ความคิดเห็นที่ 1 เค้าคิดว่าการกำเงินสดไว้นั้น จะสามารถหาผลประโยชน์จากมันได้ เช่นมีเงินสด สิบล้าน จะชื้อบ้านสิบล้าน คงไม่ชื้อเงินสดแน่ๆ สู้ผ่อนดาวน์เอาเงิน 9 ล้าน ที่เหลือมาลงทุนดีกว่า ดู ตย ใน ตลท ก็ได้ ทุก บ. มีหนี้สิน แต่ทำไมไม่เอาผลกำไรไปโป๊ะหนี้ครั้งเดียวให้หมด แม้นมีความสามารถจะทำก็ตาม ส่วนผมชอบ(คนจน) ชอบผ่อนสินค้า 0% 10-12 เดือน รู้สึกว่าทำตังหายเดือนละ 2 พัน ก็ไม่ต่างจากกินเหล้ารอบนึงครับ จากคุณ : หมอคานู เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 17:51:53

ความคิดเห็นที่ 2 ออกความเห็นไปกระทู้ก่อนหน้าแล้วครับ จากคุณ : blfonlyone เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 17:54:41

ความคิดเห็นที่ 3 มี gearing มั้งครับ ในบริษัทในตลาด ประหยัดภาษีได้เยอะ จากคุณ : Biot Savart เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 18:21:55

ความคิดเห็นที่ 4 ภาษี เมืองไทย บริษัท เสีย 30% สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 30% การวางแผน การกู้เงินที่ดี ทำให้ ต้นทุน ในการกู้ เท่ากับ 0% เพราะสามารถหักภาษีได้ทั้งหมด สมมุติ มีเงิน 100 ธุรกิจแรก ต้องใช้เงิน    70 ธุรกิจ สอง ต้องใช้เงิน    80 รวมเป็น 140 หาก มีเงิน 100 ก็จะได้กำไร จากธุรกิจแค่ตัวใดตัวหนึ่ง แต่ ... ถ้ากู้ ก็จะได้จาก ทั้งสอง ส่วน .... แถม ดอกเบี้ย หัก ภาษีได้ ต่างประเทศ ภาษี เขา 40% ประเทศเขาเลย นิยมกู้ ในสัดส่วนที่มากกว่า ภาคการเงินของเขาก็เลย โต เร็ว ไงครับ จากคุณ : Nopparat_r1 เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 18:28:42

ความคิดเห็นที่ 5 รัฐบาล(ทั่วโลก) ตอบแทนดอกเบี้ยจ่าย ด้วยการให้ บริษัท เอาดอกเบี้ยจ่ายหักภาษีได้ "ทุกบาททุกสตางค์" กำไร 100 บาท ต้องเสียภาษี 30 บาท แต่ถ้ากู้เงินมา ปีนั้นมีดอกจ่ายไป 30 บาท ก็ไม่ต้องเสียภาษีเลย(เพราะไม่มีกำไร) แถมเงินสดที่มีก็เอาไปหมุนเวียนได้อีก แล้วจะเสียเงินก้อนทำไม จากคุณ : Pigou เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:03:18

ความคิดเห็นที่ 6 ง่ายๆ คุณยืมเงินเพื่อนของคุณมาลงทุนธุรกิจ ปรากฎว่าเจ๊ง ถามว่าคุณหรือเพื่อนเจ๊ง จากคุณ : chai012 เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:10:03

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนถ้าเป็นบุคคล มันก็อยู่ที่แผนการใช้เงินมากกว่า ถ้า มีแผนจะเอาเงินก้อนไปทำอย่างอื่นมันก็ควรกู้ เช่น กู้ซื้อบ้าน เสียดอกไป -7% เงินสดที่มี ก็เอามาถือหุ้น ปันผล 10% แต่ถ้าเขา กู้-7% แล้วเิอาเงินฝากออมทรัพย์เฉยๆ1% ยังงี้ขาดทุน (แต่อาจจะสบายใจในเรื่องสภาพคล่อง) เรื่องภาษีบุคคลก็เข้าใจว่าหักได้ แต่ไม่รู้ว่าได้แค่ไหน ไม่เคยทำ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 53 19:15:41 จากคุณ : Pigou เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:14:22

ความคิดเห็นที่ 8 อาจจะตอบไม่ตรงคำถามนะครับ แต่คิดว่าใกล้ๆกัน ปกติแล้วธุรกิจถ้าลงทุนเองทั้งหมดก็น่าจะได้กำไรมากกว่าใช่มั้ยครับ เพราะไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่ในวามเป็นจริงการลงทุนโครงการหนึงเจ้าของไม่จำเป็นต้องออกเงินหมด ยกตัวอย่างนะครับ สมมุติออกหมดเลย 100 บาท กำไร 30 บาท เสียภาษีอีก 30% กำไรสุทธิก็จะเหลือ 21 บาท ถ้ามองเรื่องกำไรต่อส่วนทุน หรือ ROE คือ 21/100 = 21% แต่ถ้าบริษัทลงทุนสักเอง 50 บาทและกู้อีกครึ่งหนึ่ง และมีกำไรก่อนภาษีเท่ากันที่ 30 บาท เมื่อเสียดอกเบี้ยปีละ 10% จะเหลือ 25 บาท เมื่อจ่ายดอกเบี้ยจึงเอากำไรที่เหลือมาหักภาษี 30% ก็จะเหลือกำไรสุทธิ 17.5 บาท ดูเหมือนกำไรจะน้อยลง อันนี้ดูไม่ยากแต่เมื่อพิจารณาว่าเจ้าของลงส่วนของตัวเองแค่ 50 บาท ROE จะเท่ากับ 35% เทียบกับแบบแรกที่ลงทุนด้วยส่วนของเจ้าของล้วนๆแล้วจึงชนะขาด คนที่จะทำแบบนี้ต้องเป็นคนที่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรบ้าง เพราะถ้าเหลืออีก 50 บาทแล้วไม่เอาไปทำอะไรก็จะเสียประโยชน์ แม้ ROE จะสูงกว่าแต่ก็ไร้สาระ แต่ถ้าเอาอีก 50 บาทไปลงทุนโครงการอื่นแล้วได้กำไรเท่ากัน ก็จะได้อีก 17.5 การลงทุนด้วยส่วนของเจ้าของ 100 บาทจะมีผลตอบแทนถึง 35 บาท ซึ่งมากกว่าแบบแรกที่ลง 100 บาทในโครงการเดียวที่จะได้กำไรเพียง 21 บาท อธิบายคร่าวๆประมาณนี้นะครับ ผมอธิบายไม่เก่งเท่าไหร่ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 53 19:18:29 จากคุณ : Mr. Prodigy เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:16:29

ความคิดเห็นที่ 9 คห 1 ถ้าเงินนั้นไม่ได้ถูกนำไปลงทุนล่ะครับ แค่เก็บไว้เฉยๆ หมายความว่าอย่างไรครับ คห 2 รบกวนบอกชื่อกระทู้หน่อยได้ไหมครับ ผมไม่ใช่แฟนห้องนี้ครับ เข้ามาหาความรู้เป็นครั้งคราวครับ คห 3457 ขอบคุณครับที่แบ่งความรู้ให้ แสดงว่าระบบทุกวันนี้มันพยายามเสนอสนองทางเลือกที่ดีกว่าให้เราโดยเป็นหนี้ไว้ใช่ไหมครับ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจเพราะมีบางคนบอกว่า บริษัทชั้นยอดจะทำธุรกิจโดยมีหนี้น้อยมากหรือไม่มีเลย  และสามารถจ่ายภาษีโดยไม่สะทกสะท้านดิ้นรนตุกติก ขอความรู้อีกชั้นนะครับ คห 6 คำตอบคุณเป็นคำตอบเดียวกับคุณพ่อผม เคลียร์เพียงประโยคเดียว คห 8 สำหรับผมคุณอธิบายเก่งครับ เพราะโง่อย่างผมยังทราบว่าคุณพยายามจะบอกอะไร รบกวนช่วยตอบคำถามตาม คห1 อีกครั้งได้ไหมครับ ขอคุณสำหรับน้ำใจของทุกคนไว้ตรงนี้ด้วยครับ จากคุณ : koknam เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 19:50:22

ความคิดเห็นที่ 10 แต่ก่อนผมก็ไม่เข้าใจ เหมือน ท่าน จขกท หรอกครับ จน ได้เรียนเศรฐาสตร์ เรื่อง มูลค่าเงินที่แท้ จริง ของเงิน 100 บาท เงิน 100 บาท  A ให้ B กู้ 100 ละ 10%  เป็นเวลา 10 ปี จะมีมูลค่า 200 B ก็ไปปล่อยให้ C จะมีมูลค่า 200 บาท C ก็เอาไปปล่อยให้ C ก็มีมูลค่า 200 บาท แล้วก็ไปที่ N เงิน 100 ในอนาคต จะเท่ากับ 200+200+200+200  ไม่มีที่สิ้นสุด บวกไปเรื่อยๆ ประกอบกับ การใช้ ระบบภาษี + การหักดอกเบี้ย ทำให้ ของ 1 ชิ้น มีมูลค่า เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า เงินเฟ้อ จากมูลค่าเงินที่แท้จริง นั่นคือเงินในอนาคต นำมาลงทุนในวันนี้  ก็ทำให้มีเงิน มหาศาล เร่งการเจริญเติบโต มันยาวมากๆเลยครับเรื่องนี้ วิชาเศรฐศาสตร์จะเป็นคำตอบที่ดีครับ จากคุณ : Nopparat_r1 เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 20:35:42

ความคิดเห็นที่ 11 ตาม คคห 6 ตรงประเด็น ผมถามว่า ถ้าเจ้าสัว เบี้ยวหนี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ใครทำอะไรได้ เท่านั้น จากคุณ : You'll never walk alone เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 22:38:39

ความคิดเห็นที่ 12 มาอ่าน จากคุณ : PICCANINNY'S DAD เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 22:44:35

ความคิดเห็นที่ 13 ที่เค้าใจ(เอาเองว่า).. ในทางธุรกิจ เก็บเงินเร็วสุด จ่ายเงิน(หนี้)ช้าสุด ดีสุดครับ :D จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 53 22:57:30

ความคิดเห็นที่ 14 ผมขออนุญาตเข้ามาร่วมแจมด้วยคนนะครับ     การที่ธุรกิจมีเงินก้อนจำนวนมาก   เมื่อจะซื้อสินค้ามาขาย  เขาเลือกที่จะกู้เงิน มากกว่าจ่ายเงินนั้น  ธุรกิจเขาทำถูกต้องแล้วนะครับ     การมีเงินสดอยู่ในมือมาก ๆ   ในทางบัญชี เขาถือว่าธุรกิจมีสภาพคล่องสูง  มีทรัพย์สินเป็นเงินสดมาก แสดงถึงธุรกิจมีฐานะการเงินมั่งคง  เวลาเขาคิดจะทำอะไร  จะกู้เงินจากธนาคารก็๋จะง่าย  เพราะเครดิตดี   ถือเป็นลูกค้าชั้นดี     เวลากู้เงินจะได้กู้ดอกเบี้ยในอัตราไม่สูง  เพราะสามารถต่อรองได้ เมื่อถึงเวลาที่เขากู้เงินมาได้  เขาก็ต้องจ่ายดอกเบี้ย   ดอกเบี้ยนี้สามารถบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายได้  สามารถนำมาหักออกจากผลกำไร  ทำให้จ่ายภาษีน้อยลง     และเมื่อธุรกิจนำเงินที่กู้ได้มาซื้อสินค้า ไปขาย   ในทางการตลาด  ถ้าขายดี  เขาก็สามารถขายสินค้าได้หลายรอบ   ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย  ๆ  โดยไม่ได้ใช้เงินของตัวเองซื้อสินค้าเลย แต่ยืมธนาคารมาจ่าย    ธนาคารก็ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ย เงินกู้ยืม  เรียกว่าแฮ๊ปปี้กันทั้ง 2  ฝ่าย     ธุรกิจ เมื่อมีสภาพคล่องสูง   หากมีโอกาสงาม ๆ  เมื่อเศรษฐกิจดี  เขาก็จะได้มีเงินขยายกิจการกันต่อไป   สร้างธุรกิจให้เจริญมากยิ่งขึ้น  ผู้ถือหุ้นก็จะได้เงินปันผลงาม ๆ     สบายใจเฉิบครับ จากคุณ : รุ่งโรจน์ทวีคูณ (รุ่งโรจน์ทวีคูณ) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 53 22:02:43

ความคิดเห็นที่ 15 การกำเงินสดไว้เฉยๆ จริงๆคือการซื้อประกันครับ หากมีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้น เขายังมีเงินสดไว้แก้ไข หากมีโอกาสนการลงทุนใหม่ๆ เขาก็จะไม่เสียโอกาสในการลงทุนใหม่ครับ กรณีขาดทุนหมด เขาอาจไปขอ haircut เงินกู้ทีหลัง เท่ากับว่าไม่ได้สูญเงิน 100% ก็ได้ครับ เป็นไปได้หลายแนวทาง เพราะการทำธุรกิจจริงๆมันไม่เหมือนเราคำนวณในตลาด มันมีความเสี่ยง มันมีโอกาส แต่จะกู้ทั้งหมด หรือไม่ แล้วแต่แนวทางแต่ละคนครับ จากคุณ : c-sar-salad เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 53 18:06:46