ความคิดเห็นที่ 1 เรียนทีโรงเรียนที่ดีลูกหลานจะได้เครือค่ายเพื่อนฝูงรุ่นพี่ที่ดีในการทำงานในอนาคตข้างหน้า จากคุณ : DOOM_MAN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:02:54

ความคิดเห็นที่ 2 อยากให้ลูกหลานได้เป็นเช่นไร   ก็คงต้องหมั่นปลูกฝังปั้นแต่งตั้งแต่เล็ก ครับ ส่วนจะได้อย่างที่คาดหวังหรือไม่  ก็ขึ้นอยู่กับตัวเด็กละครับ ไปโรงเรียนใหญ่มีชื่อเสียง  คาดหวังอะไร  เช่นอยากให้เด็กได้เพื่อนฝูงที่มีอำนาจบารมี  มีฐานะร่ำรวย  ได้สังคมที่มีระดับ ส่วนไปโรงเรียนใกล้บ้านโดยไม่ได้หวังคาดหวังกับชื่อเสียงของโรงเรียน  ถ้ามีชื่อและใหญ่ดตก็ถือว่าโชคดีไป  แต่ถ้าไม่ใช่และไม่ถืออะไร  ก็นับว่าไม่ต้องกดดันทั้งตนเองและเด็กที่จะต้องเสียเวลาและต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถที่จะต้องติดบนท้องถนน       แต่ในอนาคตอีกไม่นานก็คงมีรถไฟฟ้าในเมืองหลวงที่จะค่อยบรรเทาทุกข์ร้อนเรื่องรถติดนานๆได้   แต่ค่าใช้จ่ายก็คงขยับขึ้นอีกนิดละครับ จากคุณ : เผ่นพันลี้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:04:41

ความคิดเห็นที่ 3 เรียนโรงเรียนที่ดีไม่เกี่ยวว่าจะทำให้ลูกหลานคุณฉลาด ความฉลาดเป็นเรื่องส่วนบุคคุล(ปัจเจกบุคคล) จากคุณ : DOOM_MAN เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:04:46

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าลูกคุณเป็นเด็กฉลาดอยู่แล้ว ก็เรียนโรงเรียนแถวบ้านได้ค่ะ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าลูกจะหัวอ่อน ก็แนะนำให้เข้าโรงเรียนดีๆ เผื่อคุณครูจะได้ดูแล แล้วตัวเด็กก็จะแข่งขันกับเพื่อนๆ ได้เยอะ เขาจะสามารถพัฒนาตัวเองได้มากกว่า จากคุณ : เด็กเกาะสมุย เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:08:06

ความคิดเห็นที่ 5 เท่าที่ศีกษาดู มันจะมี 4 แนว ครับ  A. แนวมาตรฐาน อันนี้เรียนไปตามระบบ เหมือนกระโดดสูง เด็กจะพร้อมหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องกระโดดข้ามแต่ละขั้นไปให้ได้ ซี่งค่าเทอมระดับกลาง ๆ ไม่แพงนัก  B. แนวทางเลือก อันนี้แล้วแต่ แต่ละโรงเรียนจะเน้นไปทางใหน แบบใหน บางโรงเรียนก็เอาเด็กเป็นศูนย์กลาง ไม่พร้อมก็เอาไว้สอนทีหลัง เอาเด็กเป็นศูนย์กลางสอนทีละขั้น ทีละคน ค่าเทอมสูง  C. แนวอินเตอร์ มีหลายโรงเรียน ใช้ระบบนี้ สอนเป็นภาษาต่างประเทศเยอะหน่อย กิจกรรมเยอะ ค่าเทอมสูงที่สุด  D. แนวสาธิต อันนี้เรียนคล้าย ๆ แบบแรก แต่จะคัดเด็กเข้ามาเรียนแข่ง เหมือนกระโดดข้ามรั้วที่สูงมากๆ หน่อย ใครตามไม่ทันก็จะต้องอัด ต้องเสริมกันอย่างหนัก ค่าเทอมก็พอทน ค่าอุปกรณ์จะมากกว่านะสิ บวกกับเด็กต้องมีการทดสอบด้วย      ผมว่าต้องดูว่าเด็กถนัดแบบใหน ให้เด็กได้เลือกเรียนในสิ่งที่เขามีความสุข และ มีศักย์ภาพมากที่สุด ถ้าเด็กเก่ง เรียนแบบใหนก็ได้ ได้ผลเท่ากัน แต่ความสุขไม่เท่ากันแน่ครับ      แต่ถ้าลูก อาจจะพัฒนาการล่าช้าหน่อย ผมว่าแบบ B น่าจะดีกว่า พอเขาตั้งหลักได้ก็จะเป็นไปตามขั้นตอนเอง เด็กบางคนพัฒนาช้าแต่พออายุหนี่งหลายคนพัฒนาทันถึงเร็วกว่าก็มี ก็ต้องเลือกดี ๆ ให้เขาเริ่มได้ดีครับ จากคุณ : BigMooHuHu เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:15:00

ความคิดเห็นที่ 6 จากการที่ตัวเองมีลูกเล็ก และศึกษาเรื่องเด็กในช่วงปฐมวัยมาพอสมควร และกำลังอยู่ในช่วงมองหา รร. อนุบาล ในอีก 2 ปีข้างหน้า รร. ที่ดีี ในความคิดเห็นของเรา จะต้องมีครูที่เข้าใจเด็ก เข้าใจเรื่องจิตวิทยาเด็ก สามารถควบคุมเด็กได้ โดยไม่ต้องใช้การลงโทษที่รุนแรง เด็กอยู่รร.แล้วมีความสุข และสบายใจที่จะสื่อสารกับเพื่อนร่วมชั้น และคุณครู เรื่องการเรียนการสอน ไม่จำเป็นต้องไปเน้นเลยว่า รร.นี้เด็กไปสอบอะไรได้บ้าง ได้รางวัลโรงเรียนดีเด่นทางด้านวิชาการมากี่สาขา สิ่งสำคัญคือเรื่องคุณธรรมที่คุณครูจะต้องทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง และมีการสื่อสารระหว่างบ้านกับ รร. เพื่อให้ปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน รร. ที่เข้าข่ายตามนี้ จะเป็น รร. แนวทางเลือก ที่ไม่เน้นให้เด็กจะต้องอ่านเขียนได้เร็ว ไม่เน้นว่าเด็กจะต้องเก่งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ได้เกรด 4 แต่ควรจะสอนให้เด็กรู้จักการลงมือปฏิบัติ เรียนรู้ผ่านกิจกรรม และที่สำคัญ ก่อนจะให้ลูกเข้า รร. ไหน จะต้องไปดูรร. ให้แน่ใจ ว่าตรงกับความต้องการของพ่อแม่ลูกมั้ย ถามลูกด้วยว่าเค้ารู้สึกอย่างไร อยากมาเรียนที่นี่มั้ย กิจกรรม-การเรียนการสอนเป็นอย่างไร ครูมีวิธีการลงโทษเด็กในวิธีต่างๆ กันอย่างไร นโยบายเป็นอย่างไร อย่าแบบว่า คนนั้นบอกดี ก็เอาที่นี่ละกัน!!! จากคุณ : janistar เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:26:15

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าเรื่องการเรียนอยู่ที่ตัวเด็กซะมากกว่าครับ เรียนที่ไหน ถ้าเก่ง ก็คือเก่ง แต่โรงเรียนที่ดัง มักจะรวมเด็กเก่งๆ ทำให้เด็กได้พัฒนาเพิ่มขึ้น ผมที่สำคัญจะเป็น คอนเนคชั่น ครับ ช่วงประถมอาจจะยังไม่ชัดเหมือนมัธยม หรือมหาวิทยาลัย แต่มีแน่นอนครับ สังคมที่มีคุณภาพ จะทำให้เด็กมีคุณภาพครับ แล้วเค้าจะได้ประโยชน์จากตรงนั้น ถ้าเค้าสามารถเกาะกลุ่มจนโตได้ จากคุณ : Player in last year contract เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:38:26

ความคิดเห็นที่ 8 จำเป็นอย่างยิ่งครับ ถ้ามีทุกอย่างพร้อมอยากแนะนำ อันนี้ความเห็นส่วนตัวครับ ให้เลือกข้อ A ครับ หรือว่าถ้าลูกเราเรียนเก่ง มีความสามารถมาก ข้อ B ก็ดีครับ ผมขอพูดเฉพาะข้อ A ซึ่งผมจะเลือกให้ลูกของผมนะครับ อย่างแรกเนื่องจากยังเป็นวัยประถมนั้น เค้าคงไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วว่าชอบ หรือ ไม่ชอบ โรงเรียนใด เหตุผลของการที่เลือกโรงเรียนข้อ A นั้น ผมคงไม่ได้เน้นว่าลูกของผมจะต้องเรียนเก่ง หรือเข้ามหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงได้ แต่เป็นการเลือกสังคม สภาพแวดล้อม และ connection ในอนาคตให้ลูกครับ  ยิ่งเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น เด็กผู้ชายจะติดเพื่อนอยู่แล้วครับ ดังนั้นถ้าได้เพื่อนในสังคมแบบไหน มีแนวโน้มความเป็นไปได้สูงที่ลุกของเราจะมีลักษณะนิสัย เช่นเดียวกัน และระบบการเรียนการสอน ถึงแม้เด็กที่เรียนเก่งนั้นอาจจะไม่มากเท่าโรงเรียน B แต่เรื่องระบบการเรียนการสอน ระบบการพัฒนาความคิด ด้านภาษา และกิจกรรมต่างๆนั้น A ก็นับว่าไม่ด้อยกว่า B เลยครับ ซึ่งส่วนใหญ่โรงเรียนในข้อ A นั้น เด็กนักเรียนก็จะเป็นทายาทของ นักธุรกิจ ผู้บริหารที่มีชื่อเสียง หมอ นักการเมือง ตำรวจ ทหาร ความคิด ลักษณะนิสัย การมองโลกในมุมต่างๆนั้น จะถูกถ่ายทอดมาจากครอบครัว ไม่มากก็น้อย และโรงเรียนตามข้อ A นั้นจะมีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่  1 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 6  ในเวลา 12 ปี นั้น ความเป็นเพื่อน โดยเฉพาะผู้ชายนั้นมันจะผุกพันกันมากครับ  รวมถึงผูกพันกับสถานที่ที่ศึกษามา  ลักษณะนิสัย รวมถึงความคิดมันจะถ่ายทอดกันเองโดยไม่รุ้ตัวครับ   ช่วงมัธยมนี่จะเป็นช่วงที่เพื่อนสนิทกันมากที่สุดแล้วครับ เมื่อจบการศึกษาเข้าสู่วัยทำงาน หรือ เข้าไปรับช่วงต่อกิจการของครอบครัวนั้น แต่ละคนก็จะยังสนิทกันอยุ่ ไปมาหาสู่ หรือ หาลู่ทางการลงทุน หรือ ทำธุรกิจด้วยกัน  หรือช่วยเหลือกันในด้านต่างๆ อันนี้ไม่ได้บอกว่าที่อื่นไม่มีนะครับ เพียงแต่ขอเล่าจากประสบการณ์ที่สัมผัสมาตลอด 12 ปีครับ ตอนที่ต้องเลือกเข้าโรงเรียนประถม สมัยผมยังเด็ก แม่ผมก็จะให้เรียนโรงเรียนอะไรก็ได้ที่ใกล้บ้าน เดินทางสะดวก ไม่อยากอยู่บนรถติดนานๆ แต่พ่อผมก็ไม่เห็นด้วย และตัดสินใจให้ผมเข้าเรียนโรงเรียนในข้อ A ซึ่งพ่อผมบอกไว้ว่าที่เค้าให้เข้าเรียนโรงเรียนในข้อ A นั้น คืออยากให้ลูกมีสังคมที่ดี มีความเป็นผู้นำ และได้เพื่อนที่ในวันข้างหน้าจะช่วยเหลือพึ่งพากันได้ หรือเมื่อไปสมัครงานที่ไหน ประวัติการศึกษาของเราก็ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ได้งานดีๆเช่นกันครับ ซึ่งวันนี้ผมต้องขอบคุณพ่อผมมากๆ สำหรับการตัดสินใจในวันนั้น อย่างไรก็ตาม สังคมในมหาวิทยาลัย หรือในระดับการศึกษาที่สูงกว่านั้น ก็จะสร้าง connection ในอีกแบบหนึ่งเช่นกันครับ และ connection ที่ได้มาจากสถานที่เราศึกษานั้นไม่สามารถหาซื้อได้ครับ เหมือนกับการเรียน ศศินทร หรือ นิด้า ก็เป็นการไปเรียนและสร้าง Connection เพื่อต่อยอดกันทางธุรกิจเช่นเดียวกันครับ ส่วนเมื่อเรียนในโรงเรียน A ไปแล้วนั้น พอถึงระดับหนึ่ง ถ้าเค้ามีความสามารถ อยากย้ายไปโรงเรียน B ผมก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ครับ สุดท้าย ผมว่าการเลือกโรงเรียนของแต่ละครอบครัวก็คงขึ้นอยู่กับว่าเราคาดหวังจะให้ลูกของเราอยู่ในสังคมแบบไหนครับ หรือ อยากให้อนาคตเป็นอะไร ส่วนเรื่องขอให้เป็นคนดีนั้น พ่อแม่ทุกคนก็คงคิดไม่แตกต่างกันอยู่แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 53 22:57:45 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 22:04:37 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 21:45:37 จากคุณ : SentimentZ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:41:37

ความคิดเห็นที่ 9 บ้านเราอยู่พุทธมณฑลสาย ๔  ทำงานที่สยาม เราเป็นผู้ใหญ่แท้ ๆ ยังรู้สึกทรมานในการเดินทางเลย มีหลานอยู่สองคน อยู่อนุบาล อยากให้เรียนเลิศหล้า (ตรงสาย ๓) จนจบ ม.๓ แล้วค่อยว่ากันใหม่  เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ ๓ ความฉลาดเป็นเรื่องปัจเจกบุคคล  สถานศึกษาอาจมีส่วนบ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด จากคุณ : Green-apple เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:43:54

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าเรื่องโรงเรียนก็เป็นส่วนนึงที่สำคัญในการพัทนา EQ ตั้งแต่เด็ก (ถ้าระบบการศึกษาของ รร. นั้นดีพอ) บางอย่างมันต้องปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ พวกทักษะพิเศษต่างๆ เช่นเรื่อง ภาษา หรือ ดนตรี เป็นต้น คนไทยไม่ค่อยสนใจการพัทนาด้านต่างๆตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้ตรงนี้เราด้อยกว่าประเทศที่พัทนาแล้ว จากคุณ : คุราคุง เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 21:58:23

ความคิดเห็นที่ 11   ขอตอบรวมๆนะครับ ความเห็นส่วนตัวนะครับ เห็นด้วยก็ว่ากันไปตามเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็ขอแย้ง แต่อย่าโกรธกันนะครับ ถือว่าแชร์มุมมอง    คุณ DOOM_MAN เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ    คุณ เผ่นพันลี้  เห็นด้วยกับเรื่องการปลูกฝังแต่เล็กครับ แต่เรื่องรถติดนานๆ ยังไม่เชื่อว่าจะแก้ได้ครับ ถ้าไม่ย้ายเมืองหลวงครับ     คุณเด็กเกาะสมุย ผทคิดตรงข้ามครับ หัวอ่อนควรอยู่ที่ธรรมดา จะได้ไม่กดดันในการพัฒนาตัวเอง แต่ถ้าหัวดีมากๆ ต้องอยู่โรงเรียนที่คนเก่งเยอะๆจะได้พัฒนาได้เร็วครับ     คุณ BigMooHuHu ค่อนข้างเห็นด้วยมากๆครับ ว่าจำเป็นต้องดูพัฒนาการในเบื้องต้นก่อนครับ      คุณ janistar น่าจะเป็นคุณแม่ที่เอาใจใส่ลูกๆได้ดี ขอชื่นชมครับ ^^      คุณ Player in last year contract เห็นด้วยครับ การอยู่ใรที่ศักยภาพสูงมากๆ ทำให้พัฒนาได้เร็ว ส่วน connection นั้นเป็นผลพลอยได้ที่สำคัญ      คุณ SentimentZ ที่ ผมอยากให้เค้าเข้ามากที่สุดมันไม่มีตอนประถมน่ะสิ เริ่มที่ ม.ต้น ส่วนอีกที่เริ่มที่ ม.ปลาย      คุณ Green-apple จริงครับ ขนาดขับรถบางทียังเบื่อๆ ไปทำธุระอะไรทีหมดวัน แต่ทำยังไงได้ แลกกับอากาศดีๆ กับการจราจรที่ไม่แออัดเกินไปนะครับ (จริงๆ ไม่มีตังค์ซื้อในเมือง - -" )     คุณ คุราคุง จริงครับ จริงๆผมเชื่อว่าคนไทยส่วนมากจะหัวดี และเก่งมากในการเรียนรู้ทำความเข้าใจ ไปดูได้เลยใน U top ของทั้งโลก คนไทยทำคะแนนสอบได้ดี และเป็นเด็กเรียนได้คะแนนดีเป็นอันดับต้นๆ ทั้งนั้น แต่พอต้องทำอะไรที่มี creativity สูงๆ หรือ ต้องทำงานร่วมมือกับคนอื่น จุดอ่อนเราจะออกมาเพียบ และทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ ส่วน EQ การเลี้ยงดูก็สำคัญมากๆเช่นกันครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 22:17:39 จากคุณ : Biot Savart เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 22:02:11

ความคิดเห็นที่ 12 ขอให้น้องตัวเล็กเป็นคนดีก็พอ อยู่ใกล้ชิดครอบครัว ... สุจใจนั้นดีที่สุดรับ.. จากคุณ : Endlesslife เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 22:16:47

ความคิดเห็นที่ 13 ทุกครั้งที่ผมสวดมนต์ไหว้พระ ผมขอให้ลูกผมมีสุขภาพแข็งแรง และเติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม สำหรับผมลูกไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง แต่ขอให้ลูกเป็นคนดี แค่นี้พ่อก็มีความสุขแล้ว จากคุณ : ohlalla เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 22:28:13

ความคิดเห็นที่ 14 .....ขออนุญาตลบครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 22:53:36 จากคุณ : Biot Savart เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 22:38:06

ความคิดเห็นที่ 15 แนะนำ A อย่างเดียวทำไม B แนะนำไม่ได้ สาธิตจุฬา จิตรลดา เตรียม ปทุมวัน งง connection สู้ A ไม่ได้จริงอ่ะ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 53 22:52:08 จากคุณ : guyver เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 22:46:33

ความคิดเห็นที่ 16 มีโรงเรียนที่สอนให้ลูกผมเป็นคนที่โตมาแล้ว เพื่อนๆรัก ครูอาจารย์รัก เพื่อนร่วมงานรัก เจ้านาย และคนรอบข้างรัก ไม๊ครับ มีโรงเรียนที่สอนให้ลูกผมเป็น คนดี  เป็นคนอ่อนโยน มีสุขภาพจิตดี ไม๊ครับ มีโรงเรียนสอนให้ลูกผมรู้จักการแก้ไขปัญหา  ไม่ท้อถอย  ขยันหมั่นเพียร ไม๊ครับ มีโรงเรียนที่ให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตนเองมากกว่าที่ปัจจุบันสอนกัน เพื่อให้ลูกผมมีสุขภาพดี จนแก่เฒ่าไม๊ครับ ส่วนเรื่องวิชาการ  ผมขอแค่ตามสมควรก็พอแล้วครับ ไม่ต้องเก่งเลอเลิศ   IQ สูงปรี๊ด   ผมว่า แค่นี้ อนาคตลูกผมก็น่าจะ Perfect และมีความสุขที่สุดแล้วครับ  จริงๆนะ จากคุณ : ไคโร เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 23:21:08

ความคิดเห็นที่ 17 โรงเรียนดี ๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ แนะนำยาก แต่โดยส่วนตัวชอบ สาธิตจุฬา เป็นพิเศษ เราเลือกโรงเรียน โรงเรียนก็เลือกเรา สอบทุกแห่งดู บางทีอาจไม่ต้องตัดสินใจเองก็ได้ครับ ปล. ผมถือว่าการศึกษาเป็นการลงทุนประเภทหนึ่งครับ จากคุณ : ถังไม้ เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 23:23:20

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับคห.17ค่ะ ลองสอบดูหลายๆแห่งก็ไม่เสียหาย แล้วเรายังได้เห็นบรรยากาศในโรงเรียนนั้นด้วยว่าเป็นยังไง ^^ เราเองก็ไปสอบสองสามที่แล้วแม่เราก็ให้เราเลือกว่าชอบที่ไหนที่สุด เราเองก็เป็นคนนึงที่ตอนเรียนบ้านอยู่ค่อนข้างไกลโรงเรียน(ซึ่งอยู่ในลิสต์ข้างบน) แต่ก็ไม่คิดว่าเดือดร้อนอะไรค่ะ ทำให้ได้ตื่นเช้าทุึกวันซะอีก ผิดกับตอนป.โทที่หออยู่ในมหาวิทยาลัย ตื่นก่อนเข้าเรียนครึ่งชม.ตลอด=v=;; จากคุณ : hecate เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 53 23:41:52

ความคิดเห็นที่ 19 แถวพุทธมณฑล  มีโรงเรียนชื่อเพลินพัฒนา  ซึ่งเป็นโรงเรียนอีกแนวหนึ่ง เน้นพัฒนาEQ    เน้นให้เด็กได้เรียนอย่างมีความสุขตามศักยภาพของเด็กเอง ไม่เร่งเด็ก   ลักษณะคล้ายกับโรงเรียนรุ่งอรุณแถวถนนพระรามที่2     ถ้าสนใจลองหาข้อมูลจากอากู๋ดูนะคะ จากคุณ : salamis เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 00:27:06

ความคิดเห็นที่ 20 วัยเด็กสิ่งแวดล้อมสำคัญมาก เพราะเป็นตัวสร้างบุคคลิกภาพภายหลัง ควรเลือกร.ร.ที่มีสังคมที่ดี จะได้ประโยชน์กว่ามาก การตื่นเช้า อยู่ในรถนานไม่ได้มีผลอะไรกับเด็กหรอกครับ เพราะมันกินแล้วหลับ ก็ถึงบ้านพอดี ข้อ A หรือ B ก็แล้วแต่คนชอบครับ ในแง่ connection สามารถสร้างภายหลังได้เหมือนกัน ส่วนตัว prefer สาธิตจุฬาฯ มากสุดครับ ตอนอยู่เตรียมฯมีเพื่อนจากทั้ง A, B แต่ละร.ร.ก็มีลักษณะเฉพาะต่างๆกัน จากคุณ : no preservation เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 00:30:29

ความคิดเห็นที่ 21 ผมว่า ถ้ามีเงินส่งเรียน รร ดีๆ ก็ได้ครับ น้องสาวผมเรียนที่ รร.เตรียมฯ  บอกว่าเวลาคุยกับเพื่อน  มีแต่ ค่ะ ครับ คุณ เธอ ขอโทษครับ ไม่เห็นเหมือนสมัยตอน ม ต้น เลย วันๆ เรียกเพื่อนกันมีแต่คำหยาบ เรียกชื่อพ่อแม่กัน มีเงิน  ส่งไปที่ดีๆ ครับๆ แล้วก็สนอว่าให้ตั้งใจเรียน กับเงินที่ส่งไป จากคุณ : zachize เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 01:09:44

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่จำเป็นครับ....เพราะการศึกษา  ชั้นประถม  ยังเป็นการศึกษา  ที่ยังไม่ซับซ้อน จนต้องหาโรงเรียนดี ... ดี  แต่ต้องใช้เวลาในการเดินทางมาก.... ทำให้ความสุขใน เด็กของลูกหายไป......เขาควรเรียนอย่างมีความสุขมากกว่า.... ถ้าเปรียบเหมือนวิ่งแข่ง....ถ้าเราไปแข่งกลุ่มที่มีฝีเท้าดี....เราอาจเป็นรอง ....ติดอยู่ รั้งท้าย......ซึ่งไม่เป็นการจูงใจให้ลูกสนใจการเรียนก็ได้ ต้องเลือกเอาว่า.....จะเป็นหัวหมา  ดีหรือ   จะเป็นหางราชสีห์ดี..... จากคุณ : notsugar เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 04:08:48

ความคิดเห็นที่ 23 อัสสัมชัญ ธนบุรี ครับ  ครบเตรื่องเรื่องลูกผู้ชาย วิชาการไม่ได้อ่อนกว่าบางรักเท่าไหร่ แต่ สนามฟุตบอลใหญ่  3 สนาม ซะใจ และกีฬาอื่นๆ ไม่แพ้ใคร อากาศดีกว่าในเมือง ไม่ต้องโตในรถ คอนเนคชั่นไม่แพ้ใคร ผมเจ็งหมดตัวปี 2541 ได้เพื่อนที่นี่ช่วยจนฟื้น ดีใจที่จบที่นี่ครับ แต่ลูกผมเรียน บางรักเพราะใกล้บ้านมาก ตอนแรกจะให้นั่งรถไปเรียน อัสสัม ธน เลยละแต่แฟนขอไว้ให้เรียนใกล้บ้าน ขึ้น ม 4 ถ้าไม่ได้เรียนวิทย์ จะย้ายไปเรียนวิทย์ที่อัสสัม ธน  โรงเรียนลูกผู้ชายติดดิน จากคุณ : พ่อค้าแก่แต่หล่อ (act14) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 04:35:38

ความคิดเห็นที่ 24 ช่วงประถม น่าจะเป็นพัฒนาการส่วนตัวมากกว่าสังคม ผมให้เรียนที่ไหนก็ได้แต่มีสอนเสริม ช่วงมัธยมเริ่มพัฒนาด้านสังคม ให้เข้าโรงเรียนที่มีเครือข่ายกว้างไกล จากคุณ : PapaFrodo เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 06:50:46

ความคิดเห็นที่ 25 ใกล้บ้านสบายใจสุด จากคุณ : kopbirt เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 06:56:13

ความคิดเห็นที่ 26 ลองถามตัวเองดูดีกว่านะ เรียนใกล้บ้าน ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ เดินกลับบ้านก็ได้ รถไม่ติด สบายใจ หรือ เรียนในเมือง ประสบการณ์มากมาย ใช้เวลาเดินทาง 2-3 ชั่วโมง ไป-กลับ เลิกเรียนก็กลับบ้าน เราผ่านมาทั้ง 2 แบบ ขอตอบว่า หนูอยากเรียนใกล้บ้าน เป็นคำตอบสุดท้ายค่ะ เด็กเรียนอัสสัมชัญหลายคน ยังสู้ภาษาอังกฤษโรงเรียนวัดไม่ได้เลย จะบอกให้ จากคุณ : หอมจัง เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 07:22:14

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่องแบบนี้ผมมองว่าเป็นโอกาสที่เราจะให้กับเด็กมากกว่าครับ ลักษณะนิสัยส่วนตัวของเด็ก จะมาจากครอบครัว พ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ ความโอบอ้อมอารี การจะเป็นที่รักของคนอื่น จะมาจากนิสัยส่วนตัว ส่วนสังคมและคอนเน็กชั่นจะมาจากโรงเรียน โดยเฉพาะในช่วงมัธยม ความเป็นเพื่อนกันแท้ๆของเด็กจะต่างจากการหาคอนเน็กชั่นเมื่อเป็นผู้ใหญ่ เรื่องนี้ถ้าคนไม่เคยสัมผัสจะไม่ค่อยให้ความสำคัญ เห็นด้วยกับ #8 จากคุณ : KOKISME เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 08:41:34

ความคิดเห็นที่ 28 ตอนอนุบาลเราเรียนไกลบ้านมากๆต้องนอนในรถตลอด เดินทางเหนื่อยมากค่ะสำหรับเด็กเล็กๆ ถึงแม้ว่ามันจะปูพื้นฐานให้เราสามารถอ่านหนังสือออกได้เร็วกว่าเด็กคนอื่น แต่ความรู้สึกเรานะว่ามันไม่คุ้มกันเลย แทนที่จะได้อยู่บ้านวิ่งเล่นพัฒนาการทางด้านร่างกายให้แข็งแรง สมองแจ่มใสสุขภาพจิตดี ขอแนะนำให้เลือกโรงเรียนใกล้บ้าน ครอบครัวจะได้ช่วยสอนให้ลูกเป็นคนดี มีความสุขในชีวิต เรื่องแบบนี้ไปฝากไว้ที่โรงเรียนมันไม่ได้ค่ะ จากคุณ : Pianoforte เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 08:43:33

ความคิดเห็นที่ 29 คันปาก  คิดมากไปได้ คนที่สอบได้ที่ 1  ไม่ใช่ คนที่ทำเงินมากที่สุดเมื่อโต ขึ้น คนที่ เพื่อนเยอะี่สุด  ไม่ได้เป็น เซลแมนอันดับ1 และคนที่ จบแค่ปริญาตรี พื้นฐานธรรมดา สร้างกิจการให้เลื่องลอ ก็พบเห็นได้เสมอ เพื่อนเยอะ และ ระดับสังคม นำมาเพื่อสร้างโอกาสเท่านั้น มันเป็นแค่ส่วนประกอบ ตัวตนของเด้ก โดยแท้แล้ว เกิดจากการส่งเสริมของทางบ้านต่างหาก พ่อและแม่ คือแรงพลักดันสูงสุด ที่จะส่งผลให้ลุก ก้าวเดินไปต่างหาก บ้านอบอุ่น ทำให้เด็กอบอุ่น  (ทำแต่งาน แล้วอ้างเงิน  วันๆๆ กอดลุกบ้างหรือยัง) บริหารเวลาแล้วคิดล่วงหน้า ต่างหาก  ทำให้พ้นจากทุกข์แห่งการเงิน ไม่ใช่ ปริมาณของเงิน (ไม่งั้น ทักษิณ ก็ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว) ตัวอย่างมีเยอะแยะ  แค่ว่าสนใจจะเห็นมันหรือเปล่า จากคุณ : Juj เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 08:49:37

ความคิดเห็นที่ 30 ระบบการศึกษาไทย ตอนนี้ ไม่ได้เปิดโอกาสให้คุณเลือกโรงเรียนได้ง่ายขนาดนั้น ลองไปสอบดู แล้วจะเหลือไม่กี่อันที่ได้     หรือหากมีเส้นสาย สามารถเข้าได้ทุกที่ แนะนำ เด็กผู้ชาย  เอาโรงเรียนเอกชน  A เด็กผู้หญิง เอา B   โรงเรียนแนวทางเลือก และ นานาชาติ  เมืองไทย ยังทำได้เพียง มัธยม แต่ต่อมหาลัย ยังลำบาก ตัดทิ้งไปเถอะ จากคุณ : เกรซอยากรวย เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 09:20:17

ความคิดเห็นที่ 31 ไว้ดึกๆจะมาตอบครับ ขออนุญาตไปทำงานก่อน ขอให้ทุกคนมีความสุขในการเริ่มต้นของสัปดาห์ใหม่ครับ จากคุณ : Biot Savart เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 09:26:55

ความคิดเห็นที่ 32 ถ้าเด็กสามารถเข้าโรงเรียน B ได้ก็เข้า B ครับ ถ้าไม่ได้ก็เข้า A ผมเองก็จบ รร C มาครับ แต่ถ้าผมมีลูกผมเลือกที่จะไม่ให้เข้า C ครับ ผมรู้สึกว่า การเลือกที่เรียนเหมือนเลือกสังคมที่อยู่ครับ แฟนผมจบ รร A มา ตั้งแต่ผมเริ่มจีบจนเป็นแฟน(ตั้งแต่เขายังอยู่มัธยม) ผมรู้สึกเลยว่า สภาพสังคมที่เขาเป็นอยู่ เพื่อนๆ การใช้ชีวิต วิธีคิดการแก้ไขปัญหา กิจกรรมต่างที่ทำ  มันต่างกับที่ผมเป็นมากครับ ซึ่งกิจกรรมต่างๆนี้คงหาไม่ได้จากการเรียน รร C แน่นอน เนื่องจากพ่อแม่ ผู้ปกครองของ นักเรียน รร A ที่นี่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกคนใหญ่คนโต นักธุรกิจ หมอ มันสามารถช่วยสร้าง connection ที่ดีได้ครับ จะเห็นว่าเวลาทำกิจกรรมต่างๆก็จะมีการสนับสนุนร่วมมือกันจากบรรดาผู้ปกครองเพื่อที่จะให้ลูกเราสามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ (เช่นปลูกป่า ก็จะได้ไปปลูกจริงๆ ไปพักอาศัย ณ สถานที่จริง ไม่ใช่ไปแค่รถบัสจอด ลงไปปักแล้วขึ้นรถกลับบ้าน) แนะนำถ้าส่งไหวแนะนำ รร A,B มากกว่าครับ ป.ล.  แต่ถ้าจะส่งลูกเรียน รร A นี่ต้องพ่อแม่เองจะต้องพร้อมในการ Support ด้านการเงินนิดนึงนะครับ เพราะว่าภาษีทางสังคมที่นี่ค่อนข้างสุงนิดนึง จากคุณ : หล่อเซ็ง เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 10:00:14

ความคิดเห็นที่ 33 เรียนที่ไหนก็ได้ ที่ลูกชอบ ลองถามลูก ถามตัวเรา ว่ารู้สึกอย่างไรกับโรงเรียน ABC อาจจะยังตอบไม่ได้ จนกว่าวันที่เราพาลูกไปสอบสัมภาษณ์ชั้นอนุบาล วันนี้พาลูกสาวไป สอบโรงเรียน A มา ลูกบอกว่าไม่ชอบ ทั้งๆที่วันมาซื้อใบสมัครอาทิตย์ที่แล้วบอกชอบมาก! คิดว่าถ้าสอบผ่านก็อาจจะไม่ให้เข้าเรียน ถ้าลูกไม่มีความสุข เราก็คงไม่มีความสุขไปด้วย เดี๋ยวจะแวะไปดูโรงเรียน BCD,.... เผื่อลูกสาวจะชอบครับ จากคุณ : Karl Heinz เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 10:32:18

ความคิดเห็นที่ 34 ตัวเองจบจากโรงเรียนไกลบ้านที่ใคร ๆ ก็พูดกันนักหนาว่าวิชาการเข้มและ Connection ดี จะบอกว่าไม่เป็นไปตามภาพที่หลาย ๆ คนนึกไว้เลยครับ คนเก่งจริง ๆ ก็มี แต่น้อยมาก ซึ่งโรงเรียนก็จะโอ๋แต่นักเรียนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ที่เหลือก็ตามมีตามเกิด จบแล้วก็ไปเข้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อเดียวกับโรงเรียนเสียเป็นส่วนมาก น้อยมากที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลได้ ยิ่งตอนนี้ดูเหมือนนักเรียนจะกำลังต่อต้านนโยบายหลายอย่างของผู้บริหารอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ผมเองก็เป็นคนนอกไปแล้ว คงพูดอะไรได้ไม่มากนัก บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้เหมือนกับโรงเรียนนี้กำลังกินบุญเก่ามากกว่าครับ สำหรับเรื่องสังคม อาจเป็นเฉพาะตัวผมเองหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่จะบอกว่าจบมาแล้วแทบไม่มีการติดต่อกับเพื่อนสมัยมัธยมเลยครับ เคยมีกลุ่มที่สนิทกันมาก แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ต้องตัดสินใจปลีกตัวออกมา ถึงจะได้พบกันอีกภายหลังก็ต่อไม่ติดเสียแล้ว กับเพื่อนคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้สนิทกันมาตั้งแต่ต้น ก็เลยไม่รู้จะสานสัมพันธ์ยังไง บอกตรง ๆ ว่ายังสนิทกับเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่จบมาจากโรงเรียนธรรมดามากกว่าเลยครับ และอย่างที่บอกว่าบ้านกับโรงเรียนอยู่ไกลกันมาก ซึ่งเสียเวลาในการเดินทางและเสียสุขภาพจิตมากครับ ขาไปก็ต้องตื่นแต่เช้ามืด สงสารแม่ด้วยที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อส่งลูกไปโรงเรียนทั้งที่ไม่ได้ต้องทำงานนอกบ้าน (พ่อไม่ได้ไปส่งครับ) ไปถึงก็เช้ามากจนต้องไปหลับต่อ ขากลับก็รถติดวินาศสันตะโร (ต้องกลับเองตั้งแต่มัธยม) ยิ่งสมัยนั้นไม่มีรถไฟฟ้าอะไรทั้งนั้น หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึงบ้าน จนช่วงหลัง ๆ ก่อนจบ ม.6 จะชอบหาเรื่องอยู่โรงเรียนจนเย็นจนมืด เผื่อว่ารถจะติดน้อยลงบ้าง แล้วยังต้องนั่งรถเมล์ไปจนสุดสายจนลงเป็นคนสุดท้ายประจำ ยังคิดอยู่เลยว่าถ้ามีลูก จะไม่ให้ลูกเรียนโรงเรียนไกลบ้านเด็ดขาดครับ ที่เขียนมานี่เป็นความเห็นส่วนตัวจากประสบการณ์จริงเท่านั้นนะครับ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ครับ จากคุณ : Timin2101 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 12:15:01

ความคิดเห็นที่ 35 โรงเรียนใกล้บ้านใช่จะดี ต้องไปดูก่อนตัดสินใจ โรงเรียนไกลก็เหมือนกัน หลานผมก็น่าจะจบจากโรงเรียนเดียวคุณ Timin2101 ทั้งที่ผลการเรียนค่อนข้างดี แต่ไม่ยักจะอยากเอ็นฯ ก้เข้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อเดียวกับโรงเรียนนั่นแหละ  เลยไม่คิดที่จะเอาลูกเข้าโรงเรียนนี้   อย่าคิดว่าใกล้บ้านอย่างเดียว พื้นฐานการศึกษาสำคัญมากนะ ถ้าลำบากแล้วไปได้ดีก็ควรนะ   แต่คนส่วนใหญ่เริ่มก็คิดจะสบายไว้ก่อน จะทรมานบนรถไปทำไม ยังไม่ทันเริ่มก็ไม่อดทนซะละ  คิ คิ ไม่อยากบ่น   ถ้าเราเอาลูกเข้าโรงเรียนแถวบ้านละก็คง....  เด็กแถวบ้านที่เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน เห็นมีแต่ตั้งแก๊งมั่วสุมกัน ถ้าใกล้บ้านไม่ดีไปไกล  ๆ คงไม่เป็นไร จากคุณ : Crocus sativus เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 14:08:21

ความคิดเห็นที่ 36 ขอถามก่อนว่าอยากให้ลูกเป็นคนดีหรือเป็นคนเก่งครับ ถ้าอยากให้เป็นคนดี  ผมเห็นด้วยกับคห.6ครับ (โดยส่วนตัวผมก็อยากให้หลานผมเรียนแบบนี้มากกว่า  แต่พ่อแม่เค้าเลือกแบบA) แต่ถ้าคุณอยากให้ลูกเป็นคนเก่ง  (และคุณไม่มีปัญหาเรื่องงบ)  เลือกโรงเรียนแบบAครับ แต่อย่าบอกว่าเลือกทั้งคู่ครับ  เพราะมันเป็นไปได้ยากมาก(แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้)  ในความคิดผม  โรงเรียนแบบAนั้น  จะมีการแข่งขันกันสูงมากๆๆๆ  พ่อแม่ในกลุ่มนี้มักคาดหวังให้ลูกเรียนนำหน้าเพื่อนๆในชั้น  เด็กจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันตลอดเวลา  เด็กจะเกิดแรงกดดัน  เกิดความเครียด  อีกทั้งจะเป็นการปลูกฝังความคิดให้เด็กแข่งขันกับคนรอบข้างตลอดเวลาครับ  ในขณะที่โรงเรียนที่สอนให้เป็นคนดีนั้น  เค้าจะไม่เน้นการแข่งขัน  แต่จะเน้นให้ขยัน  มีสมาธิ  มีความรับผิดชอบ  ต่อตัวเอง  ต่อสังคม  ฯลฯ แทน ... ก็ประมาณนี้ครับ จากคุณ : Kojorn เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 14:51:35

ความคิดเห็นที่ 37 เอาพอใช้ได้ เเละใกล้ๆบ้านก็พอเเล้ว ไม่ต้องคิดมาก เรื่องอื่นๆ อนาคต ยังมาไม่ถึง เก่งไม่เก่ง อยู่ที่เด็กเเละ ครอบครัว จากคุณ : VALID เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 15:17:14

ความคิดเห็นที่ 38 อะไรกันยังไม่ทันไร ก็คิดถึงระบบอุปถัม พวกพ้องแล้ว แล้วแบบนี้สังคมมันจะไม่แตกแยกได้ยังไงครับ ผมว่า ถ้าเราเป็นคนดี และ เป็นแบบอย่างที่ดีให้ ลูก ๆ เราได้ เห็น เรียนที่ไหนก็ไม่สำคัญครับ เพราะ เขาได้เรียนรู้จากเราซึ่งเป็นพ่อแม่ของเขาเอง แค่คุณมีเวลา อบรมสั่งสอนลูกคุณ ผมว่า ลูกคุณก็เก่งที่สุดในสายตาคุณแล้วครับ จากคุณ : ton_21 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 17:03:23

ความคิดเห็นที่ 39 ผมคิดว่า หลายคนมองไปในอีกมุมนึงนะครับ การเลือกสถานที่เรียนดีๆให้แก่เค้า ในมุมของผม คือสร้างโอกาสให้เค้า อย่างที่เราเคยได้รับ หรือมากกว่าที่เราเคย ส่วนเรื่องที่ว่าเค้าจะเก็บเกี่ยว และ แสวงหาสิ่งต่างๆจากโอกาสนั้นเป็นอีกเรื่อง ดังนั้นเป็นคนละเรื่องกับการอยากให้ลูกเป็นคน เก่ง หรือเป็นคนใหญ่คนโตนะครับ จากคุณ : Biot Savart เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 17:46:32

ความคิดเห็นที่ 40 อยากขอบคุณเจ้าของกระทู้ที่เริ่มประเด็นนี้ครับ..... ส่วนตัวผมมีลูก 2 คนช่วงวัยอนุบาล ปัจจุบันผมทำงานในสถาบันการเงินชั้นนำ ในงานที่ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถเข้ามาทำได้ เพราะเป็นคนที่ไม่ได้มี Profile เลิศหรู ไม่ได้จบนอก ไม่ได้มีนามสกุลดัง ไม่มี Connection ที่กว้างไกลอะไรกับเขา... พ่อแม่เป็นครูอยู่ต่างจังหวัด มีกำลังแค่ส่งให้เรียนหนังสือเท่านั้น ที่เหลือทุกอย่างต้องสร้างจากหยาดเหงื่อแรงกาย แรงใจของตัวเองเป็นหลัก ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตลูกที่อยากปลูกฝังให้กับเขาคือ "ทัศนคติ" ที่มีต่อตัวเองและมีต่อโลกใบนี้ เพราะจากประสบการณ์ที่ต้องบริหารทีมงานที่เก่งๆ Profile สูงส่ง จะพบว่าปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดในชีวิตคนทำงานเหล่านั้นก็มาจาก "ทัศนคติ" มิใช่ ความสามารถ หรือ connection เป้าหมายที่วางเรื่องการศึกษาลูกไว้ตอนนี้ คือ ไม่ได้มุ่งเน้นให้ 20 ปี ตลอดชีวิตการเรียนของลูกต้องถูกใช้ไปกับการวิ่งในลู่แข่งที่ระบบการศึกษาไทยกำหนดไว้ แล้วพ่อแม่ส่วนมากก็พยายามผลักดันให้ลูกเข้าไปวิ่งแข่งกัน เพราะคิดว่าสิ่งนั้นเป็นตัวกำหนดความสำเร็จของชีวิต จนหลายคนอาจลืมคิดถึงเรื่อง "คุณภาพชีวิต" ของคนที่เรารักที่สุดควรจะได้รับ ผมจึงวางเป้าหมายเรื่องการศึกษาลูกไว้โดยเน้นเรื่อง "ความสมดุลย์" มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระยะเวลาการเดินทาง วิชาการ ภาษา ค่าใช้จ่าย สังคมในโรงเรียน คุณภาพบุคลากร โดยมุ่งหวังอยากได้โรงเรียนที่สามารถส่งเสริมศักยภาพที่มีอยู่ในตัวลูกได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยตระหนักว่า ความรับผิดชอบสูงสุดยังคงอยู่ที่ครอบครัว ไม่ใช่หน้าที่ของโรงเรียน เบื้องต้นผมจึงเลือกโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้าน และผ่านเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้นว่าพอใช้ได้ และเมื่อจบอนุบาลแล้วคงจะพิจารณาถึงโรงเรียนระดับประถมอีกครั้งครับ.... แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 53 19:07:11 จากคุณ : fulfill เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 18:58:18

ความคิดเห็นที่ 41 ตอบแบบไม่ต้องคิด สาธิตจุฬาฯครับ เพื่อนหลายคนที่จบมา เรียนเก่งทุกคน ความคิดดีทุกคน นิสัยก็ดี มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนใคร เพื่อนผมที่จบจากเตรียมฯ ก็จะเป็นอีกแบบ จากโรงเรียนคริสต์ก็จะเป็นอีกแบบ โรงเรียนเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับความคิดคนเราเหมือนกันครับ ถ้ามีลูก ก็อยากจะให้เข้า สาธิต จุฬาฯที่สุด  เป็นโรงเรียนในฝันของผม ตัวผมเองจบจาก C ,า ก็รู้สึกว่าสังคมแตกต่างกันมากจริงๆ  ใครบอกว่าไม่สำคัญมันไม่ใช่หรอก  โรงเรียน C มันทำให้คนเฉื่อย(ผมขอบอกตรงๆ) ถ้าไม่ได้สาธิตจุฬาฯ ผมจะเรียงอันดับตามนี้ 1.สาธิตจุฬาฯ โรงเรียนที่ดีที่สุดในประเทศ ผมขอยืนยันจากประสบการณ์ที่คบกันคนหลายโรงเรียน 2.สาธิตเกษตรฯ คุณภาพอาจจะไม่ต่างกัน ก็เหมาะสำหรับบ้านไกลใจกลางเมือง 3.กท. กรุงเทพคริสเตียน เพื่อนส่วนใหญ่ดูหนักแน่นดี แต่จะเป็นคนที่รวยกว่าปกติหน่อย แต่เพื่อนก็ทำตัวติดดินนะ 4.เตรียมอุดม / หอวัง ก็โอเค แก้ไขเมื่อ 08 พ.ย. 53 22:39:04 จากคุณ : STARLU75 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 22:27:52

ความคิดเห็นที่ 42 //C. ใกล้บ้าน โลด choiceมีน้อยไปหน่อย เล็งๆไว้ก็แค่อัสสัมชัญ ธนบุรี// กรณี ของคุณ เลือกข้อ ๓ ค่ะ ตอนขึ้น ม. ต้น มาคิดกันอีกที สิ่งแวดล้อมที่บ้านก็สำคัญพอๆกับโรงเรียน ถ้าคุณมีเวลาใกล้ชิดดูแลเค้า เรียนที่ไหนก็ได้ แม้โรงเรียนวัดก็ไม่เป็นไร ให้ลูกรู้จัก สังคมหลายๆแบบ รู้จักปรับตัว ... ด้านวิชาการที่โรงเรียนขาด ก็ เสริมอย่างอื่นให้แทน ..... พัฒนาการของเด็กไปจน ๑๒ ขวบ ไม่ต้องเร่งค่ะ เหมือน วิ่งมาราธอน .... ระยะต้นๆ ... ออมแรงไว้ก่อน เดี๋ยวจาไปไม่หมดระยะทาง เป็นปัญหามากกว่า จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 22:46:13

ความคิดเห็นที่ 43 เด็กเล็กเรียนไกลบ้าน เดินทางไกล ลำบาก พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนที่ดีที่สุด... เราว่านะยึดทางสายกลางดีกว่า คือ โรงเรียนมาตรฐานใช้ได้ และไม่ไกลบ้านจนเกินไปน่ะค่ะ จากคุณ : TulipOnLine เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 23:06:44

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่เลือกทั้ง abc  แต่เลือก D ลูกผมก็พึ่งเข้า รร มาได้อาทิตย์เดียว  สิ่งที่ผมเลือกคือการพัฒนาตามความเหมาะสม ตามวัย  เขาต้องมีในสิ่งที่ควรมีตามวัยของเขาไม่มากกว่าและน้อยกว่านั้น วิชาการที่หลังได้  เพื่อนตามความเหมาะสมไม่จำเป็นต้องใหญ่โตแต่ขอให้เป็นคนดี ผมเห็นเด็กหลายคนอ่านหนังสือแบบไม่เต็มใจต้องบังคับให้อ่าน แต่ที่ รร นี้ต้อง บังคับให้หยุดอ่าน   ไม่จำเป็นต้องสอบเข้ามหาลัยได้  ขอแค่ให้เขาได้ทำในสิ่งที่ เขาอยากทำและมีความสุกก็พอ  ขอให้เขารู้จักตัวตนและความต้องการของเขาได้ ตอนผมจบมอปลายยังไม่รู้เลยว่าเราอยากไปทางไหนคิดว่าหลายคนก็น่าจะเป็น เหมือนกัน ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้เลยเอาเข้าเรียนที่นี่  ไกลบ้านมากครับแต่ตอนนี้ใกล้มาก แล้วเพราะย้ายบ้านมาอยู่ตรงข้าม รร เพื่อลูกครับ เด็กที่นี่จะรู้จักตัวตนและความต้องการของเขาก่อนจบมอปลายครับ  แต่ไม่แน้น วิชาการมากไม่มีการแข่งขันกันอาจจะมีสอบแต่ไม่มีการให้คะแนนครับเพราะไม่ สามารถเอาความคิดเห็นของคนๆเดียวมาตัดสินถูกผิดได้แม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นครูก็ตาม ครับ  ผมยกตัวอยางคำถามให้ดูครับ ครูคนหนึ่งตั้งคำถามกับเด็กว่า ' ถ้ามีเงินอยู่ 10 บาท ซื้อของ 3 บาท จะได้รับเงิน ทอนเท่าไร คำตอบของครูคนนี้ที่ต้องการจากเด็กคือ 10-3=7 บาท ถ้าตอบนอกเหนือจากนี่ผิด แต่ในชีวิตจริงคำตอบที่ถูกมีมากกว่า 1 ตำตอบ  คุณจะเห็นว่าเด็กที่เรียนกะครูคนนี้ จะขาดความคิดสร้างสรร  แต่เด็กที่นี่จะตอบว่ามีสามคำตอบ 1 .  7 บาท   2.    2 บาท  3.    0 บาท คำตอบแรกรู้กันแล้ว   คำตอบสอง คือ เงิน 10 บาท ถ้ามันเป็นเหรียญ ห้าสอง เหรียญละเงินทอนจะเท่าไร   คำตอบสามถ้าเงิน 10 บาทเป็นเหรียญบาททั้งหมด ละเงินทอนจะเป็นเท่าไร   ไม่ได้คิดแบบเชาว์นะแต่คิดแบบชีวิตจริง จากคุณ : cocohill (cocohill) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 23:09:11

ความคิดเห็นที่ 45 โรงเรียนเปรียบได้กับดิน เด็กเปรียบได้กับเมล็ดพันธุ์ ถ้าดินกับเมล็ดพันธุ์ดีก็A+แต่ถ้าเมล็ดพันธุ์ไม่ดีแต่ดินดี ยังพอไหว กลุ่มPTTดึงกันเข้ามา ก็วิศว CUทั้งนั้น สถาบันการเงินก็ใช่ ครม สุรยุทร์เด็ก เซ็นต์คราเบรียลทั้งแผง จากคุณ : trimitr249 เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 23:24:16

ความคิดเห็นที่ 46 ผมโตมาแบบ ประถมใกล้บ้าน(5นาทีถึง) พ่อแม่ดูแลอย่างใกล้ชิด พอมัธยม เรียนไกล (1-1.5 ชม) ก็เหมือนต้องปรับตัว ต้องใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่เคยมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นนะ เพราะผมก็ค่อนข้างเซฟตัวเอง ผมว่า บางที มันก็มีเรื่องดีนะ เพราะเดินทางไกลๆคนเดียวทุกวัน มันก็มีเวลาว่าง ให้คิด ให้ดูนู่นดูนี่ มากขึ้น ไม่ใ่ช่ว่าอยู่กับเพื่อน พ่อแม่ หน้าจอทีวี คอมพิวเตอร์ตลอดเวลา จากคุณ : MondayCool เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 23:39:46

ความคิดเห็นที่ 47 ขอไล่ตอบเป็นคนๆนะครับ ก่อนอื่นขอขอบุณอีกครั้ง สำหรับมุมมองนะครับ ผมคิดว่าน่าจะฉุดให้ผม และรวมถึงหลายคนอื่นอ่านคิดครับ ขอขอบคุณอีกครั้ง ณ ตรงนี้ครับ              คุณ Endlesslife และคุณ ohlalla ผมเชื่อว่าทุกคนอยากให้ลูกๆหลานๆเป็นคนดีครับ แต่เราก็ควรมอบโอกาสดีๆให้เค้าใช่มั้ยครับ ^^          คุณ guyver ชื่อที่คุณกล่าวถึงล้วน connection ดีมากๆทั้งสิ้น อาจจะดีกว่า A.B,C ด้วยซ้ำ ขอยกตัวอย่างตัวเอง ผมเรียนห้องเดียวกับลูกสาว คุณ บุญคลี ปลั่งศิริ และ ลูกสาวคุณกรพจน์ อัศวินวิจิตร         คุณ ไคโร ยังไม่มีโรงเรียนอย่างที่คุณว่าครับ แต่เราหวังว่าโรงเรียนจะสอนลูกหลานของเราได้สักครึ่งของที่คุณกล่าวก็ Happy แล้วครับ       ผมก็ชอบสาธิต จุฬานะครับ แถมทีเดียวได้ 12 ปี แต่อย่าที่บอกครับ ว่าส่วนตัวคิดว่าไกลบ้านไปหน่อยสำหรับเด็กๆครับ      คุณ Hecate แน่นนอนครับ คนบ้านไกลมักมาถึงก่อนคนบ้านใกล้เสมอครับ      คุณ salamis เพลินพัฒนานะครับ ขอไปหารายละเอียดอีกที ขอบคุณมากครับ       คุณ no preservation เอ่อ หรือว่าเราอาจจะเป็นเพื่อนกันนะครับ แต่ผมประทับใจโรงเรียนข้างๆที่พื้นที่เล็กแต่ชื่อใหญ่โตมากกว่าเล็กน้อย       คุณ zachize ตอ. เป็นโรงเรียนที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่จริงทั้งหมดในสิ่งที่น้องคุณกล่าวครับ      คุณ notsugar, PapaFrodo ผมมองใกล้เคียงคุณมากเลยครับ       คุณ พ่อค้าแก่แต่หล่อ (act14) ออกแนวคุณพ่อรักสถาบันนะครับ        คุณ kopbirt จริงครับใกล้บ้านสบายทั้งเด็ก และผู้ปกครอง       คุณ หอมจัง เห็นด้วยครับ ส่วนสู้เด็กวัดไม่ได้ อันนี้ช่วยไม่ได้จริงๆครับ         คุณ KOKISME เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ        คุณ  Pianoforte ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำจากประสบการณ์จริงครับ       คุณ Juj ครับ ถูกต้องครับ แต่ที่เราพูดถึงคือการมอบโอกาสให้เค้า ส่วนเค้าจะได้มากน้อยอย่างไร นั่นขึ้นกับตัวเค้า เราคงไม่ได้คาดหวังว่าเค้าต้องเป็นดังใจเรานะครับ        คุณเกรซอยากรวย ครับผมทราบดีอย่างสาธิตจุฬา 7 หลักถ้าไม่มีเส้นดีๆยังไม่รู้จะเข้าได้เปล่านะครับ       คุณหล่อเซ็ง นี่ดูออกเลยนะครับว่ารักแฟนมาก  คุณ Karl Heinz ขอให้เจอโรงเรียนถูกใจคุณลูกไวๆนะครับ   คุณTimin2101Crocus sativus ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำจากประสบการณ์จริงครับ เข้าใจว่าน่าจะเป็นโรงเรียนละแวกสาทรนะครับ      คุณ Kojorn ขอบคุณครับ อย่างที่กล่าวไว้ อยากมอบโอกาสที่ดีให้เค้า เราจึงพยายามหาโอกาสที่ดีและเหมาะกับเค้าที่สุดครับ ส่วนเก่งกับดีนั้น ผมถือว่าแล้วแต่เจ้าตัวเค้าครับ     คุณ VALID ถูกต้องคร้าบบบ    คุณ  ton_21 สิ่งพวกนี้ไม่ได้เกียวกับระบบพวกพ้อง สิ่งพวกนั้นเป็นผลพลอยได้ สิ่งสำคัญกว่า สภาพแวดล้อม และสภาพสังคมครับ     คุณ fulfill ทัศนคติเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็ไม่ง่ายทีจะปลูกฝังครับ ดังนั้นผมคิดว่าแนวคิดของคุณดูน่าสนใจมากๆ และบอกตามตรงค่อนข้างประทับใจสิ่งคุณพยายามสื่อมากครับ     คุณ STARLU75 ผมคิดว่าชื่อที่คุณกล่าวมาเป็นสถานที่เรียนที่ดีครับ แต่คงยากมากในการเรียงลำดับครับ     คุณ nijja ออมแรงไว้ก่อน เห็นด้วยครับ     คุณ TulipOnLine ทางสายกลางดีเสมอ ^^    คุณcocohill (cocohill)  เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมากๆครับ จากคุณ : Biot Savart เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 53 23:54:58

ความคิดเห็นที่ 48 ผมเรียนประถม+มัธยมที่ต่างจังหวัด คงช่วยอะไรกับ list ที่คุณให้เลือกได้ไม่มากนัก แต่มีเรื่องส่วนตัวที่จะเล่า ตอนอยู่ ม.ปลายได้เคยคุยกับเพื่อนเรื่อง รร.ประถมในจังหวัด ซึ่งเป็น รร.ชื่อดังพอๆกัน (ผมจบจากในอำเภอครับ) ซึ่งเพื่อนๆในห้องก็มีจบจาก2โรงเรียนนี้ ได้สัมภาษณ์แต่ละคนมาส่วนใหญ่มีความคิดตรงกันดังนี้ รร.A เป็นโรงเรียนที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ลูกคนรวยมาเรียน รร.B เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างผสมเด็กจากหลายๆชนชั้น เพื่อนบอกเลยว่าคนที่จบจาก รร.A นั้นมีแนวคิดที่แคบกว่า เข้ากับเพื่อนๆได้น้อยกว่า ไม่เข้าใจคนทุกชนชั้น ซึ่งในข้อนี้แม้แต่เด็กที่จบมาจาก รร.A ก็ยังยอมรับว่าจริง ซึ่งต่างจากเด็กที่จบจาก รร.B สามารถเข้ากับคนได้มากกว่า ซึ่งเด็กที่จบจาก รร.A ก็มาปรับตัวเป็นคนเข้ากับคนอื่นๆง่ายก็เพราะมารวมกลุ่มกับคนหลายๆชนชั้นเหมือนกัน แต่ส่วนพวกที่จบจากรร.Aแล้วไปเรียนพวกรร.นานาชาติ ผลที่ออกมาแย่มากกว่าดี จากประสบการณ์ของผมเลยคิดว่า เด็กควรจะอยู่ในโรงเรียนที่มีสังคมหลากหลาย จะได้เข้าใจคนอื่น มองได้ในหลายๆมุม เด็กจนก็ดึงไม่ให้เด็กรวยเวอร์ไปมาก เด็กรวยก็ทำให้เด็กจนเห็นในสังคมเด็กจนไม่เคยเห็น โรงเรียนสำคัญตั้งแต่อนุบาลครับ ขอให้ตัดสินใจดีๆครับ เป็นกำลังใจให้ สุดท้ายอย่าให้เด็กเป็นเหมือนในกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/mbk/topic/T9784953/T9784953.html ถึงแม้มันอาจเป็นเรื่องแต่งก็ตาม จากคุณ : Metalloids เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 00:51:03

ความคิดเห็นที่ 49 สั้นๆครับ เลือก โรงเรียนที่ดี และ เหมาะสมกับระดับฐานะของเราครับ เพราะเรื่องนี้สำคัญไม่แพ้ โรงเรียนดี ถ้าเศรษฐฐานะ ของลูกเรา ต่างกัน กับของเพื่อนไป ไม่ว่าบวกหรือลบล้วนเกิดปัญหาได้ จากคุณ : :::GANTZ::: เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 00:55:48

ความคิดเห็นที่ 50 จริง ๆ พวกสถาบันต่าง ๆ ที่เห็นตั้งร้านตามห้างมันบอกว่า ศักยภาพของเด็กพัฒนาได้ถึง อายุ x ขวบ  ถ้าเชื่อตามทฤษฎีนี้ก็หมายความว่า ช่วงอนุบาลก็เป็นช่วงสำคัญที่สุด รึเปล่า ? ??  ในมุมมองของผมนะครับ มันจะเริ่มสำคัญมาก ๆ ตอนประถม ปลาย ๆ สัก 5-6 เพราะ ในการสอบเข้าโรงเรียนม.1 นั้น มันคงกำหนด ความเป็นไปได้ใน ม.ปลายได้มากกว่า ผมคิดว่าในระดับเด็ก ๆ ประถม จากประสบการณ์ตัวเอง นะครับ โรงเรียนนไหนก็เหมือนกันคือความจริง แต่จะต่างกันก็ตอนสอบเข้าม .1  แต่ผมคิดว่า เท่าที่ได้ยินมาโรงเรียนอัสสัมชัญ ด้านวิชาภาษาอังกฤษ ก็ดีอยู่แล้วครับ คงไม่เป็นปัญหาในอนาคตถ้าม.1 จะไปเข้า EP ในโรงเรียนรัฐบาล หรือไปเข้าโรงเรียนเอกชน ข้างต้นที่ท่านเสนอมาครับ  เพราะเด็กโรงเรียนธรรมดา ประถม บางทีภาษาอังกฤษ เค้าไม่ได้เน้นอย่างจริงจัง ซึ่งในระดับประถมถ้าลูกท่านได้ภาษา น่าจะเป็นจุดแข็งกว่าเด็กคนอื่น ๆครับ จากประสบการณ์ตัวเองนะครับ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 53 07:05:59 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 53 07:05:27 จากคุณ : IamJirapat เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 07:02:18

ความคิดเห็นที่ 51 Factorสำคัญที่มีผลต่อการเลือกโรงเรียนลูกคือ"เงิน"ค่ะ ถ้ามีเงินก็คงจะเลือกโรงเรียนดีๆโรงเรียนดัง(ทางด้านวิชาการ) ดีต่อเด็กเเน่นอน เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 35 โรงเรียนใกล้บ้านใช่จะดีไปหมด ต้องเลือกค่ะ ส่วนตัวส่งลูกเรียน -อนุบาลใกล้บ้าน เทศบาล(ไม่ฟรีเเต่ถูกกว่าเอกชน) -ประถมใกล้บ้าน เทศบาล ฟรี (เเถมได้ทุนอาหารกลางวันด้วย เนื่องจากบ้านจน เเฮ่ๆ) -ม.ต้นใกล้บ้าน เทศบาล ฟรี  ลูกเรียนติดTop3ของนักเรียนทั้งชั้นปี (เเต่ก็ต้องเสียเงินส่งไปติว กลัวตอนสอบเข้าม.ปลายเทศบาลชั้นนำ(เเถมมาอยู่ใกล้บ้านอีก ขนาดเดินไปเรียนได้)เเล้วจะสู้เด็กจากโรงเรียนอื่นไม่ได้ค่ะ) สรุปเเล้ว เพราะเหตุผลทางการเงิน เลยทำให้ต้องเลือกที่ใกล้ๆบ้าน  ระดับมหาลัย ถ้าลูกสอบเข้าของใกล้บ้านได้อีกคงจะดีไม่น้อย เเฮ่ๆ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 53 07:53:13 แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 53 07:45:06 จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 07:36:53

ความคิดเห็นที่ 52 ความคิดเห็นที่ 13 ทุกครั้งที่ผมสวดมนต์ไหว้พระ ผมขอให้ลูกผมมีสุขภาพแข็งแรง และเติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม สำหรับผมลูกไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง แต่ขอให้ลูกเป็นคนดี แค่นี้พ่อก็มีความสุขแล้ว จากคุณ : ohlalla ผมอยากจะเพิ่มคำว่า ทุกครั้งที่ผมสวดมนต์ไหว้พระ ผมขอให้ลูกผมมีสุขภาพแข็งแรง และเติบโตขึ้นเป็นคนดีของสังคม สำหรับผมลูกไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง แต่ขอให้ลูกเป็นคนดี และเอาตัวรอดได้ในสังคมอย่างมีความสุข แค่นี้พ่อก็มีความสุขแล้ว ลูกผมกำลังจะเข้าอนุบาล ผมพาไปเที่ยวโรงเรียนมา 4-5 ทีแล้วครับ ให้เขาไปวิ่งเล่นในโรงเรียน ไปเล่นกับเด็กเท่าๆ กันในห้องบ้าง(ขอครูเข้าไป) ไปดูกิจกรรม บรรยากาศ และ สังคม ลึกๆ ไม่อยากให้ลูกโต อยากอุ้ม อยากกอด อยากหอมแบบนี้ไปนานๆๆๆ เพราะพอโตขึ้นเขาก็มีตัวตนของเขามากขึ้น ก็บอกให้ลูกเข้มแข็ง อดทน และขอให้พ่อได้กอดบ้างนะเมื่อลูกโตขึ้นมา...  จากคุณ : kamas เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 07:48:30

ความคิดเห็นที่ 53 ขอเข้ามาตอบในฐานะคุณแม่ลูกสองค่ะ ลูกชายคนโตอายุ 5 ขวบ คนเล็ก 2 ขวบค่ะ  คนโตเรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านสถิติว่ามีเด็กสอบเข้าโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ ได้มาก  คนที่สองก็จะให้เข้าโรงเรียนเดียวกัน   จริง ๆ ที่วางแผนไว้เรื่องโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ ที่อยากให้ลูกลองไปสอบเข้าดู เพราะโรงเรียนก็อยู่ใกล้ ๆ กับที่ทำงานของพ่อกับแม่ค่ะ และไม่ไกลบ้านมากนัก  ถ้าสอบเข้าได้ก็ดีค่ะ ถ้าเข้าไม่ได้ก็หาที่เรียนสำรองไว้ก่อนแล้วให้หาที่เรียนไปสอบเข้า ม. 1 ทีหลัง ต้องอธิบายก่อนว่าสาเหตุที่เลือกโรงเรียนอนุบาลดังกล่าว จริง ๆ แล้วเน้นเรื่องอยู่ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานของพ่อกับแม่เป็นหลักค่ะ เนื่องจากพ่อกับแม่ต้องออกมาทำงานโดยออกจากบ้านประมาณ 6 โมงเช้า แล้วถ้าเราให้ลูกเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน จะไม่มีใครดูแลเรื่องการไปส่ง ไปรับ ดังนั้นต้องตัดเรื่องให้เรียนใกล้บ้านออกไปค่ะ ที่จริงเรียนใกล้บ้านมีข้อดีคือลูกไม่ต้องรีบตื่นเช้ามาก ๆ และไม่ต้องนั่งรถไกล ไม่เหนื่อยมากค่ะ แต่เอาเป็นว่า ถ้าเรียนโรงเรียนใกล้บ้านแล้วไม่มีคนดูแลเรื่องส่งลูก รับลูก เราก็เอาเป็นให้ลูกเดินทางมาในรถกับพ่อและแม่ อยู่โรงเรียนใกล้ที่ทำงานของพ่อกับแม่ เช้ามาส่งลูกแล้วไปทำงานได้ไม่ลำบาก เย็นรับลูกและกลับบ้านพร้อมหน้ากัน ระหว่างอยู่ในรถก็คุยเล่นกับลูกไปเรื่อย ๆ ค่ะ  ก็ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่เรื่องเดินทางไกลมากไปเนี่ย ไม่เอาเด็ดขาดค่ะ พอดีว่าที่ทำงานของพ่อกับแม่ และโรงเรียนของลูก ไม่ไกลบ้านจนเกินไปด้วย คือถ้ารถไม่ติดก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง  ถ้ารถติดก็ไม่เกิน 1 ชั่วโมงค่ะ  ต่อให้หาที่ทำงานหรือโรงเรียนดีมากมายแค่ไหนแต่ถ้าต้องใช้เวลาเดินทางนานมาก ๆ และต้องเจอรถติดเป็นชั่วโมง ๆ ไม่เอาเด็ดขาดค่ะ คือไม่จำเป็นและไม่อยากจะต้องทำให้ชีวิตต้องลำบากและเครียดมากมายขนาดนั้น สรุป สำหรับเด็กเล็ก ๆ ควรเลือกโรงเรียนที่ใกล้บ้านหรือใกล้ที่ทำงานของพ่อกับแม่ ที่ไม่ต้องลำบากมากเกินไปในการเดินทางนะคะ และพยายามเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ค่ะ   ส่วนเรื่องลูกจะเรียนเก่งหรือไม่เก่งนั้น อยู่ที่ตัวเด็กเองและการเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ค่ะ  เรื่องสร้าง connection นั้น สำหรับเด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นค่ะ จากคุณ : หวานใจกัปตัน เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 08:05:10

ความคิดเห็นที่ 54 ระดับอนุบาล ภาระการสอนจะไม่อยู่ที่โรงเรียนนะคะ  การพัฒนาการของเด็กจะดีหรือไม่อยู่ที่คนเลี้ยงดู  ตามความเห็นของเราถ้าสมมติว่าเราจะเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูก จะเลือกโรงเรียนที่เดินทางสะดวก สุขอนามัยดี  มีครูดูแลเด็กใกล้ชิด และเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก ที่สำคัญคือ ต้องสร้างทัศนคติที่ดีให้กับลูกเรื่องการไปโรงเรียน การอยู่ในสังคม เรื่องศีลธรรม การเป็นคนดี EQ เรื่องพวกนี้ต้องค่อยๆซึมซับ เพราะยังเด็ก ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว   เน้นการพัฒนาการด้านสังคม อารมณ์ การกระตุ้นการอยากเรียนรู้ให้ลูก  ไม่ต้องวิชาการก็ได้ค่ะ........เพราะเราจะสอนเอง จริงๆตอนนี้กระทรวงศึกษาอนุญาตให้พ่อแม่สอนลูกเองแล้ว ทำเป็นคอร์สแทนการไปโรงเรียนนะคะ     แก้ไขเมื่อ 09 พ.ย. 53 08:43:07 จากคุณ : กันดัมจัง เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 08:38:35

ความคิดเห็นที่ 55 ความรู้ หรือจะสู้................ดวง จากคุณ : goldengun เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 09:38:03

ความคิดเห็นที่ 56 รวมทั้งอยากทราบเหตุผลของคนส่วนใหญ่ ว่าใช้ Factor อะไรมาคิดในการหาโรงเรียนให้ลูกๆ หลานเรียนกัน ... ผมมีโอกาสได้เลือกโรงเรียนให้เด็กในปกครอง 4 ครั้ง คนโต เราเลือกจากตัวเลือกใกล้บ้านเป็นอันดับแรก จากนั้นไปดูสถานที่รอบโรงเรียน ในโรงเรียน ว่าปลอดภัยดีไหม น่าเรียนไหม ไปศึกษาทัศนคติของครูว่าสมควรจะเอาลูกมาฝากไว้ไหม ลูกเรียนโรงเรียนรัฐบาลเล็กๆ ตามฐานะของเรา แล้วมาต่อมัธยมโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน ตอนนี้กำลังจะจบม.ของรัฐ ซึ่งก็ใกล้บ้านเหมือนเดิม เด็กมีเวลาทำกิจกรรมมากมายตั้งแต่ประถมยันมหาวิทยาลัย ซึ่งผมมองว่ามีส่วนช่วยให้เด็กเป็นคนคล่องตัว เป็นที่เอ็นดูของผู้ใหญ่ ถึงแม้เรื่องการเรียนจะไม่เก่งมาก คนที่สองและสามเราเลือกจากตัวเลือกใกล้บ้านเหมือนเดิม แม้ต่อมาเราต้องย้ายบ้าน เราก็เลือกซื้อบ้านที่ใกล้โรงเรียน คราวนี้เป็นโรงเรียนเอกชนที่ดูแล้วน่าจะมีความปลอดภัย และเด็กน่าจะเรียนได้อย่างมีความสุข ต่อมาผมคิดจะย้ายถิ่นฐานมาอยู่ต่างจังหวัด เราเลือกซื้อบ้านในทำเลที่ใกล้โรงเรียนอีกครั้งโดยพาเด็กไปดูโรงเรียนก่อน จะเห็นได้ว่า ผมเลือกความสะดวก เพื่อไม่ให้ทั้งเราและเด็กเหนื่อยเกินไป เลือกให้เด็กมีความปลอดภัยในชีวิต เลือกให้เด็กได้อยู่กับครูที่ใส่ใจ เลือกที่จะมีเวลาได้อยู่กับเด็ก ส่วนระดับความเข้มข้นทางการศึกษา ระดับสังคมของเพื่อนๆ ผมให้ความสำคัญเพียงเล็กน้อย ขอแค่ให้เป็นระดับใกล้เคียงกับคนส่วนใหญ่ในสังคม เพื่อให้เขาได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ได้เจอคนทุกประเภท มีดีมีแย่ บางครั้งต้องแก้ไขปัญหาเพื่อเอาตัวรอดด้วยตัวเอง เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็ก ไม่ใช่เลี้ยงเหมือนไก่ในฟาร์มที่ควบคุมทุกอย่างให้ดีเลิศ เพราะไม่ว่าจะเรียนในสังคมแบบไหน จบมาเขาก็ต้องทำงานในสังคมที่มีคนหลากหลายประเภท ทั้งรวย จน ดี เห็นแก่ตัว ฯลฯ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมมีแนวคิดแบบนี้เพราะผมเองก็โตมาจากโรงเรียนธรรมดาๆ แบบนี้ แต่รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้มีความสุขในชีวิตน้อยกว่าใครๆ ไม่ว่าเขาจะรวยหรือมีการศึกษาดีกว่าผม และผมอยากถ่ายทอดการใช้ชีวิตแบบมีความสุขนี้ให้แก่ลูก โดยที่ลูกผมไม่จำเป็นต้องทำงาน (ที่สังคมมองว่า) ดีๆ ขอแค่ให้เขาเป็นคนดีและมีความสุขกับชีวิต เอาตัวรอดได้เมื่อเจอปัญหา จากคุณ : พ่อโปรเจ็กต์ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 10:20:48

ความคิดเห็นที่ 57 หลานผมเรียนโรงเรียนวัดบ้านนอกถึง ป.4 สิ่งที่ได้ คือ เล่นคลุกดินสนุกสนาน ว่ายน้ำเล่นกับเพื่อน รู้จักต้นไม้ท้องถิ่นเยอะมาก ร้องเพลงลูกทุ่งได้เกือบทุกเพลง เข้ากับคนง่าย แจ่มใสร่าเริงมากจนนึกว่าบ้ารึเปล่า สิ่งที่อ่อน คือ วิชาการ ภาษาอังกฤษ คณิต วิทย์ ไม่เอาไหน จากบ้านนอกก็มาเข้ากรุง เรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ป.5 ถึง ม.3 สิ่งที่ได้ คือ วิชาการ ภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลี คณิต วิทย์ พัฒนาขึ้นมาก เรียนเทควันโดด้วย ร้องเพลงเกาหลี อังกฤษ ชนิดฟังวันนี้พรุ่งนี้ร้องได้ ดูแลเสื้อผ้าหน้าผมมากขึ้น ติดเก๊กพองาม เข้ากับเพื่อนได้ดีมาก ๆ รู้จักคนไปทั่วโรงเรียนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง สิ่งที่อ่อน คือ เพลงลูกทุ่งใหม่ ๆ ร้องไม่เป็นแล้ว บางครั้งจะรู้สึกอายถ้าถูกถามว่าก่อนหน้านี้เรียนที่ไหนแต่ถ้าคุยกันในบ้านก็จะรู้สึกภูมิใจที่เรียนที่นั่น แล้วก็เรื่องโทรศัพท์ที่เพื่อนในชั้นเอาไอโฟนมาเล่น อารมณ์อยากได้บังเกิด แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ว่าเพื่อนมีอะไรก็ต้องมีให้ได้ จากคุณ : natureZ เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 10:21:46

ความคิดเห็นที่ 58 โปรดอย่าโยนความรับผิดชอบต่อเด็กให้ รร คุณคือครูคนแรกของเขา  ต้องยอมรับว่าครอบครัวสำคัญกับเด็กมากกว่า รร เด็กวัยนี้เขาเรียนรู้จากคุณพ่อคุณแม่และคนใกล้ตัวมากกว่าที่ รร พฤติกรรมของเขาในอนาคตมาจากสิ่งที่เขารับมาจากพ่อแม่ในวัยเด็ก 0-7 ปี จากสิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสได้จากคุณโดยที่คุณจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เขาไม่รู้หลอกว่าอันไหนควนรับหรือไม่ควรรับเขามาแต่เขาจะรับทุกอย่างเข้ามา ตัวอย่างถ้าพ่อแม่ทะเลาะกันให้เห็นเป็นประจำคุณคิดว่า รร จะช่วยให้จิตใจเขาดี ขึ้นหรือ  เด็กที่เสียอนาคตส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมของพ่อแม่ที่เขารับเข้ามา โดยที่คุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม   ถ้าคุณคิดเสมอว่าคุณคือครูคนแรกของเขา รร เป็นส่วนประกอบเท่านั้น   เมือเด็กมีความสุขจากครอบครัวเด็กก็จะมีความ สามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีมากผมเห็นตัวอย่างมาแล้ว จากคุณ : cocohill (cocohill) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 10:39:22

ความคิดเห็นที่ 59 แนะนำว่าเน้นที่ตัวเองเป็นหลักค่ะ ดูแลลูก เลี้ยงลูกให้ดี พ่อแม่เรา ไม่ได้เก่ง หรือฉลาด ทั้งคู่ แล้วก็ทำงานหนักด้วย่ะ แต่เราถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี เพราะพ่อแม่เราเป็นครู เลยรู้ว่าเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบสำคัญมาก เราอ่านหนังสือออกตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน เรียนได้ที่ต้นๆมาตลอด ได้เรียนแต่โรงเรียนเทศบาลค่ะ โรงเรียนวัดตามต่างจังหวัดแหละค่ะ แล้วพอมัธยมสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ แล้วก็เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐได้ เรียนในคณะที่มีเด็ก กทม โรงเรียนดังๆเยอะค่ะ จบได้ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 โดยที่ตลอดทางของการเรียน พ่อกับแม่ไม่เคยเสียเงินค่าใต้โต๊ะ บริจาคอะไร เพราะเราสอบติดเองตลอด เรียนพิเศษนิดเดียวตอน ม.. ปลาย ขอแนะนำว่าให้ดูแลช่วงแรกให้ดีค่ะ เรารู้ตอนที่แม่ฝากหนังสือให้ญาติที่เ้ค้ากำลังท้อง แล้วเราไปขอยืมอ่านค่ะ หนังสือ "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" แม่ก็เลยเล่าว่า เลี้ยงตามเล่มนี้แหละ พอลูกโตมาสบาย ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญมาก แต่เล่มนี้จะเน้นเรื่องสมองมาก ดูแลลูกเรื่องร่างกายด้วยนะคะ ให้ชอบกีฬา เพราะของเราไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเลย จะง่อยเรื่องนี้มากๆ หวังว่าพอจะช่วยได้นะคะ จากคุณ : maigab_sp เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 10:57:05

ความคิดเห็นที่ 60 สำหรับเรา ถ้าอนุบาล ถึงประถม 6 เราเลือกโรงเรียนที่ดี ที่ใกล้บ้านค่ะ เพราะวัยนี้ เราอยากมีเวลาอยู่กับเค้า ปลูกฝังเค้าเองมากกว่า และให้เค้าได้เรียน ได้เล่น ไม่ใช่อยู่แต่ในรถ เล่นกับเครื่องจอสี่เหลี่ยม ส่วนถ้าโตกว่านี้ อยากให้เค้าเรียนที่ดีที่สุด เพราะการได้สังคมมันก็สำคัญจริงๆ สำคัญตรงได้รายล้อมกับเพื่อนที่ดีดี เป็นเด็กดีกันซะส่วนใหญ่ สรุปว่า โรงเรียนที่เลือก อาจจะไม่ใช่โรงเรียนที่ดีที่สุด แต่มันดีที่สุดสำหรับเรา จากคุณ : poohbee เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 11:02:29

ความคิดเห็นที่ 61 นึกถึงตอนเลือกโรงเรียนอนุบาลให้ลูก เราไม่ได้ดูที่ชื่อเสียงแต่เราดูที่หลักสูตรที่จะสอน และบุคลากร รวมทั้งความสะอาดของสถานที่และอุปกรณ์ และแน่นอนต้องอยู่ใกล้ที่ทำงานด้วย ตอนที่เลือกเราเข้าไปดูหลายแห่งและเห็นวิธีการปฏิบัติกับเด็กในแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ที่ๆเราเลือกไม่ได้ใช้อำนาจเพื่อสอนให้เข้าใจ แต่ทำให้เห็นและใช้จิตวิทยาให้เด็กๆรวมอยู่ด้วยกันได้ ผมว่าจริงๆแล้วโรงเรียนอนุบาลจำเป็นต้องจำลองสภาพสังคมส่วนใหญ่ไว้ มีคนที่เข้มแข็งกว่าเรา เท่าๆเรา และอ่อนแอกว่าเรา ที่นี่เค้าสอนให้แต่ละคนช่วยเหลือตัวเองให้ได้และหันมาช่วยเพื่อนๆที่ทำไม่ได้หรือทำไม่ทันด้วย คอนเนคชั่นอาจสำคัญสำหรับคนทำธุรกิจ แต่สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม ผมอยากให้ลูกอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า ความสำเร็จของลูกคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวัน จากคุณ : nonsaint เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 11:11:32

ความคิดเห็นที่ 62 ความคิดเห็นที่ 48 รร.A เป็นโรงเรียนที่ส่วนใหญ่จะมีแต่ลูกคนรวยมาเรียน รร.B เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างผสมเด็กจากหลายๆชนชั้น เราคิดว่าทั้ง รร.A(คาทอลิค)  และ B (สาธิต)   ก็จะมีทั้งลูกคนรวยและคนฐานะปานกลางเรียน เพราะระบบรับเด็กเข้าศึกษาคล้ายๆกันคือ   รับทั้งเด็กเก่งสอบได้เองโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องเสียค่าแป๊ะเจี๊ยะเลย และเด็กฝาก   ไม่ว่าจะฝากด้วยเงินหรือด้วยความสนิทสนมหรือด้วยวิธีอื่นๆ ถ้าเป็นรร.A   ตอนประกาศรายชื่อเด็กที่สอบเข้าได้ก็จะไม่แยก ว่าเด็กเข้าได้ด้วยวิธีใด แต่ถ้าเป็นรร.B   ก็จะแยกชัดเจนเป็น  2  รายชื่อ 1 รายชื่อ  สำหรับเด็กที่สอบเข้าได้เอง    อีก  1  รายชื่อ สำหรับลูกหลานบุคคลากรและเด็กฝาก ซึ่งเท่าที่เห็นเด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวฐานะปานกลาง-รวย  ไม่ค่อยหลายชนชั้นเท่าไร ถ้าล่างมากก็คงไม่ไหวเราเพราะค่าเทอมสาธิตก็ตกปีละสามหมื่นกว่าบาท ( อัสสัมชัญได้ยินว่าประมาณหกหมื่นบาท )   ถ้ารวยมากเห็นชอบให้ลูกเรียนอินเตอร์กัน   อันนี้เล่าเท่าที่เห็นนะคะ    เพราะมีเราเองก็มีทั้งลูกที่เรียนโรงเรียนคาทอลิคและโรงเรียนสาธิต จากคุณ : kimwong เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 11:38:51

ความคิดเห็นที่ 63 อัสสัมธนสู้ๆ คนที่จะเข้า อัสสัมธนได้ก็มีคอนเน็คชั่นดีได้นะ รวยๆทั้งนั้น เด็กเก่า ACT ครับ จบมา5ปีละ จากคุณ : V_Accy เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 13:14:13

ความคิดเห็นที่ 64 แวะมาบอกว่า เซนต์คาเบรียล เขียนแบบนี้นะครับ พอดีเป็นศิษย์เก่าครับ จากคุณ : PH-CKA เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 13:35:37

ความคิดเห็นที่ 65 ผู้ใหญ่แถวบ้านผมบอกว่า เด็กเล็กไม่ต้องเรียนโรงเรียนแพงๆ เก็บเงินไว้ให้มันเรียนโรงเรียนดีๆตอนมัธยม จากคุณ : charmander เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 13:42:23

ความคิดเห็นที่ 66 อาจตอบแตกต่างกับหลาย ๆ ความเห็นไปบ้าง แต่จากประสบการณ์ตรง เด็กระดับประถม เป็นเด็กอยู่ เพราะฉะนั้น สำคัญที่ตัวครู ในระดับประถม ครูคือพระเจ้า ใน หลาย ๆ รร. ที่ จขกท ยกตัวอย่างมา มีสาธิตเท่านั้น ที่เราพอจะวางใจในเรื่องคุณภาพและคุณธรรมของครู ได้รับการตรวจสอบจากหลายฝ่าย เช่น ผู้ปกครอง และตัวผู้อำนวยการใน รร. เนื่องจากเป็นระเบียบ ระบบที่ต้องตรวจสอบได้ และการสอบหรือสมัครเข้าทำให้คัดระดับของเด็กไปด้วย ครูจะไม่กล้าทำอะไร ที่ไม่สมควรทำอย่างที่เราเห็นเป็นข่าวอยู่เสมอ ลองถามคนเรียนอยู่ดูว่า ครูเป็นยังไงบ้าง อย่าไปถามครูใน รร.น่ะ เพราะคงไม่ได้ความจริงอะไร ประสบการณ์ที่เคยเจอ(บ่อยและหลาย รร)และที่ได้คุยกับเพื่อน ๆ ผปค.ด้วยกันที่อยู่ รร.อื่น รู้จักกันตามสถานกวดวิชา  คือ ครูไม่สอน(เน้น)  ผปค.เสียเงินค่าแป๊ะเจียะ เยอะมาก ถึงรู้ว่า รร.ไม่ดี ก็ไม่อยากย้าย  ความจริงที่คุณต้องทราบ คือ หลายที่ ครูไม่สอน รร.ไม่ดี ครูบางคน(โดยเฉพาะครูพละ)ชอบทำร้ายเด็ก พอเอาเรื่องขึ้นมา ก็เปลี่ยนสถานการณ์เป็นเด็กผิด หรือไม่มีเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นเลย เหตุผลเพราะ แมลงวันมักไม่ตอมแมลงวัน และเป็นเด็กเล็ก(ป.1 - ป.4) จะโต้แย้งอะไร พ่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ตัวเด็กเอง ถูกซักมาก ๆ เข้า กดดันมากเข้า เด็กก็ไม่กล้าพูด หรือกลัว หรือเบื่อไปเอง หากได้เลือก รร.แล้ว แนะนำให้สอนลูก อย่ามีปัญหากับครู อย่าหวังเรื่อง สังคมใน รร.ลูก วิวัฒนาการเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน รร. a ที่คุณว่ามา แย่งเด็กกันเข้ามาเรียน กลายเป็นเชิงพาณิชย์ไปแล้ว โดยใช้ชื่อเสียงที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม ได้รับเงินแป๊ะเจียะมากมาย ไม่ได้หมายถึงว่า มาจากสังคมดี พ่อแม่บางคน สอนลูกให้เอาเปรียบ ประจบครู ทำตัวเป็นผู้นำ คุมเพื่อน หน้าไหว้หลังหลอก มีจริง ๆ  อย่าหวังอะไรมาก โตขึ้น ถ้าลูกเราดี พ่อแม่ดี จะเลือกไปอยู่สังคมที่ดีและเหมาะกับตัวเอง อย่าหวังจาก รร. สังคมมีความหลากหลายมาก และนิสัยของเด็กที่มาจากบ้านก็ส่อให้เห็นถึงแนวคิดและสังคมที่แตกต่างมาก บางทีอาจไม่ดีกับลูกเราด้วยซ้ำ สนามฟุตบอลใหญ่ ๆ ใน รร. ลองถามดูว่าเด็กได้รับอนุญาตให้เล่นมั้ย แถวสาธร แค่เด็กเดินผ่านสนาม ก็มีเจ้าหน้าที่ประกาศไมค์เสียงดัง ให้ขึ้นมาจากสนาม ไม่งั้นจะถูกลงโทษ  สนามมีไว้เพื่อนักกีฬาฟุตบอลของ รร. และเด็กที่เสียเงินเรียนพิเศษ ถ้าลูกคุณไม่ใช่นักกีฬา สนามจะมีประโยชน์อะไรกับลูก ระบบการเรียนการสอนของ รร. ไม่ได้สอนลูกให้เก่งกาจอะไรหรอก เด็กที่เรียนแย่สุดกับเก่งสุด สุดท้ายเกรดเฉลี่ยก็อยู่ระหว่าง 3.5-4 อยู่ดี มาค้นพบความจริงว่า ลูกเราอ่อนก็ตอนไปสอบแข่งขันเข้า รร. อื่น ซึ่งก็สายไปแล้ว เพราะสอบเข้าไม่ได้ และก็ต้องต่อ รร.เดิม หลาย รร. กีดกันไม่ให้เด็กไปสอบเข้าที่อื่น เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าลูกจะเก่งได้ถ้าไม่ใช่เพราะ พ่อแม่ช่วยผลักดัน หรือเด็กใส่ใจเอง ซึ่งสุดท้ายต้องพึ่ง รร.กวดวิชา มีเด็กเพียงไม่กี่คน ที่เก่งระดับประเทศ รร.จะเอาใจมาก ให้ทุน ให้เงินรางวัล เด็กกลุ่มเล็ก ๆ พวกนี้ ความสำเร็จมาจากพ่อแม่ และ รร.กวดวิชาข้างนอกล้วน ๆ  รร.ที่เรียนอยู่จะส่งเสริมและให้การสนับสนุน เมื่อลูกคุณแข่งชนะแล้ว แต่ในระหว่างกระบวนการผลิต รร.ไม่เกี่ยว ไม่ยุ่งด้วย ที่เขียนมานี้ เป็นความจริง ที่ ผปค.ส่วนใหญ่ทราบดี และ ผปค.มือใหม่ อาจยังไม่ทราบ ที่ไม่มีใครพูด เพราะลูกได้ผ่านจุดนั้นมา จะพูดก็ไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีเจตนาร้ายกับใคร นอกจากให้ข้อมูลจริง ดูแลใกล้ชิด และใส่ใจลูกให้มาก ๆ อย่าคิดว่า เลือก รร.แล้วจบ เพราะแค่คุณทิ้งลูกให้อยู่กับ รร.และครูที่ไม่ได้เรื่องนานเท่าไหร่ ศักยภาพของลูกก็ถดถอยลงเท่านั้น ขอให้พบทางที่ดี จากคุณ : the winged dragon of la (The Winged Dragon of La) เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 14:09:35

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณทุกท่านที่ได้แบ่งปันคคห.ดีๆ อยากให้พ่อแม่ทุกท่านลองศึกษาแนวคิดรร.นี้ดูครับ น่าสนใจมาก http://www.roong-aroon.ac.th/NewWeb/index.php?option=com_content&view=article&id=141&Itemid=195 จากคุณ : teeranet เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 14:19:12

ความคิดเห็นที่ 68 ผมเรียน บดินทร์ ช่วงที่เรียน ไม่ค่อยชอบ สังคมเท่าไหร่ ไม่ขออธิบาย ช่วง ที่อยู่ บอกตรงๆไม่มีความสุขเท่าไหร่ แต่ถ้า เรื่องเพื่อน ที่โอบอุ้มเราได้ ในอนาคต เออ จริง ตอนนี้ เพื่อน ร่วมชั้น ของผม มีทั้ง เป็นดารา เจ้าของธุรกิจ 100 ล้าน 3 คน ระดับ 1000 ล้าน 2 คน เพื่อนผมคนนึงเดือดร้อนโทรไป ขอ งาน เพื่อนก็ช่วย ให้เป็น ผู้ช่วยประธาน แม้ผมไม่ชอบระบบแบบนี้เท่าไหร่ แต่ ยอมรับว่ามีประโยชน์มาก ในเวลาที่เราต้องการ ที่พึ่งในยามยาก จากคุณ : เจ้าหญิงน้อยแห่งอันดามัน เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 15:08:07

ความคิดเห็นที่ 69 ถึง คห.62 สงสัยจะเข้าใจผิด คห. ของผม เพราะโรงเรียน A B ของผมกับของ จขกท.นั้นมันคนละอันนะครับ ผมบอกแล้วว่าเรียนในต่างจังหวัด ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่ จขกท. สมมติ ขึ้นมา เพียงแต่ยกตัวอย่างให้เห็นว่าไปเรียนกับสังคมที่มีผู้คนหลากหลายเท่านั้นเองครับ ;) จากคุณ : Metalloids เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 16:46:16

ความคิดเห็นที่ 70 แถวนั้น มีเพลินพัฒน์ครับ อยู่สายสอง ลูกเพื่อนเรียนอยู่ น่าจะดี แต่ไม่การันตีความสำเร็จ เพราะยังไม่เห็นประสิทธิผลที่ตัวเด็ก(รวมรุ่งอรุณด้วย) ความเห็นผมเด็กเล็กจำเป็นต้องเรียนโรงเรียนดี เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับอนาคต โรงเรียนต้องพัฒนาเด็กให้เป็นคนเก่ง เด็กฉลาดหรือไม่ไม่จำเป็น เพราะคนเก่งมักประสบความสำเร็จ จะให้เด็กเป็นคนดีเราต้องสอนเอง พึ่งรร.ได้ระดับนึง ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องไกล(ประมาณ หนึ่ง  ชม.) ขอให้ขาใดขาหนึ่งมีเราคอยส่งหรือรับ เพราะผมจะใช้เวลานั้นสอนเขาทุกอย่างที่ผมอยากจะพัฒนาเขา (ประโยชน์ของการโตในรถ) รร.A ดีครับ แต่เรียนหนักไป ถ้าไหวเด็กจะแกร่ง รร.B เค้าเลือกเราไม่ใช่เราเลือกเค้า ถ้าเข้าได้น่าจะดีกว่า A ข้อสำคัญ อย่าให้ต้องไปเรียนพิเศษ จำพวกวิชาการ นั่นแหละที่เด็กดูน่าสงสารที่สุด ลูกผมเรียนอินเตอร์ครับ เพราะมันตอบโจทย์ในความคิดผม แต่แพง...หาย  ไม่รู้ลงทุนมากไปหรือเปล่า จากคุณ : kukkui เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 17:51:38

ความคิดเห็นที่ 71 ชีวิตไม่ใช่ไม้บรรทัด จากคุณ : CCi200 เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 53 22:38:54

ความคิดเห็นที่ 72 คนเป็นพ่อแม่อยากเจอ-สมาคมกับพ่อแม่ของเพื่อนของลูกแบบไหน ฐานะ อาชีพ การศึกษา ระดับไหน โรงเรียนในระบบต่างจากโรงเรียนกวดวิชา หรือสอนพิเศษที่อยู่ตามห้าง ----- การคาดหวังกับการเรียนการสอนจากโรเรียนเป็นสิ่งพึงกระทำ แต่ผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วมด้วย อย่างพอเพียงและเหมาะสมครับ --- สุดท้าย เลือกโรงเรียนที่ลูกมีความสุขที่จะใช้ชีวิต จากคุณ : netaddict เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 07:06:52

ความคิดเห็นที่ 73 บ้านอยู่กาญจนาภิเษก ตอนอนุบาลให้เรียนที่เลิศหล้า ใกล้บ้านมาก แฟนไปส่งลูกก่อนไปทำงานแถวสีลม ไปถึงคนแรกของโรงเรียน ส่วนตอนกลับเกือบสุดท้ายของโรงเรียนต้องฝากครูไว้ก่อน เลือกให้ลูกเรียน ก.ท. (พาไปดูโรงเรียนก่อน ปรากฏว่าไม่ปฏิเสธ) เพราะแฟนจะได้แวะส่งได้ ลูกชายผมไม่ได้กินข้าวบนรถ แต่ไปกินที่โรงอาหารของโรงเรียน เพราะตื่นตีห้าครึ่ง (ได้นิสัยตื่นเช้าติดตัวไป) ไปถึงโรงเรียนหกโมงกว่า ถ้ามองในแง่การลงทุน ผมเชื่อว่าผู้ปกครองถ้าทำได้ อยากให้ลูกได้สังคมโรงเรียนแบบ A หรือ B ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าตัวเองเคยได้สังคมแบบนั้นมา จากคุณ : TheKop78 เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 07:47:27

ความคิดเห็นที่ 74 มีคำกล่าว ซึ่งจำมาตลอด เด็กอนุบาล เชื่อ พ่อแม่ เด็กประถม เชื่อ ครู เด็กมัธยม เชื่อ เพื่อน ปริญญาตรี เชื่อ ตำรา ปริญญาโท เชื่อ ตัวเอง ปริญญาเอก ไม่เชื่อใครแม้แต่ตัวเอง จากประสบการณ์ที่ประสบมา มันเป็นความจริง เลือกโรงเรียนตามนี้ได้เลย ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ไม่ต้องการรบกับลูก เมื่อเค้าโตขึ้นเรื่อยๆ คุณต้องเลือกโรงเรียนที่ลูกชอบคุณครู ตอนประถม เรื่องการเรียนอย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่คุณครูอย่างเดียว พ่อแม่ต้องสละเวลา ตอนเย็นๆ ให้ลูกด้วย ไม่งั้นคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่าลูกคุณเป็นอย่างไร ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่ สุดท้าย คุณต้องเป็นพ่อแม่ที่อดทน และทุ่มเทให้กับลูก อย่าใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อลูก จากคุณ : ตี๋บางนา เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 07:50:28

ความคิดเห็นที่ 75 มาช้าไป อยากตอบเรื่องการหาโรงเรียนให้ลูก (ปล. ผมยังไม่มีลูก ยังไม่แต่งงาน) แต่มีข้อมูลที่พี่ๆ เพื่อนร่วมงาน เอาลูกเข้าเรียน เฟ้นหาตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม จนกระทั่งมหาวิทยาลัย (ทั้งไทย/เทศ) อย่างโรงเรียนสาธิตดังๆ ฟังเงื่อนไขในการเอาลูกเข้าเรียนแล้วรู้ซึ้งถึงพระคุณพ่อแม่มากๆ (เหมือนกับจะทุ่มให้เราเต็มที่แม้ฟังแล้ว เหวอออ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ) ทั้งเงื่อนไขแบบปกติและแบบพิเศษ แต่ยังไม่มีเวลามากนัก ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังครับ รวมทั้งอยากแสดงความเห็นเรื่องแนวคิดในการหาโรงเรียนแบบไหน (อิงจากตัวเองที่ผ่านมาในวัยเด็กครับ) จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 08:30:58

ความคิดเห็นที่ 76 ดีชั่วอยู่ไม่อยู่ที่ตัวตึก หรือค่าเทอมนะครับ ผมแนะนำว่า ถ้าเป็นไปได้ ว่าง ๆ ก็แอบไปดูการเรียนการสอน ลองแอบ ๆ คุยกับเด็กในห้องเรียนดู ว่าชอบครูสอนไหม เรียนกับครูสนุกไหม? โรงเรียนสนุกไหม? คำตอบของเด็ก สะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่าง ได้มากกว่าโล่ห์ 7 ชั้น และกระดาษเปื้อนหมึกเป็นไหน ๆ ครับ จากคุณ : กิ่งกัลปพฤกษ์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 08:33:38

ความคิดเห็นที่ 77 ลูกพี่สาวทุมเทเต็มที่ทุกรูปแบบเด็กเก่งด้วย สี่คน หมอจุฬา หมอรามา หน้าห้อง รมว ต่างประเทศ (ทุน กพ) อีกหนึ่งทำงานในจีน ลูกพี่สาวอีกสองทุมเทตามอัตภาพอีกหกคนเด็กเก่งด้วย วิศวเกือบหมด ที่เหลีอ เภสัช ที่หนึ่งสอบเข้าวารสารจุฬา ลูกผม โสมาภา บดิน สิงห์1( จุฬาภรณ์)แต่เลือก เตรียมอุดม แล้วคุณละ ต้องตั้งจิตอฐิฐานให้เด็กเป็นทรัพย์ยากรของชาตินะ สำคัญรวยแต่ซื้อรอยหยักในสมองเพิ่มให้ลูกไม่ได้นะ ทำบุญนะ จากคุณ : บุชก้า (ชาเมกอน) เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 09:07:15

ความคิดเห็นที่ 78 จริงๆแล้ว พ่อแม่ เป็นครูที่ดีที่สุดครับ  สั่งสอนเขาให้เป็นคนดี รักการเรียน โรงเรียนดี ก็จะส่งเสริมเขาให้ดียิ่งขึ้นครับ  ถ้าพ่อแม่ฐานะเอื้ออำนวยก็ควรส่งเสริมครับ ลูกเข้าโรงเรียน ก็อย่าลืมติดตามดูนะครับ ประคองเขาให้อยู่ในลู่ทางที่ดี จากคุณ : neetnoskub เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 09:16:23

ความคิดเห็นที่ 79 ศาสตราจารย์ Levitt คนเขียน Freakonomics เคยวิจัยข้อมูลเรื่องนี้ไว้แล้วนะครับ ว่าโรงเรียนที่ส่งเด็กไปเรียนไม่มีผลต่อผลการสอบของนักเรียน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่พวกพ่อแม่สมัยใหม่นิยมทำกันอย่างต้องลาออกจากงานมาอยู่กับลูกช่วง 0-3 ขวบ ต้องอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ฯลฯ แต่ว่าปัจจัยที่เขาใช้วิเคราะห์คือผลสอบอย่างเดียว จากคุณ : Zkizzik เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 09:27:20

ความคิดเห็นที่ 80 ถึง คห.69   รับทราบค่ะ เราเข้าใจผิดเอง จากคุณ : kimwong เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 10:59:58

ความคิดเห็นที่ 81 แต่ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าเรียนโรงเรียนไหน คือได้เพื่อนดีครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ผลการเรียนไม่ดีตอนม.ต้นเลยประมาณ2.00 แต่พอได้กุล่มเพื่อนดีที่ทุกคนขยันเรียนช่วยกันเรียน ว่างๆก็ไปเที่ยวด้วยกัน เกรดขยับเป็น3.5ในเทอมเดียวได้เลย และผมก็เคยเห็นเด็กเรียนได้4.00 และหลังจากนั้นไปคบเพื่อนไม่ดี นักเลงชวนโดดเรียน เที่ยวต่อยตี ต้องออกจากโรงเรียนใน1เทอมหรือไม่ก็เกรดเหลือ1กว่าๆ ปัจจุบันเห็นเขาทำงานรับจ้างทั่วไป นึกแล้วเสียดายอนาคตดีๆที่หายไปเพราะเพื่อนเลวๆ เด็กจะดีได้เพราะสภาพแวดล้อม ซึ่งโรงเรียนดีๆแพงๆมักจะมีสภาพแวดล้อมที่ดี แต่บางครั้งเพื่อนๆอาจเรียนเก่ง แต่ไม่ช่วยเหลือกัน แข่งกันเรียน เป็นผมเลือกโรงเรียนที่เด็กเก่งน้อยแต่ส่วนใหญ่ช่วยกันเรียนดีกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ย. 53 11:03:21 จากคุณ : charmander เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 11:01:55

ความคิดเห็นที่ 82 ให้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่พอจะจ่ายค่าเทอมไหว  (ไม่อยากให้ลูกต้องพูดคำหยาบแต่เด็ก) ที่สำคัญใกล้ที่ทำงานหรือใกล้บ้าน ครับ จากคุณ : เดอะไรท์ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 11:48:54

ความคิดเห็นที่ 83 ชอบกระทู้นี้มากๆๆเลยค่ะ เพราะลูกก็อยู่ในช่วงอนุบาลเหมือนกัน และได้ตัดสินใจเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้แล้ว เห็นด้วยกับหลายๆความเห็นเรื่อง connection และสังคมภายในโรงเรียน อย่าคิดว่าเด็กอนุบาลยังเด็กไปสำหรับเรื่องนี้นะคะ เด็กเล็กๆมีอะไรมหัศจรรย์กว่าที่คุณๆคิด เพื่อนดีๆสังคมดีๆ จะช่วยให้เขาเรียนรู้อะไรดีๆ ได้ไปจนโตเป็นผู้ใหญ่เลยค่ะ จากคุณ : พริกไทย-ใบยอ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 13:54:48

ความคิดเห็นที่ 84 ต้องดูสภาพแวดล้อม แผนการเรียนการสอน และที่สำคัญคือ ครูผู้สอน และนโยบายค่ะ ถ้าให้เรียนๆๆ คงไม่เหมาะ ก็ควรมีการสอนด้านอื่นๆ ให้เด็กด้วย สรุป โรงเรียนดีก็สำคัญ เหมือนกันนะ แต่จะดีที่สุดคือพ่อแม่มีเวลาสอนลูกแหละ จากคุณ : แอนด้า เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 14:53:00

ความคิดเห็นที่ 85 ผมขอออกตัวก่อนน่ะครับ คือผมขอแสดงความคิดเห็นในแง่ของเด็กที่พี่งผ่านมัธยมปลายมาครับ คือตอนนี้ผมเรียนแพทย์อยู่ที่สถาบันแห่งหนึ่ง ผมเอง ก็เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีครับ ผมได้ไปเรียนในช่วง ม.1-ม.3 ก่อนที่จะมาต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ครับ คือผมเห็นว่า ถ้าเป็นไปได้อ่ะครับ การส่งเสริมได้เด็กได้เรียนในโรงเรียนที่ดีตั้งแต่เด็กมีส่วนช่วยเยอะมากๆครับ ด้วนส่วนตัวของผมแล้วสมัยเด็กๆ ผมเรียนโรงเรียนที่อยู่แถวๆ บ้านครับ ซึ่งผมคิดว่า ถ้าไปเทียบกับโรงเรียนพวกสาธิตจุฬา อะไรอย่างงี้อ่าครับ ผมว่า สู้กันไม่ติดครับ แล้วคือถ้าเรียนมาไม่ดีตั้งแต่ เด็กๆ ตอนสอบเข้า ม.ต้นก็จะลำบากมากครับ คือถ้าให้ผมแนะนำน่ะครับ ผมคิดว่า น่าจะเรียน B ครับ เรียนจนจบ ป.6 แล้วพอถึงชั้น ม.ต้น ก็ไปสอบเข้าโรงเรียนเช่นพวก สาธิตปทุมวัน พวกสวนกุหลาบครับ การเรียนการสอนที่นั้นดีมากๆครับ แล้วส่วนจบ ม.3 ก็สอบเข้าอีกทีนึงครับ ผมคิดว่า วิธีนี้ดีที่สุดครับ แต่ท้ายที่สุดนี้ การที่จะให้น้องเค้าเรียนนู้นเรียนนนี่ ต้องให้น้องเค้ามีความสุขกับการเรียน กับสถานที่ที่เรียน กับเพื่อนๆที่เรียนด้วยน่ะ ไม่งั้นน้องเค้าจะพลาดความสุขสมัยเด็กไปเยอะเลยครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : epsonpower2 (MamojunG) เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 16:32:40

ความคิดเห็นที่ 86 ถ้าคนไทยยามนี้ ผมขอ อีคิวมากกว่า ไอคิว ด่วนเลย จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 18:42:35

ความคิดเห็นที่ 87 อะไรก็ได้  แต่ถ้าเลี่ยงได้ เลี่ยง รร.ชายล้วน จากคุณ : แม่น้องอะตอม เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 19:43:45

ความคิดเห็นที่ 88 เอาประสบการณ์ตรงนะครับ แต่เป็นโรงเรียนมัธยม น้องชายผมสองคน 1. คนนึงเรียนโรงเรียนกางเกงดำตรงเซ็นทรัลลาดพร้าว เพื่อนแต่ละคนนี่แสบๆ ทั้งนั้น สอบเข้ามหาลัยที่ไหนมันยังไม่รู้เลย สุดท้ายเข้านิเทศ ม.เอกชนโดยที่ไม่รู้ว่าจบมาทำอะไรได้ ผมเคยไปประชุมผู้ปกครองให้น้องที่โรงเรียนนี้ ไปนั่งฟังอาจารย์ชมอธิการอยู่เกือบชั่วโมงเสร็จแล้วเข้้าห้องรับสมุดพกเลย ไม่รู้ไปทำไม   2. อีกคนเรียนอัสสัมบางรัก เพื่อนๆ ค่อนข้างดี ตอนนี้อยู่ธรรมศาสตร์ได้คณะที่ตั้งใจ รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรเมื่อเรียนจบ ตอนผมไปประชุมผู้ปกครองของอัสสัมอธิการพูดถึงเรื่องตัวนักเรียนและขอความร่วมมือผู้ปกครองให้ช่วยดูแล บอกปัญหาที่เกิดขึ้นจริงไม่มีการไร้สาระ พอเข้าห้องรับสมุดพก อาจารย์ก็มีการให้ความเห็นเกี่ยวกับนักเรียน คือมุ่งเน้นที่ตัวนักเรียนเป็นหลักครับ สำหรับผม ถ้ามีลูกยังไงก็จะกัดฟันให้เรียนโรงเรียนดีๆ ครับ ปล. ผมจบ ACC และ ABAC ดังนั้นความเห็นจึงอาจเอนเอียงไปทางโรงเรียนเอกชนเล็กน้อยครับ จากคุณ : caba เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 20:26:43

ความคิดเห็นที่ 89 ต้องทำตัวเป็นครูแนะแนวครับ หากิจกรรมหลาย ๆ อย่างให้เค้าลองทำ คุยกับเค้าว่าเค้าชอบอะไร โตขึ้นอยากเป็นอะไร แล้วก็เลือกที่เรียนให้เหมาะกับเค้า ชีวิตวัยเรียนมันแค่ 20 กว่าปี (ถ้าไม่เรียนไปเรื่อย ๆ จนเบื่อซะก่อน) ต่อจากนั้นเค้าต้องอยู่กับงานไปจนถึงอายุ 60 (แว่วมาว่าจะขยายวัยเกษียณออกไปอีก) จะดีแค่ไหนถ้าช่วงเวลาเกือบ 40 ปี เค้าได้ทำในสิ่งที่เค้ารัก จากคุณ : natureZ เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 53 22:51:03

ความคิดเห็นที่ 90 กระทู้นี้เยี่ยมมาก จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 53 09:42:11

ความคิดเห็นที่ 91 อยากให้ลูกเรียนโรงเรียน ใกล้บ้าน ตจว. ครับ เอาแบบขี่จักรยานไปเรียนได้ยิ่งดี สอนแบบอ่อนวิชาการหน่อยๆ แต่ได้ชีวิตเด็กบ้านนอก ไม่ต้องแข่งกับใคร  สบายๆ ไม่ต้องคิดไรมาก แต่ยังสงสัยเหมือนกันว่าแล้วลูกผมจะมีอนาคตไหมเนี่ย เพราะผมเรียนแต่โรงเรียนดังๆ อัสสัม เซนต์คาเบรียล  ธรรมศาสตร์ ก็เรียนมาแล้ว สุดท้ายไปจบจุฬา ที่สุดของความคิดเลยคือ ได้สังคม ได้เพื่อน ที่ดีก็พอครับ ไม่ต้องวิชาการแข็ง เอาไปทำไม สูตรฟิสิกส์ เคมี เรียนแล้วก็ลืม สรุปว่ายังงงอยู่เหมือนกัน อยากให้ลูกได้ชีวิต เด็กธรรมดา แบบ40 ปีก่อนที่เขาเป็นกัน รู้จัก ต้นไม้ รู้จักงู พันธ์ต่างๆ  แต่ก็กลัวจะสอบ ent ไม่ติด จากคุณ : เปาหน้าดำ เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 53 12:34:45

ความคิดเห็นที่ 92 ช่วงนี้เข้ามาเก็บความรู้ห้องนี้บ่อยๆ ตอนนี้เลยขอร่วมแสดงความเห็นด้วยนะคะ ตัวหนูเป็นคุณแม่ลูกสองคะ  ชายทั้งคู่  คนโต อายุ11 ปีหน้าต้องเข้าม.1 คนเล็กอายุ2ขวบครึ่ง ปีหน้าจะให้เข้าอนุบาล สมัยก่อนอยู่แถวบางบัวทอง ลูกชายคนโตเรียนโรงเรียนเอกชนขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก  ค่าเทอมไม่เกินหนึ่งหมื่น อยู่ใกล้บ้าน นั้งรถรับส่ง ตื่น7โมงกว่าๆ ลูกเรียนด้วยความสนุก มีกิจกรรมมาก เป็นโรงเรียนที่เน้นด้านนี้ ข้อดีของโรงเรียนนี้คือ เรียนไม่เครียด ลูกก็ได้อันดับต้นๆเทียบกับในชั้นเรียน ลูกมีเรื่องสนุกมาเล่าให้ฟังทุกวัน ข้อเสีย พอมาเทียบคะแนน(พาไปสอบตามสนามต่างๆ)กับโรงเรียนอื่นใน กทม. กลายเป็นว่าไม่ได้อยู่ต้นๆ  คือสู้เด็ก กทม.โรงเรียนเอกชนดังๆหรือสาธิต ไม่ได้เลย แล้วตอนนี้ก็ต้องเข้าม.1 เลยอยากจะให้ได้โรงเรียนที่ติดอันดับหน่อย เลยกวดวิชา ลูกเริ่มเครียด หนูก็ต้องอธิบายว่าเพราะอะไร เค้าก็เข้าใจ และปรับตัวได้ ส่วนคนเล็ก ทางคุณปู่เค้าอยากให้เค้า อินเตอร์เพื่อนเน้นภาษา ไกลบ้านมาก ค่าเทอมแพง ตัวหนูไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะต้องฝ่ารถติดมาก เพื่อสิ่งที่คาดหวังของผู้ใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ตามคาดไหม สงสารและเป็นห่วงด้านอารมณ์เพราะเค้ายังเด็กมาก (เถียงกับคุณปู่เค้าประจำ) กลัวว่าเค้าจะไม่ยอมเรียน เจ้าอารมณ์ เพราะเคยเห็นจากเด็กข้างบ้าน  คือเครียดตั้งแต่อนุบาล แล้วกลายเป็นนิสัย อีกอย่างติดหรู สรุป ในความเห็นส่วนตัว ถ้าเด็กเล็ก อยากให้เรียนที่ใกล้บ้านหน่อย ระดับกลางเน้นให้เด็กมีความสุขในการมาโรงเรียน ประถม ถ้าเรียนที่เดิมแล้วเค้ามีความสุขก็เรียนต่อไป เพียงแต่ผู้ปกครอง ต้องช่วยกระตุ้นเด็กเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขัน เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตช่วยได้มาก เพียงแต่ต้องใช้เวลาอ่าน ติดตามข่าวสาร จากหลายๆเว็ป ใช้เวลาติวเค้าให้มากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าโรงเรียน ที่มีชื่อก็มีส่วนสำหรับวันข้างหน้า ที่ลูกต้องแข่งขัน   แต่ในใจของหนู ขอแค่ลูกมีความสุขในการเรียน พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ แก้ไขปัญหาในชีวิตได้  และเป็นบุคลที่ไม่สร้างปัญาหาให้กับสังคม หนูก็พอใจแล้วคะ จากคุณ : murdoch เขียนเมื่อ : 12 พ.ย. 53 13:49:50

ความคิดเห็นที่ 93 การวางแผนการศึกษามีความเสี่ยง ผู้ปกครองควรศึกษาให้ดีก่อนส่งลูกเรียน จากคุณ : กันติมา เขียนเมื่อ : 14 พ.ย. 53 23:41:57