับซ้อน  เรียกว่ามีอารมณ์อยากเรียนเมื่อไหร่ก็เรียนได้ค่ะ อย่าง SCBDV ที่แนะนำ  จริงๆแล้วเป็นกองทุนที่คนนิยมซื้อเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยขายเพราะรอปันผลค่ะ  แต่พอดีว่าตอนนี้เป็นจังหวะพิเศษของกองทุนนี้ นั่นคือ จ่ายปันผลแล้ว ราคาต่อหน่วยจะตกเกินความเป็นจริง ประกอบกับใกล้สิ้นปี (ซึ่งส่วนใหญ่หุ้นจะขึ้น) จึงวางนอนทิ้งๆไปได้ แต่ถ้าผ่านไปซัก 2-3 สัปดาห์ เราอาจจะไม่แนะนำแล้ว  อะไรแบบนี้ค่ะ กองทุนแต่ละกอง จริงๆใช้เวลามาดู 1 ครั้งต่อวันก็พอคะ  5-10 นาที นั่งดูราคาหรือกราฟแล้วกด ซื้อขาย เราอาศัยดูจากเงื่อนไขของคุณ จขกท เลยแนะนำ แฮ่ๆ เพราะเห็นบอกว่า 1.จะไม่ค่อยเข้ามาดู  ก็เหมาะกับกองทุนที่แช่เงินไว้อย่างน้อยก็ได้ปันผล 2.เป็นเงินที่ไม่รีบใช้ รอได้......ถึงคิดซื้อ LTF ซึ่งแช่เงิน 5 ปี 3. ในยามอยากจะถอนใช้ก็ไม่ขาดทุน ในระยะจากนี้ถึงปีใหม่  ......เพราะราคา SCBDV ตอนนี้เป้นราคาที่ต่ำกว่าความจริงของตลาด(เพราะเพิ่งปันผล) กองทุนนี้มีข้อเสียอยู่นะคะคือ ขายได้วันศุกร์ เรียกว่า สภาพคล่องไม่สวย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับคนที่ ฝากแช่ และไม่มีเรื่องร้อนเงินปัจจุบันทันด่วน.........คุณ จขกท น่าจะผ่านจุดนี้คะ (จากที่อ่านกระทู้ ฮี่ๆ) แต่จริงๆ เอาใส่ใน SCBTMF ชนะดอกเบี้ยเงินฝากรอไปเรื่อยก็โอเคคะ แฮ่ๆ  จริงๆเพื่อนๆท่านอื่นก็แนะนำได้อีกเยอะ   เราเองก็รู้แคบๆ คือรู้เฉพาะ SCB ถ้าได้ความเห็นของท่านอื่นมาช่วยเสริม คุณ จขกท จะได้ตัดสินใจลงทุนในสิ่งที่เหมาะกับตัวเองด้วยคะ  >.< จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 18:31:34

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณคุณกันดัมจังมากกกกกเลยนะคะ ได้ความรู้เพิ่มเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุน ชักจะเริ่มสนใจขึ้นมาบ้างแล้วค่ะ ต้องรีบศึกษาซะหน่อยแล้วก่อนจะช้าเกินไป ตามที่คุณกันดัมจังได้วิเคราะห์มาก็ตามนั้นเลยค่ะ ถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉินเรื่องแม่ ก็คงไม่มีเหตุให้ใช้เงินอะไรมากนัก ประเด็นหลักก็คือ เรื่องสุขภาพของแม่ (ตอนนี้ก็ดูแข็งแรงดีค่ะ), การลดหย่อนภาษี, การลงทุนหรือเก็บเงินไว้สำหรับอนาคต ที่ถามเรื่องคอนโดเพราะวันเสาร์นี้เขาจะเปิดให้จองวันแรกแล้วจะได้ส่วนลดพิเศษ แต่ลังเลเพราะก็มีกระแสฟองสบู่จะแตกอีก (แนวโน้ม) น่ะค่ะ และขอบคุณคุณ geerin เช่นกันสำหรับความคิดเห็นนะคะ ต้องลองเช็คบ.ประกันดูก่อนเหมือนกัน เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะให้ทำได้รึเปล่าน่ะค่ะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 21:33:17

ความคิดเห็นที่ 12 LTF :: จะมีทั้งหมด 6 กองทุน แบ่งเป็น 2 รูปแบบตามความเสี่ยง เสี่ยงน้อย ด้วยลักษณะกองทุนที่ออกแบบมา เพื่อลดความผันผวนจากหุ้นให้ต่ำลง SCBLT1 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 :: มีนโยบายการจ่ายปันผล :: จะมีสัดส่วนการลงทุนไม่เกิน 70% ที่เหลือจะเป็นตราสารหนี้ SCBLTS - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวสมาร์ท :: ไม่มีนโยบายการจ่ายปันผล :: มีการลงทุนใน SET50 Index Futures ในทิศทางที่ใช้หักล้างกับตลาดหุ้น ทำให้ลดความผันผวนจากตลาดหุ้นได้เกือบ 40% ครับ เสี่ยงมาก ด้วยลักษณะการลงทุนในหุ้นอย่างเต็มที่ แต่ในบางช่วงเวลาก็จะมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนบ้างเล็กน้อย SCBLT2 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว พลัส :: ไม่มีนโยบายการจ่ายปันผล :: ลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET50 ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ประมาณ 90% SCBLT3 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอ :: ไม่มีนโยบายการจ่ายปันผล :: กระจายการลงทุนในหุ้นที่หลากหลาย   : กลุ่มหุ้น SET50 ประมาณ 40%   : กลุ่มหุ้นที่อยู่ในกลุ่มล่างของ SET100 และ MAI ประมาณ 40%   : ที่เหลือประมาณ 20% จะปรับเปลี่ยนตามสภาวะการณ์ รวมถึงมีการลงทุนใน SET50 Index Futures ด้วยครับ SCBLT4 - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวอินเตอร์ :: มีนโยบายการจ่ายปันผล :: มีการกระจายไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศประมาณ 5 - 10% (SCBPGF, SCBAEM) SCBLTT - ไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต :: มีนโยบายการจ่ายปันผล :: เป็นรูปแบบผสมที่หลากหลายการลงทุน เหมือนเป็นตัวรวมของ LTF ทั้ง 5 กองทุนข้างต้นครับ -------------- ถ้าจะถือยาว ไม่เปลี่ยนแปลง (จนกว่าจะมั่นใจในการลงมุนมากขึ้น) อาจจะเลือกเริ่มต้น แบบไม่ทิ้งความหวัง และไม่เสี่ยงจนมากเกิน อาจจะเริ่มต้นที่ SCBLT1 ก่อนก็น่าจะได้ครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 53 23:46:37

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณพี่จุกมากๆๆค่ะ ขอถามคุณพี่จุกเพิ่มน่ะค่ะว่าระหว่างกองทุนที่จ่ายปันผลและไม่จ่ายปันผล ถ้าเป็นพี่จุกเลือกแบบไหนคะ? มีข้อดีหรือข้อเสียต่างกันยังไงคะ? สำหรับเรื่องความเสี่ยงนั้น เป็นคนรับความเสี่ยงได้ แต่ไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน และอาจจะไม่ขยันมานั่งตรวจสอบและสับเปลี่ยน เลยอยากได้แบบที่ปล่อยทิ้งไว้เงินต้นก็ไม่หาย และมีดอกพอให้ชื่นใจหน่อยน่ะค่ะ กองที่พี่จุกแนะนำไว้ดีที่สุดแล้วใช่ไหมคะ สำหรับคนแบบนี้น่ะค่ะ และขอบคุณคุณน้องสามสีด้วยเช่นกันนะคะ ตอนนี้บริษัทประกันเขาแจ้งว่าของแม่ทำประกันสุขภาพไม่ได้น่ะค่ะ ทำได้แต่ประกันชีวิตและต้องเพิ่มเบี้ยด้วย ก็เลยจะลองเช็คอีกบริษัทนึงดูน่ะค่ะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 14:13:31

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณคุณน้องสามสีที่แวะเข้ามาตอบให้อีกครั้งนะคะ เราเองก็คิดเหมือนกัน น่าจะไม่ต่างจากบ.ประกันที่แรก แต่ก็ต้องลองดูก่อน ที่ซื้อให้แม่ก็คิดว่าจะออมไว้ใช้สำหรับจัดงานให้ท่านยามท่านเสียน่ะค่ะ และอยากจะเพิ่มประกันสุขภาพด้วย เพราะคนสูงอายุมีโอกาสเจ็บป่วยได้มาก เข้ารพ.ทีนึงก็หลายตังค์อยู่ สำหรับส่วนตัวเองนั้น ตอนนี้มีหลายเล่มแล้วค่ะ (เล่มละนิดละหน่อย) คิดว่าคุณแม่น่าจะอยู่ได้ถ้าเกิดเราเป็นอะไรขึ้นมา จริงๆตอนนี้เงินเก็บก็ยังไม่มาก แต่ตั้งใจว่าเริ่มจริงจังกับการเก็บเงินมากขึ้น ตอนนี้กำลังค่อยๆเรียนรู้เกี่ยวกับการซื้อกองทุนตามที่คุณกันดัมจังแนะนำ และการซื้อคอนโดน่ะค่ะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 15:45:09

ความคิดเห็นที่ 17 ระหว่างกองทุนที่ จ่ายและไม่จ่ายปันผล ..... ผมเลือกที่จะลงทุนทั้ง 2 แบบครับ..... กองทุนที่มีจ่ายปันผล ปล่อยให้กลไกของตลาด และผู้จัดการกองทุนดำเนินการให้ แล้วเมื่อมีโอกาสกองทุนสร้างผลตอบแทนให้ได้ เรา ก็เพียงแค่คอยเอาเงินปันผล กลับไปเติมแต่งให้จำนวนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น เอาไว้ ต่อยอดรอรับปันผลรอบต่อไปครับ ..... แม้จะมีภาษี ทำให้ส่วนที่ได้ลดลงไปบ้าง แต่หน่วยลงทุนที่ไม่ลดหายไปทำให้โอกาสรอ ทวงภาษีกลับคืนในรูปของมูลค่าการลงทุนยังคงมีได้ต่อไปครับ ส่วนกองทุนที่ไม่มีการจ่ายปันผล เราต้องคอยดูแลความเปลี่ยนแปลงเอาเอง เพราะ แปลงตัวเลข ให้เป็นตัวเงินด้วยตนเอง .... พร้อมถ้าปล่อยไว้ จากสิ่งที่ควรได้ อาจจะ หดหายลดลงครับ แต่จะดีที่ไม่ต้องเสียเวลารอคอย เมื่อถึงเป้าหมาย เมื่อคิดว่าเกิดความเพียงพอ ก็จะ สามารถหยุดการลงทุน หรือลดความเสี่ยงได้ด้วยตนเองครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 21:31:34

ความคิดเห็นที่ 18 "ส่วนกองทุนที่ไม่มีการจ่ายปันผล เราต้องคอยดูแลความเปลี่ยนแปลงเอาเอง เพราะ แปลงตัวเลข ให้เป็นตัวเงินด้วยตนเอง .... พร้อมถ้าปล่อยไว้ จากสิ่งที่ควรได้ อาจจะ หดหายลดลงครับ" ตรงนี้หมายถึงเราต้องคอยสับเปลี่ยนกองทุนเพื่อไม่ให้เงินมันหดหายใช่ไหมคะ? แล้วเราจะดูยังไงว่าถึงเวลาที่เราควรจะเปลี่ยนมันคะ? "แปลงตัวเลข ให้เป็นเงิน..." ติดใจตรงนี้มากเ่ลยค่ะ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่ามันจะเป็นอย่างไร หรือทำอย่างไร ตอนเรียนไม่สันทัดทางด้านนี้เอามากๆเลยค่ะ ขอโทษที่ทำให้พีจุกปวดหัวนะคะ และขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆค่ะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 53 23:33:41

ความคิดเห็นที่ 19 จำนวนหน่วยลงทุน ถือเป็นต้นทุนที่เกิดจากเงินลงทุนของเรา = จำนวนเงินลงทุน / ราคาต่อหน่วยที่ซื้อ โดยจำนวนหน่วยลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการซื้อเพิ่ม หรือขายคืนออกไป แต่สิ่งที่ทำให้มูลค่าการลงทุนของเราเปลี่ยนแปลง คือ ราคาหน่วยลงทุนที่เปลี่ยนแปลง ไปได้ทุกวัน = จำนวนหน่วยลงทุน x ราคาหน่วยลงทุน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมูลค่าคงเหลือนี่เองที่ทำให้เกิดเป็นผลตอบแทน = มูลค่าคงเหลือ - เงินลงทุน เช่นมีหน่วยลงทุน 1000 หน่วย .... วันที่ 1 ราคาหน่วยลงทุน คือ 10 บาท ทำให้มูลค่าคงเหลือ คือ 1000 x 10 = 10,000 บาท วันที่ 2 ราคาหน่วยลงทุน คือ 11 บาท ทำให้มูลค่าคงเหลือ คือ 1000 x 11 = 11,000 บาท วันที่ 3 ราคาหน่วยลงทุน คือ 9 บาท ทำให้มูลค่าคงเหลือ คือ 1000 x 9 = 9,000 บาท ดังนั้นเมื่อเรายังไม่ได้ขายคืน หรือสับเปลี่ยนออก มูลค่าคงเหลือเราก็ยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดด้วยครับ ซึ่งก็หมายถึงเป็นเพียงตัวเลขที่ยังคงเปลี่ยนแปลงได้อยู่ แต่เมื่อถึงวันที่ 4 ถ้าเราสับเปลี่ยนออก .... เมื่อตกเย็น ราคาที่คำนวณออกมาได้สำหรับราคาสับเปลี่ยนออก คือ 13 บาท จากตัวเลขสุดท้ายของวันที่ 3 มูลค่าคงเหลือคือ 9,000 บาท มาวันที่ 4 จากตัวเลขถูกแปลงเป็นตัวเงิน ด้วยราคา 13 บาทต่อหน่วย ทำให้ตัวเลขถูกหยุดการเปลี่ยนแปลงออกมาเป็นตัวเงิน = 1000 x 13 = 13,000 บาท จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 00:35:50

ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อไหร่ ควรเปลี่ยนตัวเลขให้กลายเป็นเงิน ..... ยากที่จะตอบ ว่า เป้าหมายของแต่ละคนอยู่ที่จุดไหนครับ ถึงกล่าวว่ายากที่จะหาจังหวะสร้างผลตอบแทนด้วยตนเอง ...... ถ้าเทียบกับกองทุนที่ มีการจ่ายปันผลจะง่ายกว่ามาก คือกองทุนตัดสินใจให้เองว่าผลตอบแทนที่ได้รับอยู่ที่เท่าไหร่ จากการที่ได้รับเงินปันผลออกมา โดยไม่ต้องสับเปลี่ยน หรือขายคืนเองครับ จากคุณ : pjuk เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 00:40:21

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณพี่จุกอีกครั้งค่ะ เพราะฉะนั้นสำหรับมือใหม่การลงทุนในกองทุนที่มีเงินปันผลก็น่าจะสบายใจและง่ายกว่าสินะคะ จะค่อยๆศึกษาต่อไปค่ะ จากคุณ : ocha chan เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 53 10:56:19

ความคิดเห็นที่ 22 แนะนำให้ทำประกันให้แม่ค่ะ อย่าคิดว่าคุ้มหรือไม่ หรือกำไรขาดทุน แต่ต้องคิดว่าให้คุณแม่เรามีหลักประกันเพื่อความอุ่นใจ เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นเพราะถ้าเกิดโรคกำเริบขึ้นมากระทันหัน ใช้บัตรทองเกรงว่าจะไม่ทันต่อความต้องการของโรคที่ต้องการการรักษาด่วน เพราะแม่ของดิฉันก็เป็นความดันเหมือนกัน (ไม่ทราบว่าคุณแม่ จขกท.เป็นระดับไหนค่ะ) ทำประกันที่บริษัทเมืองไทยประกันชีวิตผ่านและไม่ต้องเพิ่มเบี้ยด้วย ทำสัญญาเพิ่มเติม ทุพพลภาพ (เพราะโรคนี้มีโอกาสเกิดอัมพาตได้สูง แถมเบี้ยก็ไม่แพงมากแค่หลักสิบต่อเดือน) อุบัติเหตุ และโรคร้ายแรง 30 โรค แต่ไม่มีค่ารักษาค่ะเพราะว่าเบี้ยสำหรับผู้สูงอายุค่อนข้างสูง สำหรับดิฉันที่เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน ถ้าสนใจรายละเอียดก็ Mail มาคุยกันได้ที่ luxsana_tai@hotmail.com ค่ะ จากคุณ : rabbit (luxsana_tai) เขียนเมื่อ : 28 ก.ย. 53 00:22:40

ความคิดเห็นที่ 23 (ต่อ) ส่วนในเรื่องการเก็บเงินสำหรับคนโสดนั้น แนะนำการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์รับบำนาญค่ะ เพราะถ้าเราจากไปก่อนคุณแม่ ท่านจะได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าเราอยู่จนเกษียณอายุ เราก็ไม่ลำบากเพราะสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ จากคุณ : rabbit (luxsana_tai) เขียนเมื่อ : 30 ก.ย. 53 14:16:37