ความคิดเห็นที่ 1 ผลตอบแทนที่ต่างกัน เพราะความเสี่ยงมันต่างกัน ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่ารับความเสี่ยงได้มากหรือน้อย ถ้าน้อย กลัวว่าเงินต้นจะหาย การซื้อประกันก็จะดีกว่า แต่ถ้าคุณพร้อมที่จะศึกษา และรับความเสี่ยงได้มากหน่อย ก็ซื้อ LTF ซึ่งให้ผลตอบแทน ที่ดีกว่าการซื้อประกัีนมากกว่ามาก และที่สำคัญ ระหว่างทางยังมีโอกาสได้ปันผล หากซื้อกอง LTF ที่มีปันผล และ บวกกับการที่ราคาขายจะมากกว่าราคาซื้อ และท้ายที่สุดเพียงแค่ 3 ปี คุณก็สามารถที่จะขาย LTF ได้ แต่ขณะที่ประกันภัยต้องรอถึง 10 ปี ผมแนะนำให้คุณเริ่มศึกษา LTF โดยการไปยัง web site ของกองทุน LTF เช่น AYF Fund จากนั้น Download เอกสารกองทุนมานั่งอ่าน ประมาณสัปดาห์ คุณก็จะรู้แล้วว่าควรซื้อกองไหน เริ่มศึกษาแล้ว คุณก็จะตอบตัวเองได้ว่าอย่างไหน เหมาะกับตัวคุณ อย่าฟังคนเล่าโดยไม่ได้ศึกษา เสียเวลาหน่อย แต่ก็คุ้มค่า จากคุณ : tsetwk เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 20:39:01

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าระยะกลาง 3-5 ปีก็ LTF ล่ะกันครับ แต่ถ้าระยะยาวหน่อย 10ปี ก็ประกันครับ จากคุณ : รถด่วนลอยได้ เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 21:12:41

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : อับปัญญาชน เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 22:17:00

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าประกันนี่แหละเป็นวิธีลดภาษีที่ดีที่สุดแล้ว  ขาดเหลือเท่าไหร่ ค่อยไปลงที่ ltf จากคุณ : โซดา โค้ก เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 22:46:41

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้ามีประกันอยู่แล้ว และมีเงินเย็น เป็นผมจะเลือก LTF ครับ เพราะรับได้กับความเสี่ยง  รวมไปถึงคอยให้มันได้กำไรที่สูงได้  ส่วนประกันผมจะเน้นแค่เพื่อสุขภาพ ลดภาษีเป็นผลพลอยได้ครับ จากคุณ : Jungfrail เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 22:51:09

ความคิดเห็นที่ 6 ซื้อ ให้เต็ม max ทั้งหมดเลย การประหยัดภาษีโดยค่าลดหย่อน เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุด ส่วนประกัน ถ้ากลัว ส่งไม่ไหว ให้เลือกระยะสั้น 2 -4 ปี คุ้มครองสิบปี จากคุณ : puyong เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 23:28:11

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับผม ที่คิดจะลดภาษี ผมจะเรียงลำดับ ดังนี้ LTF > RMF > ประกันชีวิต หรือ บริจาค โดย แต่ละขั้น ซื้อให้แบบเต็มแมค ไปเลยครับ ... ยังงัย ในระยะยาวๆ การลงทุนในหุ้น ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนอย่างอื่น ๆ แน่นอนครับ อย่างแฟนผม ซื้อ LTF ของแบงค์กรุงเทพ เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน คิดตอนนี้ ได้ผลตอบแทนประมาณ 50% ของเงินต้น (ถ้า 5 ปีก่อน ซื้อ 100 บาท ตอนนี้ได้ราคา 150 บาท, ขนาดว่าซื้อกองทุนแบบผลตอบแทนที่ได้พอ ๆ กันตลาด) คิดเป็นผลตอบแทน แบบง่าย ๆ ได้ 10% ต่อปี ... ดีกว่าฝากธนาคาร แน่นอนครับ ... จากคุณ : murmur เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 23:30:51

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่คนขายน้ำเต้าหู้ คนไหน บอกว่าน้ำเต้าหู้ที่ตัวเองขาย ไม่อร่อยหรอกครับ คนขายประกันก็เหมือนกัน ยังไงๆก็ไม่บอกว่า ประกันแย่อยู่แล้วครับ สำหรับผม ผมเอา LTF ให้เต็มก่อน ส่วนประกัน กับ RMF อยู่ในเรทเดียวกัน อีกอย่าง ประกัน ผมเลือกแบบออมทรัพย์ครับ แบบนี้ให้ผลตอบแทนสูง แต่จ่ายค่าคอมให้ตัวแทนน้อย ส่วนใหญ่ ตัวแทนไม่ขายกัน ไม่เชื่อลองถามตัวแทนดู แบบประกันแบบนี้ต้องซื้อผ่านแบงค์ หรือ ตัวแทนที่รู้จักแบบประกันแบบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ตัวแทนไม่ชอบครับ เพราะได้ค่าคอมแค่ 3% ในขณะที่แบบปกติได้ค่าคอม 40% ว่าจะไม่แฉแล้ว แต่พอเห็นวิธีแนะนำของตัวแทนแล้ว.. แบบว่าจะขายท่าเดียว ผมเลยอดไม่ได้ จากคุณ : shine-rise เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 23:45:11

ความคิดเห็นที่ 9 LTF + ประกันพร้อมกัน RMF มันเอามารวมกะประกันไม่ได้ครับ ผลตอบแทน+ความมั่นคงยังไงประกันก็ไม่ไมีขาดทุนครับ ประกันคือการลดภาษีนิดหน่อย + จุดสำคัญคือคนข้างหลังเรา เน้น LTF+ประกันคู่เยครับกดให้เต็ม RMF ไว้ซํก 40 ขึ้นไปค่อยซื้อให้เต็ม max ด้วย จากคุณ : Define เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 00:23:48

ความคิดเห็นที่ 10 ผมคิดว่า เราคงต้องตั้งวัตถุประสงค์ของการลงทุนก่อนครับ ว่าเราต้องการแบบไหน ถ้าต้องการความมั่นคงของคนที่เราดูแลหรือทายาท เราคงต้องซื้อประกัน แต่จำนวนเงินต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่า ในช่วงระยะเวลาที่เราต้องส่งค่าเบี้ยประกัน เรามีความสามารถในการส่งเบี้ยมากน้อยเท่าไหร่ เพราะประกันต้องส่งจนครบกำหนด ไม่อย่างนั้น จะแทบไม่ได้เงินต้นคืนเลย จะเรียกว่าขาดทุนย่อยยับก็พูดได้ ผมเห็นมาเยอะแล้วครับว่ามีคนไม่ต้องการส่งเบี้ยประกันต่อจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แทบจะไม่ได้เงินต้นคืนเลย จะส่งต่อก็ไม่ได้ หรือไม่อยากส่ง เสียดายเงินแทนครับ ถ้าจะซื้อประกันต้องคำนวณให้ดีๆ ว่าต้องการจะส่งเท่าไหร่ ต้องการเงินคุ้มครองเท่าไหร่ ถ้าสามารถส่งเบี้ยครบ ผลตอบแทนจะประมาณ 2% ครับ (ไม่รวมผลประโยชน์จากการหักภาษี) ตัวผมทำประกันในระดับที่ตัวเองมีความสามารถและความเต็มใจส่งเบี้ยเพียงแต่จำนวนหนึ่ง และไม่คิดจะทำอีก ส่วน LTF มีความเสี่ยงและผลตอบแทนในการลงทุนมากกว่าการทำประกันแน่นอนครับ แต่เงื่อนเวลาก็สั้น สามารถนำเงินมาลงทุนหมุนเวียนได้เมื่อครบ 5 ปีปฏิทิน (อย่างน้อย 3 ปี ถ้าซื้อปลายปีแรกขายต้นปีที่ 5) เราก็จะได้ผลตอบแทนจากการหักภาษีโดยใช้เงินก้อนเดียวกันหมุนเวียนไป และเดี๋ยวนี้มี LTF หลายแบบให้เลือกตามความเสี่ยงที่สามารถรับได้ ถ้าเราต้องการเพียงแค่ผลประโยชน์จากการหักภาษีและผลตอบแทนการลงทุน LTF เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากครับ RMF ก็มีลักษณะผสมจากข้อดีข้อเสียของประกันกับ LTF คือ มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่าการซื้อประกัน เพราะแต่ละกองทุนมีนโยบายการลงทุนให้เลือกที่แตกต่างกันไปตามความสามารถในการรับความเสี่ยง แต่จะไม่มีวงเงินคุ้มครองชีวิตเท่านั้นเอง แต่สามารถลงทุนเท่าไหร่ก็ได้ (แต่ต้องลงทุนทุกปี) หรือลงทุนขั้นต่ำเพื่อไม่ให้โดนปรับภาษีคืน ในการหาผลประโยชน์ในการหักค่าใช้จ่ายทางภาษี ควรจะคิดด้วยวัตถุประสงค์ของการลงทุนให้มากๆ ด้วยครับ ว่าเราต้องการแบบไหน โดยเฉพาะการซื้อประกัน จากคุณ : Geo.Explorer เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 06:10:39

ความคิดเห็นที่ 11 สำหรับผม ผมเอา LTF ให้เต็มก่อน ส่วนประกัน กับ RMF อยู่ในเรทเดียวกัน ขอบคุณ คุณ Define ที่ติงครับ LTF + ประกันพร้อมกัน RMF มันเอามารวมกะประกันไม่ได้ครับ อันนี้ผมเขียนไม่ดีเอง อาจจะทำให้ตีความผิดกันไปได้ RMF กับ ประกัน เอามาคิดคนละตัวถูกแล้วครับ แต่เรทเดียวกัน ผมหมายถึง ผลตอบแทนครับ RMF กับ ประกัน จะให้ผลตอบแทนใกล้ๆกัน แต่RMF จะสูงกว่าหน่อยนึง เนื่องจากไม่ต้องหัก ค่าประกันชีวิต ที่คิดตามอัตรามรณะ ครับ แต่จุดประสงค์ก็ต่างกัน ประกันชีวิตเน้นไปที่การบริหารความเสี่ยง แต่มีเรื่องผลตอบแทนการลงทุน เป็นตัวเสริม ส่วน RMF เป้าหมายเพื่อเงินตอนเกษียณ แต่จะต้องถือจนอายุ 55 ปี ซึ่งยาวมาก แต่ผลตอบแทนสูงกว่าประกัน ซึ่งทั้ง ประกัน และ RMF สามารถหักภาษีได้เหมือนกัน ทีนี้เราต้องดูจุดประสงค์ครับ คิดว่าถ้าเราไม่อยู่ คนข้างหลังจะมีเงินพอใช้หรือเปล่า ทั้งค่าเล่าเรียนลูก ค่าผ่อนบ้าน หนี้สินอื่นๆ ถ้ายังไม่พอก็ควรทำประกันเพิ่ม เพื่อให้ Cover ความเสี่ยงเหล่านี้ครับ แต่ถ้าคิดว่าพอแล้ว ก็ควรเลือก RMF มากกว่า เพื่อเป้าหมายสำหรับการเกษียณครับ ส่วนถ้าต้องเลือกระหว่าง RMF กับ LTF ผมแนะนำ LTF ก่อน เพราะในระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงกว่า แถมถือแค่ 5 ปีปฏิทินเอง จากคุณ : shine-rise เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 11:34:07

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณทุกคนมากค่ะ ส่วนตัวเราคืออยากลงทุนแบบได้ตังค์คืนเร็วในสามปีหรือห้าปี และลดภาษีด้วย เพราะอีกสองสามปีคงต้องเรียนต่อ  แล้วรายรับจะลดลง กลัวไม่มีตังค์ส่งประกันช่วงนั้น แต่จะลง LTF ไป max ก็กลัวอีก (ก็ set มันสูงอ่ะ เกี่ยวมั้ย T__T) ช่วงนี้เลยทยอยซื้อ LTF ค่อยๆเก็บจนถึงปลายปี น่าจะได้สักห้าหมื่น คุณ shine-rise  สนใจประกันที่ค่าคอม 3% ค่ะ  ขอทราบรายละเอียดได้มั้ยคะ จากคุณ : อับปัญญาชน เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 20:50:22

ความคิดเห็นที่ 13 เป็นหมอหรือ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:39:04

ความคิดเห็นที่ 14 วัตถุประสงค์ ลดหย่อนภาษี เหมือนกันทั้ง LTF / RMF ประกัน ออมเงินไว้ใช้เอง (และ/หรือเผื่อคนข้างหลัง) = RMF คิดถึงคนข้างหลัง = ประกัน ลงทุน (มีโอกาสงอกเงย หรือ ขาดทุน) = LTF สินค้าแต่ละตัวเหมาะกับลูกค้าแต่ละคนแตกต่างกันไป จากคุณ : TheKop78 เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 09:47:59

ความคิดเห็นที่ 15 ตามความคิดของผม (เป็นตัวแทนฯ ด้วยสิ) ระหว่าง LTF กับประกันฯ ไม่ว่าจะมองในเรื่องผลตอบแทนระยะสั้นหรือระยะยาว LTF ก็ผลตอบแทนดีกว่านะครับ ถึงจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า แต่รอบในการลงทุนมันจะเฉลี่ยผลตอบแทนไปเองครับ ส่วนประกันฯ จะช่วยในเรื่องของการคุ้มครองความเสี่ยงของชีวิตของคุณมากกว่าครับ ยกตัวอย่างนะครับ คุณซื้อ LTF ปีละ 30,000 เป็นเวลา 5 ปี คุณซื้อประกัน ปีละ 30,000 จ่ายไป 5 ปี เหมือนกัน คุณเสียไป 150,000 เท่ากัน (ลดภาษีได้เท่ากัน) ถ้าคุณซื้อ LTF อาจจะได้เงิน 200,000 - 250,000 หรืออาจจะเท่าทุนหรือขาดทุนนิดหน่อย ยังไงก็คงไม่ขาดทุนมาก เพราะเค้าใช้มืออาชีพบริหารกองทุน(ถ้าไม่โชคร้ายจริง ๆ นะครับ ^^) แต่ถ้าคุณซื้อประกัน 5ปี ผ่านไปคุณยังไม่ได้เงินคืนนะครับ ต้องรอครบกำหนดสัญญาซึ่งอาจจะ 10 ปี เต็มที่คุณก็ได้ประมาณ 200,000 มันน้อยกว่าแน่นอน แต่สิ่งที่แตกต่างกันอีกอย่างก็คือคุณจะได้เงินที่คุณทำประกันไว้แน่ ๆ ไม่ว่าคุณจะอยู่หรือไม่อยู่ครับ ให้ไว้เป็นแง่คิดเท่านี้แหละครับ จากคุณ : JReal09 เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 17:51:20