ความคิดเห็นที่ 1 รัฐก็เลยแก้เกมโดยการสร้างเงินเทียมๆขึ้นมาในระบบ(นึกภาพว่าธนาคารกลางสร้างบัญชีที่มีเงินมากๆขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องหาเงินมาใส่บัญชี) และไปกว้านซื้อหนี้เน่าของธนาคารเพื่อให้ธนาคารมีเงินสดเยอะๆ ขณะเดียวกันก็กว้านซื้อตั๋วเงินคลังเพื่อให้เกิด demand มากๆ การที่ตั๋วเงินคลังมี demand มากมหาศาลจะทำให้ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังลดต่ำลง (ตรงนี้ฟังแล้วงงครับ แต่ฝรั่งเค้าบอกแบบนี้ ใครช่วยอธิบายทีครับ) เมื่อธนาคารไม่สามารถหวังผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังได้ ธนาคารก็อาจจำเป็นต้องพิจารณาปล่อยกู้กับภาคธุรกิจอีกครั้งเพื่อหาเลี้ยงชีพ ผลก็คือธุรกิจจะมีเงินสดใช้ต่อสู้ฝ่าฟันเศรษฐกิจมากขึ้น ความหวังที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น อัตราจ้างานเพิ่มขึ้นก็จะตามมา แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 00:35:01 จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 00:34:17

ความคิดเห็นที่ 2 **สิ่งที่เราต้องรู้** 1. นโยบาย QE นี้จะทำให้เงินเฟ้อ แปลว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลงไปอีก ผลคือจะทำให้ความพยายามต่อสู้บาทแข็งยากไปอีก แน่นอนว่าตลาดหุ้นไทยอาจจะได้ประโยชน์ แต่เศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มส่งออกก็อาจจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง 2. นโยบายนี้เป็นยาแรง ถ้าไม่ได้ผลเช่นเกิดเงินเฟ้อขั้นรุนแรง เศรษฐกิจสหรัฐฯจะแย่หนัก เพราะไม่มีใครอยากค้าขายด้วยแน่ถ้ารู้ว่าเงินที่รับมาจะอ่อนค่าไปเรื่อยๆ อเมริกาจะกลายเป็นเพื่อนแท้กับซิมบับเวทันที และแน่นอนว่าถ้าอเมริกาแย่ น้องไทยก็คงไม่ดีแน่ในระยะยาว เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่ซึมอยู่แล้ว ก็จะแย่ไปอีก จากความรู้นี้ผมคงต้องติดตามว่า FED จะออกนโยบายนี้มามั้ย และถ้าออกมาเงินบาทจะแข็งขึ้นหรือไม่ ก็ติดตามไปพร้อมๆกันครับ จบแล้วครับ ความเข้าใจผมผิดพลาดตรงไหนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ครับ และหากท่านใดมีความรู้รบกวนเสริมหรือแก้ไขด้วยครับ :) แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 00:39:27 จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 00:36:36

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ แล้วจะกลับมาอ่านครับ ไม่ไหวละง่วง แหะๆ จากคุณ : monomaniac }:-] เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 01:09:44

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ได้ฟังคลิปนะครับ (เพราะคงฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ) แต่คิดว่า "การที่ตั๋วเงินคลังมี demand มากมหาศาลจะทำให้ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังลดต่ำลง" น่าจะหมายถึงอัตราผลตอบแทนต่ำลงโดยเปรียบเทียบหรือเปล่า? ด้วยความที่ดีมานด์มันมากแต่ซัพพลายมันน้อยอ่ะ เลยหาครอบครองกันไม่ได้ง่ายๆ ที่ระดับต้นทุนปกติหรือเปล่า? แบบหุ้น CPF อ่ะครับ ปันผล 2 สลึง สำหรับคนที่หรือต้นทุนที่ 10 บาทก็เท่ากับว่าได้ผลตอบแทน 5% รัฐเลยกว้านซื้อ CPF จนราคายกมาที่ 25 บาทและผลตอบแทนสองสลึงที่ว่าก็จะเหลือเพียง 2% บีบให้คนเอาเงินไปทำอย่างอื่นแทนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า (สมมติเป็นหุ้น CPF เพื่อเปรียบเทียบเฉยๆ นะครับ) รอผู้รู้มาเฉลย จากคุณ : จันทร์เย็น เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 01:27:37

ความคิดเห็นที่ 5 QE: สร้างเงินขึ้นมา เอาไปซื้อ financial asset เพิ่ม money supply ไม่ได้ไปซื้อหนี้เน่าอย่างเดียว ซื้อไม่เน่าก็ซื้อครับ QE จะนิยมใช้เมื่อinterest rate ต่ำมากจำไม่สามารถลดลงไปได้อีกอาจจะต่ำไปจนถึง0%ซึ่งเกือบจะเป็น liquidity trap สิ่งที่ FED กลัวสมัยนี้ไม่ได้กลัวinflation แต่กลัว deflationเพราะผลกระทบนั้นรุนแรงมากและแก้ไขได้ยากกว่าครับ จะกระตุ้นศรษฐกิจได้ก็ต้องใช้วิธีนี่ละครับ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 01:47:05 จากคุณ : guyver เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 01:44:24

ความคิดเห็นที่ 6 แน่นอนครับ นำเงินไปซื้อ bonds ทำให้ราคาสูงขึ้น yield ก็เลยต่ำ จากคุณ : guyver เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 01:50:22

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณทุกความเห็นครับ มีเหตุผลทีเียวเรื่อง demand ทำให้ yield ต่ำ :) เพิ่มเติมค. 5 ใช่แล้วครับนโยบายนี้เอาไว้จัดการเงินฝืด แต่ความที่ปล่อยเงินไปในตลาดถ้าคุมไม่ดีอาจจะกลายเป็นเงินเฟ้อรุนแรงแทน ก็จะเป็นปัญหาอีกประเภท อย่างไรก็ตามถ้าเงินเฟ้ออ่อนๆรัฐบาลคงยิ้มหวานเพราะดีกว่าฝืดแน่ๆ จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 02:36:31

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าสหรัฐออกนโยบายแบบนั้นจริง สงครามค่าเงินมาแน่ๆ -*- จากคุณ : อรุโณทัย เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 06:50:33

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าทำอย่างนี้เห็นแก่ตัวมากคับ ได้เห็นกันอีกทีว่า Bank ในอเมริกานี่เป็นพระเจ้าจิงๆ Government ทำอะไรไม่ได้ แทบจะต้องก้มลงไปกราบบอกช่วยปล่อยกู้ที จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 07:55:31

ความคิดเห็นที่ 10 ผมไม่ได้มองว่าเค้าเห็นแก่ตัวยังไงเลยน่ะครับ ที่เค้าทำก็เพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจเค้า ในเมื่อยังมีความเสี่ยงเค้าก็ต้องแก้สถาณการของเค้าไป จากคุณ : guyver เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 08:41:09

ความคิดเห็นที่ 11 @คุณ guyver เค้่าสามารถทำวิธีอื่นได้ครับ ที่ไม่ใช่วิธีมักง่ายที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม หรือรับซื้อหนี้เสียจากธนาคารโดยใช้ตัวเลขในบัญชีที่ไม่มีเงิน (เงินดอลล่าร์จะอ่อนค่าลง) 1. สามารถบังคับให้ธนาคารปล่อยกู้ 2. ร่วมประกันความเสี่ยงกับธนาคารในประเทศ 3. ผันรายจ่ายจากงบทหารมาช่วยประตุ้น economy 4. ลดรายจ่ายของ Goverment 5. ขึ้นภาษีคนรวย (USA เป็นประเทศที่ tax คนรวยน้อยมาก บัฟเฟตยังบอกว่าเค้าเสีย tax น้อยกว่าเสมียนเค้าอีก) มาตรการที่ทำแล้วส่งผลกระทบต่อตัวประเทศเค้าเอง เค้าไม่ทำหรอกครับ ซึ่งปัญหาทั้งหมดก็เริ่มจาก US และการแก้ปัญหาเค้า ก็กระทบประเทศอื่น แล้วยังมาบอกอีกว่าที่ประเทศอื่นแทรกแซงค่าเงินมันไม่ควร ทั้งๆที่การพิมพ์ dollar นี่แหละก็คือการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งทั้งหมดนี่แหละครับที่ผมมองว่า US เห็นแกาตัว จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 09:08:17

ความคิดเห็นที่ 12 การที่ตั๋วเงินคลังมี demand มากมหาศาลจะทำให้ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังลดต่ำลง (ตรงนี้ฟังแล้วงงครับ แต่ฝรั่งเค้าบอกแบบนี้ ใครช่วยอธิบายทีครับ) อัตราผลตอบแทนของTB มาจาก "ส่วนลด" ครับผม อย่างที่คุณจันทร์เย็นได้บอกไปครับ อัตราผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบ(เทียบกับเงินกู้และความเสี่ยง)นั้นลดลง อีกทั้งsupply TBในตลาดนั้นก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจนทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะ การดึงเอาTBกลับออกไป ทำให้"ส่วนลด"ในตลาดนั้นมีค่าลดลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาTBในวันครบกำหนดต่ำลง ยกตัวอย่างเช่น TB อายุ 180 วัน par 100 dc 10 ราคาเสนอขาย 90 = ส่วนลดคือ10บาท เทียบผลตอบแทนจะได้ ราวๆ5.5% เมื่อมาตรการดังกล่าวออกมาจะทำให้ ความต้องการในตัวTBเยอะขึ้นไปอีกครับ นั่นหมายความว่า คุณจะหาซื้อTB ที่ราคา 90บาทไม่ได้อีกต่อ!! หมายความว่า TB 180วัน par 100 dc 8 ราคาเสนอขาย 92 = ส่วนลดเหลือเพียงแค่8บาทเท่านั้น (ราคาขึ้นเลยทำให้gapของส่วนลดนั้นลดลง) จะกลายเป็นว่าผลตอบแทนจะเหลือราวๆ 4.35% เท่านั้น หายไปราวๆ 1.15 % ซึ่งดูเหมือนน้อย แต่ในความเป็นจริง ธนาคารลงเงินกับพวกนี้ทีไม่ใช่บาทสองบาท นอกจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสเพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ จากข้างต้น ผิดถูกประการใด กล่าวขออภัยไว้ล่วงหน้า ป.ล. โหวตแล้วครับ QE2 เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจครับ จากคุณ : นักสืบจิ๋ว เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:47:16

ความคิดเห็นที่ 13 ผมมองว่าจีนก็มีส่วนในการ manipulate ค่าเงินเข้าทำให้มันเกิด global imbalance บังคับให้ธนาคารปล่อยกู้อยากทราบว่าเค้าจะทำยังไงครับธนาคารไม่ปล่อยกู้เพราะว่าผลตอบแทนจากbond ดีกว่า ร่วมประกันความเสี่ยงทำให้เกิด moral hazard ทุกวันนี้ยังเถียงกันไม่จบในสภา ลดรายจ่ายของรัฐแต่เพิ่งผ่านร่าง health care, แล้วกำลังจะทำeducation reform ยุโรปก็มีทำครับภายในปีสองปีที่ผ่านมาอังกฤษก็ทำครับในลักษณะแนวเดียวกัน ทำไมไม่มีใครบ่นว่าเห็นแก่ตัว มองภาพต้องมองในแบบของ realist ประเทศต่างต้องพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ผมมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกคนดิ้นรน เรามัวแต่ไปโทษคนอื่นอย่างงี้มันละครับ แก้ไขเมื่อ 11 ต.ค. 53 10:54:43 จากคุณ : guyver เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 10:49:38

ความคิดเห็นที่ 14 http://www.telegraph.co.uk/finance/financetopics/financialcrisis/8031131/Bank-of-Englands-Adam-Posen-calls-for-more-quantitative-easing.html จากคุณ : guyver เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 11:04:01

ความคิดเห็นที่ 15 ยุโรปเค้าทำโดย cut gov spending แล้วเอาเงินออม (หรือกู้) ของเค้ามาใช้ครับ แต่ US เค้าจะพิมพ์เงิน ซึ่ง cost มันต่างกันครับ อยากให้สังเกตว่า US จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะไม่ยอมเสียอะไรเลย แล้วผมก็ไม่ได้มัวหรือมั่วไปโทษคนอื่นหรอกนะครับ ถ้ามีคนทิ้งบุหรี่แล้วไฟไหม้บ้าน คุณจะว่าเค้าผิดไหม เค้าอาจจะไม่มีเจตนาแต่เพราะความมักง่ายของเค้าทำให้คนอื่นเดือดร้อน มันก็สมควรโดนตำหนืไม่ใช่เหรอครับ ขอบคุณ link ดีๆที่ให้มานะครับ จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 21:06:03

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณครับ นโยบายการเงินยุคหลังวิกฤตนี่ น่าสนุกมากๆ มีอะไรแปลกๆ มาให้คิดเยอะมากเลย ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 23:59:03

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ สำหรับความรู้ครับ จากคุณ : yossie เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 53 13:06:55