|
ข่าวที่คุณพิชญ์ โพธารามิก ให้สัมภาษณ์ 14/6/53
ปีนี้รายได้เราจะแตะระดับหมื่นล้านบาทเป็นครั้งแรก และในอีก 5 ปีข้างหน้ารายได้จะโต 20% ทุกปี ยิงโฆษณาถี่ยิบมาหลายเดือนจาก 3Mb อัพเป็น 4Mb ราคาเดิม 590 บาท อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงภายใต้ 3BB บรอดแบรนด์ เป็นหัวหอกสำคัญที่ พิชญ์ โพธารามิก ผู้บริหารหนุ่มทายาท ดร.อดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) กำลังใช้เป็นเกมช่วงชิงพื้นที่การตลาด
นับตั้งแต่ปี 2551 ที่ พิชญ์ ถูกวางตัวเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล เขาเริ่มตะลุยเก็บหุ้น JAS จนถึงปัจจุบัน 267.32 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 113.63 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 0.43 บาท เป็นการเปิดตัวที่ร้อนแรง พร้อมพลิกบทบาทบริษัทจากเดิมมุ่งเน้นธุรกิจสัมปทานภาครัฐ พลิกสู่ธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบรนด์) ซึ่งเป็นรายได้หลักในปัจจุบัน "รายได้รวมในปีนี้ (2553) น่าจะแตะระดับ "หมื่นล้านบาท" เป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา" พิชญ์ บอกกับกรุงเทพธุรกิจ Biz Week
ซีอีโอหนุ่มวัย 38 ปี ย้อนถึงผลงานเมื่อปีที่แล้ว รายได้จากธุรกิจบรอดแบรนด์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 86% และธุรกิจวางระบบสื่อสารโทรคมนาคมโตถึง 104% ทำให้สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 204 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่ปี 2552 ยังไม่สามารถจ่ายปันผลได้เนื่องจากจัสมินเป็นบริษัทโฮลดิ้งรายได้จะรับรู้จากบริษัทลูกซึ่งมีบางบริษัทยังขาดทุน รวมทั้งมีการตั้งด้อยค่าเงินลงทุนใน บมจ.ทีทีแอนด์ที 516 ล้านบาท และบางบริษัทเช่น บมจ.ทริปเปิลทีบรอดแบนด์ ยังต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก แต่ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผล ระหว่างกาล (ปี 2553) ในอัตราหุ้นละ 0.02 บาท
สำหรับปัญหาใน TT&T ที่เป็นตัวถ่วงจัสมินมาตลอด พิชญ์ ให้ข้อมูลว่า ตอนนี้จัสมินถือหุ้นอยู่ 24.99% ที่ราคา 0.54 บาท และอยู่ระหว่างเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ยังไม่เสร็จ จึงทำได้แค่ "รอ" คงไม่ลดสัดส่วนการถือหุ้นหรือซื้อเพิ่ม ปัจจุบันหนี้ของ TT&T มีอยู่ประมาณ 25,000 ล้านบาท ในอนาคตเมื่อเจ้าหน้าหนี้โหวตแผนฟื้นฟูเสร็จจะช่วยกันหาธุรกิจใหม่ที่ไม่พึ่งพิงแค่รายได้จากโทรศัพท์พื้นฐาน แต่ดูแล้วคงยาก (เหนื่อย) เพราะคนส่วนใหญ่ใช้มือถือกันหมดแล้ว เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องมีการแฮร์คัตหนี้บางส่วน
"ขอให้ราคาหุ้น TT&T ในตลาดไม่ลดลง มากกว่านี้ไม่งั้นจัสมินคงต้องสำรองด้อยค่าเพิ่มอีก"
สำหรับอนาคตข้างหน้าของจัสมิน พิชญ์ มั่นใจว่า จะเข้าสู่ยุครุ่งเรืองในไม่ช้า เพราะในปี 2553 บริษัทจะบุกธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่างหนัก เพื่อที่จะแซง TRUE ขึ้นมาเป็น "อันดับหนึ่ง" ในแง่จำนวนลูกค้าให้สำเร็จปัจจุบันมีลูกค้าอยู่ประมาณ 600,000 ราย อยู่ในต่างจังหวัด 480,000 ราย และกรุงเทพฯ 120,000 ราย ปี 2552 มีลูกค้าใหม่เพิ่มถึง 187,000 ราย เติบโต 48% ในอนาคตถ้าคลื่นความถี่ 3G เกิดขึ้นบริษัทไม่วิตกกังวลเพราะลูกค้าคนละกลุ่มกัน
ด้านแผนงานในปี 2553 จัสมินมีเป้าหมายเพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่ 3BB บรอดแบรนด์ 150,000 ราย เป้าหมายสิ้นปี 2553 จะมีลูกค้ารวม 750,000 ราย ขึ้นเป็น "อันดับหนึ่ง" นอกจากนี้ยังจะเพิ่มสินค้า Wi-Fi,โทรทัศน์บนอินเทอร์เน็ต,ไอพีทีวี,วอยซ์โอเว อร์-ไอพี รวมถึงบริการลีสด์ไลน์สำหรับลูกค้าองค์กร รวมถึงบริการเสริมด้านคอนเทนท์เพื่อเพิ่มมาร์จินด้วย "แผนของเราจะยกระดับแบรนด์ให้เป็นคอนเทนท์โพรไวเดอร์มากกว่าแค่ให้บริการอินเทอร์เน็ตจะช่วยให้ ทริปเปิลที บรอดแบนด์ มีรายได้ที่กระจายตัวมากขึ้น"
สำหรับเงินลงทุนปีนี้จะใช้ 1,000 ล้านบาท ซื้ออุปกรณ์จากหัวเว่ย ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากธนาคารใหญ่แล้ว ปัจจุบันเซิร์ฟเวอร์สามารถรองรับการใช้งานได้ 1 ล้านเลขหมาย สิ้นปีนี้คาดว่ายังไม่ต้องลงทุนเพิ่มอีก เฉพาะบมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ ยอมรับว่ายังมีภาระหนี้ต่อทุน 3.1 เท่า แต่บริษัทแม่ (จัสมิน)มี D/E เรโช เพียง 1.4 เท่า ซึ่งไม่สูงนักถ้าเทียบกับบริษัทที่กำลังเติบโต ในปีที่แล้วรับพนักงานเพิ่มจาก 1,250 ราย เป็น 4,374 ราย ยอมรับว่าจากการขยายธุรกิจ ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น บริษัทจะพยายามคุมต้นทุนโดยใช้สัญญาจ้างรายปีสัดส่วน 34% แต่ปีนี้ยังไงก็คงต้องเพิ่มจำนวนพนักงานอีก ตามการขยายตัวของธุรกิจ
ในส่วนของงานประมูลภาครัฐเชื่อว่าปีนี้น่าจะมีงานประมูลระดับ 10,000 ล้านบาท ลูกค้าหลักของบริษัทมี TOT, CAT, กระทรวงศึกษาธิการ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนลูกค้าเอกชน มีลูกค้าเป็นธนาคารขนาดใหญ่ กลุ่มไมเนอร์ เอ็มเคสุกี้ นอกจากนี้ยังรับงานต่างประเทศจากสิงเทล และกลุ่มทาทา อีกด้วย
พิชญ์ สรุปว่าโครงสร้างรายได้ของจัสมินธุรกิจอินเทอร์เน็ตมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2551 มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 27% ปี 2552 เพิ่มมาอยู่ที่ 39% และภายในสิ้นปี 2553 จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็น 50% ตลาดนี้กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อว่ารายได้รวมต่อจากนี้จะเติบโตได้ทุกปี
"รายได้รวมของเราน่าจะโตได้ถึง 20%ทุกปี ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า และมีอัตรากำไรสุทธิขึ้นมาถึง 10% จากแผนธุรกิจที่วางไว้หุ้น JAS น่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นได้
ถ้าธุรกิจทำได้อย่างผู้บริหารกล่าวไว้ว่าปี53มีรายได้10000ล้าน และสามารถมีกำไรสุทธิ10เปอร์เซนต์และอนาคตสามารถโตได้ปีละ20เปอร์เซนต์ อีก5ปีข้างหน้าเป้าหมายที่วางไว้คือ24800ล้าน กำไรสุทธิ2480ล้านบาท สำหรับมาร์เก็ตแคปปัจจุบันที่5476ล้านบาท.......
จากคุณ |
:
เลี้ยงแมวให้เป็นหมู
|
เขียนเมื่อ |
:
18 พ.ย. 53 17:11:35
|
|
|
|
|