ความคิดเห็นที่ 1 ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990 (จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด) - จากปี 1987(2530) เราเจอกับ Black Monday ตลาดเริ่มต้นปีที่ 200 จุด วิ่งไปสุดที่ 450 จุด แล้วเจอ Black Monday กลับลงมาที่ 250 จุด ถือว่าเป็นปีที่ผันผวนแรงมากคือเกิน 100%    - ปี 1988(2531) แน่นอนหลังจากตลาดตกแรงปีนี้ตลาดก็เริ่มฟื้นตัว ตลาดวิ่งจาก 250 ขึ้นไปปิดที่ 450 จุดปลายปี ถือว่าเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนที่งดงาม และเป็นจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle กับฝันเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย    - ปี 1989(2532) ธุรกิจ Real estate และ เงินทุนหลักทรัพย์เริ่มบูม ตลาดวิ่งจาก 450 จุด ไปปิดที่ 900 จุดปลายปี    - ปี 1990(2533) ปีนี้เกิดสงครามอ่าวเปอร์เซียอิรักบุกคูเวต ตลาดเริ่มที่ 900 จุด วิ่งไป Peak ที่ 1150 จุด ก่อนที่จะตกลงมาที่ 550 ในปลายปี คือ ต้องพึงสังวรไว้ว่าถ้าปีที่แล้วดี ปีนี้ต้องระวัง และนี่ดีมา 2 ปีติดกัน ทำให้ปีนี้ต้องมีอันซวยเป็นธรรมดา "สัจธรรม พึงสังวร" นี่ คือ 4 ปี แห่งความเมามันส์ "ขาขึ้นอย่างแรงของตลาดหุ้นไทย" SET วิ่งจาก 200 จุด ไปแตะที่ 1,150 จุด ใน 4 ปี (เป็นห้าปี ที่ทำให้หลายๆคนรวย เพราะภาพใหญ่อยู่ในขาขึ้น "ซึ่งก็มี Correction เป็นระยะๆ ตามทฤษฏีของ หุ้นขึ้นแบบคลื่น(ไม่ใช่จรวด) "Elliott Wave" สังเกตไหมครับ Super Bull Market ในครั้งนี้เริ่มจากจุดตกต่ำ นั่นก็คือ "Black Monday" ...ตามคำกล่าวที่ว่า จุดสิ้นสุดของ Bear Market ก็คือจุดเริ่มต้นของ Bull Market นั่นเอง...และ Black Monday ก็คือจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle 1 (แล้ววิกฤตอะไรจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle 2 ..ใช่ Sub-prime รึเปล่าน๊า!!) (จากกราฟปี 1989) ก็เริ่ม Real estate Bubble!! จากนั้นตลาดก็ลากกระฉูด จนไปจบหลังจากสงครามอ่าวเปอร์เซีย สังเกตไหมครับ ว่า "ตลาดมันขึ้นลงเป็น Cycle ...คุณเรียนรู้อะไรจาก กราฟ และ 4 ปีนี้" แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 16:51:30 จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:50:21

ความคิดเห็นที่ 2 ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )    - ปี 1991(2534) จากสงครามอ่าว สู่พฤษภา ทมิฬ นับว่าผีซ้ำ เหยียบเรา ต้นปี ตลาดวิ่งจาก550 ขึ้นไปสุดที่ 900 จุด ก่อนที่จะอ่อนลงมาปิดที่ 700 จุดปลายปี คือ ปีนี่ แย่ + แย่ ตลาดหุ้นจึงไม่แย่มาก "อย่า งง จงพึงสังวรครับ"    - ปี 1992(2535) ปีนี้ประเทศเรา เริ่มมี VAT โดย อานันท์ เข้ามาแก้ปัญหา สุจินดาทมิฬ ปีนี้ผันผวน เปิดที่ 700 จุด ขึ้นๆลงๆ ไปปิดที่ 850 จุดปลายปี    - ปี 1993(2536) หลังจากแย่มาหลายปี ติดต่อกัน ปีนี้ตลาดก็กลับมาดี "สัจธรรมมาอีกแล้วครับท่าน" ตลาดเริ่มบูม เข้าสู่ยุคทองคำของตลาดเงิน ตลาดวิ่งจาก 850 จุดไปสูงสุดที่ 1750 จุด( ปีนี้ใครซื้อหุ้นจะรวยมาก) แต่อะไรถ้าดี ก็มีความเสี่ยง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่แมลงเม่าเข้าตลาดมากมาย และผลก็คือ ปีต่อมา แมลงเม่าก็ต้องตาย -- คุณสงสัยไหมว่าทำไมพวกแมลงเม่าถึงไม่เข้าตลาดตอน Black Monday แล้วถือยาว น่าคิดไหมครับ สงครามอ่าวถือเป็น Correction ในระหว่าง Asian Miracle 1 "สิ่งนี้เตือนสติเราว่า แม้ตลาดในภาพใหย่ยังอยู่ในขาขึ้น แต่แน่นอนตลาด "จะไม่วิ่งเหมือนจรวด" จะวิ่งเหมือนคลื่น จึงทำให้ต้องมี Correction อยู่เป็นระยะ ..จากสงครามอ่าว ก็เจอพฤษภา ทมิฬ (นองเลือด จากการเมือง) ..จากนั้นเราก็ได้นายก อนันต์ เข้ามากอบกู้ ดึงตลาดให้ดีขึ้น "เอ๊!! คล้ายๆ นายกหล่อใหญ่ที่เข้ามาพยุงตลาดผ่านวิกฤตการเมือง(ที่นองเลือด) อะเปล่า" --- เห็นไหมครับ History repeat itself !! คุณเริ่มสยองหรือยัง ...สยอง ๆ ๆ จากนั้นปี 1993 ตลาดก็ลากขึ้นไปจาก 800 จุด กระชากขึ้นไปที่ peak เกือบ 1,800 จุด (ดัง นั้นจากปี 1987 - 1993 ผ่านทั้งเรื่องดีและเลวร้าย เริ่มจาก Black Monday ผ่านสงคราวอ่าว ผ่านการเมืองเลือด พฤษภาทมิฬ ..แต่ไฉนตลาดวิ่งถึง 9 เท่าในเวลา 7 ปี "ตลาดตอนนั้นโฑตปีละกว่าเท่าตัวโดยเฉลี่ย ..ถามหน่อยคุณไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ (ขาขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีข่าวดีตลอด คุณเห็นเหมือนผมไหม!!) จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:54:49

ความคิดเห็นที่ 3 ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" ) ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" ) เป็นช่วงที่ภาพใหย่ของตลาดเข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง ...3 ปีนี้ตลาดรูดจาก 1750 จุด ลงมาแตะ 800 จุดปลายปี 1996 นั่นเอง สังเกตให้ดีจะเริ่มรู้ ว่า เวลาตลาดเข้าขาลง "ทุกเรื่องเลวร้ายก็จะถาถมเข้ามา ..ตั้งแต่สงคราม , ปัญหา ฟินวัน ของปิ่น จักกะพาก , บีบีซี , เกิดปัญหาการเงินลุกลาม , ในตลาด Real Estate ก็มีการสร้างมากเกินไปจนตลาด Over Supply ...ผลลัพธ์ก็คือ "ผลประกอบการของบริษัทต่างๆในตลาด กำไรลดลงอย่างฮวบฮาบ" คุณสังเกต ไหมครับว่า "เวลาตลาดเข้าขาลง มันจะต้องมี trigger point ที่เลวร้าย (แต่ถ้าคุณมองเทียบกับปี 2010 ในเวลานี้จะเห็นได้ว่า ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ) เอาเป็นว่า ภาพที่เห็นในสามปีนี้เป็นสัญญาณเตรียมแย่นั่นเอง "กำไรบริษัทลดลง สินค้าล้นตลาดขายไม่ได้ บ้านก็ขายไม่ได้ ธนาคารก็ประสบปัญหา ..ทุกอย่างหยุดชะงัก (จุดนี้ถ้ามองให้ดีๆ มันก็คือ ตลาดอเมริกาหลัง Sub-prime ในขณะนี้นั่นเอง"..."ถ้าเป็นเช่นนั้น มันเป็นนัยๆว่า อเมริกา จะเผาจริงในไม่ช้ารึเปล่า ..คอยดูกัน!!) จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:56:18

ความคิดเห็นที่ 4 ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )    - ปี 1997(2540) เริ่มเผาทุกชีวิต ปีแห่งต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินล้มระนาว Realestate พังกระจาย ตลาดจาก 800 จุด ลงมาปิดที่ 350 จุด ปลายปี    - ปี 1998(2541) เผาจริง เผาต่อ ไหม้กันทั้งหมด ตลาดจาก 350 จุด ลงมาต่ำสุดที่ 200 จุด ก่อนจะวิ่งไปปิดที่ 300 จุด ปลายปี    - ปี 1999(2542) หลังจากเผามานาน 2 ปีเต็ม ก็ต้องกลับมาดีขึ้น แม้เหตุการณ์ต่างๆยังแย่อยู่ ตลาดวิ่ง จาก 300 จุด ไปปิดที่ 500 จุดปลายปี "ดังนั้นจงจำไว้ว่า ถ้าต่ำสุดๆเมื่อไหร่ให้เข้าตลาด" -- ปีนี้คือ หุ้นกระทิงใน เศรษฐกิจหมี คล้ายกับปี 2009 ยังไงยังงั้นเลยนะเนี่ย ---ปีนี้เริ่มหวั่น Y2K ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น ) หลังจากปัญหาสะสมเมื่อสามปีก่อน ก็ทำให้ตลาดดิ่งต่อ "ใครที่เคยเล่นหุ้นในตลาดแบบนี้ ยากที่จะรอดตาย เพราะมันเผาจริง " และผลของการ Crash อย่างแรกของ "วิกฤตต้มยำกุ้ง" ในครั้งนี้ มันทำตลาดเสีย Phycology ของตลาด เรียกได้ว่า "พังไปเลย" ช่วงนั้น ถ้ามองในทางธรรม มันเป็นการชำระล้างบาป "เน่าทั้งตลาด" (ช่วงนี้มีคนโดนตึกตายและหมดตัว อย่างมากมาย) ถ้า มองให้ดี "คุณจะรู้สึกดีแค่ไหน หากคุณไม่ได้เป็นหนึ่งคนที่ต้องหมดตัวไปกับวิกฤตในคราวนั้น"...เอาเป็นว่า ในภาพใหญ่คุณจะเห็นตลาดดิ่งลงจากปี 1994 จนถึง Bottom ปี 2008 ที่ 200 จุด (จากนั้นเมื่อตลาดแตะจุดต่ำสุด มันก็จะต้องเด้งขึ้น ซึ่งเป็นสภาวะในปี 1999 ที่ตลาดเด้งกลับมาดีขึ้น) จากนั้นตลาด ก็เจอวิกฤตซ้ำ ก็คือ Y2K ในปี 2000 นั่นเอง ประเด็น ที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ "ในตลาดขาลง เราจะรู้สึกแย่ แต่ถ้าเอามาวัดกันจริงๆ ช่วงที่ตลาดขึ้น ก็มีเรื่องร้ายๆเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่ต่างไม่ใช่ข่าว "เพราะข่าวนั้นมีทั้งดีและร้ายอยู่ตลอดเวลา" ..แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ "คุณจะต้องรู้ว่า ระหว่างที่คุณเล่นหุ้นอยู่ คุณกำลังอยู่ใน ขาขึ้นหรือขาลง !!" จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:57:32

ความคิดเห็นที่ 5 ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )    - ปี 2000(2543) ปีนี้ยังแย่ต่อ หนี้รัฐแตะ 64% ของ GDP สูงกว่าปี 2010 อีก ปีนี้ตลาดรวมดีขึ้นแต่หุ้นกลับแย่ลงวิ่งจาก 450 จุด กลับมาที่ 300 จุด -- ถึงจุดนี้เราเริ่มเสียวแล้วว่าปี 2010 หุ้นอาจกลับมาแย่ใหม่ ตรงนี้ใครดีใครได้    - ปี 2001(2544) ซวยต่ออีก "9/11" จีนเข้า WTO /ทักษิณ เป็นนายก /กำเนิด Harry Potter ตลาดไม่ไปไหน จาก 300 ลงไป 250 วิ่งไป 340 ลงมา 270 แล้วไปปิดที่ 320 สรุปว่าตลาดไม่ไปไหนเลย    - ปี 2002(2545) มือถือ Orange เข้ามาในไทย /แอ๊ด เปิดตัว คาราบาวแดง / เริ่ม RMF - LTF ลดภาษี / Game Online เริ่มฮิตในเมืองไทย Asiasoft ตลาดวิ่งจาก 320 จุด ไปสูงสุดที่ 420 จุดกลางปีและลงต่ำที่ 320 จุด ก่อนมาปิดที่ 370 จุดปลายปี    - ปี 2003(2546) ปีนี้ Roynet เจอปิดเพราะแต่งบัญชี / ซาร์ส ระบาด โรงแรมซวยกันหนัก - ก่อตั้งกองทุนวายุภักษ์พยุงหุ้น / เริ่มบ้านเอื้อาทร / หวยบนดิน ล้างใตเดิน / ครัวไทยสู่โลก /รัฐตั้งกองทุนพยุงราคาน้ำมัน / สินค้าจีนทะลักเข้าไทย หลังเปิด เอฟทีเอ / ไข้หวัดนกกระหน่ำต่อ แต่สรุปตลาดดี จาก 350 จุด วิ่งไปปิดที่ 700 จุด ปลายปี    - ปี 2004(2547) ปีนี้ IPOD เริ่มตีตลาด / orange ทิ้งตลาดไทย / เริ่มวิกฤตราคาน้ำมัน / สุวรรณภูมิดันราคาที่ดินพุ่ง / สึนามิถล่มไทย สรุปหุ้นผันผวนมาก จาก 700 จุด ลงมาต่ำที่ 590 จุด วิ่งไปปิดที่ 680 จุดปลายปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า    - ปี 2005(2548) ปี นี้วุ่นวานตามปกติ เจริญ ซื้อ โออิชิ / น้ำมันเริ่มแรง บอนด์น้ำมันขายดี เริ่มกระแสพลังงานทดแทน / เกาหลี ฟีเวอร์ถือกำเนิด หุ้นจากต้นปี 680 จุด วิ่งไปที่740 ลงมาต่ำที่ 640 จุด กระโดดไป 720 จุด ลงมา 680 สิ้นปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า    - ปี 2006(2549) ทักษิณขายหุ้นเลี่ยงภาษี เปิดตำนาน เสียค่าโง่ประวัติศาสตร์ โดน รัฐประหาร -- ปีนี้หุ้นจาก 680 วิ่งไป 780 จุด ลงมาที่ 650 จุด ก่อนไปปิดที่ 620จุด วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า    - ปี 2007(2550) ปีนี้นำมันแพงสุดๆ ทำให้กลุ่มพลังงานกำไรมหาศาล -- จตุคามแรงมากปีนี้ หุ้นจาก 650 จุด วิ่งไปสูงสุดที่ 900 จุด ก่อนที่ลงมาปิดที่ 800 จุด ปลายปี (ปีนี้พวกแมลงเม่าเริ่มวิ่งเข้าน้ำมัน และ โรงกลั่น และ นี่ก็คือ สัจธรรม ปีถัดมา มันตายหมดครับท่านผู้ชม)    - ปี 2008(2551) ปี เผาแมลงเม่าน้ำมัน ตลาดกลับไป peak อีกทีที่ 900 จุด ก่อนเผาลงมาปิดที่ 420 จุด เรียกได้ว่าตายกันถ้วนหน้า ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" ) เป็นเก้าปีที่วิ่งขึ้น แล้วก็กลับมาที่จุดเดิม "เอ๊ะ !! หรือใครอาจตีความว่าเป็น -- ทฤษฎีระฆังคว่ำ" ห้วงเวลานี้ เมืองไทยอยู่ใน การเดินทางภายใต้ "อัศวินคลื่นลูกที่สาม..อ่าฮ้า คุณทักษิณ" (เอาเป็นว่าผมจะไม่กล่าวอะไร ให้ดูกราฟเอาเองว่า ตลาดหุ้นเป็นอย่างไร) หุ้นขึ้นเป็นระฆังคว่ำ ถ้ามองอย่างผิวเผินไม่น่าจะมีใ:-)ได้ แต่มันมีครับ (อยู่ที่ว่า คุณเป็นใคร อิ อิ อิ) เอ๋อ..เอาเป็นว่า ดร.นิเวศน์ แกก็รวยขึ้นมาก ในช่วงนี้ (อิ อิ เป็นการเขียนเบี่ยงประเด็นการเมืองที่เนียนมาก ..อิ อิ อิ) ฮ่า ฮ่า ฮ่า --- 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" เป็นห้วงเวลาที่เหล่าคนรวยในเมืองไทยไม่พอใจ แต่รากหญ้าพอใจ เพราะชาวนามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากนโยบายประชานิยม กองทุนหมู่บ้าน ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ..จะให้มองว่าดี มันก็มีข้อดี เช่น คนรวยไม่รวยขึ้น เพราะไม่มีใครสามารถขึ้นได้ .."มันเป็นความอึดอัดของ กลุ่มผู้มีอำนาจต่างๆ ...ห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาของการบ่มเพาะ รอยร้าวทางการเมือง ที่แย่ที่สุดตั้งแต่เรามีระบอบประชาธิปไตย (ผมนั่งยิ้มอยู่ ออสเตรเลีย แล้วนึกในใจว่า "บ้านกูแซงสิงค์โปร์แน่" ...แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย!!) "มันลับ ลวง พราง" ปี 2009 "หนองแตก!!" เลือดสาดทั่วเมือง แต่ตลาดหุ้นกลับขึ้น "เป็นพลุแตก" ...คุณสงสัยไหมว่าทำไม (สงสัยต่อไป อิ อิ สวัสดีครับ) จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 16:59:27

ความคิดเห็นที่ 6 ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remember?) ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!" (ปี 2009 ) คงไม่ต้องเอาข่าวมา Review ให้ดู เพราะผมเชื่อว่า ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงวนเวียนในความทรงจำของทุกคน "แบบ งงๆ " นั่นก็คือ เศรษฐกิจไม่เห็นจะดี การเมืองก็แย่ "แต่หุ้นวิ่งเอาวิ่งเอา" ตั้งแต่ปิดสนามบินปลายปี 2008 "นักวิเคราะห์ทุกคนฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า (เน่า)..เมืองไทยเน่า ไม่ได้ผุดได้เกิดแน่" ผ่านไปเดือนเมษา "ตูม" ปิดเมืองเผาครั้งแรก และ ก็ค่อยมาเผาจริงต้นปี 2010 ...สังเกตเห็นไหมครับว่า "ทุกอย่างดูแย่ ทำไมล่ะ" ก็เพราะสื่อที่เราดูมันบอกว่า "แย่" ดังนั้น ข่าวตลอดปี 2009 มันเลยเป็นข่าวแย่ๆ แต่คุณรู้ไหม ผมนั่งทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพ ตัวเลขผลประกอยการของธนาคาร มันไม่ได้บอกเลยว่าแย่ เพราะปี 2009 ที่ทุกคนว่าแย่ แต่ธนาคารกรุงเทพทำกำไรได้มากกว่าปี 2008 อีก ..."คือจริงๆมันไม่ได้แย่ แต่ที่แย่คือ ข่าวมันแต่ เผอิญทุกคนดูแต่ข่าว เลยคิดว่าแย่ "คุณก็เลยซวยกันหมด!!" ...ปลายปี 2008 เมืองไทยเรียกได้ว่า "ขายหมูครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์" จริงกิจการมันไม่ได้เลวร้าย แต่ที่แย่ เพราะคนรู้สึก "กลัว" นี่ไง Fear & Greed มันเข้ามาบิดเบือน กลไกราคา ทำให้ "คนที่มองทะลุ ภาพลวง จึงสามารถ เข้าไปเก็บหมูในตลาดได้" จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:01:01

ความคิดเห็นที่ 7 และแล้ว ก็ถึงปัจจุบัน ปี 2010 และนี่กราฟปี 2010 (30 สค 53) ..หลายคนกำลังกลัวว่า "นี่คือ ยอดดอย..มันจะพังแล้ว รีบหนี!! รีบหนี!!" ...ผมว่าคุณลืมไปหรือเปล่าว่า "History Repeat itself!!" (นั่นก็คือ คุณต้องเข้าใจว่า จริงๆตอนนี้คุณอยู่ตรงไหน หลังจากตลาด "เลว" มาตลอด 16 ปี (แค่พุ่งมา 2 ปี แล้วคุณจะตีความว่า "ยอดดอย" No No No !! ไม่ ไม่ ไม่ (เร็วไป) "เส้นทางนี้มันยังแค่ เริ่มต้นเท่านั้น อิ อิ อิ " (เริ่มต้นมรณะรึเปล่าฟะ !!...ไม่ ไม่ !!...No No No!!)--It 's call the beginning of Asian Miracle 2 ต่างหาก "พี่น้อง!!" จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:02:46

ความคิดเห็นที่ 8 เพื่อเชื่อมโยง และขยายความจากเนื้อหาทีต่อเนื่องกันในกระทู้ เตรียมตัวให้พร้อมกับตลาดหุ้นในยุค Asian Miracle 2 (คนฉลาดคว้าโอกาสและจังหวะทันจะรวย “New Rich”) ครับ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9840822/I9840822.html โชคดีแบบใช้ฝีมือในการลงทุนครับ ขอขอบคุณ คุณ Pawawit อีกครั้งกับการแบ่งปันข้อมูลดี ๆ ครับ จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:07:36

ความคิดเห็นที่ 9 ขยันจริงๆ คุณ Grand    ว่าแต่เมื่อก่อนใช้ login อะไรเหรอ? จากคุณ : เกรซอยากรวย เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:13:39

ความคิดเห็นที่ 10 ใครๆ ก็ไม่อยากให้ช่วงนี้เป็นยอดดอย เพราะอยากจะเก็บไม้ต่อ แต่ก็ไม่ควรประมาทและโลภมาก เตรียมชูชีพให้พร้อม โดดทันทีเมื่อมีสัญญาณ จากคุณ : มาลัยดำ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:27:22

ความคิดเห็นที่ 11 มีอันนี้อันเดียว อะครับ สมัครเมื่อปี 50 ครับ สมัยตราสารหนี้กำลัง Boom สุด ๆ  ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ ดีครึ่งปีแรก สมัยที่  SCBSFF ให้ผลตอบแทน 4.5% KTDF 17% ต่อปี พอตราสารหนี้ร่วงก็เลยเปลี่ยนเป็นกองทุนเกาหลี ฝาก 2 ปี ได้ปีละ 5.25% 1ปี ได้ 4.8% เยอะมากเลยครับ แต่ผลตอบแทนร่วงลงมาเรื่อย ๆ จนผมเปลี่ยนมาเข้ากองทุนหุ้นในที่สุด แล้วก็ขยับมาเล่นหุ้นเองตอนต้นปี 53 ครับ จำได้ว่า มีพี่ หมีพูหมูพี  ให้คำแนะนำเรื่องกองทุนตราสารหนี้ และกองที่ลงต่างประเทศ มีพี่ tubbygal ที่ทำงานเทรดตราสารหนี้เองเลย มาแนะนำ แะให้ข้อมูลดีมาก ๆ ครับ แต่หายกันไปหมดแล้ว และที่เหลืออยู่จากยุคนั้นที่เห็นชัด ๆ ก็คือคุณ Mr.Messenger ,Pjuk แก้ไข ชื่อ คุณหมีพูหมูพีครับ แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 20:33:38 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 17:34:10 แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 17:30:45 จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:27:58

ความคิดเห็นที่ 12 ช่วงนั้นจำได้ว่า มีกระทู้ตราสารหนี้เยอะมากครับ เดียวนี้เหลือนิดเดียว เอิ๊ก จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:29:53

ความคิดเห็นที่ 13 จากคุณ : sandee.kung เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:38:37

ความคิดเห็นที่ 14 ว่าแต่คุณเกรซอยากรวย ใช่คุณหนูอยากรวยเปล่าครับ ผมจำได้ว่า คุณหนูอยากรวย ฮอตสุด ๆ ขนาดคุณเย่หยงเทียน ยังเป็นแฟนคลับคุณหนูอยากรวยเลย เหอๆ พูดถึงวันที่ดี ๆ เก่า ๆ เหมือนผมแ่ก่แล้วแฮะ จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 17:39:08

ความคิดเห็นที่ 15 เจ๋งครับ อ่านแล้วนึกถึงหนังสือ เศรษฐศาสตร์สัญชาตญาณสัตว์ (ที่ยังอ่านไม่จบ) ห้าๆ คลื่นมันมากับความเชื่อ(มั่น) รึเปล่า หุๆ จากคุณ : Nong-KiD เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 18:18:00

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นกราฟใน คคหที่ 5 แล้วผมรู้สึกหวั่นใจั้นมาเลยครับ ถ้ารอบนี้ มีเหตุการณ์พลิกผันแบบนั้น สงสัยหมดตัวแน่นอน ในช่วงนี้ จะมีเหตุการณ์อะไร ที่น่าจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นมั้ยครับ จากคุณ : QA Manager เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 19:20:36

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ Grand นอกจาก จะดูงบการเงินได้ละเอียดและเฉียบขาด ยังสามารถดูด้านเทคนิคที่ผ่านมาของดัชนี มันเป็นเวลาหลายปี กว่าดัชนี จะขึ้นมาถึง 999 ใกล้จะถึง 1000 หลายคนเจอกับความเจ็บปวด จากดัชนี ร่วงลงหนัก ส่วนใหญ่ ติดอยู่บนดอย แสนนาน อาการกลัวติดดอย ยังคงติดตัวมา แม้แต่ช่วงหลัง ผมเปลี่ยนแนวไปซื้อหุ้นปันผลมากกว่า 70% ในพอร์ต แต่ก็ยังหวาดหวั่น เพราะถ้าตลาดปรับฐาน เป็นขาลงยาวนาน ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ก็จะไหลลง และผมเป็นคนไม่ชอบ Cut Loss ถ้าพื้นฐานไม่เปลี่ยน บางครั้ง ราคามันจะลงต่ำกว่าเงินปันผลอีก แต่อย่างไร ก็ยังดีกว่า ถือหุ้นที่ไม่มีเงินปันผลครับ จากคุณ : สาระขัน เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 19:22:09

ความคิดเห็นที่ 18 เกาะห้องนี้มาตั้งแต่ยุคคุณหมีพูหมูพีเหมือนกันค่ะ ยุคตราสารหนี้เฟื่องฟูสุดๆ จากคุณ : I Promise เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 19:43:49

ความคิดเห็นที่ 19 ผมว่ายุคนี้ เล่นเขียว แดงดีกว่าครับ สบายใจดี กำไรแบบพอเพียง มี stop loss อยู่ในกราฟ จากคุณ : whipsaw (whipsaw) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:01:42

ความคิดเห็นที่ 20 ผมไม่ใช่ คนเขียนนะครับ หุหุ ผมไม่ได้เก่งมากขนาดนั้นอะครับ คุณ pawawit เป็นคนเขียนอะครับ ผมไปก๊อบของเขามาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน ผมเอามาจากเว็บ บล๊อคสปอตของเขาครับ http://monkeytrade.***.com/2010/08/1987-2009.html *** = บล๊อคสปอต ในภาษาอังกฤษ ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ การขึ้นของ SET โดยปกตินั้น การขึ้นมาก ๆ อย่างนาน โดยไม่่มีการปรับฐาน ถือว่าน่ากลัว เพราะโดยปกติแล้ว หุ้นขึ้น ควรมีการปรับฐาน เนื่องจากคนต้นทุนต่ำจะมีการขายทำกำไรกันออกมาอยู่แล้วโดยปกติ แล้วพอแรงขายหมด แรงซื้อก็จะเข้ามาใหม่หุ้นก็จะขึ้นรอบใหม่ (โดยหุ้นขาขึ้น แรงซื้อรวมจะมากกว่าแรงขาย) ดังนั้นการขึ้นอย่างเดียว เวลาคนต้นทุนต่ำขายทำกำไร ขายทีก้จะขายกันแบบหลายราคา  เพราะกำไรเยอะ ขายยังไงก็กำไร ยกเว้นจะมั่นใจกันสุดขีด นั่นคือ Bull Market แบบแรง ๆ ของจริง แต่็จะเห็นการปรับฐานรุนแรงเช่นกัน แต่หลังจากนั้นก็ขึ้นแรงอีก เพราะลงมาเกินเหตุ วิกฤต จะเกิดอีกหรือไม่ ต้องคอยติดตามกันต่อไปครับ ตัวเลขต่าง ๆ ตอนนี้ของไทย ยังดูดีพอสมควร บริษัทโดยรวม หนี้น้อยกว่าสมัยต้มยำกุ้งเยอะ เชื่อว่า วิกฤตของไทยคงไม่เกิดเร็ว ๆ นี้แน่ ส่วนของเมกาไม่แน่ใจครับ เพราะ ผลิตแบงค์กงเต็กออกมาเยอะเหลือเกิน แม้ว่า ตัวเลขบางอย่างจะดีขึ้น แต่ก็ไม่น่าไว้วางใจเสียทีเดียว จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:05:11

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณมากค่า อ่านแล้วได้ความคิดดีๆ อีกเยอะเลยค่ะ ให้กิ๊ฟแทนคำขอบคุณนะคะ จากคุณ : ณกานต์ เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:20:38

ความคิดเห็นที่ 22 อ่านแล้วรู้สึกอินคะ ขอบคุณมากมาย เพ่ิงมาเล่นห้องสินธรได้ไม่นานแต่ได้ความรู้มากมายเหลือเกิน จากคุณ : Nokki (trira) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:45:59

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณมากครับ ทั้งคุณ pawawit แล้วก็ Grand Marshal1 อ่านแล้วได้รู้อะไรอีกเยอะเลย ส่วนตัวผมก็พึ่งเจอวิกฤติเดียว Subprime ก็ได้ข้อคิดที่ว่า ถ้าหุ้นมันขึ้นไปเยอะมากๆ ก็ต้องระวังๆหน่อย :) แต่ก็อย่างที่ในบทความว่า เมืองไทยผลประกอบการหลายๆบริษัทดีเลยทีเดียว แล้วถ้าอเมริกาแย่ ก็น่าจะโยกมา asia เยอะมาก Set ก็น่าจะไปได้อีกไกลเลยทีเดียว จากคุณ : rein3 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:47:43

ความคิดเห็นที่ 24 ช่วงที่คุณว่า พายเรือในอ่าง (เพราะแต่ดูตัวเลขดัชนี)  มีหุ้นมากมายหลายตัวที่ขึ้นแรงมากๆนะคะ  แล้วไม่ใช่หุ้นปั่นด้วย สำหรับดิฉัน จำราคาหุ้นแม่น แต่ดัชนี จำได้แค่ประมาณ สูงสุด และต่ำสุด ในแต่ละรอบ ตอนที่ซื้อหุ้น ก็ดูแต่ราคาหุ้น ที่หมายตาจะซื้อ ไม่สนใจดัชนี  เพราะบางครั้ง ดัชนีลงยังไม่ถึงพื้น แต่หุ้นเราลงถึงแล้ว  ดัชนีขึ้น 300 จุด แต่หุ้นกลุ่มเรือ ยังอยู่ที่เดิม บางครั้ง ดัชนีลง หุ้นขึ้น ceiling ยังมีเลย (เห็น mdx ของลูกสาวป้าขึ้นไปเมื่อวันศุกร์) เอาตัวอย่างที่เคยซื้อนะคะ  ตัวที่ไม่ซื้อ ไม่จดจำค่ะ cmbt ก่อนเกิดการปิด 56 finances ขายล้างพอร์ต เหลือตัวนี้ตัวเดียว ซื้อ 28 นอกจากจะไม่ลงตามตัวอื่น ยังโดน tender offer ที่ 90 บาท psl  จากราคาต่ำสุด 44 สตางค์  รอบแรก ราคาขึ้นไป highest 50 บาท  ไม่ต้องมาถามว่ากำไรเท่าไร  เพราะเคยบอกแล้วว่าชอบขายหมูมาก  ต่อมาปรับฐานลงมาที่ 24 บาท แต่แจกหุ้นฟรี 1 ต่อ 1 = 12 บาท ขึ้นไป 40 บาท tnl  ตัวนี้เสียดายสุด ซื้อ 12 ขายไป 24 ลงมา 6 ซื้อไม่ทัน ขึ้นไป 12 คิดว่าจะลง เพราะในอดีต +100% จะลงหนัก  ที่ไหนได้ วิ่งไปโน่น 180 บาท ssc  ตัวนี้ อย่าคิดว่ามันขึ้นเยอะนะ เพราะถ้าเทียบกับตัวอื่นๆ ต่อเวลา ถือว่าขึ้นน้อย ขนาดซื้อได้รองจากต่ำสุดที่ 84 บาท  ขายไปก่อนที่ 125   ugp เอาเงินที่ขาย ssc มาซื้อ ได้ใจจริงๆ  เช้าก่อน WT จะถูกเครื่องบินชน ขายล้างพอร์ตหุ้นตัวอื่นๆหมดทุกโบรก  เหลือตัวนี้แค่ตัวเดียว มันไม่สะดุ้งเลย แค่ไม่กี่เดือน ปันผลให้เกิน 10% และถูก tender ที่ราคา 240 บาท kk ตัวนี้ ต่ำสุดที่ 1 บาท แต่ซื้อที่ 2.80  มีการไล่ราคาไปถึง 80-90 คู่กับ spl banpu เห็นวางขายที่ 13 บาท แต่ตอนนั้นพื้นฐานสู้ cmbt and ugp ไม่ได้เลย mfc ซื้อที่ 2.80 เพื่อนๆล้อกันใหญ่ ว่าซื้อหมูชวนฝัน มันขึ้นลูกเดียวตอนตัวอื่นๆร่วง นอกนั้น ยังซื้อ rcl 1.40  bbl 20  kbank 16  scb 12 scc 17  tpi 2.98  cpf 4 advance 30 กว่าบาท  banpu 157  ptt 28 ก็เห็นทุกๆตัว  ขึ้นได้ ขึ้นดี  พูดง่ายๆ  ขายหมูเรียบไปหมด ยังขึ้นต่อไปเรื่อยๆ   ไม่เห็นว่าจะพายเรืออยู่ในอ่างตรงไหนเลย   ยกเว้นคนที่ เข้ามาซื้อตอน peak และยังหวังว่าจะขึ้นอีกเยอะๆ   คนที่ซื้อหุ้นผิดตัว แต่ยังใจเย็นทนถือนานหลายๆปี  พร้อมกับใส่เงินเติมลงไปเรื่อยๆ  ราคาหุ้นก็เลยตีเสมอกับราคาในตลาดไปเรื่อยๆ  ดูเหมือนว่าพายเรือในอ่าง   หุ้นมากมายบนกระดานตอนนี้ ทำ new high สูงกว่าตอนดัชนี เกือบ 1800 ด้วยซ้ำไป จากคุณ : คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 20:58:38

ความคิดเห็นที่ 25 ในบทความของคุณ pawawit น่าจะหมายถึง "SET" ดัชนีของตลาดหุ้นไทย ครับ คุณแม่ลูกสอง (P.Stone) จากรูปกราฟในความเห็นที่ 5 SET เริ่มต้น และ จบ แทบเท่าเดิมเลยอะครับ  ถ้าเทียบกับตลาดหุ้นต่างชาติ ตลาดหุ้นไทยโดยรวมยังขี้เหร่ ดูอินโดสิครับ ไปเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้าเป็นหุ้่นรายตัว คนละอันกันอะครับ ก็แล้วแต่ละบริษัท ซึ่งบริษัทที่หายไปก็มาก เข้ามาใหม่ก็มากเหมือนกัน หลาย ๆ ตัวทำจุดสูงสุดใหม่ หลาย ๆ ตัวยังกลับไปไม่เท่าเดิมเลยครับ เช่น N-PARK TMB เอิ๊ก แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 21:25:07 จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:13:51

ความคิดเห็นที่ 26 ผมเข้าใจไรผิดเปล่าครับ เขาเปลี่ยนการคำนวณ SET หรือเปล่าครับ  แบบ SET 450 จุด เมื่อ ก่อนปี 2000 กับ 450 จุด เมื่อปี 2009 มันคิดคนละแบบกัน เลยเอามาเทียบไม่ได้ ผมเพิ่งเข้าตลาดมาไม่นาน 10 เดือนเอง ความผิดพลาดน่าจะสูงมาก แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 21:26:00 จากคุณ : Grand Marshal1 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:18:00

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณทุกท่านสำหรับข้อมูลค่ะ ^^ แต่ขอเพิ่มมุมมองส่วนตัวนิดนึงอ่ะค่ะ เราว่าดัชนี ณ ปัจจุบัน ถ้าเทียบกับในอดีต หยั่ง 900 วันนี้กับ 900 ครั้งที่แล้ว มันก็อาจจะไม่เท่ากันนะคะ ถ้าจะเอาเรื่องเงินเฟ้อ เข้ามาคำนวณด้วย แก้ไขเมื่อ 24 ต.ค. 53 21:38:36 จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:36:24

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณครับ จากคุณ : c (ไป่ฉี) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:43:15

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณและเครารพคุณแม่ลูกสองกับ Grand Marshal1 จากคุณ : น้าหมีอ้วน เขียนเมื่อ : 25 ต.ค. 53 12:55:06

ความคิดเห็นที่ 30 ช่วงนี้ผมเห็นคนออกรถป้ายแดงกันเยอะมาก แล้วก็เป็นรถที่ไม่ธรรมดาซะด้วย อย่างพวกBenz, New Beattle, Mini, Nissan 380Z, อย่างพวก Teana, Camry นี่ ไม่ต้องพูดถึง เพียบ ส่วนพวกรุ่นเล็กๆ ลงมาก็ออกกันเยอะแยะจริงๆ ทำให้หวนนึกไปถึง ช่วงปี 35,36 ผมเองก็รู้สึกเหมือนกันว่า ช่วงนี้มันเป็นช่วงที่เริ่มต้นของกระทิง ก็เป็นความรู้สึกล้วนๆน่ะครับ ตัวเองยังกลัวๆกล้าๆ เหมือนกัน ตอนนี้ก็มีหุ้นอยู่แค่60% ของพอร์ต แต่คิดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะใส่ให้ได้สัก 80% ครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่นำเอาข้อมูลดีๆมาให้ได้อ่านกันนะครับ สุดยอดมากๆเลยครับ จากคุณ : 2ndHand_Fanclub เขียนเมื่อ : 26 ต.ค. 53 20:08:13